ความคิดเห็นที่ 1 เทศาภิบาล  ตอนที่ ๕ กรมขึ้นมหาดไทย                                ข้าพเจ้ากลับจากหัวเมือง  ก็ตั้งต้นเปลี่ยนแปลงการงานในกระทรวงมหาดไทย  เริ่มด้วยจัดระเบียบการรับสั่งร่างเขียน  และเก็บจดหมายในสำนักงานก่อน                                การส่วนนี้เจ้าพระยาพระเสด็จฯ ซึ่งได้เลื่อนที่จากหลวงไพศาลศิลปศาสตร์  ขึ้นเป็นพระมนตรีพจนกิจ  เป็นประโยชน์มาก  เพราะรู้วิธีจดหมายราชการแบบใหม่ของสมเด็จ กรมพระยาเทวะวงศ์ฯ  ซึ่งข้าพเจ้าได้ถ่ายไปใช้ในกระทรวงธรรมการ  ชำนาญมาแต่เมื่ออยู่ในกระทรวงนั้นแล้ว  ตัวเจ้าพระยาพระเสด็จฯ ก็มีอัชฌาสัยสัมมาคาระเข้ากับพวกข้าราชการกระทรวงมหาดไทยได้เร็ว  สามารถชี้แจงให้คนเก่าทั้งที่เป็นผู้ใหญ่และผู้น้อยให้แก้ไขการงานเข้าระเบียบใหม่ได้โดยง่าย  ตัวข้าพเจ้าไม่สู้ต้องเป็นธุระมากนัก เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย  มาลากุล) แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 13:39:28 จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 12:43:52 ]

ความคิดเห็นที่ 2 (ต่อ)                                และในตอนนี้ได้ผู้ซึ่งมาเป็นคนสำคัญในกระทรวงมหาดไทยเมื่อภายหลังเข้ามาอีกคนหนึ่ง  คือพระยามหาอำมาตย์ (เสง  วิริยศิริ)  เดิมเป็นนักเรียนในโรงเรียนนันทอุทยาน  รู้ภาษาอังกฤษถึงชั้นสูงในโรงเรียนนั้น  เมื่อออกจากโรงเรียนมาอยู่กับข้าพเจ้า  ประจวบเวลาพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ข้าพเจ้าจัดกรมแผนที่ขึ้นในกรมมหาดเล็ก  ข้าพเจ้าจึงมอบให้เป็นศิษย์และเป็นล่ามของพระวิภาคภูวดล (เจมส์  แมกคาที)  ไปอยู่ในกรมทำแผนที่หลายปี  ได้เรียนรู้วิชาทำแผนที่  และเคยไปเที่ยวทำแผนที่ตามหัวเมืองต่างๆ ทางชายพระราชอาณาเขต  มีความสามารถจนได้เป็นที่หลวงเทศาจิตพิจารณ์                                เมื่อเวลาข้าเจ้าย้ายมาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  หลวงเทศาจิตฯ ไปทำแผนที่อยู่ทางเมืองหลวงพระบาง  พอกลับมาก็ขอสมัครมาอยู่กระทรวงมหาดไทย  ข้าพเจ้าเห็นว่าในกระทรวงมหาดไทยยังไม่มีใครรู้ภาษาฝรั่งดี  นอกจากตัวข้าพเจ้าคนเดียว  และหลวงเทศาจิตฯ เคยเที่ยวทำแผนที่ทางชายแดน  รู้ภูมิลำเนาบ้านเมืองชายพระราชอาณาเขตมาก  จึงทูลขอมาเป็นที่พระสฤษพจนกร อีกคนหนึ่ง  เป็นคู่กับเจ้าพระยาพระเสด็จฯ เมื่อเป็นพระมนตรีพจนกิจ  สองคนนี้เป็นแรกที่ข้าพเจ้าเอาบุคคลภายนอกเข้ามารับราชการในกระทรวงมหาดไทย  แต่เจ้าพระยาพระเสด็จฯ อยู่ไม่นาน  สมเด็จพระศรีพัชรินทร์ฯ ตรัสขอไปเป็นพระครูหนังสือไทยของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อเสด็จประทับอยู่ในยุโรป  ดังกล่าวในนิทานที่ ๑๔ เรื่องโรงเรียนมหาดเล็กหลวง(๑)  จึงไปได้ดีทางกระทรวงอื่น  แต่หลวงเทศาจิตฯ อยู่ต่อมาจนได้เป็นพระยาศรีสหเทพ ปลัดทูลฉลอง  แล้วเลื่อนเป็นพระยามหาอำมาตย์ ตำแหน่งรองเสนาบดี  อยู่จนข้าพเจ้าออกจากกระทรวงมหาดไทย พระยามหาอำมาตย์ (เสง  วิริยศิริ) ไฟล์รูปภาพด้วยความเอื้อเฟื้อจาก พี่นิค แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 13:36:10 จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 12:45:14 ]

ความคิดเห็นที่ 3 (ต่อ)                                ส่วนพวกข้าราชการเก่าที่อยู่ในกระทรวงมหาดไทยมาแต่ก่อนนั้น  ข้าพเจ้าก็เลือกสรรเอาเข้าตำแหน่งในระเบียบใหม่ตามเห็นความสามารถ  บางคนให้ไปรับราชการในตำแหน่งสูงขึ้นตามหัวเมืองก็มี  บางคนก็เลื่อนตำแหน่งขึ้นคงทำงานอยู่ในกระทรวง  ปลดออกแต่ที่แก่ชราเกินกับการไม่กี่คน  ความที่หวาดหวั่นกันในพวกข้าราชการเก่า  ด้วยเห็นข้าพเจ้าเป็นคนสมัยใหม่  เกรงว่าจะเอาคนสมัยใหม่ด้วยกันเข้าไปเปลี่ยนคนเก่าให้ต้องออกจากราชการก็สงบไป                                ส่วนระเบียบการในกระทรวงที่จัดแก้เป็นระเบียบใหม่นั้น  แบบจดหมายราชการได้อาศัยแบบอย่างสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์ฯ ทรงตั้งขึ้น  แต่ลักษณะที่จัดหน้าที่ต่างๆ ต้องเอาราชการในกระทรวงมหาดไทยขึ้นตั้งเป็นหลัก  ข้าพเจ้าตรวจดูทำเนียบเก่าซึ่งปรากฏอยู่ในกฎหมาย “ลักษณะศักดินาข้าราชการพลเรือน”  เห็นฝ่ายธุรการในกระทรวงมหาดไทยแบ่งเป็นกรมใหญ่ ๓ กรม  คือ กรมมหาดไทยกลาง (แต่ในกระทรวงมหาดไทยเรียกกันว่า “กรมหมู่ใหญ่” ) ปลัดทูลฉลองเป็นหัวหน้ากรม ๑  กรมมหาดไทยฝ่ายเหนือ พระยามหาอำมาตย์เป็นหัวหน้ากรม ๑  กรมพลัมพัง พระยาจ่าแสนยบดีฯ เป็นหัวหน้ากรม ๑  ทางกระทรวงกลาโหมมีกรมกลาโหมกลาง กับกรมกลาโหมฝ่ายเหนือ และกรมพลัมพัง อย่างเดียวกัน  พิจารณาดูเห็นว่าเดิมทีเดียวน่าจะมีแต่กรมกลาง  ทั้งมหาดไทยและกลาโหม  กรมฝ่ายเหนือจะมาสมทบเพิ่มขึ้นต่อภายหลัง  ถึงกรมพลัมพังก็เกิดขึ้นต่อภายหลัง จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 12:46:53 ]

ความคิดเห็นที่ 4 (ต่อ)                                ตรงนี้  จะแทรกวินิจฉัยของข้าเจ้าลงสักหน่อย  ตามที่คิดเห็นว่ากรมมหาดไทยและกลาโหมฝ่ายเหนือจะมีมาแต่เมื่อใด  ด้วยตรวจดูในเรื่องพงศาวดาร  เห็นมีเค้ามูลว่าน่าจะเกิดขึ้นเมืองครั้งราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ได้รับรัชทายาทครองกรุงศรีอยุธยา  ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ที่ ๓) พระองค์ ๑  ครองเมืองเหนืออยู่ที่เมืองพิษณุโลก ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเชษฐา พระองค์ ๑  ครั้งนั้นเมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์(๒)  อยู่ ๓ ปีในระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๑ จน พ.ศ. ๒๐๓๔  คงตั้งทำเนียบข้าราชการเมืองพิษณุโลกขึ้นอีกสำรับ                                ครั้นสมเด็จพระบรมราชาธิราชสวรรคต  สมเด็จพระเชษฐาได้รับรัชทายาทครองเมืองไทยทั่วทั้งหมด  เปลี่ยนพระนามเป็น สมเด็จพระรามาธิบดี (ที่ ๒) เสด็จลงมาประทับ ณ พระนครศรีอยุธยา  ข้าราชการเมืองพิษณุโลกก็ลงมาสมทบกับข้าราชในพระนครศรีอยุธยาแต่นั้นมา  ข้อนี้พึงเห็นหลักฐานได้ในคำที่เรียกข้างท้ายชื่อกรมว่า “ฝ่ายเหนือ”  กับที่ตำแหน่งต่างๆ ในกรมฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือมีเหมือนกัน  ตั้งแต่ปลัดทูลฉลอง ปลัดบัญชี ตลอดจนหัวพันนายเวร                                แต่กรมพลัมพังนั้นเห็นจะตั้งขึ้นเมื่อใด  และหน้าที่เดิมเป็นอย่างไร  กล่าวกันแต่ว่าเกี่ยวกับปืนใหญ่  อาจจะเป็นพนักงานขนปืนใหญ่ในกองทัพหลวงก็เป็นได้  แต่ข้าราชการในกรมฝ่ายเหนือกับกรมพลัมพังทำราชการคละกันกับกรมกลางมาตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์  หรือตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว  จึงไม่มีใครรู้ว่าหน้าที่เดิมเป็นอย่างไร(๓) จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 12:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 5 (ต่อ)                                ยังมีกรมขึ้นของกระทรวงมหาดไทยอยู่ตามทำเนียบเดิมอีก ๒ กรม  เรียกว่า กรมตำรวจภูธร เจ้ากรมเป็นหลวงวาสุเทพ กรม ๑  เรียกว่า กรมตำรวจภูบาล เจ้ากรมเป็นหลวงพิษณุเทพ กรม ๑  แต่โบราณ ๒ กรมนี้จะมีหน้าทำราชการอย่างใดก็ไม่มีใครรู้  เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่กระทรวงมหาดไทยเป็นแต่คุมเลกไพร่หลวง  เจ้ากรม ปลัดกรมก็รับราชการเหมือนกับขุนนางกระทรวงมหาดไทยพวกรับเบี้ยหวัด  เช่นให้เป็นข้าหลวงไปทำการชั่วครั้งชั่วคราว                                แต่พิจารณาเห็นเค้าหน้าที่เดิมมีอยู่  ด้วยชื่อว่า “ตำรวจ” นั้นหมายความว่าเป็นพนักงานตรวจ  อีกประการ ๑ ชื่อปลัดกรมทั้ง ๒ นั้นมีสัมผัสคล้องกันว่า ขุนเพชรอินทรา ขุนมหาวิชัย  ขุนพิษณุแสน ขุนแผนสะท้าน  ในเรื่องเสภาที่ว่าพลายแก้วได้เป็นที่ ขุนแผนสะท้าน  ก็คือเป็นปลัดกรมตำรวจภูบาลนั้นเอง  ปรากฏว่ามีหน้าที่ตรวจตระเวนด่านทางทางเมืองกาญจนบุรี ขุนแผนสะท้าน กับนางพิม แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 15:30:45 จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 12:57:37 ]

ความคิดเห็นที่ 6 (ต่อ)                                ความยุติต้องกัน  จึงเห็นว่า ๒ กรมนั้น  หน้าที่เดิมน่าจะเป็นพนักงานตรวจด่านทางปลายแดน  ซึ่งภายหลังเมื่อมีมอญอพยพเข้ามาสามิภักดิ์อยู่ในเมืองไทยมาก  ให้พวกมอญเป็นพนักงานตรวจตระเวนทางต่อแดนเข้าไปได้จนถึงในเมืองพม่า  จึงโอนการตรวจตระเวนชายแดนจากกรมตำรวจทั้ง ๒ นั้นไปเป็นหน้าที่ของพวกมอญ  ซึ่งตั้งขึ้นเป็นกรมหนึ่งเรียกว่า กรมอาทมาต  กรมตำรวจภูธรกับกรมตำรวจภูบาลจึงเป็นแต่คุมไพร่ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย  ที่เอาหน้าที่เดิมของกรมตำรวจทั้ง ๒ มากล่าวในที่นี้  เพราะในสมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  มีกรมตั้งขึ้นใหม่ ๒ กรม  โอนมาจากกระทรวงอื่น ๒ กรม  รวมเป็น ๔ กรมด้วยกัน  จะเล่าถึงที่ตั้งและที่โอนมาขึ้นของกรมเหล่านั้นไว้ด้วย                                ตามหัวเมืองแต่ก่อนมา  นอกจากกรมอาทมาตที่กล่าวมาแล้ว  ไม่มีพนักงานตรวจจับโจรผู้ร้าย  กรมอาทมาตก็เป็นแต่สำหรับสืบข่าวทางเมืองพม่า  เมื่อจัดการปกครองหัวเมือง  พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้เอาแบบ “ยองดามส์” ของฝรั่ง  ซึ่งควบคุมและใช้ปืนเหมือนอย่างทหาร  มาจัดขึ้นเป็นพนักงานตรวจจับโจรผู้ร้ายตามหัวเมือง  เพราะเหมาะแก่การตรวจตระเวนท้องที่กว้างใหญ่  ด้วยไม่ต้องใช้คนมากนัก  แต่ชื่อที่จะเรียกยองดามส์ว่ากระไรในภาษาไทย ยังไม่มี  ข้าพเจ้าจึงเอาชื่อ ตำรวจภูธร มาให้เรียกยองดามส์ที่จัดขึ้นใหม่  เพราะเห็นว่าหน้าที่เป็นทำนองเดียวกันแต่โบราณ  จึงมีกรมตำรวจภูธรอย่างใหม่ตั้งขึ้นแต่นั้นมา                                ต่อมาภายหลัง  ข้าพเจ้าคิดจะจัดกรมตำรวจภูบาลเป็นกรมนักสืบ C.I.D. (ซี.ไอ.ดี.) ขึ้นอีกกรมหนึ่ง  แต่ไม่สำเร็จ  เพราะหาผู้เชี่ยวชาญเป็นครูไม่ได้(๔)  มาจนถึงรัชกาลที่ ๗  เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  จึงทรงจัดขึ้น  เมื่อกรมตำรวจภูธรกับกรมตำรวจภูบาลรวมเป็นกรมเดียวกันเสียแล้ว  จึงเรียกว่า กรมตำรวจกลาง(๕) สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:01:54 ]

ความคิดเห็นที่ 7 (ต่อ)                                กรมป่าไม้  เป็นกรมซึ่งตั้งขึ้นใหม่อีกกรมหนึ่ง  เหตุที่จะตั้งกรมป่าไม้นั้นทีเรื่องมายืดยาว  ด้วยป่าไม้สักมีในเมืองพม่ากับเมืองไทยมากกว่าที่ไหนๆ หมด  เมื่ออังกฤษได้หัวเมืองมอญไปจากพม่า  พวกอังกฤษตั้งโรงเลื่อยจักรขึ้นที่เมืองเมาะลำเลิง (มระแหม่ง)  ตัดต้นสักทางลุ่มน้ำสาละวินในแดนเมืองมอญ  เอาลงไปเลื่อยทำเป็นไม้เหลี่ยมและไม้กระดานส่งไปขายต่างประเทศ  เป็นสินค้าเกิดขึ้นทางนั้นก่อน                                ส่วนป่าไม้ในเมืองไทยมีมากแต่ในมณฑลพายัพลงมาถึงแขวงเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร และเมืองอุทัยธานี  เดิมชาวเมืองตัดแต่ไม้สักใน ๓ เมืองนั้นลงมาขายในกรุงเทพฯ  แต่มักเป็นไม้ขนาดย่อม  มักเอามาใช้ปักเป็นหลักสำหรับผูกแพที่คนอยู่ในแม่น้ำ  จึงเรียกกันว่า เสาหลักแพ เป็นพื้น  ที่เป็นไม้ซุงขนาดใหญ่ยังมีน้อย  ถึงกระนั้น  ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อทำหนังสือสัญญาค้าขายกับต่างประเทศแล้ว  ก็มีฝรั่งเข้ามาตั้งโรงเลื่อยจักรขึ้นในกรุงเทพฯ  หมายจะเอาไม้สักเมืองไทยเลื่อยส่งไปขายต่างประเทศ  จึงเริ่มเกิดสินค้าไม้สักเมืองไทยส่งไปขายต่างประเทศมาแต่รัชกาลที่ ๔  การทำป่าไม้สักก็เจริญยิ่งขึ้นเป็นลำดับมาทั้งในเมืองไทยและเมืองมอญ จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 (ส่งซ้ำ) แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 13:17:02 จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:07:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 (ต่อ)                                ถึงรัชกาลที่ ๕  พวกทำป่าไม้ในแดนมอญ  อยากจะตัดไม้สักต่อเข้ามาในแดนเมืองเชียงใหม่ทางลุ่มแม่น้ำสาละวิน  จึงเข้ามาคิดอ่านกับพวกพ่อค้าพม่าที่ฝากตัวอยู่กับพระเจ้าเชียงใหม่  ขออนุญาตตัดไม้สัก  โดยจะยอมให้เงิน ค่าตอ ทุกต้นสักที่ตัดลง                                ในเวลานั้นพระเจ้าเชียงใหม่ยังมีอำนาจสิทธิ์ขาดในบ้านเมืองอย่างประเทศราชแต่โบราณ  เห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้จากป่าไม้  ก็อนุญาตให้พวกพม่าทำป่าไม้ทางแม่น้ำสาละวินหลายแห่ง  ด้วยสำคัญว่าจะบังคับบัญชาได้  เหมือนอย่างเคยบังคับบัญชาพวกพม่าที่มาอยู่ในเมืองเชียงใหม่  แต่พวกทำป่าไม้ต้องกู้เงินเขามาทำเป็นทุน  ทำการหมายแต่จะหากำไร  บางคนไม่ยอมทำตามบังคับบัญชาของพระเจ้าเชียงใหม่  ในเมื่อเห็นว่าจะเสื่อมเสียประโยชน์ของตน  พระเจ้าเชียงใหม่ให้ลงอาญา เช่น ห้ามมิให้ตัดไม้ เป็นต้น                                พม่าพวกทำป่านั้น  ไปได้คำแนะนำของพวกเนติบัณฑิตในเมืองพม่า  เข้ามาร้องทุกข์ต่อกงสุลอังกฤษกรุงเทพฯ  กงสุลก็อุดหนุนรับธุระให้ร้องขอต่อรัฐบาล  ให้เรียกค่าสินไหมจากพระเจ้าเชียงใหม่ให้แก่ตน  ในชั้นแรกมีการฟ้องร้องน้อย  โปรดฯ ให้เจ้าพระยารัตนาธิเบศ (พุ่ม) เมื่อยังเป็นพระยาเทพอรชุน เป็นข้าหลวงขึ้นๆไปอยู่ที่เมืองเชียงใหม่  ก็ว่ากล่าวเปรียบเทียบให้เสร็จไปได้  แต่ทางเมืองเชียงใหม่ยังให้อนุญาตป่าไม้อยู่ไม่หยุด  ถ้อยความเรื่องป่าไม้ก็กลับมากขึ้น  และเจือไปเป็นการเมือง  ด้วยกงสุลเข้ามาเกี่ยวข้องอุดหนุนคนในบังคับอังกฤษ  พวกนั้นก็เลยได้ใจ  จนรัฐบาลไทยกับอังกฤษต้องทำหนังสือสัญญากันให้ตั้งศาลต่างประเทศ  และมีข้าหลวงและไวส์กงสุลอังกฤษตั้งประจำอยู่ที่เชียงใหม่ เจ้าพระยารัตนาธิเบศ (พุ่ม) จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:11:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 (ต่อ)                                ส่วนการทำป่าไม้สักในเมืองไทย  ถึงรัชกาลที่ ๕  ก็มีบริษัทฝรั่งเข้ามาตั้งค้าไม้สักขึ้นหลายห้าง  พวกบริษัทขึ้นไปขอทำป่าไม้ในมณฑลพายัพเอาลงมาเลื่อยขายในกรุงเทพฯ  ก็มักเกิดถ้อยความที่รัฐบาลต้องโต้เถียงกับกงสุล  เกิดความรำคาญขึ้นอีกทางหนึ่ง  พระเจ้าอยู่หัวทรงปรึกษากับเจ้าพระยาอภัยราชา (โรลังยัคมินส์)(๖)  เห็นว่าถ้าตั้งกรมป่าไม้ให้มีขึ้นในเมืองไทย  สำหรับควบคุมการป่าไม้ตามแบบอย่างที่รัฐบาลอังกฤษจัดในเมืองพม่า  และชั้นแรกขอยืมผู้เชี่ยวชาญจากรัฐบาลอังกฤษที่เมืองพม่า  มาเป็นครูฝึกหัดไทยที่จะเป็นพนักงานป่าไม้ต่อไป  จะเป็นประโยชน์หลายอย่าง  เพราะมีกรมป่าไม้ขึ้นแล้ว  พวกทำป่าไม้ก็จะไปติดต่อขอความสงเคราะห์ของกรมป่าไม้เหมือนแบบอย่างอังกฤษที่เมืองพม่า  ไม่ต้องพึ่งกงสุล  ก็จะพรากการอันเนื่องด้วยป่าไม้ออกจากการเมืองได้  และจะเป็นคุณต่อไปถึงการสงวนป่าไม้สักในเมืองไทย  ทั้งอาจจะได้ผลประโยชน์ของรัฐบาลจากป่าไม้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย  พระเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสสั่งให้ข้าพเจ้าจัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้นในกระทรวงมหาดไทย                                เมื่อตั้งกรมป่าไม้ขึ้นแล้ว  ก็ตัดความรำคาญได้สมพระราชประสงค์  เพราะลักษณะการที่คนในบังคับต่างประเทศร้องทุกข์  หรือจะขอร้องอันใดจากรัฐบาลไทย  แต่ก่อนมาเคยขอให้กงสุลว่ากล่าวกับรัฐบาล  กงสุลมีจดหมายส่งคำร้องขอมายังกระทรวงการต่างประเทศ  ถ้าแลการนั้นเกี่ยวด้วยกระทรวงใด  กระทรวงการต่างประเทศก็มีจดหมายถามไปยังกระทรวงนั้น  เจ้ากระทรวงว่ากระไรก็เขียนจดหมายตอบไปยังกระทรวงการต่างประเทศ  กระทรวงการต่างประเทศก็มีจดหมายตอบไปยังกงสุล  จะพูดกันแต่ละครั้งหลายวันจึงจะแล้ว                                เมื่อตั้งกรมป่าไม้ขึ้นแล้ว  ถ้าพวกทำป่าไม้เป็นคนในบังคับต่างประเทศ  ขอร้องมาทางกงสุล  ข้าพเจ้าก็ทำตามแบบเดิมซึ่งมีจดหมายถึงกันหลายทอดดังว่ามาแล้ว  ถ้าพวกทำป่าไม้มาร้องขอต่อพวกทำป่าไม้เอง  จะเป็นคนในบังคับต่างประเทศหรือในบังคับไทย  ข้าพเจ้าก็ให้กรมป่าไม้สงเคราะห์เสมอหน้ากัน  ในไม้ช้าเท่าใด  พวกชาวต่างประเทศก็เลิกร้องขอทางกงสุล  สมัครมาว่ากล่าวตรงต่อกรมป่าไม้หมด  กงสุลจะว่าก็ไม่ได้  ด้วยพวกทำป่าไม้อ้างว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง  ทำแต่การค้าขาย  อย่างไรสะดวกแก่กิจธุระของเขา  เขาก็ทำอย่างนั้น  การส่วนสงวนป่าไม้และเพิ่มผลประโยชน์แก่แผ่นดิน  ก็ได้ดังพระราชประสงค์ทั้ง ๒ อย่าง  จึงมีกรมป่าไม้สืบมา(๗) เจ้าพระยาอภัยราชา (Rolinjacquemyns) จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 (ต่อ)                                กรมแร่นั้น  ชื่อหลวงขนานว่า “กรมราชโลหกิจภูมิพิทยา”  แต่เรียกกันโดยย่อตามสะดวกปากว่า “กรมแร่”  เป็นกรมตั้งขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ  แต่ก่อนข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย                                เหตุที่จะตั้งกรมแร่  เกิดด้วยฝรั่งชาวอิตาลีคนหนึ่ง ชื่อลุชาตี ได้รับสัมปทานบัตรทำบ่อแร่ทองคำที่บางสะพาน  ฝรั่งคนนั้นไปหาคนเข้าทุนในยุโรป  เที่ยวโฆษณาว่าในเมืองไทยมีบ่อแร่ทองคำเนื้อดีมาก  ข่าวแพร่หลายก็มีฝรั่งต่างชาติพากันตื่นมาขอสัมปทานจะทำบ่อทองที่แห่งอื่นๆ  ในเมืองไทยยังไม่มีกฎหมายและผู้ชำนาญที่จะเป็นพนักงานในการทำแร่  จึงโปรดฯ ให้หาฝรั่งซึ่งเชี่ยวชาญการแร่มาเป็นครู  ตั้งกรมแร่ขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๔  แต่พวกกรมแร่ไม่รู้ขนบธรรมเนียมในบ้านเมือง  ไปทำการตามหัวเมืองมักไม่ปรองดองกับเจ้าเมือง                                ถึงสมัยข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  จึงโปรดฯ ให้โอนกรมแร่จากกระทรวงเกษตราธิการมาเป็นกรมขึ้นกระทรวงมหาดไทย  เพื่อให้ปรับกิจการที่เกี่ยวข้องกับหัวเมืองให้เรียบร้อย  ครั้นถึงปลายรัชกาลที่ ๕  เมื่อทรงตั้งเจ้าพระยาวงศานุประพันธ์เป็นเสนาบดี(๘)  ก็โอนกลับคืนไปกระทรวงเกษตรฯ ตามเดิม  กรมแร่จึงมาขึ้นกระทรวงมหาดไทยอยู่เพียงชั่วคราว ตรากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 13:46:06 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 13:20:38 จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:19:58 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ (ม.ร.ว.สท้าน  สนิทวงศ์) จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 (ต่อ)                                ตัวศาลาลูกขุนฝนฝ่ายซ้าย  ซึ่งเป็นสำนักงานกระทรวงมหาดไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง  เพราะเมื่อจัดห้องที่ทำงานเป็นระเรียบเรียบร้อยแล้ว  ที่ก็ไม่พอ  เมื่อข้าพเจ้ากลับจากตรวจหัวเมือง  พูดกับกระทรวงกลาโหมตกลงกันแล้ว  จึงไปบอกระทรวงวัง  ว่ากระทรวงกลาโหมยอมให้ห้องกลางในศาลาลูกขุนแก่กระทรวงมหาดไทย  เพราะฉะนั้นขอให้ย้ายคลังวรอาสน์ไปเสียที่อื่น  ก็ได้ห้องกลางมาใช้เป็นห้องประชุม  และสำหรับการพิธี  และโดยปรกติใช้เป็นห้องรับแขกด้วย                                ต่อมาอีกปีหนึ่ง  เมื่อกระทรวงกลาโหมบัญชาแต่ราชการทหาร  ย้ายสำนักงานออกไปอยู่ที่ตึกกระทรวงกลาโหมเดี๋ยวนี้  ศาลาลูกขุนในทางฝ่ายขวาก็ตกเป็นสำนักงานกระทรวงมหาดไทย  รวมอยู่ในกระทรวงเดียวหมดทั้งหมู่  ถึงกระนั้นที่ก็ไม่พอกับกรมขึ้น  จึงให้มาทำงานร่วมสำนักกับกระทรวงมหาดไทยแต่กรมสรรพากรนอกกรมเดียว(๙)  นอกจากนั้นกรมตำรวจภูธรกับกรมป่าไม้ต้องให้หาที่ตั้งสำนักงานใหม่  ส่วนกรมแร่คงทำงานอยู่ที่สำนักงานเดิมในกระทรวงเกษตรฯ จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เชิงอรรถ (๑)  นิทานโบราณคดี นิทานที่ ๑๔ เรื่องโรงเรียนมหาดเล็กหลวง  พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ        แผ่นดินทอง – โรงเรียนมหาดเล็กหลวง         http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=20-03-2007&group=2&gblog=31 (๒)  แผ่นดินทอง – เมื่อแผ่นดินทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์         http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-03-2007&group=2&gblog=38 (๓)  พระวินิจฉัยความหมาย มหาดไทย กลาโหม ประทานพระยาอินทรมนตรี  จากกระทู้คุณ เพ็ญชมพู       http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/02/K5115945/K5115945.html#91 (สำเนาคำตอบปัญหา) คำถามที่ ๕ ว่า คำ "กลาโหม" กับคำ "พลัมภัง" ที่เรียกเป็นชื่อกรมนั้น มาแต่อะไร                                ตอบคำถามที่ ๕ ต้องเพิ่มคำ "มหาดไทย" เข้าอีกคำ ๑ เพราะใช้เป็นชื่อกรมคู่กับ กลาโหม อันคำ กลาโหม มหาดไทย และพลัมภัง ทั้ง ๓ คำนี้ มิใช่ภาษาไทย คงเป็นคำมาแต่ภาษาสันสกฤตหรือภาษามคธ (ฝรั่งเรียกว่าภาษา "บาลี")ได้ลองค้นดูในหนังสือพจนานุกรมภาษาบาลีของอาจารย์ซิลเดอร์พบคำ "กลโห" Kalaho มีอยู่ในนั้นแปลความว่า "วิวาท" Quarrel อย่าง ๑ ว่า "วุ่นวาย" Strife อย่าง ๑ ว่า "รบประจัญบาน" Battle อย่าง ๑ ดูสมกับที่เอามาใช้ชื่อกรมฝ่ายทหาร ในพจนานุกรมนั้นมีอีกคำหนึ่งว่า "มหทย Mahadaya แปลความว่า "เมตตายิ่ง" Very Compassionate อย่าง ๑ "กรุณายิ่ง" Very Merciful อย่าง ๑ ดูก็สมกับที่เอามาใช้เป็นชื่อกรมฝ่ายพลเรือน แต่คำพลัมภังมีเพียงเค้าเงื่อนในพจนานุกรมเป็น ๒ ศัพท์ คือว่า "พลัม" แปลว่า Strength, Power, Force ล้วนหมายความว่ากำลังอย่าง ๑ อีกนัยหนึ่งแปลว่า "ทหารบก" Army หรือ "กองทหาร" Troop และในพจนานุกรมมีอีกคำหนี่งว่า "อัมโภ" Ambho แปลว่า "ก้อนกรวด" Pebble ถ้าเอา ๒ คำนี้เข้าสนธิกันเป็น "พลัมโภ" ดูใกล้กับคำพลัมภัง ประหลาดอยู่ที่ตามกฎหมายทำเนียบศักดินามีกรมพลัมภังอยู่ทั้งในกระทรวงมหาดไทย และในกระทรวงกลาโหม เจ้ากรมพลัมภังมหาดไทยเป็นที่พระยาจ่าแสนยบดี และเจ้ากรมพลัมภังกลาโหมเป็นที่พระยาศรีเสาวราชภักดี ฉันได้เคยสืบถามพวกข้าราชการชั้นเก่าในกระทรวงมหาดไทยว่า กรมพลัมภังนั้นแต่เดิมมีหน้าที่อย่างไร เขาบอกว่ากรมพลัมภังนั้นกล่าวกันมาว่า แต่โบราณเป็นเจ้าหน้าที่สำหรับคุมปืนใหญ่ ถ้าเช่นนั้นชื่อกรมพลัมภังก็อาจจะมาแต่คำ "พลัมโภ" ที่ในพจนานุกรมแปลคำ "อัมโภ" ว่า "ก้อนกรวด" อาจหมายถึงวัตถุที่ใช้เป็นกระสุนของปืนใหญ่ชั้นเดิมก็เป็นได้ ความที่สันนิษฐานมาเป็นวินิจฉัยของคำ "กลาโหม" "มหาดไทย" และ "พลัมภัง" ว่ามาแต่อะไร                                 ยังมีวินิจฉัยที่ควรกล่าวต่อไปถึงเหตุที่เอาคำ "กลาโหม" กับ "มหาดไทย" มาใช้เป็นชื่อกรม อธิบายข้อนี้ มีอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยา กับในกฎหมายทำเนียบศักดินาประกอบกันว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๘ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้กำหนดข้าราชการเป็น "ฝ่ายทหาร" และ "ฝ่ายพลเรือน" ทรงตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้น ๒ คน คือ เจ้าพระยามหาเสนาบดี ให้เป็นหัวหน้าข้าราชการฝ่ายทหารคน ๑ เจ้าพระยาจักรี ให้เป็นหัวหน้าราชการฝ่ายพลเรือน คน ๑ ผู้ช่วย Staff ของอัครมหาเสนาบดี ฝ่ายทหารรวมเข้าเป็นกรม ให้เรียก "กรมกลาโหม" ผู้ช่วยของอัครมหาเสนาบดี ฝ่ายพลเรือนก็รวมเป็นกรมเช่นเดียวกัน ให้เรียกว่า กรมมหาดไทย จึงมีกรมกลาโหมและกรมมหาดไทยเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ เพิ่งมาบัญญัติให้เรียกกรมที่มีเสนาบดีเป็นผู้บัญชาการว่า "กระทรวง" (ตรงกับ Ministry) เมื่อรัชกาลที่ ๕ เป็นอันว่า "มหาดไทย" น่าจะมาจาก "มหทย" (Mahadaya) ซึ่งแปลว่า เมตตายิ่ง หรือ กรุณายิ่ง ตรงกับงานและหน้าที่ของมหาดไทยเป็นที่สุด การที่เราเขียน มหทย เป็น มหาดไทย จะเป็นด้วยเขียนตามสำเนียงที่เปล่งออกมา หรืออักขระกลายรูป อย่างไรอย่างหนึ่งก็เป็นได้ นอกจากพระวินิจฉัยในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว ยังมีความเห็นอีกหลายท่านประกอบพิจารณาครับ (๔)  ในรัชกาลที่ ๖ ได้จัดกรมตำรวจภูบาลขึ้นอีกกรมหนึ่ง  เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๖  แต่ครั้นเมื่อโปรดเกล้าฯ ให้รวมกรมตำรวจภูธรกับกรมพลตระเวนเป็นกรมเดียวแล้ว  ก็โปรดให้ยกเลิกกรมตำรวจภูบาลเสีย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ (๕)  ในระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย  ทรงจัดตั้งกรมตำรวจขึ้นอีกกรมหนึ่ง  สำหรับเป็นกำลังส่งไปช่วยปราบปรามโจรผู้ร้ายในเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น  เหลือกำลังตำรวจท้องที่จะปราบได้  แต่เมื่อประกาศตั้งกรมนี้ขึ้นเป็นทางการ  เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๓ แล้ว  จึงกลับเรียกว่าตำรวจภูบาลอีกครั้งหนึ่ง (๖)  เป็นชาวเบลเยี่ยม ชื่อ Rolinjacquemyns เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของรัฐบาลไทย  ในสมัยรัชกาลที่ ๕         ชาวต่างชาติหนึ่งในสองคนที่ได้เป็นถึง เจ้าพระยา ในประวัติศาสตร์ของเรา          เพชรพระมหามงกุฎ – เจ้าพระยาอภัยราชา (Rolinjacquemyns)          http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&group=1&date=31-05-2007&gblog=25 (๗)  ต่อมาในรัชกาลที่ ๖  โปรดฯ ให้โอนกรมป่าไม้จากกระทรวงมหาดไทย  ไปสังกัดกระทรวงเกษตราธิการ  เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔ (๘)  เจ้าพระยาวงศานุประพันธ์  ในหนังสือตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์  มีอธิบายว่า        เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ (ม.ร.ว.สท้าน  สนิทวงศ์)         เจ้าพระยาวงศ์นุประพัทธ  นามเดิม  หม่อมราชวงศ์ สท้าน  สนิทวงศ์  เป็นบุตรพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์  ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒  กรมหลวงวงศาธิราชสนิท  ออกไปเรียนวิชาได้เป็นนายทหารบกในประเทศเดนมาร์ก  กลับเข้ามารับราชการในทหารบก  เมื่อในรัชกาลที่ ๕  พระราชทางสัญญาบัตร  เป็นหม่อมชาติเดชอุดม หม่อมราชนิกูล  รับราชการทหารจนมียศเป็นนายพล  พระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระยาวงศานุประพัทธ วิบูลปริวัตรเกษตราธิบดี  รับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ  ถึงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้เป็นเจ้าพระยา          ท่านเจ้าพระยาผู้นี้ได้รับพระราชทานทินนามใหม่ว่า  เจ้าพระยาวงศานุประพัทธรัตนพลเทพฯ           ในสมัยที่ปกครองแบบจตุสดมภ์  พระยาพลเทพ เป็นเสนาบดีกรมนา (๙)  กรมสรรพากรนอก  เดิมขึ้นกระทรวงพระคลัง  ตั้งที่ทำการอยู่ที่มณฑลปราจีน  ปรากฏในรายงานการประชุมเทศาภิบาล ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒)  ว่าโปรดเกล้าฯ ให้มาสังกัดกระทรวงมหาดไทย แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 15:54:35 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 15:29:32 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 13:28:17 จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เนื้อหาตอนที่ ๕ กรมขึ้นมหาดไทย  จบเพียงเท่านี้ครับ จะส่งข้อความไปเชิญเพื่อนๆ ที่มีชื่อปรากฏในตอนที่ผ่านมานะครับ ขอค่าธรรมเนียมในการเข้ามาเยี่ยมคนละคลิก เข้าคลังกระทู้ เพื่อจะได้ใช้อ้างอิงต่อไป นะครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 13 พ.ค. 52 13:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาเยี่ยมชมครับ พอดีเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด  ก็เลยไม่ได้ลงชื่อที่กระทู้ที่แล้ว   ขอบคุณมากๆ ครับ จากคุณ : นอกราชการ - [ 13 พ.ค. 52 14:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ว้าว...เพิ่งทราบนะคะเนี่ยว่า ขุนแผนนี่มาจากตำแหน่งของตำรวจ ตามมาอ่านและจ่ายค่าเข้าชมแล้ว หวังว่ากระทู้จะขึ้นแนะนำอีกนะคะ พูดถึงขุนแผนเมืองสุพรรณ เอ... คุณพี่นิค ไปไหนหนอ คนเมืองสุพรรณ.... เห็นคุณกัมม์ยืมรูปท่านเจ้าคุณเสง มาใช้ซะด้วย อิอิ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 52 14:47:42 จากคุณ : little kitty - [ 13 พ.ค. 52 14:44:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มาทั้งโหวต ทั้งเก็บ ทั้ง give ครับ คคห ๒ พระยามหาอำมาตย์(เส็ง วิเศษศิริ) นี่ผมอ่านเจอในจดหมายถึงหญิงใหญ่ ดูเหมือนช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เสด็จในกรมฯ ท่านจะไม่อภิเชษฐเท่าไร จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 13 พ.ค. 52 14:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มาลงชื่ออ่านและโหวตคะ จากคุณ : sawkitty - [ 13 พ.ค. 52 16:30:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ว้าว...ขึ้นกระทู้แนะนำแล้ว อดแซวไม่ได้ จากคุณ : little kitty - [ 13 พ.ค. 52 17:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอแก้ไขความบางตอนในความเห็นที่ ๙ ครับ เจ้าพระยารัตนาธิเบศร (พุ่ม  ศรีไชยันต์) เมื่อแรกรับอาสาขึ้นไปประจำรับราชการเป็นข้าหลวงศาลต่างประเทศสามหัวเมือง  ประจำอยู่ที่เมืองนครเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ นั้น  ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระนรินทรราชเสนี ปลัดบาญชีกรมพระกลาโหม  แล้วได้เลื่อนเป็นพระยาเทพประชุน  ในระหว่างที่ประจำรับราชการอยู่ที่เชียงใหม่  กลับลงมากรุงเทพฯ ในราว พ.ศ. ๒๔๒๓ แล้ว  ค่อมา พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาพลเทพ  เสนาบดีเกษตราธิการ  แล้วได้กลับขึ้นไปจัดราชการหัวเมืองลาวเฉียงอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ - ๒๔๓๕  ต่อมาได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นเจ้าพระยารัตนาธิเบศร ที่สมุหนายก ในเรื่องกรมป่าไม้  มีบันทึกของพระยาประชากิจกรจักร (ชุบ  โอสถานนท์) ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขึ้นไปจัดตั้งกรมป่าไม้พร้อมกับมิสเตอร์สเลด  ข้าราชการกรมป่าไม้อังกฤษซึ่งทรงยืมตัวมาจากพม่า  กล่าวไว้ว่า  ได้เดินทางจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเชียงใหม่  ในระหว่างทางมิสเตอร์สเลดก็ได้สอนให้รู้จักพรรณไม้ต่างๆ  เมื่อถึงเชียงใหม่แล้วได้เปิดที่ทำการกรมป่าไม้ที่ตึกหลังหนึ่งในบริเวณที่ข้าหลวงพักริมแม่น้ำปิง  ในย่านที่เป็นบ้านพักอธิบดีศาลภาค ๕ และที่ทำการไปรษณีย์แม่ปิง  ในส่วนตัวของมิสเตอร์สเลดนั้นทางราชการจ้างมาด้วยค่าตอบแทนสูงลิ่วถึงเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท รวมกับค่าที่พักเบ็ดเสร็จมิสเตอร์สเลดได้รับค่าตอบแทนถึงเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท  จึงไม่มีปัญหาเรื่องการทุจริต  แต่ฝรั่งชั้นรองที่เข้ามารับราชการในกรมป่าไม้นั้น  ล้วนเป็นฝรั่งชั้นเลวที่เป็นนักแสวงโชคมาจากพม่า  จึงทำการทุจริตต่างๆ  จนท้ายที่สุดพระยาประชากิจกรจักรต้องกราบทูลสมเด็จฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยขอย้ายไปรับราชการทางฝ่ายปกครอง  ในขณะที่เรื่องการทุจริตในกรมป่าไม้ก็คงดำเนินต่อมา  แม้ในคราวที่กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมเสด็จตรวจราชการในมณฑลพายัพ ใน พ.ศ. ๒๔๔๕  ก็ยังทรงกล่าวถึงเรื่องการประพฤติมิชอบของพวกฝรั่งไว้ในรายงานกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ เรื่องการประพฤติมิชอบของฝรั่งในกรมป่าไม้นี้  หากมีการศึกาลงลึกกันไปแล้ว  น่าเชื่อว่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับกบฏเงี้ยวเมืองแพร่  เพราะเมื่อยึดเมืองแพร่ได้แล้ว  ก็สมารถตัดขาดการติดต่อกับกรุงเทพฯ ได้  และจากเมืองแพร่นั้นสามารถรุกไปเมืองน่าน  และถ้ายึดลำปางได้ก็สามารถคุมเส้นทางไปเชียงใหม่ ลำพูน  และเชียงรายได้  ขอฝากนักประวัติศาสตร์ได้ช่วยกันขุดคุ้ยเรื่องนี้ต่อไปด้วยครับ จากคุณ : V_Mee - [ 13 พ.ค. 52 17:55:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบพระคุณมากครับ โหวตๆๆๆ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ - [ 13 พ.ค. 52 20:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากครับ เป็นประโยชน์ ได้ความรู้มากครับ จากคุณ : Climber - [ 14 พ.ค. 52 00:22:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ชื่นชม ... ชื่นชอบ ^_____________^ จากคุณ : jassb1 - [ 14 พ.ค. 52 11:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ร่วมด้วยช่วยคุณกัมม์ ขอเสนอภาพประกอบ # ๒ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ผู้จัดการโรงเรียนแผนที่เมื่อแรกตั้ง พ.ศ. ๒๔๒๕ ทรงฉายร่วมกับนักเรียนแผนที่ ชุดแรกของประเทศไทย และเจ้ากรมแผนที่ชาวอังกฤษชื่อนายแมคคธี (ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดา ศักดิ์เป็นพระวิภาคภูวดล) ที่วังเชิงสะพานดำรงสถิตย์ พ.ศ. ๒๔๓๒ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 14 พ.ค. 52 11:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพประกอบ # ๕ การฝึกแถวของตำรวจสมัยรัชกาลที่ ๕ การตำรวจที่เป็นแบบอย่างยุโรปเริ่มจัดตั้งสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยว่าจ้าง ชาวอังกฤษชื่อซัมมวลเอมส์มาเป็นผู้บังคับบัญชา ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงรัฐยาภิบาลบัญชา จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 14 พ.ค. 52 11:15:47 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ภาพประกอบ # ๑๑ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ เสด็จตรวจการทำเหมืองแร่ที่เหมืองหนองเป็ด จังหวัดนครศรีธรรมราช แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 52 09:29:17 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 14 พ.ค. 52 11:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คคห ๒๑ น่าจะเป็นเหมืองหนองเป็ด นะครับ เป็นเหมืองดีบุก แบบเหมืองสูบ อยู่ที่อำเภอร่อนพิบูลย์ นครศรีธรรมราช จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 14 พ.ค. 52 16:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สวัสดีค่ะ คุณกัมม์ ขอบคุณค่ะ  มาเก็บเกี่ยวความรู้ค่ะ ^__^ จากคุณ : naragorn - [ 14 พ.ค. 52 17:59:13 ]

ความคิดเห็นที่ 30 สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกท่าน ขอบพระคุณเกร็ดความรู้ของคุณ V_Mee คุณ CVTบ้านโป่ง และรูปประกอบของคุณเพ็ญชมพู ขอบพระคุณทุกน้ำใจไมตรีที่มีต่อกระทู้ครับ ชื่อ กรมตำรวจภูธร ที่ว่าเป็นพวกตรวจด่านชายแดน ถูก กรมอาทมาตแย่งหน้าที่ไป ตำรวจภูธร  ต้องไปทำหน้าที่อย่างอื่น  คือหน้าที่ของตำรวจภูธรในปัจจุบันนี้ กรมอาทมาต  ที่ว่าทำหน้าที่ตระเวนด่านและชายแดน  หน้าที่นี้สำคัญ  จึงต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบต่อ ตำรวจตระเวนชายแดน http://www.bpp.go.th/index1.html ประวัติตำรวจตระเวนชายแดน http://www.bpp.go.th/pravat.htm ช่วงที่ ๑                                          หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลงในปี  พ.ศ.2488  ประเทศอาณานิคมที่เคยเป็นเมืองขึ้นมาเป็นเวลานานหลายประเทศ ก็ได้รับเอกราชคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบก็ได้รับเอกราชใหม่ทุกประเทศได้แก่  พม่า ลาว     เขมร  เวียตนาม  และมาเลเซีย  แม้ประเทศเหล่านี้จะได้รับเอกราชสมบูรณ์ แล้วก็ตาม แต่ความสงบสุขของบ้านเมืองในแถบนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริง ทั้งนี้เกิดจากความยุ่งยากทางการเมืองภายในจาก การชิงอำนาจของนักการเมืองที่มีความคิดเห็นยุ่งยากทางการเมืองภายใน จากการชิงอำนาจของนักการเมืองที่มีความคิดเห็นในนโยบายการปกครองแตกต่างกันออกไป   โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยุ่งยากอันเกิดจากการเมืองภายนอกที่ประเทศคอมมิวนิสต์   และบริวารพยายามแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาสู่ภูมิภาคของโลกส่วนนี้ให้อยู่ในอุ้งมือให้จึงได้    ทั้งได้พยายามดำเนินการทั้งมวลที่จะให้ประชาชนของประเทศเหล่านั้นจับอาวุธเข้าต่อสู้รัฐบาลของตนและประชาชนที่เป็นชาติเดียวกันเองหนักมือยิ่งขึ้น    ซึ่งเป็นชนวนแห่งความยุ่งยาก และก่อให้เกิดเหตุร้ายในส่วนนี้ของโลกตราบเท่าทุกวันนี้ ช่วงที่ ๒                                                          ประเทศไทยได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2484 และ สิ้นสุดลงในปี  พ.ศ.2488 ซึ่งได้รับความบอบซ้ำจากสงครามโลกครั้งที่   2  เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ  เศรษฐกิจและการทหารก็นับว่าอยู่ในระยะที่จะต้องปรับปรุงทั้งสิ้น  ต่อมาในปี  พ.ศ.  2494 ปรากฏว่าสถานการณ์รอบๆ  ประเทศไทยและในภาคพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เริ่มตั้งเค้าแห่งความไม่สงบขึ้นเพราะการใช้สงครามบ่อนทำลายของฝ่ายคอมมิวนิสต์มีสิ่งบอกเหตุว่าภยันตรายอาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้   ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยสู้รบระหว่างฝ่ายเวียตมินต์หรือฝ่ายเวียตนามคอมมิวนิสต์กับฝรั่งเศสมีการแทรกซึมของฝ่ายเวียตมินห์เข้าสู่ประเทศลาวและประเทศเขมร ประเทศไทยอยู่ในฐานะที่ถูกคุกคามได้ตลอดเวลา ทางด้านภาคเหนือของประเทศไทยได้มีการสู้รบกับระหว่างกองทัพของประเทศพม่ากับกองทหารจีนชาติ(ก๊กมินตั๋ง) ที่ถูกคอมมิวนิสต์ตีถอยร่นลงมาทางใต้ ตั้งแต่ปีพ.ศ.  2492  และได้เข้าอยู่ในพื้นที่ของบ้านตูมและบ้านญวนในเขตแดนพม่าตรงข้ามกับอำเภอฝาง  จังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่อื่น ๆ  ตรงข้ามกับจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน   นอกจากนั้นกองทัพพม่ายังต่อสู้กับกระเหรี่ยงและไทยใหญ่ ที่เรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง  ซึ่งอยู่ติดกับทางทิศตะวันตกและทิศเหนือของไทยอีกด้วยทางด้านภาคใต้โจรจีนคอมมิวนิสต์ได้ใช้พื้นที่บริเวณชายแดนไทย - มาเลเซีย   เป็นฐานทำการต่อสู้กับรัฐบาลของอังกฤษและรัฐบาลมาเลเซีย ประเทศไทยจึงอยู่ในภาวะที่จะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะภัยที่ยังมองไม่เห็นกำลังคุกคามประเทศรอบด้านในขณะที่เหตุการณ์ภายนอกประเทศมีแนวโน้มซึ่งแสดงการคุกคามต่อประเทศไทยขณะเดียวกันเหตุการณ์ภายในประเทศก็เกิดขึ้นอีกโดยปฏิกิริยาของชาวญวนอพยพในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเช่น จังหวัดหนองคาย และจังหวัดอุบลราชธานี ช่วงที่ ๓                                                    รัฐบาลและกรมตำรวจ ได้ร่วมกันพิจารณาภาวะการทางการเมืองดังกล่าวข้างต้น  และพิจารณาหาหนทางในการป้องกันที่จะมิให้เกิดความเสียหายต่อความสงบสุขและความมั่นคงปลอดภัยของชาติและได้พิจารณาว่าหากจะใช้ตำรวจภูธรซึ่งงานในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมก็ล้นมืออยู่แล้วเพราะในขณะที่ศีลธรรมและขวัญของประชาชนเสื่อมและตกต่ำอย่างมากในระยะสงครามและ ยิ่งต่ำลงเมื่อสงครามเลิกแล้วส่วนการพิจารณาที่จะใช้กำลังทางทหารป้องกันและต่อสู้กับการคุกคามของคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการต่าง ๆ  ในขณะนั้นจะมีผลกระทบกระเทือนต่อสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างประเทศอย่างไรหรือไม่  เพราะประเทศรอบบ้านเราต่างก็มีประวัติศาสตร์ที่เคยสู้รบแย่งชิงอำนาจกันมาก โดยตลอดและการใช้กำลังทหารในขณะนั้นจะได้ผลคุ้มค่าทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและเป็นการประหยัดหรือไม่เพราะเป็นการใช้ภารกิจด้านเดียวเพราะไม่สามารถเข้าทำการปราบอาชญากรรมหรือให้การบริการแก่ประชาชนได้เหมือนข้าราชการตำรวจและพลเรือน ปัญหาก็คือจะใช้หน่วยงานอะไรจึงจะใช้ทำงานได้ผล รัฐบาลและกรมตำรวจจึงได้พิจารณาตกลงใจว่าจะต้องจัดตั้งหน่วยงานขึ้น และต้องเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะเป็นทั้ง ทหาร ตำรวจ และพลเรือน เมื่อไม่รบก็ต้องปราบปรามอาชญากรรม และในขณะเดียวกันก็ต้องบริการประชาชนได้หน่วยงานนั้นนอกจากจะเป็นผลต่อความมั่นคงปลอดภัย และรักษาความสงบตามชายแดน แล้วยังควรที่จะสามารถดำเนินการตามนโยบายของทุกกระทรวง ทบวง กรม อีกด้วย หรืออาจกล่าวโดยสรุป ก็คือว่าหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นนั้นจะต้องมีคุณลักษณะ 3 ประการ ช่วงที่ ๔                                         แนวความคิดของรัฐบาลและกรมตำรวจในการจัดตั้ง ตชด. ก็เพื่อเสริมกำลังตำรวจภูธรในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนและป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์ ประหยัดการใช้กำลังทางทหารในยามปกติรักษาสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านฝึกกำลังตำรวจเพื่อทำหน้าที่คล้ายทหาร   และกำลังแบบทหารฝึกกำลังให้กับประเทศใกล้เคียง   ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งตำรวจตระเวนชายแดนเป็นการเตรียมกำลังตำรวจให้พร้อม เพื่อจะปฏิบัติการต่อต้านการรบนอกแบบโดยเฉพาะการรบแบบกองโจรเป็นการเตรียมกำลังตำรวจ ให้พร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพอื่น ๆ  ได้ทันที   ถ้าสงครามเกิดขึ้นทำการคุ้มครองพื้นที่ของประเทศที่เป็นป่าเขาทั่วไปที่การคมนาคมทุกชนิดเข้าไปไม่ถึงด้วยการเดินเท้า หรือโดยการส่งลงทางอากาศทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายที่ใช้รอยต่อของจังหวัดและของประเทศเป็นที่ซุกซ่อนกับการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงของหนีภาษี และยาเสพติดเมื่อไม่มีเหตุการณ์ สามารถพัฒนาสร้างสรรค์ให้เกิดการกินดีอยู่ดีแก่ประชาชน สมเด็จย่า กับ ต.ช.ด. จากคุณ : กัมม์ - [ 14 พ.ค. 52 23:07:12 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ลิตเติ้ลคิทตี้ครับ รูปพระยามหาอำมาตยาธิบดี(เสง วิริยศิริ) ผมนำมาจากหนังสือของกรมศิลป เป็นสมบัติของเขาและของคนไทยครับ ขอบคุณที่ยังคิดถึงกันอยู่ ขุนแผนขุนช้างคนนี้ขอมอบให้ ๑ กิฟท์จากใจครับ เรื่องที่คุณกัมม์นำมาให้เราได้อ่านกันนี้ เป็นเรื่องเก่าแก่มาก ขนาดเรื่องก่อนพวกเราเกิดซึ่งถือว่าเก่าแล้ว นี่ยังเก่ามากกว่า บางทีอ่านไป เขียนคอมเมนท์ไปก็งง ไม่แน่ใจว่าจะพูดสมัยเดียวกันหรือเรื่องเดียวกันหรือเปล่า เกี่ยวกับป่าไม้ทางเหนือ คนสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เกี่ยวข้องคนหนึ่ง เช่น นายหลุยส์ เลียวโนเวนน์ ลูกชายแหม่มแอนนา เรื่องของเขาที่ไม่นานที่ได้อ่านกันแพร่หลาย ผมเห็นจากหนังสือของคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา เขียนรวบรวมไว้น่าอ่านมาก นายหลุยส์นี้ สมัยตอนอยู่ในราชสำนักเมื่อรัชกาลที่ ๔ ค่อนข้างเฮี้ยวแล้วก็แอ๊คอาร์ต จนคนหมั่นไส้ แต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรได้ถนัด มีคนหนึ่งซึ่งปราบเขาได้อยู่หมัด คือมรว.ร้าย ผมจำไม่ได้ชัดว่า มรว.ร้ายนี่เป็นสหชาติกับร.๕หรือไม่ มีอยู่คราวหนึ่ง นายหลุยส์เกิดทำอะไรไปไม่รู้ ร.๕ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธออยู่ เกิดอุทานบางอย่างขึ้นมา มรว.ร้ายซึ่งรอเช็คบิลอยู่ ก็เลยถีบนายหลุยส์กระเด็นไป ซึ่งทำให้นายหลุยส์เข็ดขยาดมรว.ท่านนี้ไปนาน นี่เป็นเรื่องเก่าที่ น.อ.สวัสดิ์ จันทนี เล่าผ่านหนังสือให้พวกเราได้ฟังครับ เกี่ยวกับกรมป่าไม้ในอดีต หนังสือเกี่ยวกับพระยาประชากิจกรจักร์(ชุบ โอสถานนท์) ที่พี่วีมีนำมาอธิบาย ได้เล่าเหตุการณ์ตอนแรกเริ่มไว้อย่างนี้ พระยาท่านนี้ ดูเหมือนว่าเป็นผู้ที่ได้มีชื่อตำแหน่งพระยามากที่สุดละมั้ง เรื่องราวของท่านอื่น ที่เกี่ยวข้องกับกรมป่าไม้ในช่วงแรกตั้ง เช่น -พระยาพนผลารักษ์(วาศ วินทุพรหามณกุล) ท่านนี้เป็นคุณตาของ ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต ดร.เป็นศิษย์เก่าวชิราวุธเช่นกันครับ ท่านอยู่ตั้งแต่อายุ๖ขวบจนสำเร็จชั้นมัธยมต้น พระยาพนฯเป็นน้องชายของหลวงวิลาศปริวัตร หรือครูเหลี่ยมในวงการน้ำหมึก -พระยาวันพฤกษ์พิจารณ์(ทองคำ เศวตศิลา) ท่านเป็นลูกชายของท่านเฮนรี อาลาบาศเตอร์ ที่รัชกาลที่ ๕ โปรดปรานมาก บุตรของท่านที่ดัง ๆ เช่น พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา นางสมใจ อาสนจินดา(เมียของ ส.อาสนจินดา) -พระยาสมบัติบริหาร(เอื้อ ศุภมิตร) -ขุนวนขันฑ์ประเวศ(ลพ นิยมฤกษ์) ๔ท่านนี้ ได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาวิชาป่าไม้ของอังกฤษที่ประเทศอินเดียเป็นรุ่นแรก ที่นาย เอช. สเลดได้เสนอให้รัฐบาลไทยส่งออกไปเรียนครับ -พระยาดรุพันพิทักษ์(สนิท พุกกะมาน) จบป่าไม้พร้อม ๆ กับข้างบน แต่สำเร็จจากอังกฤษ ตอนท้าย คนไทย ๓ท่านที่ทำนุบำรุงป่าไม้ให้ความเจริญคือ พระยาดรุพันฯ พระยาวันพฤกษ์ฯ พระยาพนผลารักษ์ ถ้าเราจะเรียกท่านว่าสามเสือแห่งกรมป่าไม้ ไม่รู้ว่าจะผิดไปหรือไม่ เพราะเราเคยมี ๓เสือแห่งเกษตรมาแล้วคือ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ หลวงอิงคศรีกสิการ พระช่วงเกษตรศิลปการ แต่แล้ว เป็นที่น่าตกใจที่เสือกรมป่าไม้ตัวสุดท้ายของชุดนี้ คือ พระยาพนผลารักษ์ ก็ได้ลาออกจากราชการ เพราะเห็นว่าผู้มีอำนาจทางการเมืองขาดคุณธรรมและจริยธรรม (ตรงนี้เก็บความจากเรื่องของดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร) ท่านอื่นซึ่งเป็นป่าไม้รุ่นหลัง ๆ ที่น่าสนใจเช่น -มจ.สืบศุขสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ เรื่องราวของท่านนี้ก็น่าสนใจ ท่านเป็นเจ้าในราชสกุลที่ใช้ชีวิตในป่าเป็นส่วนใหญ่  จากบันทึกส่วนหนึ่งของท่านที่เป็นความรู้แรกของผมคือ เคยมีหิมะในประเทศไทยที่จ.ลำปาง -หลวงวิบูลวันกิจ(วิบูลย์ ธรรมบุตร) ๒ท่านนี้ จบจากป่าไม้พม่า ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองปินมานา ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของพม่า เอ. ไม่แน่ใจ ใช่เปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวคุณเพ็ญชมพูคงจะหาแผนที่มาให้เราได้เห็นกันว่าเมืองหลวงของพม่าอยู่ตำแหน่งไหน แล้วยังมีท่านอื่นที่น่าสนใจอีกแยะ เช่นพระยาพนานุจร(เปล่ง สาครบุตร) หลวงสมานนวกิจ(ท่านนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นคนแปลเรื่องชีวิตที่รุ่งเรืองขึ้นมาจากทาสหรือเปล่า) สาธยายไม่หวาดไหว (กลัวว่ายิ่งพูดยิ่งผิด เพราะไม่มีสิ่งอ้างอิงอยู่ในมือทุกเรื่องครับ) จากคุณ : NickyNick - [ 15 พ.ค. 52 09:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบพระคุณ คุณ  CVTบ้านโป่ง # ๒๘ ที่กรุณาท้วงติงเรื่องชื่อเหมืองหนองเป็ด แก้ไขเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรื่องเมืองหลวงใหม่ของพม่า นำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดมาฝากคุณ NickyNick ดังนี้ เมืองหลวงใหม่ของพม่า เขียนภาษาอังกฤษว่า Pyinmana คนพม่าบอกว่าออกเสียง "พยินมานา" แต่ถ้าคนไทยออกเสียงยากให้อ่านว่า "ปินมานา" ก็ได้ ทางกระทรวงการต่างประเทศก็ใช้ว่า ปินมานา ส่วนอ.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า เรียกว่า เพียงมานา และบางคนก็ใช้ว่า เปงมานา ปินมานาเคยเป็นฐานที่มั่นของนายพลออง ซาน พ่อนางออง ซาน ซู จี ซึ่งเป็นวีรบุรุษของคนพม่า นายพลออง ซาน นำฝ่ายต่อต้านทำสงครามเอกราชต่อสู้กับการครอบครองของเจ้าอาณานิคมอังกฤษ และญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ พื้นที่นี้จึงมีความสำคัญด้านสัญลักษณ์เหนือชาติตะวันตกด้วย จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 15 พ.ค. 52 09:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เรื่องของกรมแร่ หรือกรมราชโลหกิจพิทยา ผมไม่ค่อยได้รู้เรื่องนัก ยังไม่เคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนที่มีความรู้ดีคนหนึ่งน่าจะเป็นคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ครับ ไม่รู้ว่าหนังสือประวัติกระทรวงเกษตรที่พิมพ์ในงานเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ (ม.ร.ว.สท้าน  สนิทวงศ์) เมื่อปี ๒๔๘๔ จะมีเรื่องนี้บรรจุอยู่ด้วยหรือเปล่า เจ้าพระยาวงษา ผมขอเขียนด้วยตัว ษ ตามหนังสืองานศพของท่านนะครับ ท่านเป็นคุณตาของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ คุณพ่อของเจ้าพระยาวงษาคือพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์กับหม่อมเขียน พระองค์เจ้าสายท่านเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขุดคลองรังสิต ซึ่งเป็นสายงานเดียวกับกระทรวงเกษตราธิการซึ่งลูกชายท่านมากำกับภายหลังด้วย หากใครมีโอกาสควรจะได้อ่านการเมืองเรื่องคลองรังสิต ที่ใช้เวลาขุดยาวนานตั้งแต่ปี ๒๔๓๑ จนถึง ๒๔๕๗  ซึ่งทำให้เกิดผลดีต่อระบบชลประทานและการเกษตรของไทยเป็นอย่างมาก แต่ข้อเสียก็มีเยอะเช่นกัน ซึ่งประชาชนที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น หรืออพยพเข้าไปทำมาหากินภายหลัง เกิดความเดือดร้อน โดยเฉพาะแง่ข้อกฎหมายที่อำนวยประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  หรือพวกปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผมเคยอ่านและอินมาก ตอนนั้นกะจะตั้งกระทู้หนึ่งขึ้นมาในทำนองว่า ประวัติคลองรังสิต - น้ำท่วมตาประชาชน แต่ก็ยั้งมือไป เพราะถือเสียว่าเราภูมิรู้เรื่องเหล่านี้ยังมีน้อย .... ภาพอีกมุมหนึ่งของเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ จากคุณ : NickyNick - [ 15 พ.ค. 52 10:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือเรื่อง ล้านนาไทยในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ของคุณพิษณุ จันทรวิทันต์(ขออภัยหากชื่อสกุลผิด) เป็นบันทึกการเดินทางของนายปิแอร์ โอตส์ ชาวเบลเยี่ยมที่ปรึกษาของราชอาณาจักรสยาม(สายตรงโรลัง แยกมิน)ที่ส่งไปว่าคดรองกงศุลสหรัฐถูกทหารสยามทำร้ายและตรวจราชการหัวเมืองลาวเฉียง ลาวพวน(ราวพ.ศ.2440-2441) ก็มีการพูดถึงการแบ่งราชการหัวเมืองไว้ด้วยแต่มีแค่ มหาดไทย กลาโหม คลัง วัง นา แล้วก็ได้เจอนายสเลดด้วย ตอนนั้นมีการตั้งกรมป่าไม้แล้วหรือครับ จากคุณ : deletenumlock - [ 15 พ.ค. 52 10:36:04 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณเพ็ญมาเร็วปานกามนิตหนุ่มเลยครับ ขอบคุณมาก เรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ผมสนใจอ่านคือ กรมตำรวจ ทั้งตำรวจภูบาลและตำรวจภูธร แต่อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าหัวซักกะที แล้วก็ไพล่ไปสนใจผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของตำรวจนครบาล คือมิสเตอร์ลอซัน เพราะเชื้อสายของท่านทางหนึ่งได้ไปเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในเมืองสุพรรณด้วย ได้มาเป็นคู่เขยกับพระอินทโรดม(สุน เทวัต) ในกระทู้นี้ครับ เ อ า รู ป ส มั ย โ บ ร า ณ ( ของครอบครัว ) ม า ใ ห้ ดู ค รั บ . . .  A r t F u l l Y http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/04/K6547292/K6547292.html เล่มของคุณพิษณุเล่มนี้ ผมยังไม่เคยอ่านครับ แต่เรื่องที่เคยอ่านที่ชื่อคล้าย ๆ กัน แล้วก็ลืมไปเรียบร้อยแล้ว  ชื่อท้องถิ่นสยามยุคพระพุทธเจ้าหลวง ของ Carl Bock แปลโดย เสฐียร พันธรังษี-อัมพร ทีขะระ ผมมีฉบับพิมพ์ ๒๕๒๙ เสียดายที่มติชนเอามาพิมพ์ใหม่ แต่รายละเอียดในการแปลบางอย่างยังเหมือนเดิม ผมเคยอ่านตอนหนึ่ง คิดว่าน่าจะแปลว่าเมือง "เถิน" (คงใช่คำนี้นะ เพราะจำคลับคล้ายคลับคลา" แต่เขาไปแปลเป็นอะไรก็ไม่รู้ อ้อ แล้วอีกเล่มหนึ่ง เห็นคุณพี่บ้านโป่งพูดถึงเล่ม "ถึงหญิงใหญ่" ก็มีมาพิมพ์ใหม่เช่นกัน ตอนแรกจะซื้อ แต่พอพลิกอ่านเชิงอรรถตอนท้าย ๆ เห็นเขียนว่า คุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตฯ (เพ็ง ณ ป้อมเพชร-สกุลเดิมสุวรรณศร) เป็นเมียเจ้าพระยายมราช เลยเลิกซื้อฉับพลัน หนังสือสมัยนี้ พิมพ์กันไว ขายกันไว แล้วก็ผิดกันเยอะแยะ ทั้งที่มีของเก่าให้ตรวจทาน ของใหม่ให้เช็ค ก็ยังขี้เกียจทำ คุณหญิงเพ็ง เป็นหลานน้าของเจ้าพระยายมราช แล้วก็เป็นคุณย่าของ ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ที่ผมอ้างถึงใน คห.๓๑ครับ ขอร่วมตอบคำถามคุณ deletenumlock   กรมป่าไม้ตั้งขึ้นในปี ๒๔๓๙ ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 15 พ.ค. 52 11:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คคห ๓๓ พี่นิกกี้... เนื่องจากบรรพบุรุษผมประกอบอาชีพเหมืองแร่ดีบุก ทำให้ผมมีเอกสารเก่าเกี่ยวกับเหมืองแร่นิดหน่อย เดี๋ยวจะลองรื้อดูว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง แล้วจะพยายามพิมพ์มาให้อ่านกันครับ แต่รู้สึกความพยายามของผมจะน้อยกว่าคุณกัมม์ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 15 พ.ค. 52 11:30:18 ]

ความคิดเห็นที่ 37 โอย..เห็นหลายๆท่านเข้ามาร่วมสนทนาในนี้แล้วชุ่มชื่นใจ เหมือนสองสามวันนี้ที่ฝนตกเสียฉ่ำไปหมด ดีใจที่ห้องสมุดเป็นแหล่งแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดค่ะ ขอบคุณคุณกัมม์ คุณพี่นิค (ขุนแผนแสนสะท้าน) คุณเพ็ญชมพู ที่หารูปมาให้ดูค่ะ จากคุณ : little kitty - [ 15 พ.ค. 52 15:12:23 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คคห ๓๕ เห็นด้วยเลยครับพี่นิกกี้ จดหมายถึงหญิงใหญ่ ฉบับพิมพ์ใหม่ เชิงอรรถผิดพลาดอย่างมหันต์ ถ้าใครที่ไม่เคยรู้มาก่อนเอาไปเป็นเอกสารอ้างอิง อายเขาตายเลย ผมอ่านเกือบจบแล้ว พบว่าการเขียนเชิงอรรถเขียนได้มั่วที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาครับ หนังสือคุณพิษณุ เล่มที่กล่าวถึงผมมี ๑ เล่ม ได้จากพี่ชายคุณพิษณุที่เป็นรุ่นพี่ผมให้มานานแล้ว จะลองจัดการแสกนดู ถ้าสำเร็จจะส่งไฟล์ให้ครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 15 พ.ค. 52 17:49:21 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อนุโมทนากับคุณพี่บ้านโป่งด้วยครับ การทำบุญทำทานด้วยความรู้ เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ครับ คุณพี่กัมม์มีคู่แข่งแล้วล่ะ แต่เล่มนี้ผมไม่ขอรับนะครับ อยากจะเก็บเป็นตัวเล่มไว้อ่านมากกว่า เรียกผมน้องก็ได้ครับคุณพี่ ผมคงวางบุคลิกอาวุโสไปละมั้ง ในกระทู้นี้ หากไม่นับรวมผู้เกษียณแล้ว คุณพี่บ้านโป่งน่าจะเด็กน้อยสุด อิอิ เห็นด้วยกับ 38 ครับ "ถึงหญิงใหญ่" เป็นหนังสือที่ดีมาก ฉบับที่ผมเคยเห็นพิมพ์ปี 2508 กับ 2515 ผมพยายามจะหาซื้อเก็บไว้ ก็คงรอคิวถัดไป เมื่อตอนที่ฉบับพิมพ์คราวใหม่ออก ผมอ่านจากคอลัมน์หนังสือพิมพ์ เชียร์กันจัง ว่าดียังงั้นยังงี้ เลยรีบไปพลิกอ่านที่ร้านหนังสือ พอเจอเชิงอรรถดังกล่าว ก็มิบังอาจซื้อ ผมว่าคนทำหนังสือ น่าจะขยันสักหน่อย ขนาดนำของเก่ามาหากิน ยังขยันเหมือนแค่คนเขียนในเว็บอย่างพวกเรา ที่หากผิดก็มาช่วยเขียนแก้กัน ซึ่งความพิถีพิถันน้อยกว่าตัวหนังสือ นี่ขนาดเรื่องที่เรารู้ ยังเจอที่ผิดง่าย ๆ แล้วถ้าเรื่องที่เราไม่รู้ ซึ่งยังมีอีกแยะ จะผิดมากน้อยแค่ไหน ขอยกตัวอย่างอันนึง ในภาพที่โชว์ข้างล่าง น่าจะลอกมาจากเชิงอรรถที่ผิดพลาดละมั้ง จากคุณ : NickyNick - [ 16 พ.ค. 52 12:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตอบคำถามคุณdeletenumlock ในความเห็นที่ ๓๔ กรมป่าไม้ตั้งขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๘ ครับ  ก่อนที่ปีแอร์  โอร์ต จะขึ้นไปตัดสินความปีเศษ สำหรับคดีที่ปีแอร์  โอร์ต ขึ้นไปตัดสินคดีความนั้น  มีรายละเอียดปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุเป็นรายงานของข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวเฉียง  เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๙  พวกฝรั่งกลุ่มหนึ่งได้ไปดื่มสุรากันที่บ้านนายหลุยส์  เลียวโนเวนส์ ที่ริมแม่น้ำปิง (ไม่แน่ใจว่าที่บ้านเดิมของหมอชีค  ที่ต่อมาพระราชชายา เจ้าดารัศมี ทรงซื้อจากนายหลุยส์  แล้วประทานให้เป็นคุ้มของเจ้าแก้วนวรัฐฯ ที่ปัจจุบันกลายเป็นตลาดนวรัฐฯ หรือไม่)  พอเมาสุราแล้วได้ชวนกันออกมาพังโรงร้านของชาวบ้าน  ก่อนที่จะยกกันไปขว้างปาศาลต่างประเทศที่ตั้งอยู่ตรงพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ทางใต้ตลาดวโรรสในปัจจุบัน  นายทหารที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้เคียงกับศาลต่างประเทศได้ออกมาห้ามปราม  เลยวิวาทกับพวกฝรั่ง  ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรองกงสุลอเมริกัน  อ่านจากรายงานของไทยแล้ว  นายทหารไทยนั้นไม่ผิดเลย  แต่ในสมัยนั้นเป็นยุคใครกำหมัดใหญ่ก็มีอำนาจมากกว่า  สุดท้ายรองกงสุลนั้นทำเรื่องฟ้องลงมากรุงเทพฯ  ปีแอร์  โอร์ต จึงต้องขึ้นไปพิจารณาพิพากษาร่วมกับชาวต่างประเทศอีกคนหนึ่ง  แล้วอำนาจศาลกงสุลก็ทำให้คนผิดรอดตัว  ในขณะเดียวกันคนไม่ผิดก็ต้องถูกลงโทษ  ทั้งที่ปีแอร์  โอร์ต ก็แสดงความเห็นว่า นายทหารไทยไม่ผิด  แต่ตุลาการอีกคนบอกว่าผิด  ก็เลยต้องผิด จากคุณ : V_Mee - [ 16 พ.ค. 52 14:14:57 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบพระคุณพี่กัมม์เจ้าของกระทู้ที่ได้ส่งหลังไมค์ไปเชิญให้ผมได้เข้ามาอ่านประสาคนความรู้น้อยที่อาจจะดูเหมือนทำตัวเป็น freeriders มากไป แต่ก็ดีใจที่ห้องสมุดแห่งนี้ไม่ถือสาและมีความเป็นกันเองที่มีอะไรก็มาแบ่งปัน รวมถึงติงยามที่พบเห็นว่าที่ใดที่มีผิดพลาดที่จะได้ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างของการทำอะไรแบบสุกเอาเผากิน ที่พี่นิคว่าไว้ผมก็เห็นด้วยที่ความมักง่ายในการประมาทเลินเล่อทำให้คนรักหนังสืออาจไม่สามารถจ่ายสตางค์เพื่ออุดหนุนได้ หากเจ้าของสำนักพิมพ์ได้พานพบและมาอ่านขอได้โปรดหอบความปรารถนาดีนี้กลับไปด้วยที่เสียงสะท้อนนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มากและไม่อาจเพียงทำตัว nonchalant ได้ ผมถือว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการหนังสือก็ควรจะมี social responsiblity มากไม่แพ้กันเพราะเมื่อภายหน้ารุ่นลูกหลานก็จะได้มีความรู้ที่ถูกต้องที่เป็นเหมือนการบ่มเพาะวัฒนธรรมที่ดีโดยเฉพาะเรื่องที่ความรู้อาจจะไม่สามารถหาอ่านกันได้อย่างง่ายนักที่ครอบครัวที่มีความรักหนังสืออาจจะเก็บหนังสือดีๆ ที่หากไม่ช่วยกันดูแลการสูญสลายของความรู้บางอย่างคงไม่ได้มีวันที่จะเปิดเผย แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 52 16:18:46 จากคุณ : Lord JC - [ 16 พ.ค. 52 16:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบพระคุณในน้ำใจไมตรีทุกท่านที่แวะเข้ามาครับ ผมต้องขออภัยขอฝากกระทู้ไว้กับทุกท่านด้วยนะครับ  ติดงานด่วนครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 16 พ.ค. 52 22:34:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 รีบกลับมานะครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 17 พ.ค. 52 22:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 44 พี่วีมีครับ ผมเคยอ่านหนังสือครบรอบปีกรมป่าไม้ เขาจะเริ่มที่ปี 2439 ครับ จึงเดาว่าน่าจะเป็นปีนั้นแน่ อ่านในหนังสืออื่น เห็นว่านายสเลดถูกขอตัวจากพม่า เดินทางมาถึงเชียงใหม่เดือนกุมภา 2438 แล้วได้ตั้งเป็นกรมเมื่อกลางปี 2439 (อีกไม่กี่เดือนถัดมา เพราะเริ่มเดือน 1 เมื่อเมย.) ตาเจษนี่ท่าจะจบเมืองนอกเมืองนามา เพราะใช้ศัพท์แสงสูงส่ง แปลตามไม่ค่อยจะทัน แถมภาษาไทยก็กล้า ๆ กลัว ๆ ถ่อมตัวแต่พองามนะตาเจษ ไม่ต้องมากมายนักหรอก รู้มากรู้น้อยก็แสดงความคิดเห็นได้นี่ พี่กัมม์ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ก็ให้กิฟท์หนึ่งที ที่คุยไว้มากกว่านี้ก่อนที่เจ้าตัวจะแก้ไขข้อความให้เหลือสั้นลง เกี่ยวกับหนังสือที่ผมอ่าน ก่อนจะรวบรวมเป็นคำตอบในกระทู้นี้ ก็อาศัยความรู้จากหนังสือกว่า 20 เล่ม แต่ก็ไม่สามารถพลิกเปิดได้คราวเดียวหมด ต้องอาศัยจากความทรงจำบ้าง ผิดพลาดพลั้งไปก็ขออภัยด้วยครับ แต่หากผมจะทำหนังสือสักเล่ม คงต้องรวบรวมข้อมูลให้มากกว่าที่เขียนต่อเติมในกระทู้ และการตรวจทานต้องมากกว่าเช่นกัน เพราะเงินไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้ายของเรา จากคุณ : NickyNick - [ 18 พ.ค. 52 14:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับพี่นิคสำหรับกิ๊ฟท์ที่มีให้ผมนะครับแม้จะเพิ่งได้รับแต่ก็อดภูมิใจไม่ได้สำหรับรางวัลนี้ เพราะเป็นเหมือนคุณค่าที่มาจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นเหมือนคลังความรู้ของห้องสมุดนี้ที่มอบให้กับ neophyte อย่างผมรวมถึงอีกสองท่านคือน้าแสนอักษรและพี่กัมม์ที่ให้ผมไปก่อนหน้านี้ ผมรู้ว่าเรื่องราวที่ทุกท่านนำมาฝากเหมือนการทยอยส่งผ่านความรู้ที่นับวันความรู้ที่ไม่ช่วยกันรักษาคงจะเลือนหายไปกับกาลเวลาที่ผมหวังว่าสักวันคงจะไม่มีวัฒนธรรมการสุกเอาเผากินที่เป็นเพียงการกระทำเพียงรวบคว้าแต่ไม่มีการค้น ความรักและชอบพอที่อาจเจือด้วยความอดทนที่ใส่ใจในรายละเอียดความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ที่พี่นิคและทุกท่านๆ ทำให้ดูไว้จะเป็น prototype ชั้นดีสำหรับผู้ใฝ่รู้และสนใจที่อาจต้องค่อยๆ ก้มเก็บความรู้ที่อาจต้องใช้หัวใจที่เห็นคุณค่ารวมถึงความพยายามที่ไม่ลดละกว่าจะพบคำตอบที่รออยู่ข้างหน้า ผมเองก็คงจะให้กำลังใจตัวเองเช่นกันและขอยึดสิ่งดีๆ ที่ได้รับจากตัวอย่างที่ผมเห็นในห้องสมุดนี้นะครับ และท้ายสุด ขอเป็นกำลังใจกับผลงานหนังสือของพี่นิคที่คงจะเป็นเสมือนผลงานชิ้นเอกที่จะยืนสู้ท้ากาลเวลาเมื่อผลงานเป็นรูปเล่มออกมา รวมตลอดเป็นตัวอย่างให้กับหลายๆ คนได้ดำเนินรอยเป็นแบบอย่างและผมขอเป็นหนึ่งในนั้นที่สักวันคงจะได้เดินตามรอยทางแบบพี่นิคคนเก่งบ้าง ป.ล.ขออภัยอีกครั้งนะครับพี่นิคและทุกท่านนะครับบางครั้งมันก็เหมือนจนแต้มหาคำที่อยากจะเก็บความแบบที่ต้องการไม่ได้ จึงเป็นเหมือน last resort ให้ผมต้องเพลี่ยงพล้ำถลำด้วยการหยิบยืมคำที่ผมอยากจะสื่อและบอกความรู้สึกออกมาเช่นนั้น รวมถึงนอกเรื่องไปบ้างก็ตาม จากคุณ : Lord JC - [ 18 พ.ค. 52 15:41:26 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดีครับทุกๆ ท่าน เห็นด้วยกับทุกท่านครับ  พี่นิคออกหนังสือได้แล้วครับ สวัสดีครับคุณ Lord JC  อย่าเครียดเลยครับ  หน้าตาดีไปวันๆ อย่างผมก็ได้ครับ สาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ  อย่างเช่นวันนี้ เพิ่งจะพอมีเวลาครับ  วันนี้ตื่นแต่เช้า อากาศเย็นสบาย "แหงนดูเมฆฝนบนฟ้า                            ครืมดำคล้ำมาผืนฟ้าก็มืดมัวหม่น. หัวใจคนหนุ่มมันกลุ้มจนเหลือจะทน           เหมือนผืนฟ้าเบื้องบนพยับโพยมเหมือนลมเปลี่ยนผัน" แต่ไม่ตก.... ว่าจะออกไปหาซื้อข้าวของมาทำงาน  กลับมาจะได้พิมพ์ตอนที่ ๖ ต่อให้จบภาคแรกเสียที  พอเดินออกไปปากซอย  เด็กรถโดดลงจากรถ  พลางร้อง "ลาดลี เพ่ ลาดลี  คอนถม ลาดลี คอนถม ลาดลี"  ก็เลยโดดขึ้นรถไปกลับมัน เดี๋ยวมันเสียน้ำใจ ประมาณว่าเป็นคนขี้เกรงอกเกรงใจขี้คนหนะครับ  ไปเที่ยวบ้าน คุณ CVT สักวันดีกว่า นู้นออกอ้อมน้อย อ้อมใหญ่ สามพราน ทับแก้ว คอนถม " รถเมล์รับจ้างประจำทางสายเพชรบุรี       ผ่านองค์ปฐมเจดีย์สีทองมองสูงตระหง่าน เมื่อเดือนสิบสองทุกปีต้องมีงานออกร้าน    กราบพระร่วงอธิษฐานได้พบนงคราญรักร่วมใจ" เลยออกทางนู้น  ไปตัดแยกโพธาราม - ดำเนินสะดวก  พอเลยแยกนี้เป็นร้านขายตุ๊กตาทั้งนั้นเลย  เพื่อนคนไหนที่ทำงานเกี่ยวกับทางนี้  ไปเยี่ยมดูก็ได้ครับ  เป็นโอทอปของที่นี้เลย  ตุ๊กตาแขวนรถนอนกอดทั้งประเทศคงมาจากที่นี่แน่ๆ  เลยไปหน่อย  เขาเลี้ยงวัวกัน  ออ...หนองโพ  ที่กลายเป็นยี่ห้อนม  รู้จักหนองโพในฐานะที่เป็นนมมากกว่าเป็น "บาง" เสียอีก เจ็ดเสมียน ท่าเจ้าสนุกสนุก  ชื่อบางพวกนี้ รวมทั้งชื่อวัด  เช่น วัดบางลาน วัดท่าเจ้าสนุก  มันคุ้นมากว่าเคยอ่านเจอ เลยค่ายภานุรังษี บ้านทหารช่าง  ข้ามน้ำ  สะพานจุฬาลงกรณ์ "ตลาดเพ่ตลาด  ป้ายหน้าโลตัสรถหมดระยะ"  เล่นบทพระยาน้อยชมตลาดสักหน่อยดีกว่า  ตลาดที่นี่ใหญ่จริงๆ ครับ ขึ้นไปดูสถานีรถไฟก่อนเลย  ชี้ไปทางซ้าย "ราชบุรี"  ชี้ไปทางขวา "บ้านกล้วย" นี่คือทางเสด็จพระราชดำเนิน  ที่สมเด็จพระปิยมหาราชเคยปลอมพระองค์เป็นสามัญชนออกมาเที่ยว เป็นตำนานมาจนทุกวันนี้ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-03-2007&group=2&gblog=36                 "...วันที่ ๒๐ กรกฎาคม เสด็จอาศัยรถไฟบ่ายที่จะไปกรุงเทพฯ ที่ใช้คำว่า "เสด็จอาศัย" ในที่นี้ เพราะเสด็จรถไฟชั้น ๓ ประทับปะปนไปกับราษฎร ไม่ให้ใครรู้ว่าใครเป็นใคร เพื่อจะใคร่ทรงทราบว่าราษฎรอาศัยไปมากันอย่างไร เจ้าพนักงานรถไฟก็เหลือดี มีอัธยาศัยรู้พระราชประสงค์ ที่จริงแกรู้แต่แกล้งทำเฉย มาเรียกติเก็ตตรวจพวกเราเหมือนกับราษฎรทั้งปวง ทำให้ไม่ผิดกันอย่างไร ต่อผู้ใดสังเกตจริงๆจึงจะพอเห็นได้ว่าหน้าแกออกจะซีดๆ และเมื่อไปเรียกติเก็ตพระเจ้าอยู่หัวมือไม้แกสั่นผิดปกติ                 เรื่องทดลองเดินทางด้วยไม่มีอะไรนอกจากเงิน ตามที่ปรึกษากันเมื่อคืนนี้นั้น เป็นตกลงว่าจะเสด็จรถไฟไปลงโพธาราม หาเสวยเย็นที่นั่นแล้วหาเรือล่องกลับลงมาเมืองราชบุรี ได้แบ่งหน้าที่ผู้ที่ไปเป็นพนักงานพาหนะพวกหนึ่ง พนักงานครัวพวกหนึ่ง ต่างมีหน้าที่ที่จะต้องจัดทำการที่เกี่ยวด้วยแผนกนั้นๆให้ตลอดไป                 รถไฟไปวันนี้ไม่สะดวกด้วยน้ำพัดสะพานที่บ้านกล้วยเซไป รถไฟข้ามไม่ได้ ต้องไปหยุดรถให้คนโดยสารลงเดินไต่ทางไปขึ้นรถพ่วงใหม่ฟากสะพานข้างโน้น ฝนก็ตกออกจะลำบากบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้างที่เป็นเหตุให้พนักงานกองเสบียงได้เห็นปลาทูสด เจ๊กเอามาแต่เมืองเพชรบุรีกระจาดหนึ่ง จะเอาไปขายที่ไหนไม่ทราบ ว่าซื้อ ตกลงได้ปลาทูสดนั้นมาเป็นเสบียงสำหรับเวลาเย็น เป็นที่อุ่นใจว่าอาหารเย็นวันนี้จะไม่ฝืดเคือง ครั้นไปถึงโพธารามต่างกองต่างแยกกันเที่ยวทำการตามหน้าที่ที่กะไว้ พวกกองพาหนะก็เที่ยวหาเช่าเรือและที่อาศัยชุมนุมเลี้ยงกันเวลาเย็น พวกกองครัวก็เที่ยวหาซื้อหาอาหารเครื่องภาชนะใช้สอยต่างๆ คือหม้อข้างและถ้วยชามรามไหเป็นต้น ได้พร้อมแล้วก็หุงข้าวต้มแกงตามลำพังฝีมือพวกที่ไปตามเสด็จ สำเร็จได้เลี้ยงกันพอเวลาพลบค่ำ ที่คาดหมายไปว่าจะได้กินสนุกยิ่งกว่าอร่อย เป็นการคาดผิดทั้งสิ้น อาหารวันนี้อร่อยเหลือเกิน ดูเหมือนจะกินอิ่มจนเกือบเดินไม่ไหวแทบทุกคน                 เวลาสัก ๒ ทุ่มออกเรือที่เช่าเขา ๓ ลำ ล่องลงมาจากโพธาราม เรือเหล่านี้เป็นเรือประทุน ๒ แจวที่เขาบรรทุกของสวนขึ้นไปขาย เสร็จแล้วก็จ้างเจ้าของเขาแจวลงมาส่ง...." แล้ววกกลับมาเลี้ยวเข้าตลาด  แวะกินสลิ่มทับทิมกรอบเสียนิดหนึ่ง  แล้วเดินทะลุออกไปจนสุดตลาด หาก๋วยเตี๋ยวเนื้อกิน  ไม่มีเลย  ลัดถนนผ่าน บ้านพักปลัด บ้านพักอัยการ บ้านพักสัสดี บ้านพักข้าราชการมหาดที่ออกไปประจำในหัวเมือง   แต่ละหลังซอมซ่อที่ดูแล้วไม่สมฐานะ  สองชั้นข้างล่างปูน ข้างบนฝาไม่กระดาน เล็กกระจิดเดียว  เห็นล็อกกุญแจไว้ทุกหลัง  บางหลังเปิดไฟไว้  ข้าวของระกะไปหมด  เจ้าของบ้านประจำตำแหน่งเหล่านี้คงเห็นเหมือนผม  ไม่สมฐานะ  จะรื้อก็ไม่ได้ จะทุบทำใหม่ก็ไม่ได้  ต่อเติมก็ไม่สมใจ  เพราะเป็นของหลวง  จะอยู่รึ ก็ไม่สมฐานะ  ไปอยู่ที่อื่นดีกว่า  กลับกลายไปใช้ธรรมเนียมเดิม  เจ้าเมืองกรมการที่จวนที่อยู่เป็นสิทธิ์ของตัว  เป็นแต่กรมการจะมาประชุมที่จวนเท่านั้น   หึหึหึ อย่าให้ถึงกลับย้ายเมืองตามจวนผู้ว่าเหมือนเดิมเลยนะครับ ผ่านไปเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวรถเข็น  เอาโต๊ะมาตั้งสองตัวต่อกันมีเก้าอี้พลาสติกล้อม  พอดี ๑๑ โมงกว่าๆ ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน  ทั้งแม่ค้า ลูกมือ เด็กเช็ดโต๊ะ  ๓ คนนี้รวมกันคงพอได้เห็นกรุงศรีอยุธยาแตกกันทีเดียว  คนทำที่ดูอ่อนที่สุดก็ไม่ต่ำกว่า ๖๐ แน่ๆ  ก๋วยเตี๋ยวหมูอีกแหละ  บอกว่าสัตว์กินเนื้อ สัตว์กินเนื้อ  งั้นเอาเล็กแห้ง ๒ น้ำ ๒ ชาดำเย็น ๑  แค็บหมู ๑ ตัดเอาเองในกระจาด  ใครไปลาดลีแวะไปเยี่ยมพวกย่าๆ บ้างนะครับ ร้านนี้อยู่หน้าวัดพอดี  จิ้มฟันแล้วเสร็จก็ตรงไป  เข้าวัด "ศรีสุริยวงศ์" ของเดิมเขาเขียนอย่างนี้  ของใหม่ว่า วัดศรีสุริยวงศาราม   แม...เป็นวัดด้วยเป็นสวนด้วย  โอเลย   ศิลปะลูกครึ่งไทย-ฝรั่ง  ถ้าเป็นสาวก็ดูเหมือนว่าจะมีโครงสร้างทางกายภาพแข็งแรงกว่าสาวไทย  ด้านหลังมีเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปสามปาง  องค์กลางจารึกบนฐานว่า พระยาราชานุวงษ์ (เล็ก  บุนนาค)  คงต้องฝาก คุณวีมี  พี่นิคกี้ และทุกท่านที่ทราบประวัติ  ช่วยขยายประเด็นด้วยนะครับ ทะลุออกหลังวัด  ด้านซ้ายเห็นศาลเจ้ามูลนิธิ  ด้านขวาเป็นเป็นวัดไทยดูท่าทางโอ่อ่ากว้างขวาง  เลยเลี้ยวขวา  เห็นร้านข้าว ร้านอาหาร ร้านกล้วยแขก ตามบ้านเรือน เห็นแต่คนแก่มีอายุทั้งนั้นเลย แต่ยังแข็งแรง บ้านเมืองนี้คนอายุยืนแน่ๆ  ถึงวัดที่ว่า  ชื่อวัดช่องลม  ได้เข้าไปสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนไตร มหาการุนิโกฯ สัพพีฯ อายันตุฯ ปิดท้าย  กราบ ๓ หน  ออกจากวิหาร  มีตู้พระเครื่องตั้งอยู่  แวะเข้าไปดูก็ได้พระที่ระลึกถึง (ว่ามาถึงแล้ว) มาองค์หนึ่ง  เขาเรียกว่า "หลวงพ่อแก่นจันทร์"  ไปเที่ยววัดไหน  อย่าลืมเอาเหรียญที่ระลึกกลับมาด้วยนะครับ  ไม่ต้องแพงหรอก พระอยู่ที่ใจ  ที่เก็บไว้ที่ระลึก เลียบแม่น้ำมาเจอศาลเจ้าอีกแล้ว  เขียนว่า ศาลเจ้าพ่อกวนอู มูลนิธิราชประชานุกูล  แวะเข้าไปเสี่ยงเซียมซี  ได้เลข 9  แต่ใบทำนายหมด  เอาเลข 6 แทนแล้วกัน  9 กลับหัว  หมดอีก  เลยไปคว้าภาษาจีนมา  อ่านไม่ออกหรอกครับ  ติดกันเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ จังหวัดราชบุรี  ใช้ที่ของศาลจังหวัดราชบุรีหลังเดิมเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์   วันนี้ปิด  ดูเหมือนประมาณว่าตึกก็เป็นของเก่าที่จัดแสดงชิ้นหนึ่ง  ทำไม่ไม่คิดปรับปรุงให้ทันสมัยทันการเปลี่ยนแปลงละครับ เช่นวัดวาอารามที่กลายเป็นโบราณสถาน  รอเงินจากรัฐบาลอย่างเดียว  เศรษฐกิจแย่ก็แย่ไปด้วย  ผมเห็นว่าวัดก็ควรจะเป็นวัด  ให้มีกิจกรรมกิจธุระสอนหนังสือบวชพระเผ่าศพ  ให้เป็นเหมือนวัดที่เจริญต่อขึ้นไปเรื่อยๆ วัดไหนมีประวัติเก่าแก่ตรงไหนเก่าก็ซ่อมแซม ถ่ายรูปเก็บรักษาไว้ เล่าประวัติไว้ให้คนมาเที่ยวได้ดูได้รู้  วัดก็ยังพัฒนาต่อไปได้  วัดก็ยังเป็นวัด กรมศิลป์ฯ มีหน้าที่ให้คำปรึกษา  ส่วนงบประมาณที่จะบำรุงรักษาเป็นหน้าที่ของคณะศรัทธาฯ จะเรี่ยรายกันบำรุงรักษา ผมว่าน่าจะดีกว่า ให้เราๆ ไปดูอิฐหักแดงๆ นะครับ ย้อนกลับออกมาทางเดิม  เห็นทหารใหม่มานั่งพักริมน้ำฝากค่ายภานุรังษี  เลียบตลาดเก่ามาถึงรางรถไฟ  ตลาดเก่าเฉพาะบางห้อง บางห้องก็ใหม่  ที่เก่าเห็นร้านขายยา คลีนิกที่เปิดตอนเย็น ร้านขายแหอวนเบ็ดเครื่องสาน ร้านพวกนี้มีทุกอำเภอ  อย่างน้อย ๑ ร้าน  รวมทั้งร้านขายเครื่องครัวหม้อกระทะทัพพีช้อน ร้านขายส่งขนมที่เขาติดเป็นแผง น้ำหวาน น้ำปลา ซอส ซีอิ๋ว  ร้านขายตู้เตียงมุ้งที่นอนโตะเครื่องแป้ง  ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าหม้อ กระทะกาน้ำร้อนโทรทัศน์ตู้เย็น ร้านขายอาหารสัตว์ผักสวนครัวที่เป็นซอง ร้านพวกนี้  อยู่ยงคงกระพัน  เห็นแต่เด็กยันหนุ่ม  อันนี้ผมถือว่าเก่าในตลาดเก่านะครับ  มาสะดุดใจกับร้านขายทอง ร้านเก่าๆ มักจะมีแคร่ไม่กระดานไว้นั่งนอนอยู่หน้าร้าน  มันแผล่บ  มักจะมีตระกร้าหมากด้วย ข้างล่างเปิดออกใช้เก็บของได้  ร้านทองร้านนี้ก็มีแคร่เช่นกันกับร้านเก่าๆ  มีฉากเหมือนลับแลประมาณเมตรคูณเมตรครึ่งตั้งอยู่แคร่ นี่...เก่าจริง ไม่ได้เห็นมานาน ย้อนกลับมาขึ้นรถสายเดิม  อ่านโฆษณาป้ายมาตามทาง  อันหนึ่งว่า  หลวงพ่อดำ วัดตระคร่ำเอน  ดูเหมือนจะมีงานสมโภช  แต่ติดใจหลวงพ่อ  ท่านเข้าใจเลือกวัดมาจำ  อันหนึ่งเป็นซุ้มวัดสระกระเทียม เป็นรูปพระสงฆ์สามรูปเบียดกัน  วงเล็บข้างล่างว่า เจ้าอาวาสสามพี่น้อง คงไม่ได้เป็นพร้อมกันหรอก  อันหนึ่งเป็นศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเนี้ยว  อันนี้เสด็จมาไกลถึงราชบุรีเชียว มาคาใจตรงป้ายเล็กๆ สีเหลืองปักไว้ข้างทาง สูงสักสะเอว เขียนว่า "กระจับต้ม"  เรียงกันไปเรื่อยๆ  มองจนเพลิน  เกือบกิโลแล้วยังเป็นป้าย "กระจับต้ม" สีเหลือง  ยาวไป  พอไปถึงที่คิดว่าเป็นที่ขายกระจับต้ม  เห็นมีถุงกระจับแขวนไว้ ๒ ถุง  แถมไม่มีคนขายไม่อยู่ซะอีก  มีแต่เก้าอี้.... กลับมาบ้านนั่นพิมพ์อยู่นี่  งานก็ไม่ได้ ตอนที่ ๖ ก็ไม่ได้คัด  โชคดีที่กระทู้ขึ้นแท่นอีกสัปดาห์  เห็นว่ายังไม่จบประเด็น  เพราะฉะนั้นเทศาภิบาล ตอนที่ ๖ มณฑลเทศาภิบาล  ออกไปเป็นสัปดาห์หน้านะครับ ในโฆษณาการท่องเที่ยวฯ ป้าเบิร์ดว่า "สิบบาท  หกสิบล้านคนรอด"   ทิปนี้ค่ารถไปกลับ ๑๖๐ บาท ก๋วยเตี๋ยว ๔ ชาม ๔๐ บาท ชาดำเย็น ๘ บาท แค็บหมู ๑๐ บาท  ทับทิมกรอบ ๑๐ หลวงพ่อแก่นจันทร์ ๒๐๐ บาท เป็นเงินที่อัดฉัดลงไปในจังหวัดราชบุรีรวมทั้งสิ้น ๒๘๐ บาท  ขอบุญกุศลดลบันดาลให้ข้าพเจ้าไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทอญ อ่านออกช่วยบอกด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 52 07:41:05 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 52 20:29:05 จากคุณ : กัมม์ - [ 18 พ.ค. 52 20:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เดี๋ยวจะหาเกร็ดพงศาวดารมาช่วยกระทู้นะครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 18 พ.ค. 52 20:55:07 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ยังตามอ่านอยู่ครับ ขอบคุณทุกท่านที่ค้นคว้าเอาข้อมูลแน่นๆมาเล่าสู่กันฟังเพลิดเพลินมากครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 18 พ.ค. 52 21:07:53 ]

ความคิดเห็นที่ 49 น่าอิจฉาเฮียกัมม์ ผมทำงานที่บ้านโป่ง ๘ ปี ที่ราดรีอีก ๑ ปี ไม่ได้ไปดูไอ้ที่เฮียว่าเลย อ้อ! เคยไปวัดประดู่เจอของดีจากการเสด็จประพาสต้นของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๕ โดยบังเอิญ ตอนนี้กลับมาเป็นคนกรุง แล้ว จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 18 พ.ค. 52 21:39:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 จาก#26ของคุณเพ็ญชมพู พอดีเอมซบุตรเป็นนามสกุลแม่ยายของผมสมัยเป็น น.ส. ซะด้วยซีครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 18 พ.ค. 52 22:11:30 ]

ความคิดเห็นที่ 51 จากหนังสือชุมนุมภาพประวัติศาสตร์ทหารและตำรวจครับ จากคุณ : Navarat.C - [ 18 พ.ค. 52 22:12:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52 สมัยเริ่มก่อตั้ง นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นชาวยุโรปแทบทั้งนั้น จากคุณ : Navarat.C - [ 18 พ.ค. 52 22:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สถานีตำรวจภูธรครับ ไม่แจ้งว่าที่ไหน จากคุณ : Navarat.C - [ 18 พ.ค. 52 22:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คคห ๕๑ พ.ต.อ.C.B. Fallet มีทายาทในวงการตำรวจ คือ พ.ต.ต.จำรัส ฟอลเล็ต อดีตเสรีไทย และผู้ก่อตั้งกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 18 พ.ค. 52 22:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 55 #46  แค่อ่านลำดับความว่าไปเที่ยวไหนมามั่ง ก็เวียนหัวไปหมดแล้ว จะฝากให้ไขความเรื่องพระยาราชานุวงศ์ในวัดศรีสุริยวงศ์ เดี๋ยวมิงงไปใหญ่หรือครับคุณพี่ ภาพใน คห.คุณ Navarat.C ตั้งแต่ #50 ผมโหลดยังไงก็ไม่ได้ ไฟล์คงใหญ่เกินความสามารถของเครื่องผมครับ เลยอดรู้เรื่องสำคัญที่อยากรู้ไป พอดีกำลังตามอ่านเรื่องราวของตำรวจไทยในอดีต ตั้งแต่แรกตั้งเลยครับ เลยจำเป็นต้องสืบสาวราวเรื่องคนต่างชาติที่มาเป็นตำรวจเมืองไทยด้วยความจำยอม  พยายามสืบไปจนถึงลำพูนเชียงใหม่เชียงรายก็แทบไม่ได้ความเท่าไร ความอยากรู้ของผม ส่วนหนึ่งท่านคงสังเกตได้จาก #35 ไม่นึกเลยว่าจะเจอผชช.จังจังเข้าอย่างนี้ครับ ภาพนี้ซ้ำกับข้างบนหรือเปล่าไม่ทราบ ถ้าซ้ำก็ขออภัยด้วยครับ พระยารัฐยาภิบาลบัญชา จากคุณ : NickyNick - [ 19 พ.ค. 52 09:06:08 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ท่านนี้คือ พ.ต.ท.ซี.เอช.ฟอร์ตี้ ก่อนโน้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ต.อ.ซี.บี.ฟอลเล็ต (ที่พี่บ้านโป่งอ้างใน 54) ที่สายบางรัก สองภาพนี้ นำมาจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.ฟอร์ตี้ เมื่อปี 2510 น่าสังเกตนะครับ ว่าท่านได้รับพระราชทานเพลิงศพ แสดงว่าท่านเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 52 09:12:07 จากคุณ : NickyNick - [ 19 พ.ค. 52 09:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 57 โชคดีไม่ซ้ำครับคุณนิก แต่รูปของผมอย่างสูงก็ประมาณ100kเอง ทำไมมีปัญหาล่ะครับ รูปในกระทู้เรือพระราชพิธีของพม่า เปิดได้ไหมครับ? จากคุณ : Navarat.C - [ 19 พ.ค. 52 09:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คคห ๕๖ ผมมีข้อสังเกต เรื่องการนับถือศาสนาของท่านเหล่านี้ ส่วนใหญ่ท่านจะมามีภรรยาเป็นคนไทย เช่น C.B. Follet ถ้าจำไม่ผิดมีภรรยาเป็นเชื้อสายมอญ ท่านเหล่านี้ถึงแม้จะไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล แต่เมื่อถึงแก่กรรม บรรดาภรรยาหรือบุตร ก็คงจะจัดพิธีกรรมตามแบบฉบับที่ตนเองคุ้นเคย พี่นิกกี้ เห็นรูปภาพของคุณนวรัตน์แล้วยังครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 19 พ.ค. 52 09:29:06 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ผมพยายามเอารูปตาม # 50 ของคุณ Navarat.c กับ # 55 ของพี่นิคมาเปรียบเทียบกันเพราะอยากรู้ว่ามีอะไรที่เป็นสัณฐานที่แตกต่างกันนอกจาก countenance ที่เปลี่ยนไปที่ผมมองออกเท่านี้ ที่อยากรู้ว่าเครื่องแต่งกายที่สวมนั้นจะเป็นชุดเดียวกันหรือไม่ อันนี้ผมก็เกินความสามารถที่จะหาข้อมูล จุดเวลาของรูปที่พี่นิคนำมาฝากคงเป็นภาพที่น่าจะถ่ายใหม่ที่ต่างกับรูปที่คลาสสิกที่พบได้เสมอ ตามลิงก์ด้านล่างก็ยังเป็นรูปในอิริยาบถที่คล้ายกัน http://www.sampran.go.th/pcaweb/f/f4/pagef4_9.htm ผมไม่เคยได้เข้าไปยลห้องสมุดของกรมตำรวจ (เดิม) แม้แต่น้อยแม้ครั้งหนึ่งเคยได้เล่าเรียนอยู่ใกล้ๆ ที่ให้นึกเสียดายในวันนี้ที่เวลาไม่ได้มีมากเหมือนเมื่อวันก่อนและไม่รู้ว่าแหล่งข้อมูลเก่าๆ และดีๆ ของหน่วยงานนี้จะยืนหยัดคงอยู่มาถึงวันนี้หรือไม่ หลายเรื่องที่อยู่ในใจผมก็พลอยลุ้นไปพอๆ กับการลุ้นให้เครื่องที่พี่นิคโหลดรูปได้เต็มๆ ที่ผมอดใจและตั้งตารอว่าพี่นิคคงมาพร้อมข้อมูลดีๆ อีกเช่นเคยครับ แม้ต้องสืบไกลไปหลายพันลี้แต่หว่างทางแห่งซอกขุนเขาคงพอให้พานพบแหล่งที่อุดมแม้จะมีเพียงแต่น้อยก็ให้เป็นความสุขอันแช่มชื่นนะครับ และยามที่พบ ผชช แล้วผมเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนคงยิ่งทวีอรรถรสอีกนะครับ ผมขอติดตามอ่านนะครับ จากคุณ : Lord JC - [ 19 พ.ค. 52 09:46:32 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ยังไม่เห็นรูปเลยครับพี่บ้านโป่ง รูปของตัวเองที่โหลดไปก็ยังมองไม่เห็นอีก มีกระทู้เรือพม่าอีกเหรอครับคุณ Navarat อ้อ เจอแล้ว ไปแอบซ่อนอยู่เสียที่ไหนก็ไม่รู้ ยังงี้คงจะได้ไปร่วมรำลึกเรือพายด้วยเท้าที่ทะเลสาบอินเล แล้วก็วัดพะดออูในเขตแคว้นแดนไทยใหญ่ตอนใต้อีกแล้วซีครับ จากคุณ : NickyNick - [ 19 พ.ค. 52 09:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 61 คคห ๕๙ ท่านลอร์ดเจซี ผมดูแล้ว ๒ รูปนี้ ชุดเหมือนกันนะครับ หมวกก็เหมือนกัน จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 19 พ.ค. 52 09:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณนิกเข้าที่นั่นได้ แล้วไฉนจึงไม่เห็นรูปของผมในกระทู้ของคุณกัมม์นี่ ก็ทำวิธีเดียวกันเลยนะครับ ท่านอื่นมีใครเป็นบ้างครับ หรือจะให้ผมลงใหม่ให้เล็กลง จากคุณ : Navarat.C - [ 19 พ.ค. 52 10:56:53 ]

ความคิดเห็นที่ 63 น่าจะเป็นที่เครื่องคอมของผมเองครับ แล้วก็เทคนิคบางอย่าง แต่ภาพในคห.เก่ามันก็โหลดได้จนเต็ม คงเพราะมันจำคุกกี้ แต่ของใหม่ภาพยังไม่ออกเลย ทุกกระทู้ในพันทิปเลยครับ รอพรุ่งนี้อะไรมันอาจจะดีขึ้น ส่วนภาพตำรวจ ได้จากที่นั่นแล้วครับ ขอบคุณมาก แต่ผมมาสังเกตว่า ตอน view folder  ของภาพชุดนี้ มันจะไม่ยอมให้ดู filmstrip เหมือนกับภาพจากกล้องเลย (มีแต่ thumbs tiles icons lists details) อาจเป็นข้อจำกัดของเครื่องสแกนเนอร์หรือเปล่าไม่รู้ เดานะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 19 พ.ค. 52 11:38:22 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ผมว่าเป็นเพราะเจ้าคุ๊กกี้กับ temporary internet file ของ IE นะครับ ครั้งแรกที่มันโหลดไม่ได้ เพราะสาเหตุอะไรสักอย่าง แต่มันดันจำ ทำให้เปิดกี่ครั้งมันก็โหลดที่มันจำไว้มาให้ เลยมองไม่เห็นรูปสักที ลอง delete temporary internet file ดูครับ อันนี้เป็นปัญหาของ IE โดยเฉพาะเลยครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 19 พ.ค. 52 13:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เราอนุญาตให้ฝรั่งทำไม้ ตั้งแต่ ร. 5 แต่ไม้เราทำไมเหลือน้อย  ไม้พม่า ยังอยู่หนาทึบ  ทั้งๆ ที่ก็เริ่มทำไม้พร้อมๆ กัน แสดงว่า เราต่อยอด ฝรั่งเรื่องทำไม้ ได้ดีกว่าพม่า   .....   พอๆ  กับ  การทำเหมือง  เดี๋ยวนี้ เหมืองแร่ที่พม่า    แร่ก็ยังอยู่เยอะ   แต่ของเราเจ๊งไปหลายเหมืองแล้ว แสดงว่า  เราขยันกว่าพม่า  ใช่มั้ยคะ ............ ............ จากคุณ : กระจ้อน - [ 22 พ.ค. 52 12:35:03 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ผมไปเริ่มประวัติกรมโลหกิจไว้ที่นี่ครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7893950/K7893950.html จากคุณ : CVTบ้านโป่ง - [ 23 พ.ค. 52 16:50:21 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ภาพของพระยามหาอำมาตยาธิบดี (เส็ง  วิริยศิริ) เพิ่มเติมจาก คห.๒ เพิ่งจะได้มาครับ จากหนังสือพระราชทานเพลิงศพของท่าน รีบนำมาลง กลัวตกรถครับ จากคุณ : NickyNick - [ 26 พ.ค. 52 09:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 29 พ.ค. 52 13:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบพระคุณทุกท่านครับ เป็นข้อมูลเชิงลึกที่เป็นความรู้ใหม่ และขออภัยที่ไม่ได้มาดูแลกระทู้ของตัวเองเลย  ติดงาน เรียนเชิญครับ ตอนที่ ๖ ตั้งมณฑลเทศาภิบาล http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7954063/K7954063.html เทศาภิบาล  ตอนที่ ๖ ตั้งมณฑลเทศาภิบาล  เนื้อหาครอบคลุมเรื่อง - รวมการบังคับบัญชาหัวเมืองขึ้นในกระทรวงมหาดไทย - การรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล - เจรจาเรื่องการเงินกับกระทรวงพระคลัง และเกร็ดพงศาดารซึ่งทรงแทรกไว้ในพระนิพนธ์อีกหลายเรื่อง จากคุณ : กัมม์ - [ 9 มิ.ย. 52 14:22:44 ]