ความคิดเห็นที่ 1 คงแนะนำว่า จขกท น่าจะไปศึกษาประวัติศาสตร์ทั้งของจีนและไทย เพราะคิดว่า จขกทคงจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ จริงๆวิชาประวัติศาสตร์นี่เป็นวิชาที่ดีมากๆ เพราะจะทำให้เราเป็นคนมี "ราก" และยังทำให้ คนเราเข้าใจชีวิต เข้าใจผู้คน เพราะมันจะเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมต่างๆ ของชนชาติต่างๆ จะทำให้เรารู้ที่มาที่ไป และ "เข้าใจ" คนในชนชาติ ต่างๆ มองอะไรลึกซึ้งไม่ใช่ฉาบฉวย เหมือนกับเด็กรุ่นใหม่ น่าเสียดายมากที่นับวันรุ่นลูกรุ่นหลานเราจะเรียนวิชานี้กันน้อยขึ้นเรื่อยๆ กระทรวงศึกษาก็ไม่ให้ความสำคัญกับวิชาประเภทนี้ มัวไปเน้น แต่ ภาษาอังกฤษ คณิต วิทย์ เทคโนโลยีต่างๆ น่าเสียดายจริงๆ แต่จขกท คงต้องใช้เวลาศึกษานานพอสมควรกว่าจะ"เข้าใจ" อิฉันช่วยแนะนำได้แค่นี้ค่ะค้า..^^ จากคุณ : ป้าคนหนึ่ง (pingan) - [ 24 พ.ค. 52 16:39:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เข้ามาลบข้อความออกทั้งหมดคะ เพราะว่าคิดว่า จขกท.คงไม่เข้าใจที่ คุณค่าต้องการสื่อ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 19:04:40 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 17:10:10 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 17:01:06 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 16:56:26 จากคุณ : คุณค่าที่คุณคู่ควร - [ 24 พ.ค. 52 16:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ดิฉันอาจจะเป็นคนรุ่นใหม่จริง อันนี้ยอมรับ ดิฉันไปอยู่ที่นู่นตั้งแต่14 ปัจจุบันเกือบ30 ได้กลับมาเมืองไทยหลายปีแล้ว คุณป้าคนหนึ่ง (pingan) ดิฉันจะไปศึกษาดูตามที่คุณแนะนำเผื่อจะรู้อะไรมากขึ้นกว่านี้ ที่ดิฉันกล่าวถึงหมายความว่าคนโดยรวม ส่วนมากไม่ใช่ทั้งหมด คุณคุณค่าที่คุณคู่ควร โปรดเข้าใจด้วย และก็ไม่มีเจตนาใดๆทั้งสิ้นเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น ดิฉันเข้ามาหาคำตอบ เพราะไม่ทราบว่าจะไปศึกษาที่ไหน และก็ขอบคุณที่เข้ามาตอบคำถามนะคะ จากคุณ : จขกท - [ 24 พ.ค. 52 17:46:12 A:124.122.61.48 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็ว่าเจ้าของกระทู้ถามเพราะความอยากรู้จริง ๆ นะครับ หางเสียงมิได้แสดงว่าจะดีสเครติดอะไรเลย จากคุณ : ปะหล่อง - [ 24 พ.ค. 52 18:50:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบแบบสั้นๆนะครับ สมัย เหมาปฎิวัติจีนนั้นแหละ ที่การนับถือศาสนาเป็นข้อห้าม ยิ่งยุค แก๊งค์ 4คน ก็แทบไม่เหลืออะไรที่จะเป็นรากเหง้าเดิมๆ จากที่เห็นมาหลายสิ่งถูกทำลายก็ในยุคนี้แหละ เคยคุยกับเพื่อนคนจีนแบบเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็พอสรุปได้ว่า เหมานั้นเป็นจิ๋นซี ในยุคปัจจุับัน นั้นเอง -รูปเจดีย์วัดพุทธใน อำเภอหนึ่งใน มณฑล ซ่านซี ปัจจุบัน เป็นเพียงตลาดขายของ  น่าเศร้าจริงๆ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 19:14:28 จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ - [ 24 พ.ค. 52 19:12:04 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ^ ^ ใช่คะ เหลือไว้เพียงความทรงจำ การมีศาสนา หรือไม่มีนั้น อยุ่ที่ใจล้วนๆ ไม่เกี่ยวว่า ยึดมั่นถือมั่นจริงๆแล้วจะช่วยผลักดัน ให้ประเทศเจริญหรือไม่เจริญ ประเทศจะเจริญขึ้นได้อยู่ที่มือทำคะ ศาสนาเป็นความเชื่อนับถือไปก็ดีกับตัวคนๆนั้น ให้เรามีความสบายใจ จะว่าไป คล้ายๆกับ ไว้สอนคนหัวอ่อนๆได้ แต่ ถ้าคนที่ไม่มีศาสนา ส่วนใหญ่ เค้ามีความมั่นใจตัวเองสูงคะ เชื่อในตัวเอง คุณค่าไม่อยากให้ จขกท.เอามาโยงเกี่ยวกับบ้านเรา เพราะว่า เกรงว่า เดี้ยวมีคนเอาไปโยงเข้าเรื่องการเมืองอีก T_T แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 19:23:28 จากคุณ : คุณค่าที่คุณคู่ควร - [ 24 พ.ค. 52 19:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ประเทศที่มีประชากรเป็นพันล้านคน ขืนมัวอ้อยสร้อยต้อยติ่ง ก้ออดตายละครับ อีกอย่างประเทศจีนเนี่ยยากลำบากมาแต่ไหน แต่ไรนะครับ ไม่งั้นไม่ทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องกระจัดกระจายพรายพัด ไปอยู่ทั่วโลกหรอกครับ ที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เมืองสยามเนี่ย หนีความแร้นแค้นทั้งนั้น ในใจของคนจีนนั้น เป็นที่รู้กันดี แม้แต่คนจีนด้วยกันเองก้อยอมรับ คิดแต่เรื่องกำไร กับขาดทุนเป็นหลัก ขนาดมาอยู่ในเมืองสยาม คติแบบนี้ก็ติดมา ด้วย คนไทยในสมัยก่อนถึงไม่ชอบน้ำหน้าคนจีน ลูกหลานที่เกิด มาชั้นหลังๆก้อยังติดคติแบบนี้อยู่บ้างนะครับ ไม่ต้องไปไกล ไปแค่เยาวราชนี้ก้อเถอะครับ ทดสอบดูได้ เห็นๆเลยละครับ อันนี้ มันเป็นผลมาจากอดีต แต่คนจีนที่มีการศึกษาดีๆ จะไม่มีอะไรแบบ ที่ว่าหรอกนะครับ ออกจะนุ่มนวลและมีมารยาทมากนะครับ ผมรู้ จักผู้หญิงเซี่ยงไฮ้คนหนึ่ง เธอเคยมาอยู่ในเมืองไทยกับครอบครัว โตในเมืองไทย ต่อมาย้ายกับไปอยู่กับครอบครัวที่เซี่ยงไฮ้ ยังรับ นิสัยคนแผ่นดินใหญ่บางอย่างไม่ได้เลย นี่เรื่องจริง เรื่องมารยาท เปรียบเทียบกับชาวญี่ปุ่นแล้วฟ้ากับเหวครับ ขานั้นมารยาทโคดๆ จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 24 พ.ค. 52 19:24:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คิดว่าคุณคุณค่าที่คุณคู่ควร กำลังคิดว่าดิฉันกำลังโยงไปถึงเรื่องการเมืองในบ้านเรา? ขอโทษด้วยถ้าทำให้เข้าใจผิด ไม่มีเจตนานั้นจริงๆ ดิฉันอาจจะตั้งหัวข้อไม่เหมาะสมกับสถานะการณ์ก็เป็นได้ ทำให้คนเข้าใจผิด? ตั้งแต่กล่าวไว้แต่แรกแล้ว ไม่ได้มีเจตนาอันใดทั้งสิ้น จากคุณ : จขกท - [ 24 พ.ค. 52 19:27:28 A:124.121.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 -มาต่อ เรื่องที่ว่าทำไมจีนถึง เจริญมากมายขนาดนั้น อันที่จริง ที่ผ่านๆมา จีนนั้นถือว่า เป็นมหาอำนาจของโลกมาตลอด 3พันปี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้า จีนจะกลับไปยืนอยู่ในที่ๆเคยเป็นมาตลอด  แต่ว่าในด้านมืด ความด้อยความไม่เจริญของจีนก็มีมาก แต่ประเทศที่เจริญทั้งหลายก็มีด้านนี้กันทั้งนั้นครับ จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ - [ 24 พ.ค. 52 19:36:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ดิฉันขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้คำตอบมา คุณหลี่ เสียนหลอ,คุณเต๋านีโอ, คุณปะหล่อง รู้สึกว่ามีบางคนเข้าใจการสื่อคำถามของดิฉันผิดไป (คิดว่าดิฉันต้องการสื่อโยงไปถึงเรื่องการเมือง) อาจจะเป็นดิฉันเองที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดก็ได้ รู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้คนบางคนเข้าใจผิด ยังไงก็ตามดิฉันได้แจ้งลบกระทู้นี้แล้ว หวังว่าไม่ได้ทำให้ใครแตกหัก จากคุณ : จขกท - [ 24 พ.ค. 52 19:46:47 A:124.121.201.6 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ที่เรียกว่าเจริญๆกันทุกวันนี้  ทั้งโลกตะวันตก / ตะวันออก ........................................................................ เป็นความเจริญทางวัตถุเท่านั้น... ทางจิตใจมีแต่เสื่อมถอยลงไปทุกๆวัน ........................................................................ และไม่เกี่ยวกันหรอกว่ามีหรือไม่มีศาสนา จิตใจที่โอบอ้อม+เอื้อเฟื้อ รับรองว่ามีอยู่ทุกๆประเทศในโลก ...อยู่ที่ว่าคุณ จขกท. จะโชคดีได้พบเจอบ้างหรือเปล่า....... และเชื่อว่าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ยังมีคนที่จิตใจดีๆอีกมาก จากคุณ : tumyota - [ 24 พ.ค. 52 20:00:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 >อยากรู้จังว่าจขกท.อยู่เมืองไหน ให้เดาว่าอยู่ทางเหนือหรือเปล่าคะ? >แต่ก่อน เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะ ที่ว่าใจแคบอะไรแบบนี้ แต่กลับคิดว่า เพราะอย่างนี้เค้าถึงได้เจริญ >แต่ว่าต่อมาได้พบคนมากขึ้น ก็เข้าใจ (เอาเอง) ว่าเป็นเพราะประเพณีที่แตกต่างกันมากกว่า ไม่ใช่ว่าเค้าใจแคบหรืออะไร เช่นการเข้าห้องน้ำไม่ปิดประตู ก็ไม่ใช่ว่าเค้าไม่มีมารยาท เพียงแต่มารยาทเค้าต่างจากเรา หรือเพื่อนคนจีนก็เคยถามเราว่า ทำไมคนไทยไม่มีมารยาทเลย ตัวเพื่อนจีนเค้าเอาเยลลี่มาฝากเด็กรุ่นน้องที่มหาลัยโดยมีคนนึงเป็นคนไทย พอเค้าแจกเยลลี่ไป ปรากฏว่าน้องคนนั้นกินแล้วก็บอกว่า อร่อยจัง ขอกินอีกอันได้ไม๊ เพื่อนก็เลยมาถามเรา เพราะเค้าว่า มารยาทจีนเค้าจะไม่ขอกันแบบนั้น ก็ต้องอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า ตามแบบไทย ก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ขอกันกินไม่เป็นไร ถ้าขอกินอีก ก็แสดงว่าเค้าถือว่าให้ความสนิทสนมและแสดงให้เห็นว่าจริงใจและต้องการบอกว่าเยลลี่ของเค้าอร่อยจริงๆ เพื่อนจีนคนนั้นถึงได้เข้าใจ ^-^ จากคุณ : booklovers - [ 24 พ.ค. 52 20:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ่านไปเรื่อยๆ เริ่มจะ งง เหมือนกันแระเนี่ยยย 55+ นอกจากจีนแล้วประเทศอื่นๆที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลยก็มีเยอะแยะไปนะคะ เช่นญี่ปุ่น แล้วก็เป็นประเทศที่เจริญแล้วด้วยเหมือนกัน บางที คนจีน อาจจะไม่ได้เป็นคนใจดำ หรือไม่มีน้ำใจนะคะ แต่เพราะว่า การไม่ยุ่งกับคนอื่น ก็ตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองก็ได้ค่ะ รู้จักคนมาก ช่วยเหลือคนมาก ปัญหาก็มาก เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า คิดว่าคนจีนคงคิดแบบนี้มั้งคะ ประเทศถึงเจริญเร็ว ปล.อิชั้น อยู่ญี่ปุ่น แต่รักเมืองจีน ปัญหาค.เห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจของคนญี่ปุ่นก็ถูกเป็นที่พูดถึงเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าเราเข้าใจในวัฒณธรรมของชาตินั้นๆ เราก็จะอยู่ได้โดยไม่มีคำถามค่ะ จากคุณ : นู๋แคท - [ 24 พ.ค. 52 20:40:24 A:114.17.144.221 X: TicketID:211894 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เอามาตรฐานของตนเองไปตัดสินคนชาติอื่นไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : adial - [ 24 พ.ค. 52 21:28:07 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #1 ปวศ ที่ไทยเน้นสอนกลับเป็นแนวคลั่งชาติมากกว่าเข้าใจ ดูตำราปว ศ โลก ของคณะมนุษย์ศาสตร์ ดันมีมาแต่ เมโสโปเตเมีย กรีก โรมัน ยุคมืด เรเนซองค์ ปฏิวัติอุตสาหกรรม คือมีแต่โลกตะวันตกทั้งนั้น สงสัยก๊อบตำราจากฝรั่งมาทั้งดุ้น จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 24 พ.ค. 52 21:53:35 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรื่องไม่มีศาสนา อย่างที่ผู้รู้ ให้ความเห็นมาละครับ แต่หลังจากที่เติ้งเสี่ยวผิง กลับมามีอำนาจอีกหลังจากโค่นแก๊งสี่คนได้ ก็ไม่มีการห้าม ครับ แต่ทว่า ศาสนา ก็โดนทำลายไปจนเกือบหมดแล้ว เคยอ่านนิตยสาร บิสิเนสวีค ว่าช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ได้ยินมาว่า ทางการจีน ได้มีการส่งเสริมเรื่องศาสนา และ พวกปรัชญาขงจื้อ ขึ้นมาเพื่อศีลธรรมของประชาชน จากคุณ : เหล่าฟาง - [ 24 พ.ค. 52 21:56:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ก่อนอื่น อย่าเพิ่งน้อยใจไปเลย...อันนี้ปลอบนะครับท่านเจ้าของกระทู้... มาว่ากันต่อ เพราะนี่ก็เป็นทางหนึ่งของ 'จีนศึกษา'...การเมืองก้อไม่ใช่ เรื่องที่จะพูดกันไม่ได้ แต่เวลาคุยกันอย่าไปทะเลาะกัน ที่เค้าไม่อยาก ให้คุยกันเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก เรื่องศาสนา เรื่องการเมือง เข้าวงไหน วงนั้นเป็นอัดกันเละเป็นหนมเบื้องทุกที่ มันเป็นซะหยั่งงี้แหละครับ... พูดถึงท่านอดีตประธาน เหมา เราต้องเข้าใจว่า ไม่มีเหมา ไม่มีจีนหยั่ง ที่เป็นอยู่ แต่ถึงมีจีนอย่างที่เป็นอยู่แต่ก้อจะไม่รุดหน้าถ้าไม่มีท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง เจ้าของวจีอมตะ "แมวจะสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูเป็น เป็นใช้ได้" แล้ว 4 ทันสมัย ก้อตามมา... อย่างไรก้อดี อย่าเพิ่งคิดว่า จีนเจริญรุ่งเรือง อย่าเข้าใจอย่างนั้น...ถึงแม้ เราจะเห็นสิ่งทันสมัยมากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดหน้าฝนตามเมืองชายฝั่ง เห็นกระแสทุนไหลบ่าเข้าไปในจีนก้อตาม แต่อย่าเพิ่ง...ถ้าท่านทั้งหลาย หยิบเอาแผนที่ประเทศจีนขึ้นมากางดู ท่านจะพบความจริง ประเทศจีนไม่ ใช่เฉพาะพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเท่านั้น กรุณาชำเลือง ลึกเข้าไปในพื้นที่อันกว้างใหญ่ ... ความยากไร้นานัปการยังอยู่เพียบ ครับ...ประชากรนับพันล้านที่ยังยากจน ยังเป็นภาระของรัฐบาลจีนอยู่ นะครับ หากคิดเป็นเปอร์เซนต์แล้วเฉลี่ยความร่ำรวยตามเมืองชายฝั่ง ให้กระจายออกไปครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ ท่านก้อจะพบว่า จีน ยังเป็นประเทศที่ยากจน เช่น เดียวกับอินเดีย เช่นเดียวกับไทย จะหนัก กว่าด้วยซ้ำถ้าจะว่าไป จีนยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา เช่น เดียวกับไทย รายได้ประชาชาติยังอยู่ในระดับต่ำมาก...เพราะฉะนั้น อย่าหลงภาพถ้า ต้องการเข้าใจจีน จีนไม่ใช่เพียงแค่เซี่ยงไฮ้/เสินเจิ้น แล้วแบบไหนถึงจะเรียกได้ว่า เจริญ? ดูกันที่ไหน? ให้ดูอย่างนี้ครับ ๑/ ดูที่ จีดีพีหรือผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product - GDP) ๒/ ดูที่ความเป็นอยู่ของประชากร ความเป็นอยู่มีอะไร?     - สาธารณะสุขขั้นมูลฐาน ได้แก่ปัจจัยสี่     - การศึกษา     - การสาธารณูประโภค ได้แก่ ถนนหนทาง ความสะดวกในการยังชีพ     - โอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร     - การบริหารทรัพยากรในท้องถิ่น     - สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ดูแล้วเปรียเทียบกับอะไร ? เปรียบเทียบกับมาตรฐานไหน? แน่นอน ว่า ต้องเปรียบเทียบกับมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนในเมกาและคน ในยุโรป เพราะทุกชาติในโลกนี้ต่างวิ่งเข้าไปหามาตรฐานที่ว่านี้ คงไม่ มีที่ไหนเปรียบเทียบกับมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนในประเทศภูฏาน ถึงแม้ว่าในแง่มุมทางปรัชญา ภูฏานอาจจะเป็นอันดับหนึ่งก้อได้ แต่นั่น ไม่ใช่สิ่งที่โลกทุกวันนี้ต้องการ เปรียบเทียบแล้วท่านทั้งหลายจะพบว่า จีนนั้นยังไม่พ้นขีดของความ ยากจน จีนยังไม่ใช่ประเทศที่เจริญ การกระจายรายได้ยังขาดแคลน บานตะโก้แห้ว...ว่าไปก้อยาว ขอจบก่อนดีกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 52 22:06:31 จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 24 พ.ค. 52 22:04:28 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เคยคุยกับเพื่อนจีนที่เพิ่งรู้จักกันตอนไปเที่ยว เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน เขาว่าคนจีนไม่นับถือศาสนา ดูเหมือนจะอิสระ ไม่มีกรอบครอบงำ ทั้งความคิดและแนวปฏิบัติ แต่ลึก ๆ แล้วคนจีนขาดที่พึ่งทางใจนะครับ ก็เลยหาที่พึ่งหาทางออกกันสะเปะสะปะ เพื่อนจีนของผมคนนี้ก็บูชา สตาลิน เช กุวารา ขั้นนั้น เพื่อนบอกว่าฝ่าหลุนกงก็คือทางออกอย่างหนึ่ง ผมเกิดมาก็ได้รับการสั่งสอนอบรมเรื่องศาสนามาตลอด เลยนึกสภาพไม่ออก ว่าเวลาจิตใจไม่มีที่พึ่งจะเป็นอย่างไร นึกไม่ออกจริง ๆ นะ คนจีนรุ่นใหม่ผมมองว่าก็เรียนประวัติศาสตร์แบบ "คลั่ง" นะ ไม่รู้สิ ดูเขาก็โอ่อยู่เหมือนกันว่าเมืองจีนมีอะไรดีมากมาย เพื่อนอีกคน ถึงกับพูดว่าสิ่งมหัศจรรย์ในเมืองจีนไม่ต้องใช้เวลาสร้างเป็นร้อยปีหรอก สร้างเสร็จภายในหลักสิบปีนี่แหละ แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่าคนจีนเกือบ ทั้งหมดที่คุยด้วยรู้จักประวัติศาสตร์ตนเองดีกันหมดทุกคน ถึงจะคลั่งแต่ก็มีข้อดีในส่วนนี้ ถ้าถามเด็กไทยรุ่นใหม่ มีสักกี่คนที่ เรียงลำดับอาณาจักรไทยถูกต้อง จำได้ว่ามีกี่ราชวงศ์ รู้จักพระราชวัง หรือวัดประจำราชอาณาจักรกี่แห่ง? ป.ล. ชอบคำแนะนำของ คห.๑ และ เห็นด้วยอย่างมากกับคห. ๑๕ ผมเอง สมัยเรียนก็จำได้แต่อารยธรรมตะวันตกเพราะต้องเรียนต้องสอบ อารยธรรม ตะวันออกเป็นอะไรที่เรียนแถมมานิดเดียว จำอะไรไม่ค่อยได้เลยจากตำราเรียน แต่หลังจากนั้นมาสนใจอารธยธรรมอินเดียอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้โชคชะตา ก็เล่นตลกให้มาต้องใจกับอารยธรรมจีนครับ :o) จากคุณ : พลายแป้ง - [ 24 พ.ค. 52 23:11:01 A:128.178.250.171 X: TicketID:120371 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เราว่า เป็นเพราะคุณไปอยู่จีนตอนวัยรุ่น เจอการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมทันที เลยไม่ชอบ แถมอยู่จีนมานานในช่วงผู้ใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้าคุณอยู่ที่ไทยในวัยผู้ใหญ่ คุณก็อาจจะไม่มองว่า คนไทยใจดี แสนดี ก็ได้ คนเราพอโตขึ้น คนอื่นก็ใจดีกับเราน้อยลงอยู่แล้ว คนไทยหน้าเนื้อใจเสือมีเยอะแยะ เยอะมากด้วย พวกขี้อิจฉา ใส่ร้าย นินทาลับหลัง แบบละครไทย เยอะแยะมากมาย ส่วนเรื่องคนจีนชอบแย่ง หรือไม่มีศาสนา เราว่าธรรมดามากนะ ประเทศอื่นๆก็เป็นกันทั้งนั้น เสียแต่คนจีนมารยาทแย่กว่าเท่านั้นเอง ซึ่งเด็กรุ่นหลังๆที่รร.ก็จะอบรม ต่อไปในอนาคตคงดีกว่านี้ เรื่องศาสนาเนี่ย เทรนไม่มีศาสนากำลังมาแรงเลย เป็นเทรนทั่วโลก เมืองไทยไม่มีเพราะเป็นศานาพุทธไง คือถ้าเป็นคริสต์หรืออิสลาม ถ้าไม่ไปโบสถ์หรือ ไม่ละหมาด กินหมู อะไรอย่างเนี่ย ก็จะแบบ คงแปลก คนในศาสนาอาจไม่ต้องรับ แต่คนไทยเนี่ย หลายๆคนแทบไม่เคยไปวัด ไม่ตักบาตร ไม่รักษาศีล แค่ถ้าเกิดมีเหตุที่ต้องเจอพระ หรือพระพุทธรูป ก็ยกมือไหว้ ก็ไม่มีใครมาว่าแล้ว ว่าไม่ใช่พุทธ แต่จริงๆมันไม่ต่างอะไรกับการไม่นับถือศาสนาอะไรเลยหรอก จริงๆส่วนตัวคิดว่า การไม่นับถือศาสนา สำหรับคนที่รู้จักคิด มีข้อเสียอย่างเดียวคือ เวลาที่เราไม่มีใคร เราไม่มีที่พึ่งทางใจเลย ศาสนา ถ้าไม่เชื่อ จะไปบังคับให้เชื่อก็ไม่ได้ ต่อให้อยากจะเชื่อ แต่ใจไม่สามารถเชื่อได้ ทำยังไงก็ไม่เชื่อ แล้วทำไมประเทศจีนถึงเจริญ บอกคำเดียว มันใหญ่ ประเทศใหญ่ คนเยอะ แต่ เจริญกว่าไทยหรอ เราว่าไม่ ตามต่างจังหวัดสภาพเละจะตาย คนก็จน เพื่อนคนจีนมีแต่คิดว่าคนไทยรวย คนจีนจน อีกสาเหตุนึงคือ รัฐบาลทำงานเร็ว เพราะเป็นคอมมิวนิส จะสร้างอะไร จะรื้ออะไร ก็ทำได้ เมืองไทยจะสร้างรถไฟฟ้าที คนก็ออกมาประท้วง กลัวรถติด อะไรมากมาย แต่จีนไม่สน รัฐบาลจะสร้างอะไรก็สร้างเลย จะว่าเจริญกว่าก็ไม่เชิงนะแบบนี้ วัตถุเจริญ แต่เสรีภาพ ไม่เจริญ จากคุณ : กกกก - [ 25 พ.ค. 52 06:36:15 A:124.121.248.176 X: TicketID:178919 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ความคิดเห็นที่ 19 คุณมีประโยคที่พูดถูกใจผมจัง... "คนเราพอโตขึ้น คนอื่นก็ใจดีกับเราน้อยลงอยู่แล้ว" จากคุณ : เต๋านีโอ - [ 25 พ.ค. 52 08:14:04 ]

ความคิดเห็นที่ 21 การปฏิรูป 4 เก่าในยุคต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม ได้ถอนรากถอนโคน ศาสนาและลัทธิเก่าๆออกไปจากสังคมจีนเสียมากหน่ะครับ อันที่จริง เดิมทีแต่โบราณมา จีนเองก็ไม่มีสิ่งที่เรียกได้เต็มแก่นว่าศาสนาอยู่แล้ว แนวคิดความเชื่อดั้งเดิมของคนจีนโบราณนั้น ก็คือการบูชาผีสางเทวดา และพลังธรรมชาติทั้งหลายทั้งแหล่ ตามแบบความเชื่อเบื้องต้นของทุกๆสังคมมนุษย์ ในจีนนั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป แนวคิดบูชาพลังธรรมชาติ ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นแนวคิดแบบปรัชญาผสมผสาน โดยการรวมเอาความเชื่อและบูชาพลังธรรมชาติ เข้ากับการปกครองและสังคมครับ ก่อเกิดเป็นลัทธิขงจื้อ เต๋า นิตินิยม ฯลฯ ขึ้นมา โดยปรัชญาของจีนเหล่านี้ จะมีแก่นคล้ายๆกันว่า เน้นการแก้ไขปัญหาหรือเพื่อความสงบ ในชาติภพที่ดำรงอยู่ เลี่ยงหรืออธิบายเกี่ยวกับโลกหน้าหรือโลกหลังความตายน้อย (เพราะจีนเองก็มีความเชื่อในโลกหลังความตายว่า ก็เหมือนโลกนี้นั้นแล แค่เปลี่ยนสถานะนิดหน่อย) แนวคิดด้านปรัชญาของจีน จึงออกไปในแนวนั้นครับ ซึ่งเหล่าผู้รู้หนังสือและปราชญ์ ราชบัณฑิตทั้งหลายก็ยึดถือแนวคิดแบบนี้เสมอมา อีกแนวหนึ่งที่ฉีกออกมาก็คือ แนวคิดแบบผีบุญ เข้าเจ้าทรงผี  ที่เน้นด้านอภินิหารไปเลย ซึ่งพวกนี้ก็ยังเน้นที่การกระทำหรือพิธีกรรม ที่ให้ประสบผลดีหรือเห็นผลในชาติภพที่ดำรงอยู่ไม่แตกต่างไปจากพวกแรก เพียงแต่อาศัยเน้นพลังเหนือธรรมชาติเข้ามากล่อมเกลา (หรือมัวเมา) จิตใจคนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแนวคิดแบบเข้าเจ้าทรงผี ก็แพร่หลายในจีนโบราณมาพร้อมๆกับการพัฒนาของลัทธิขงจื้อ และอื่นๆ (จนตอนหลังแนวคิดทรงผีทรงเจ้านี้ดูเหมือนจะอิงเอาตัวเองไปผสมและบิดเบือนกับลัทธิเต๋าเสียมาก) เมื่อศาสนาพุทธ และศาสนาสารพัดจากโลกตะวันตกเผยแพร่เข้ามาในจีน ศาสนาและของใหม่ๆจากโลกตะวันตก จึงเข้ามาตอบคำถามหรือชี้ทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่ชาวจีนหน่ะครับ เพราะแนวคิดด้านปรัีชญาและฟ้าดินของจีนนั้น ยังตอบปัญหาหลายๆด้านหรือเป็นทางออกและยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างครบถ้วน แบบศาสนาไม่ได้ (เพราะการพัฒนารูปแบบแนวคิด แก่นของปรัชญา พิธีกรรม และการนำเสนอนั้นแตกต่างกันไป) ประกอบกับ ยุคที่ศาสนาพุทธเริ่มรุ่งเรือง หยั่งรากฐานอย่างแน่นหนาลงในทั้งจีนเหนือและใต้นั้น ก็ตรงกับยุคความแตกแยกช่วงราชวงศ์จิ้นตะวันออกพอดี ดังเช่นในจีนเหนือ ที่เหล่าชนชั้นปกครองชาวเซียนเปย แห่งราชวงศ์เป่ยเว่ยนั้น ล้วนนิยมชมชอบและศรัทธาในพุทธศาสนา พวกเขารู้สึกว่าพุทธศาสนานั้น สามารถนำมาใช้เพื่อลบล้างอิทธิพลของแนวคิดแบบขงจื้อ ที่ต่อต้านการปกครองหรือเป็นอุปสรรคการปกครองของเซียนเปยได้ พุทธศาสนาในดินแดนเป่ยเว่ย จึงเจริญรุ่งเืรืองในจีนเหนืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับในจีนใต้ ที่เหล่าชนชั้นปกครองแย่งอำนาจกันพันละวัน ประชาชนทุกข์ยาก ปรัชญาขงจื้อแบบเดิมนั้นไม่อาจจะยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนได้เพราะตอบคำถามหลายๆอย่าง ของความคลอนแคลนในจิตใจมนุษย์ไม่ได้ พุืทธศาสนาจึงเข้ามามีอิทธิพลในจีนใต้อย่างมหาศาล นั่นก็เลยนำมาซึ่ง การรุ่งเรืองถึงขีดสุดของศาสนาพุทธ ในราชสำนักสุ่ยและถังนั่นเอง จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) - [ 25 พ.ค. 52 15:41:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ดีเลวปะปน อยู่ทั่วไป แต่บ้านเขาอาจจะเยอะหน่อย เขาเลว มันเลว ใครๆก็แสนเลว................ คุณสนใจ?..........แล้วตัวเราเลวเท่าเขาไหม............ จากคุณ : น้องนิดหน่อย - [ 25 พ.ค. 52 15:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 23 บางทีหรือส่วนใหญ่การตัดสินอะไรก็มีความสำเอียงทางความคิดเป็นทุนเดิม หรือใช้สิ่งที่ฝังอยู่ในใจ หรือใช้ paradigms ที่อยู่ในใจเป็นตัวตัดสิน หากไปเดินถนนที่เกาหลี หรือญี่ปุ่น คนที่นั่นต้องแข่งกับเวลา เดินชนไม่สนใจใคร คุณก็คิดได้ว่าเพราะประเทศเขาต้องแข่งกับเวลา แต่พอมาที่จีน ในเหตุการณ์เดียวกัน คุณก็สามารถบอกได้ว่า ไม่มีมารยาท คนเมืองหนาวทางยุโรป ไม่อาบน้ำ แต่ฉีดน้ำหอม คุณก็บอกว่าแฟชั่น พอมาที่จีน หนาวแทบแย่ คุณก็บอกว่าสกปกไม่อาบน้ำ ฝรั่งมาเมืองไทย ร้อนตับแตก ถอดเสื้อเดิน คุณก็บอกว่าเท่ห์ พอคนจีนถอดมั่ง คุณก็บอกว่ากุ้ย ไปเที่ยวยุโรป กระเป๋าหายไปโดยไม่รู้ตัว ไวอย่างกะลิง ก็จะบอกว่าไม่ระวังเอง แต่มาจีน ก็บอกว่าขโมยเยอะระวังไว้ ไปทัวร์เที่ยวเมืองจีน คุณซื้อทัวร์ราคาถูก ไปถึงก็บอกอาหารไม่ดี แต่ไปทัวร์ญี่ปุ่น เกาหลี อาหารดี แต่ลืมไปว่าค่าทัวร์แพง ลืมไปว่าราคาและคุณภาพนั้นไปด้วยกัน ขอแก้ไขข้อความเขียนในชัดสักนิดนะครับ ที่ผมใช้คำว่าคุณ นั้นไม่ได้หมายถึงเจ้าของกระทู้นะครับ เป็นเพียงการใช้ในความหมายทั่วไปครับ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 52 08:32:40 จากคุณ : World.Beater - [ 26 พ.ค. 52 08:26:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ๕๕ ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เท่าไหร่(แย่นะเนี้ย) แต่คนจีนที่ไม่มีศาสนาเยอะจริงค่ะ ก็จะเชื่อมั่นในตัวเองสูง เคยมีเพื่อนคนนึงสนิทมากหน่อยก็ถามเค้า เค้าก็บอกว่าเค้าไม่มีเหตุผลเหมือนกัน งงเล็กๆ เราว่า...จิตใจของคนที่ไม่มีศาสนาก็ไม่ได้แย่ไปกว่าคนที่มีหรอกค่ะ(โดยเฉพาะที่มีศาสนา แต่ไม่นับถือ ไม่รู้แก่น ไม่รู้ว่าจะapplyยังไง) เพียงแต่เค้าก็จะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อ่อนแอ่ง่ายเท่านั้นเอง จากคุณ : หนูคิสเซอร์วิส (KissAhoLicGal) - [ 27 พ.ค. 52 17:53:30 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คนจีนเชื่อในคำสอนมากกว่าตัวบุคคล คำสอนของลัทธิหยู มีมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครไปกราบไหว้ขงจื่อกันซักคน... ศาสนาหรือลัทธิ มันก็แล้วแต่คนจะนิยาม ทุกๆอย่างมันก็มีดีหรือเสียต่างกันไป ไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่วินัยนั้นมีกันหรือเปล่า?? จากคุณ : ซายูบิ - [ 27 พ.ค. 52 21:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ศาสนามีไว้เพื่อสอนให้คนรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด สอนให้คนเรามีศิลธรรม เมื่อประเทศใดไม่มีศาสนาประเทศนั้นก็จะไม่รู้สิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด คนจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมถูกลบศาสนาออกไปจากใจเกือบทุกคน อีกทั้งก่อนหน้านั้นก็ต้องมาพบกับสงครามภายในประเทศและนอกประเทศจึงทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัวจึงเกิดขึ้น เมื่อเปิดประเทศ ระเบียบวินัยต่างก็แถบจะไม่มีเหลือ ความโอบอ้อมอารีนั้นแทบจะไม่มีอยู่ให้เห็น อันนี้ต้องเข้าใจด้วยเป็นประวัติศาสตร์ของเขา ที่เราคนนอกต้องเข้าใจ ไม่ถือว่าผิด แต่เมื่อเรามีศาสนารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดก็อย่าไปทำตามเขา ประเทศไหนไม่มีศาสนาคนประเทศนั้นย่อมหาความเจริญไม่ได้ อันนี้เป็นความจริง ประวัติศาสตร์แต่ละประเทศย่อมมีศาสนาเป็นองค์ประกอบ เป็นตัวขับเคลื่อน ประเทศจีนนั้นพัฒนาไปได้ไกลกว่าบ้านเราก็จริง แต่การพัฒนาคนนั้นไม่ใช่ว่าจะทำได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ วัตถุนั้นพัฒนาไปได้เร็ว แต่จิตใจคนเรานั้นพัฒนาไปได้ช้า การพัฒนาของจีนนั้นวิ่งแซงไปก่อนการพัฒนาจิตใจของคนจีน จึงทำให้ จขกท.เห็นในสิ่งเห็น จากคุณ : โก้ (koo1405) - [ 27 พ.ค. 52 22:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 จริงๆแล้วก้ตามที่พี่ๆตอบกันไป แต่อีกเหตุผลนึงเลยคือ คอมมิวนิสไม่สนับสนุนให้คนนับถือศาสนา เพราะถือว่าศาสนาเป็นสิ่งมอมเมา จะให้ยึดถือแต่แนวของลัทธิคอมมิวนิส ซึ่งว่าง่ายๆก้คือ ไม่ต้องการอะไรให้เปนที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจนอกจากตัวท่านผู้นำ หรือประธานเหมานั่นเอง แล้วยิ่งในช่วงปฏิวัฒธรรม ยิ่งทำการกวาดล้างศาสนาครั้งใหญ่ พวกเรดการ์ดได้ทำการฆ่าพระ ทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คนจีนเพิ่งจะกลับมาเริ่มนับถือศาสนา ก้ในช่วงยุคท่านเติ้ง นั่นเอง แล้วนี่ก้เปนอีกสาเหดนึงว่าทำไมลัทธิฟาหลุนกง จึงมีอิทธิพลในจีนมาก เพราะจีนไม่ค่อยมีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ อะไรที่ทำคนจีนรุ้สึกได้ว่าเป็นที่พึ่งทางจิตใจก้จะคล้อยตามและถอนตัวยังยากนั่นเอง จากคุณ : skull - [ 1 มิ.ย. 52 01:53:10 A:58.9.106.175 X: ]