ความคิดเห็นที่ 1 มันเป็นทางเลือกของเราครับ ทาง 1 หรือ 2 จะอยู่ในโลกของตัวเอง หรือว่า เราต้องอยู่กับคนอื่น เลือกมา...แค่นั้นเองครับ ชีวิตมีแค่นั้นแหละครับ... จะขายของให้ลูกค้าที่เอาแก่ใจ หรือ วิ่งเข้าป่าไปล่าสัตว์ จากคุณ : crccsgt - [ 13 พ.ค. 52 00:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ดูโทรทัศน์เมื่อหลายปีก่อน ตอนเย็น ช่องห้า รายการอะไรจำไม่ได้แล้ว พระบอกว่า มิตร มีหลายแบบ เช่น บาปมิตร ประมาณว่าพากันไปล่มจมน่ะ พันธมิตร (ไม่เกี่ยวเหลืองแดง) เป็นมิตรกันเพราะมีพันธะ เพื่อผลประโยชน์ ปิยมิตร แปลว่าอะไรดีล่ะ จำไม่ค่อยได้ แต่ประมาณว่าเป็นมิตรที่ดี ผิดก็เตือน ถูกก็สนับสนุน คอยดูแลกัน ว้า ถูกเรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้สิ สรุปว่าเราเลือกบริโภคได้ ก็แล้วกัน จากคุณ : บุหงาส่าหรี - [ 13 พ.ค. 52 00:10:39 A:58.8.208.135 X: TicketID:208099 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เรียนปรัชญาก็ต้องเรียน logic สิ... ผู้ชายคนนั้นน่ะ เขาใช้ lame logic ยังไงล่ะ คุณจะไปแช่งเขาได้ยังไงกัน? ในเมื่อเพศของเด็ก มันได้รับการตัดสินไปตั้งแต่เมื่อ "ปฏิสนธิ" แล้ว ไม่ใช่มาตัดสินกัน ตอนคุณคิดว่า "ทำใจเผื่อเป็นผู้หญิง" กฎหมายไทยนี้แสนจะประหลาด...บอกว่า สส ต้องจบปริญญาตรีอย่างน้อยที่สุด น่าจะเปลี่ยนเป็น สส ต้องสอบผ่าน elementary logic และโรงเรียนในเมืองไทย ควรสอน elementary logic กันตั้งแต่ ม.6 นั่งฟังเขาอภิปรายกัน ฝ่ายค้านบอกไม่่ไว้วางใจ รัฐมนตรีต่างประเทศเพราะเคยด่าผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายรัฐบาลประท้วงว่า ไม่เป็นไร เพราะเคยด่าไว้ก่อนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ...งงว่ะ?? ถามว่า แล้วถ้านาย ก. เคยด่า นาย ฮ เอาไว้เมื่อนาย ก. ตกงาน แล้วอยู่ดีๆนาย ก ได้งานทำกับ บริษัท ข แล้วบริษัท ข จะติดต่อค้าขายกับนาย ฮ ถามว่า จะส่งนาย ก เป็นตัวแทนไปเจรจาหรือเปล่า? อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ กระทู้ที่ถกกันเมื่อเร็วๆนี้ว่า หม่อมคึกฤทธิ์สมควรหรือไม่สมควรที่จะได้รับการเสนอชื่อ ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก (จำไม่ได้แล้วว่าตำแหน่งอะไร) จากประเทศไทย  มีคนคัดค้านว่า ไม่สมควร คนที่บอกว่าสมควรนะ มีอยู่รายหนึ่งอ้างเหตุึผลแบบ lame logic เป็นประโยค แต่เราแปลไทยเป็นไทย แล้วแยกออก มา เป็น  syllogism แบบนี้นะ premise ที่ 1:  การไม่ีสนับสนุนคึกฤทธิ์ เป็นการไม่ให้เกียรติ์คนตาย premise ที่ 2:  เราควรให้เกียรติคนตาย conclusion: ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรเสนอชื่อหม่อมคึกฤทธิ์ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เฮ้ย มันยังไงกันหว่า...lame logic แบบนี้ ทำเรางงว่ะ...!!?? ถึงเราไม่คิดว่าคึกฤทธิ์เหมาะสมนะ แต่ถ้าผู้สนับสนุนคึกฤทธิ์งัด arguments ดีๆขึ้นมา เราก็อาจยอมเชื่อได้นะ...แต่คนๆนั้น ใช้ syllogism ผิดหลัก ถ้าเถึยงแบบนี้นะ รับรองได้เลยว่าสอบ elementary logic ตกแหงๆเลยว่ะ... สส ที่ ต่อให้จบปริญญาเอกด้วย แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน elementary logic นะ เข้ามาบริหารประเทศนะ ก็นับว่า เป็นความเสี่ยงอย่างสูง ของประเทศชาติอย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 01:06:21 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 00:59:55 จากคุณ : fortuneteller - [ 13 พ.ค. 52 00:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราโดนรุมบนกระดานสนทนา pantip นี่หละ พอเราแย้งฝ่ายตรงข้ามเราว่า ตรงนั้นตรงนี้ พวกเขา ใช้ lame logic หรือ fallacies (ทุตรรกบท) นะ พวกเขาก็รีบพิมพ์ (สร้าง) arguments ที่เป็น lame logic หรือ fallacies เพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก (หลายสิบหรือนับร้อย คคห) อย่างรวดเร็ว จนเราตาลายเลยอ้ะ...กว่าจะอธิบายตามหลักวิชา logic ได้นะว่า all those arguments are invalid นะ ...เรารู้สึกท้อใจมากๆ แล้วยกเลิก login แมร่งไปเลยว่ะ...555+++... ซึ่งมันก็เป็นการดี เพราะมันทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามรู้สึกภาคภูมิใจคิดว่าช่วยๆกันมารุมเรา จนเรา "กลัว" จึงหนีไป ทำให้พวกเขามีความสุข  เราไม่อยากให้พวกเขารู้สึกว่า "เราหวงความรู้ ไม่อยากให้ข้อมูลอะไรดีๆ ก็เลย ไม่ยอมเสียเวลาพิสูจน์เรื่องที่เราพูด"  ...ซึ่งก็นับว่า ออกแนวปรัชญาจีน แต่ไม่ออกแนวปรัชญาตะวันตก เดี๋ยวนี้นะ เวลาเราเห็นกระทู้ไหนขัดๆหูขัดๆตา และเกิดเราคิดอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนใคร เราก็ "หุบปากเอาไว้" ชีวิตจะสงบดี...555+++... แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 01:20:25 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 01:18:26 จากคุณ : fortuneteller - [ 13 พ.ค. 52 01:13:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตะกี้ ก็ไปเห็นคุณ บุหงาส่าหรี ไปตอบกระทู้ผม ผมก็เห็นด้วยครับว่า...มิตร มีหลายแบบ แต่ถ้า...บาปมิตร เป็นคนที่เป็นคนตัดสินให้โปรเจ็คงานกับเราละ แล้วปิยมิตร ไม่ได้มีผลกับโปรเจ็คงานเลยละ เราจะเลือกที่จะเข้ากับมิตรอย่างไหน ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราก็ต้องเลือกอีกอยู่ดีว่าจะเลือก...อะไร เพราะว่า เราไม่ได้เลือกแล้วแหละว่า จะเลือกที่มิตรดีหรือมิตรไม่ดี แต่สิ่งที่เราจะเลือก กลับจะเป็น โปรเจคงาน หรือว่า มิตรที่ดีกันแน่... จากคุณ : crccsgt - [ 13 พ.ค. 52 01:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นใจครับ คุณ fortuneteller เป็นธรรมดา เพราะเวลาผมจะตั้งกระทู้อะไร ผมก็กลัวๆๆเหมือนกัน เพราะตัวผมเอง ก็คนหนึ่งเลยแหละที่ ชอบ ขวางโลก จากคุณ : crccsgt - [ 13 พ.ค. 52 01:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าคุณจะไปขายของคุณทำผิด ถ้าในฐานะเพื่อนคุณไม่ได้ทำผิด (แต่ผมไม่คิดว่าทำถูกนะครับ) จากคุณ : เสธแก่ - [ 13 พ.ค. 52 07:18:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ภาพประกอบกระทู้ โอ้ๆๆ...ดอกพิกุลทองร่วงออกจากปาก ตีราคาวันนี้ได้หลายหมื่นบาท...555 ******************************************* อีกทั้งต้องขอชมเจ้าของกระทู้...แฟนนายแบบ...น่ารักมาก/ที่เขียนกระทู้ได้น่าอ่านมาก(...กว่าที่ผมเขียนเอง)ไม่ห้วนดังแต่ก่อนเก่า ********************************************** เข้าห้องนี้บ่อยๆ จะกลายเป็นปราชญ์ไปนะ!!! ผมมีความเข้าใจส่วนตัวว่า... นักปราชญ์ต่างจากนักบริหารจัดการ "ปราชญ์ย่อมพูดความจริงเสมอ แต่นักบริหารจัดการพูดด้วยวาทศิลป์" โสเครติสพูดความจริงมากไป จนต้องคำพิพากษาของบ้านเมือง ให้ดื่มยาพิษตาย จากคุณ : ขามเรียง - [ 13 พ.ค. 52 11:53:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าตอบไม่ตรงประเด็นก็ขออภัยด้วยนะครับ พอดีว่าผมอ่านกระทู้ของ คุณปลา เอ้ย คุณแพร แล้วก็อีกสองสามกระทู้ถัดไป(เท่าที่มีอยู่) ก็เลยอยากพูดรวมๆอย่างนี้ครับว่า จริงๆแล้ว ความคิดเห็น เป็นโภคภัณฑ์ทางสมองที่ราคาถูกที่สุด คนทุกคนต่างก็มีความคิดเห็นของตัวเอง และพร้อมจะบอกใครก็ได้ที่ยอมรับและเห็นด้วยกับมัน แต่ความคิดเห็นบางอย่าง จะทำลายความเชื่อมั่นที่มีอยู่ในใจเราออกไป เมื่อเราต้องตัดสินใจในการเลือกบางสิ่งบางอย่าง ที่ยิ่งใหญ่ต่อชีวิตเรา ผมเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "ความกลัวทำให้มนุษย์ทำตามความคิดเห็นของคนอื่น" ส่วนตัวผมเห็นว่า ความกลัวเป็นสัญชาติญาณไม่ใช่อุปนิสัย สัญชาติญาณเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงได้ ความเจ็บปวดเปลี่ยนแปลงได้ ความรัก เงินทอง ความโศกเศร้า เปลี่ยนแปลงได้ กาลเวลาจะเปลี่ยนนิสัยใจคอของคนอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละคนได้เผชิญมา จากเข้มแข็งเป็นอ่อนแอ จากอ่อนแอเป็นเข้มเข็ง จากความเชื่อเปลี่ยนเป็นไม่เชื่อ จากความไม่เชื่อกลับกลายเป็นเชื่อ สลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น แต่มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ เราจึงไม่จำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัญชาติญาณเพียงอย่างเดียว เราสามารถควบคุมตนเอง มีความยับยั้งชั่งใจ และหักห้ามใจในการกระทำบางสิ่งบางอย่างได้ด้วยอุปนิสัย เพราะฉะนั้น ตัวเราจะรู้จักตัวเราดีที่สุด ผมเป็นคนไม่ถือศีล (กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ) ผมคิดว่าคนที่ถือศีลเป็นคนที่อ่อนแอเกินไป พูดแบบชาวบ้านๆนะครับ ผมไม่ใช่นักบวช (ถ้าเป็นนักบวชก็อีกเรื่องหนึ่ง) ภาษาก็ใช้ภาษาระดับสาวก ไม่ถึงขั้นใช้ภาษาระดับศาสดา ^^ ผมถูกสอนมาว่า ศีลคือความปกติ ตราบใดที่เราทำตัวเป็นปกติ เราก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักของใคร ไม่ผิดลูกเมียชาวบ้าน บลา ๆ ๆ อยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับว่าเราแน่หรือเปล่า ถ้าเรามีความแน่วแน่ ศีลก็เป็นเพียงข้อปฏิบัติอย่างหนึ่งเท่านั้น ผมไม่ได้ว่าการถือศีลไม่ดีนะครับ อย่างน้อยที่สุดศีลก็เป็นปราการด่านแรกของการไปถึงสมาธิและเข้าสู่ระดับปัญญา ซึ่งก็แยกออกไปอีกสองสามระดับเป็นขั้นบันไดออกไปอีกก็ว่ากันไป แต่ที่ผมพูดว่าคนที่ถือศีลคือคนอ่อนแอก็เพราะบางคน ใช้ข้อห้ามนี้ในการอวดอ้างความชอบธรรมของตนเองในการสั่งสอนผู้อื่น เพื่อให้ความคิดเห็นของตัวเองได้รับการยอมรับจากผู้ที่ไม่ใช้ข้อห้ามอันนี้ ผมไม่ชอบคนประเภทที่ว่าฉันถือศีลแต่เธอไม่ถือศีล เพราะฉะนั้นเธอต้องเป็นคนไม่ดี ผมอยากบอกว่า ชีวิตมนุษย์เลือกได้ครับ แต่ไม่ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย เรามีสิทธิ์ไม่เชื่อในพระเจ้า พอๆกับการไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธผล อันเกิดมาจากความไม่เชื่ออันนั้น โลกที่เราอยู่เป็นโลกของศิลปะ การพูดเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง การฟังก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่มีศีลปะในการฟัง จากเหตุอันนี้ มันจะนำไปสู่ผลแห่งความเข้าใจของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันออกไป ส่วนศิลปะในการอยู่รอดของสังคมไม่มีสูตรสำเร็จครับ นอกจากจะใช้ทฤษฎีจิ้งจกตัวสุดท้ายในห้องสีรุ้ง คิคิ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 52 01:35:26 จากคุณ : jazz..a.a.minor - [ 13 พ.ค. 52 14:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 บังเอิญเพิ่งได้มาจากการอ่านกระทู้ในมติชนรายวัน (กระทู้ข่าวพธม.จะโหวตตั้งพรรคฯ) จึงนำมาเพิ่มให้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ...ดังนี้ : ทุกวันนี้ การวิเคราะห์หาความจริง ทำได้ยาก เพราะผู้พูด ที่อ้างว่า "พูดความจริง" ก็มีสถานะแตกต่างกันไป ดังที่มีผู้ทรงคุณวุฒิ บอกว่า 1. นักการเมือง พูดความจริงเพียง(ไม่ถึง)ครึ่งเดียว 2. ข้าราชการ พูดความจริงตามที่ถูกสั่งให้พูด 3. พ่อค้า/เอกชน พูดความจริง เฉพาะในสิ่งที่ตนได้ประโยชน์ 4. เอ็นจีโอ พูดความจริง เพียงด้าน Perspective เดียว 5. นักปลุกระดม พูดความจริงที่มีการใส่สีสันปลุกใจคนได้ คือ เลือกเอาความจริงบางส่วนมาใส่สีตีไข่ 6. นักวิชาการ พูดความจริงที่ตนเชื่อมั่น แต่ คนทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง? จากคุณ : ขามเรียง - [ 13 พ.ค. 52 15:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าคำถามคือ "พูด...ในสิ่งที่เขาอยากฟัง และ...ฟังในสิ่งที่เขาอยากพูด" เป็นศิลปะการอยู่รอดในสังคมจริงหรือ??? ผมจะตอบว่าไม่น่าจะจริง(เสมอไป)ครับ เพราะสังคมบางสังคมอาจไม่ได้ต้องการการได้ยินในสิ่งที่อยากฟังหรือได้รับการฟังในสิ่งที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนในสังคมนั้นอยากพูดก็ได้ บางอย่างที่เราอยากพูด บางครั้งบางคนชอบฟัง บางครั้งบางคนไม่ชอบฟัง บางสิ่งที่เราอยากฟัง บางครั้งคนพูดอยากพูด บางครั้งก็ไม่อยาก :) จากคุณ : Zero_Zero - [ 13 พ.ค. 52 16:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 12 " พูด...ในสิ่งที่เขาอยากฟัง และ...ฟังในสิ่งที่เขาอยากพูด" น่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางความรู้สึกเชิงบวก  ง่ายๆเลยคือ  เป็นการแสดงการเอาใจ[ใส่]อีกฝ่าย..  เพื่อให้อีกฝ่ายไว้วางใจเรา จากนั้นก็เผด็จศึก ! ... ตรงนี้ต้องดูที่วัตถุประสงค์เราครับ เช่น นักขาย ก็พยายามจบการขาย นักการทูต ก็พยายามเสนอข้อเสนอ นักการเมือง ก็ขอคะแนนเสียง นักปราชญ์ ก็เสนอความรู้จริง .. [อันนี้คิดเองครับ] บางทีหากเราทำเช่นนั้นเพื่อขายมิตรภาพ[ในฐานะนักขาย]  เราอาจไม่ได้สิ่งนั้นกลับมาเพราะเราอาจมองมันเป็นของค้าของขาย ? ป.ล.อ่านเองยังงงๆเลยครับ  แต่งงๆนี่แหละดีแล้วครับ [คิดเองอีกแล้ว] จากคุณ : vincentlenon - [ 13 พ.ค. 52 20:37:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 และทุกความคิดเห็นของกระทู้นี้ เป็นสิ่งที่เจ้าของกระทู้อยากฟังค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 22:32:40 จากคุณ : แฟนนายแบบ - [ 13 พ.ค. 52 22:22:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขึ้นอยู่กับว่า คุณต้องการดำรงชีวิตในรูปแบบไหน หากต้องการอยู่อย่างมั่นคงในสังคม และ ในการดำรงชีวิตทั่วๆไป  แค่ ทำเรื่องต่างๆให้ถูกต้องเท่านั้น ก็ จะไม่ต้องคิดว่า ควรทำตัวอย่างไรในสังคม  หากสิ่งที่ทำมันถูกต้องแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนั้นคุณอาจโดนต่อว่า แต่ ชีวิตคุณก็คือว่ามีเกียรติแล้ว จะสนใจทำไมเมื่อเขาไม่เข้าใจในตอนนั้น เพราะคนเราความลับมันไม่มีในโลก สักวันเขาจะเข้าใจคุณเอง  เพียงแค่ทำตัวให้ ถูกต้อง เท่านั้นแม้คุณจะไปตีหัวใครเพราะอยากให้เขากลับมามีสติ แม้วันนั้นเขาจะตีหัวเรากลับ แต่สักวันเขาจะคิดได้เอง   เรื่องราวมีเท่านี้ ว่า จริงๆแล้ว เรา ค้นหาคำตอบ เพราะความเห็นแก่ตัว หรือ เพื่อพัฒนาตัว เท่านี้เอง ศิลปะในการอยู่รอดในสังคมนี้ จึงมีเพียงแค่ว่า ทำตัวให้ถูกต้องเท่านั้น ไม่ต้องหาคำนิยามว่าเรื่องใดๆบ้าง การพูดเป็นเพียงแค่การสื่อสารเท่านั้น สิ่งสำคัญ มันสำคัญอยู่ในใจคุณเองต่างหาก โชคดีมีเงินใช้ครับ จากคุณ : ต้นสนใบเดี่ยว - [ 13 พ.ค. 52 23:49:59 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ฟังในสิ่งที่เขาอยากพูดนั้นดีอยู่แล้ว ยกเว้นผู้พูดไม่หวังดีต่อเรา พูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง...ก็ดูสถานการณ์ก่อนดีกว่าไหมครับ คิดก่อนว่าถ้าเราพูดจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่พูดจะเป็นอย่างไร สมัยก่อนเพื่อนผมคนนึงจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนึง ที่ผมคิดว่า...จะนำเพื่อนผมไปสู่ทางหายนะ ผมก็คิดอยู่ตั้งนานกว่าจะพูดออกไป ผมพูดเพราะว่าถ้าผมไม่พูดผมถือว่าผมไม่ใช่เพื่อนเขาแล้วนะครับ เพราะหมายความว่าผมยอมปล่อยให้สิ่งที่ผมคิดว่าไม่ดีนั้นเกิดกับเพื่อนผมโดยไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้ว่าถ้าผมพูดไป...แล้วความเป็นเพื่อนของเราจะจบลงตรงนั้นเลย ผมก็ยอม เพราะผมมองว่าความเป็นเพื่อนของเราที่ผ่านมา มันทำให้เพื่อนผมควรได้รับความจริงใจที่สุดจากผม แต่ถ้าเป็นกรณีของคุณจขกท. ผมไม่พูดครับ ทำไม...ก็เพราะถ้าไม่พูด เพื่อนคุณกับครอบครัวเขาก็ไม่ล่มจม ไม่ได้เดินทางผิด ลูกในท้องเขาเป็นชายหรือหญิง...เขาก็ไม่รู้ คุณก็ไม่รู้ คือความจริงเป็นอะไรคุณก็ไม่รู้ จะบอกว่าคุณพูดในสิ่งที่เป็นจริงที่เขาไม่อยากฟังก็ไม่ใช่ พูดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อนคุณอยากให้เป็นลูกชาย คุณก็อยากให้เพื่อนคุณสมหวังได้ลูกชาย การยกเรื่องลูกผู้หญิงขึ้นมาพูด มันไม่มีใครได้ประโยชน์เลยนะครับ คุณพูดหรือไม่พูดมันก็เปลี่ยนเพศเด็กไม่ได้ การที่เขาไม่ไปอัลตราซาว์ดก็บอกอยู่โต้งๆอยู่แล้วว่าพวกเขากลัวความผิดหวังแค่ไหน คือ...คุณก็ไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขาอยากบอกคุณด้วยนะครับ (แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมา) สามีเพื่อนคุณโต้กลับมาด้วยอารมณ์ล้วนๆ ไม่มีลอจิคอะไรหรอกครับ จากคุณ : HotChoc - [ 16 พ.ค. 52 00:07:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 where is the love? ถ้าหากสังคมจะเต็มไปด้วยความรัก และมอบรักแก่กัน คงไม่ต้องมีหลักการสินะ... จากคุณ : Sineshine - [ 16 พ.ค. 52 09:27:02 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ HotChoc  หลักคล้าย ๆ  พระพุทธเจ้าเลยนะ ไม่จริง  ไม่เป็นประโยชน์  ไม่พูด จริง  ไม่เป็นประโยชน์  ไม่พูด จริง  และไตร่ตรองดีแล้วว่าเป็นประโยชน์  พูด ในความเห็นผมนะ  ผมว่า จขกท  คงพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนในแง่ที่หากว่าเพศเป็นผู้หญิงแล้วเขาจะเสียใจ  ให้รู้จักทำใจเผื่อไว้  จะได้ไม่เสียใจมาก  เหมือนแทงกั๊กอ่ะ  โอกาสห้าสิบ ๆ ที่คำพูดของเราอาจจะเป็นประโยชน์  ในทางธรรมก็เรียกกัลยาณมิตร  เพราะเตือนไม่ให้ประมาท แต่...คุณ HotChoc พูดก็ถูกในแง่ที่ว่า  เจ้าของกระทู้อาจจะไม่ได้เข้าใจในบริบทของครอบครัวนั้นมากพอที่จะรู้ได้ว่าการพูดเช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์  ไม่มีใครรู้ได้ครับ  แม้แต่ปราชญ์ที่ไตร่ตรองดีแล้วก่อนจะกล่าววาจาสุภาษิต  ยังพูดผิดหูคนอื่นได้เลย คือเราแต่ละคนให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน  คำว่าหายนะที่คุณ HotChoc พูด  มันก็อาจจะเป็นในกรณีนี้ได้ครับ สมมุติเล่น ๆ นะ  ว่าครอบครัวนี้  เป็นครอบครัวที่ชอบคาดหวังอะไรไว้สูงมาก  และจะผิดหวังอย่างรุนแรงถ้าไม่เป็นไปตามที่หวัง  ลองคิดถึงเด็กที่เขาเลี้ยงออกมาสิครับยิ่งเดกิดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงด้วย  บางทีถ้าเราไม่เตือนเพื่อน  เราก็อาจจะเป็นมือหนึ่งที่ช่วยกันทำลายความสุขครึ่งชีวิตของเด็กคนนั้นไปเลยก็ได้ ไม่มีอะไรบอกได้หรอกครับว่าพูดอย่างไรถูกหรือผิด  ลองไตร่ตรอง  ใช้ประสบการณ์  ผมนับถือในวิจารณญาณและการตัดสินใจของทุกคนครับ  ผมจะไม่พูดหรอกว่า  'ถ้าเป็นฉันฉันจะไม่ทำอย่างนั้น  ทำอย่างนั้นมันโง่' สุดท้าย  ถ้าให้ผมเลือก  ผมแค่จะเลือกคนที่ผมจะมอบความจริงใจให้  ส่วนคนกลุ่มที่เหลือก็จะใช้หลัก " พูด...ในสิ่งที่เขาอยากฟัง และ...ฟังในสิ่งที่เขาอยากพูด" เพราะผมคิดว่านะ  เราไม่จำเป็นต้องจริงใจกับทุกคนหรอก  เป้าหมายของผมคืออยู่รอดในสังคมด้วย  มีความสุขทั้งแบบทางกาย  และทางจิตใจพร้อม ๆ กัน คือพูดอีกนิดว่าเรื่องแบบนี้ละเอียดอ่อนและเป็นศิลปะอย่างที่คุณ jazz..a.a.minor ว่าไว้  มันไม่ใช่แค่ละเลงแม่สีลงไปบนผ้าใบโดด ๆ สองสามสี  แต่จิตรกรที่ดีจะผสมสีนับร้อยพันสีจากที่มีอยู่  ให้มันพอดีกับสภาวะ  เหตุการณ์  บุคคล  และเวลาในขณะนั้น แต่อย่างน้อย  อย่าลืมที่จะให้ความจริงใจในระดับหนึ่งแก่คนทั่วไป คือไอ้พฤติกรรมแบบพนักงานดีเด่นที่นินทาคนหนึ่งให้อีกคนฟังเพื่อหาคะแนนนี่แย่มาก  แต่ในกรณีแบบนี้เราก็เลือกที่จะไม่พูดนินทาใครได้นี่ครับ  เวลาผมคุยกับเพื่อน  ผมก็จะพยายามไม่พูดถึงเรื่องไม่ดีของเพื่อนอีกคน  แต่ถ้ารู้สึกชื่นชมใครจริง ๆ ก็จะพูดให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องได้ทราบ แต่สุดท้ายผมก็ยังอดนินทาไม่ได้อยู่ดี  มันมันส์ปากพิลึก  ฮ่าๆๆๆๆ ------------------ ปล.  ผมสงสัยว่า เจ้าของกระทู้กำลังทำวิทยานิพนธ์หรือหาหัวข้อหรือเปล่า  ถ้าหาก็ยอดเยี่ยมมากเลยครับ  เพราะกระทู้สองสามกระทู้ที่คุณโพสต์  น่าสนใจมาก ๆ  เป็นเรื่องธรรมดาที่เปิดกว้างและดึงดูดให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นกลุ่มนักปรัชญาโอสะ  ปรัชญาค้านท์  ปรัชญานิตเช่เท่านั้นเข้ามาแสดงความคิดเห็น เจ๋งมากครับ จากคุณ : Innocent&Pure - [ 26 พ.ค. 52 13:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หนูอยากเป็นอุ้ยเสี่ยวป้อค่ะ อุ๊ปปปป  สงสัยมาผิดห้อง จากคุณ : อึกอัก - [ 3 มิ.ย. 52 12:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมมีอาชีพเป็นพนักงานขาย ผมคิดมันเป็นศิลปะในการอยู่รอดจริงๆ สังคมทุกวันนี้เราต่างใส่หน้ากากเข้าหากันไม่ดีก็บอกว่าดี หากเราไม่ทำอย่างนี้เราก็จะอยู่ในสังคมได้ยาก แต่ก็ยังมีสังคมที่ต้องการความจริงใจแต่เมื่อเทียบกันแล้วมีน้อยกว่า ผมก็สังเกตุและเรียนรู้คนอยู่ มาพบกระทู้นี้ผมได้ความรู้เพิ่มเติม และก็จะเป็นข้อคิดว่าเราจะอยู่ในสังคมต่อไปอย่างไร จากคุณ : HERO - [ 18 มิ.ย. 52 11:38:15 A:118.175.74.118 X: TicketID:220661 ]