ความคิดเห็นที่ 1 สมาธิสั้นหรือ???...อย่างนี้ก็สวยดิ...อิๆๆๆ  อย่างนี้เรียนเองลำบากหน่อย แต่ถ้าเรียนกับครูที่โหดๆ ถ้าไม่บ้าตายก่อน ก็เก่งแบบเทพไปเลยหละ... เราเคยคิดวิธีการเรียนการสอนคำศัพท์ (ไม่ใช่จำแต่คำศัพท์เป็นคำๆ โดดๆ อย่างเดียว) แต่ต้องจำ Greek and Latin roots และจำเตัวอย่างประโยคมากมาย เพื่อให้เก่ง reading comprehension ด้วย (ถ้า ambitious มากๆ ก็จะเป็นการเรียนการสอนให้อ่าน เพื่อจำสิ่งที่อ่านเจอ เพื่อเอาไปเขียนภาษาอังกฤษ ให้ได้ ไปพร้อมๆกันเลยหละ) แต่วิธีการของเรา ค่อนข้างโหดมากๆนะ คนที่เรียนวิธีนี้กับเรานะ เรียนได้สำเร็จเพราะ "มีแรงจูงใจสูงมากๆเท่านั้น" เราเึคยทดสอบวิธีการเรียนการสอนแบบนี้กับนักเรียน ม.6 ที่เอ็นไม่ติด พวกเขาทำข้อสอบ reading comprehension แทบไม่ได้เลยสักข้อเดียว แต่พวกเขามีแรงจูงใจ คือ "อยากเอ็นติดมหาลัียดีๆ และรู้ว่า ภาษาอังกฤษ เป็นตัวตัดเชือก" เราสอน "อัดแน่น" พวกเขาจำได้เกือบหมด ไม่บ้าแฮะ. ?? ....แปลกดีอ้ะ..???.นั่นมันหลายปีมาแล้วตอนก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็น ONet ANet น่ะ.... หลังจากเราปรับปรุงวิธีการสอน โดยใช้ computer เข้าช่วย แต่คงไว้ซึ่งความโหดเหมือนเดิมนะ ....ทดลองสอนนักศึกษา ปี1. หรือ ปี 2 ที่มีปัญหาอ่าน textbooks ภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ หรือสอนคนจบปริญญาตรีเตรียมสอบปริญญาโทนะ ....ผลปรากฎว่า นักเรียนโตๆพวกนี้นะ ทนความโหดไม่ได้มากเท่าพวกเด็ก ม.6 ที่เอ็นไม่ติด ตกลงเลยเป็นอันว่า นักเรียนรุ่นหลังๆที่เป็นเคนโตๆ แล้วน่ะ พอเจอเราสอนแยกธาตุรากศัพท์ภาษา Greek กับ Latin แล้ว "ยัด" ตัวอย่างประโยคให้จำ แล้ว "บังคับ" ให้เอาตัวอย่างประโยค ไปหัดเลียนแบบ เล่นแร่แปรธาตุ หัดเขียนประโยคภาษาอังกฤษพลิกแพลงมา ให้มากประโยคที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วถ้าหากว้า พอเขียนพลิกแพลงประโยค แล้ว grammar กับ structure มันเละ มากๆ จนอ่านไม่เป็นภาษาคน (เพราะเลียนแบบจากตัวอย่างประโยคได้ไม่แนบเนียน) เราก็จะชี้จุดให้ว่า ต้องไปอ่านหนังสือ grammar กับหนังสือเรื่อง sentence structure  เล่มไหน บทไหนเสริม  .... ผลปรากฎว่า "นักเรียนที่โตแล้ว" ทุกคนพอเจอแบบนี้นะ "เผ่นหนีีกันป่าราบหมดเลยอ้ะ" ....555+++... เราก็คิดอยู่ในใจนะว่า อ้าว ก็ไหนคุณบอกว่า "อยากจะเก่งไวๆ (เพราะจะรีบไปสอบ) เหมือนชื่อบะหมี่ เราก็สอนอัดแน่น นะสิ" แต่ถ้าคุณบอกว่า "อยากเรียนค่อยๆเป็นค่อยๆไป เพราะทักษะทางด้านภาษาต้องค่อยๆพัฒนาไป ตามลำดับจั้นตอน เราก็สอน เนื้อหาสบายๆ ไม่อัดแน่นสิ" .... แล้วเดี๋ยวคนเรียนก็บ่นเอง ใช่ไหมว่า โหเรียนตั้งนาน ยังอ่านภาษาอังกฤษ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย...!!!?? สรุป คุณจะแก้สมาธิสั้นได้ คุณ "ต้องมี แรงจูงใจที่สูงมากๆ จนกลายเป็น ลูกบ้า ไปเลย" ไปอ่านเรื่องวิธีเรียนศัพท์แบบโหดๆ ของเราได้ที่กระทู้นี้ (เราปั่นไว้หลาย คคห ) แล้วลองเอาไปใช้ดู ตาม link ข้างล่างนี้ไป http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K7824789/K7824789.html แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 52 05:31:37 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 52 05:03:21 จากคุณ : fortuneteller - [ 22 พ.ค. 52 04:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เเต่ก่อน ผมเองเป็นคนสมาธิสั้นมากถึงมากที่สุด อ่านหนังสืออะไรก็ไม่เข้าหัว อ่านจบเล่ม เเต่เนื้อเรื่องไม่มีเข้าเล๊ย (หนังสือไทยนี่เเหละ สมัยเรียนมัธยม) สุดท้ายต้องมาอ่านอีกรอบ เเละก็มีทนไม่ไหวปิดหนังสือในที่สุด เพราะงั้นยิ่งมาเจอข้อสอบ reading ต่างๆ ผมไม่อ่านเลยเนื้อเรื่อง อ่านเเต่โจทย์เเละคำตอบ เเล้วค่อยมาสกิมในเนื้อหา หาตัวที่มันตรงกัน หรือเป็นคำศัพท์เหมือนหรือคล้ายกัน ถ้าข้อสอบขีดเขียนได้ ผมก็มาร์คไว้เลยว่าส่วนไหนน่าจะเป็นคำตอบ โอกาสก็ 50 50 นะ เเต่ผลสอบมาก็ได้ประมาณ 75% อัพ นอกจากการอ่านที่สมาธิสั้นเเล้ว การฟังก็เหมือนกัน ตอนนั้นคอยเเต่ไปจับประโยคเเรกๆ เลยฟังไม่ทัน สมองไม่ทันการ วิธีที่ผมทำหลังจากนั้น คือ ฟังอังกฤษเยอะๆ ฟังให้สมองมันชินเเละคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ เลือกฟังเเบบออดิโอ้บุ๊ค หรือเป็นเรือ่งราวที่ต่อเนื่องกันยาวๆ เเล้วก็ฟังวนๆ มันจะช่วยประสาน Gap ที่มีในสมองเรา เหมือนพยายามต่อรถไฟให้เป็นขบวนเดียว ไม่ขาดตอน การอ่านยังไงให้ลดเรื่องสมาธิสั้น ก็วิธีเดียวกัน ผมไม่ได้หาวิธีนี้เพื่อมาเอาชนะปัญหา เเต่เผอิญเริ่มชอบอ่านนวนิยาย เริ่มจาก The Hunting of the Last Dragon (ไม่ว่ากันถ้าใครจะเอาไปอ่านบ้าง) เลยซื้อมาสะสม อ่านๆ อ่านเยอะๆ เลยทำให้เวลาไปเจอบทความ หรือเรื่องสั้น สมองก็ไปได้ทันตลอด เนื่องจากถ้าเราอ่านเยอะเเล้ว ศัพท์ก็ต้องมีเยอะในหัวเรา ซึ่งถึงเวลาที่เราเจอะเจอศัพท์ที่ไม่รู้ เราจะข้ามมันไปโดยสันชาตญาณ เเละพออ่านจบเรื่อง เราก็เข้าใจโดยรวมอยู่ดีว่า เรื่องนั้นจะสื่อเเละไม่สื่อถึงอะไร อย่างไรก็ตาม ถ้าเราตื่นเต้นเกินในการทำข้อสอบ มันก็ส่งผลให้เราอ่านหรือฟังไม่รู้เรือ่งเหมือนกัน อันนี้เป็นอุปสรรคหลีกเลี่ยงยาก เเต่ถ้าคุณคุมสถานการณ์ได้ คุมตัวเองได้ ใจเย็น ค่อยๆอ่าน ค่อยๆฟัง ข้อไหนพลาดไปเเล้ว ก็ชั่งมันอย่าเสียดาย ผลที่ได้ยังไงก็เกิน 80% เเละอีกข้อก็คือ ฝึกทำข้อสอบเเบบฝึกหัดชนิดเดียวกับที่คุณประสบปัญหาบ่อยๆ ทำเยอะๆ มันจะได้รู้เเกรวเเนวข้อสอบ จากคุณ : Thaumaturge - [ 22 พ.ค. 52 10:08:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องหาแรงจูงใจคับ ผมเองเมื่อก่อนเกรียจภาษาอังกฤษมากๆหรือมากที่สุด ไม่เก่งซักกะอย่าง ตอนหลังก็เลยตั้งใจฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองโดยการฟัง ผมฟังทุกวันคับอย่างน้อยวันละชั่วโมง มาเกือบปีแล้ว ตอนแรกก็รู้สึกฝืนๆเพราะฟังเพลงหรือว่าดูหนัง ไม่รู้เรื่องเท่ากับฟังภาษาไทย อยู่มาวันนึงรู้ว่าตัวเองเริ่มฟังรู้เรื่อง ก็เลยเกิดแรงจูงใจในการเรียนรู้ด้านอื่นๆตามมา แค่อยากเล่าให้ฟังคับ จากคุณ : bluemanager01 - [ 22 พ.ค. 52 22:30:45 ]