ความคิดเห็นที่ 1 แฟชั่นในหมู่คนไทย ก็คือเวลาจะสอบ toefl, toeic, ielts ฯลฯ  ก็จะไปลงเรียนทำข้อสอบ toefl หรือtoeic หรือ ielts และอื่นๆอีกมากมาย สุดแต่ว่าใครจะสอบอะไร แท้จริงแล้วการเรียนทำข้อสอบ มันเหมาะกับคนบางคน แต่ไม่เหมาะกับคนทุกคน มีคนบางประัเภทที่เรียนแล้ว ไม่รู้เรื่อง ตามไม่ทัน และไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ไม่มีทางสอบได้ด้วย คนที่จะสอบข้อสอบพวกนี้ได้ sure ๆ จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ "สามารถเอาหนังสือเตรียมสอบ ที่เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ กับ CD ที่มาจากต่างประเทศ มาอ่านเอง ได้รู้เรื่อง และฝึกฟัง CD เองได้ ฝึกทำข้อสอบเองได้ หาทางหนีทีไล่เองได้ แถมยังเดาได้ด้วยว่าข้อสอบจะออกมาแบบไหน" ดังนั้น วิธีการสอนที่ perfect ที่สุด ที่สอนคนได้ทุกคนให้เข้าใจ ก็คือ สอนให้ผู้เรียนมีทักษะ ดังเช่นที่กล่าวไว้นี้ และมีแค่ "หลักสูตรเดียว" หลักสูตรเดียวที่ว่านี้ ใครเรียนแล้ว จะทำข้อสอบได้ทุกประเภท จากคุณ : fortuneteller - [ 25 พ.ค. 52 01:21:12 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หลักสูตรเดียวที่ว่านี้ เนื้อหาน่าจะมีเคร่าๆดังนี้ 1. สอนว่าเสียงพยัญชนะ กับเสียงสระ ในภาษาอังกฤษมีกี่เสียง ผสมกันแล้วออกมาแบบไหน เปลี่ยนเสียงตรงไหนบ้างเมื่อคำหลายๆคำมาสร้างประโยค และพูดเร็วๆ  สอนตัว IPA เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนสามารถเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษได้ 2. แจก lists คำศัพท์ เริ่มตั้งแต่ 800 คำพื่้นฐาน ลองทำตัวอย่างประโยคให้ดู ว่าคำศัพท์แต่ละคำมี "พฤติกรรมเฉพาะตัว" อย่างไรบ้่าง แล้วเพิ่มเป็น 1500 แล้วเพิ่มเป็น 2000 แล้วเพิ่มเป็น 3000 แล้วเพิ่มเป็น 5000 คำ 3.  ในขณะค่อยๆสอนศัพท์ตามข้อ 2. ต้องพัฒนาความรู้เรื่อง grammar และ sentence structure ไปด้วย  นั่นก็คือ ในขณะที่เรียน reading comprehension ไม่ใช่จำแต่คำศัพท์เป็นคำโดดๆ แต่ต้องเรียนจากตัวอย่างประโยค แล้วให้ผู้เรียนหัดเอาคำศัพท์ไป "พูดพลิกแพลง" และไป "เขียนพลิกแพลง" 4. ใช้สื่อการเรียนการสอนมากกว่า CD ข้อสอบ ควรเป็นสื่อธรรมชาติ เช่น video clips เพลงสากล  ที่อัดจากรายการต่างประเทศ  ข้อความจาก websites หนังสือพิมพ์ วารสาร  ต่างประเทศ (ใช้ความรู้ IT เตรียมสือการสอน) และใช้อื่นๆอีกมากมาย 5. ในระหว่างการพััฒนาทักษะต่างๆ ต้องสอนให้เปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษ สอนให้ผู้เรียนหาข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้จาก google จนกระทั้่งผู้เรียน search ได้เอง ว่า มีหนังสืออะไรดีๆ ที่ไหน หรือ websites ดีๆที่ไหน 6. พยาบามให้นักเรียนใน classroom มีโอกาสฝึกพูด ไม่เพียงแต่จะพูดกันเอง แต่ควรจะ พานักเรียนออกนอกสถานที่ ไปฝึกพูดกับชาวต่างชาติให้แหล่งท่องเที่ยว 7. และเทคนิคอื่นๆอีกมากมาย ...โดยมีหลักการที่สำคัญคือ... "ไม่ต้องไปสนใจมัน ว่าข้อสอบมันจะออกมาแบบไหน" เมื่อนักเรียนมีทักษะพื้นฐานแข็งแกร่งพอแล้ว จึง "ตัดหางปล่อยวัดไปเลย".... แล้วให้นักเรียนไปซื้อหนังสือกับ CD เตรียมสอบ จากต่างประเทศ มาอ่านเอง คนที่เรียนทักษะพื้นฐานมาจนแข็งแกร่ง ถ้าใช้สติปัญญาหน่อยๆ พอเห็นตัวอย่างข้อสอบ (ที่อ่านเอง) ก็จะเดาแบบ intelligent guess ได้ด้วย ว่า ข้อสอบมันน่าจะออกมาได้กี่ทาง ตามหลักวิชาความน่าจะเป็นไปได้ นี่เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่น่าจะ make sense ที่สุด  เพราะอะไร? ตอบ เพราะข้อสอบพวกนี้ สร้่างขึ้นเพื่อวัดว่าผู้เข้าสอบ เมื่อหลายปี ที่ผ่านมา มีกิจกรรมเสพย์สื่อภาษาอังกฤษ มากพอหรือเปล่า อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้ยิน ได้พูด ได้อ่่าน และได้เขียนภาษาอังกฤษหรือเปล่า   "ข้อสอบไม่ได้วัดกันที่นักเรียนไปเรียนทำข้อสอบมากแค่ไหน" การอยู่ดีๆไปเรียนทำข้อสอบ โดยไม่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เรียนไป ก็ไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ เพราะครูไม่ได้สอนให้จับปลา แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 01:53:31 แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 01:49:14 จากคุณ : fortuneteller - [ 25 พ.ค. 52 01:48:19 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในการทำการตลาดเพื่อขาย courses ภาษาอังกฤษ ถ้าประชาสัมพันธ์บอกผู้สมัครเรียนว่า วิธีการสอนที่น่าจะ  make sense "จะเป็นการพัฒนาทักษะทุกอย่างไปตามลำดับขั้นตอน" โรงเรียนภาษาที่ไหนขาย courses แบบนี้ มีหวังเจ้ง ...555+++.... มันทำให้ "ขาย courses ไม่ออก เพราะนักเรียนทุกคนอยากเรียนแล้วเก่งๆไวไวเหมือนชื่อบะเหมี่ แล้วสอบได้คะแนนดีๆ ไวๆ" สรุป แล้ว เรื่องราวมันก็ ironical นั่นก็คือว่า คนที่อยู่ดีๆไปเรียนทำข้อสอบ แล้วสอบผ่านเลยนั้น แท้จริงแล้วเขาเรียนเอง (จากหนังสือและ CD จากต่างประเทศ) ก็น่าจะผ่านได้ (เพราะเขามีพื้นอยู่แล้วบ้าง) แต่แค่ไม่มั่นใจ ก็เลยต้องไปเสียเงินเรียน ส่วนคนที่ไม่มีพื้นฐานดีพอ อยู่ดีๆไปเรียนทำข้อสอบ เรียนๆไป ก็ยิ่งงง แล้วก็สอบไม่ได้อยู่ดี จนเลิกสอบไปเลย สรุปแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ ก็ demand ในเรื่องที่ impossible และโรงเรียนสอนภาษาก็สนองความต้องการ โดยการขาย courses แบบ "สร้้างฝัน"..... จากคุณ : fortuneteller - [ 25 พ.ค. 52 01:48:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นคุณพี่หมอดูว่าแล้วก็อดคันมืออีกไม่ได้...(ข้อความต่อไปนี้ไม่ได้พาดพิงถึง จขกท หรือใครโดยเฉพาะแต่ประการใด) การเรียนคอร์สพวกนี้ จริงๆแล้วเหมาะกับคนที่พอมีพื้นฐานแต่ยังขาดความมั่นใจจริงๆครับ และปริมาณของคนเหล่านี้จะอยู่ที่ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ส่วนใหญ่ที่เหลืออีก 70-80 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นพวกไม่มีพื้นฐานแต่อยากสอบได้ (ซึ่งก็น่าเห็นใจมาก) ในการสอบแต่ละครั้ง คนจำนวนส่วนน้อยที่พอมีพื้นฐานหรือพื้นฐานดีอยู่แล้วแต่ขาดความมั่นใจมักจะสอบผ่านตามคะแนนที่ตัวเองพอใจ และคนพวกนี้จะกลายเป็นปลายยอดปีรมิดที่ถูกนำมากล่าวถึงเพื่อการโฆษณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขยายฐานปีรมิด(คนที่ไม่มีพื้นฐานแต่อยากสอบๆได้)ให้เข้ามาเรียน มีการประมาณการกันว่าธุรกิจวิชาการกวดวิชาหรือติวภาษาในบ้านเรามีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี แต่กลับกลายเป็นว่าความสามารถด้านภาษาต่างประเทศของคนไทยก็ยังติดลบ หรืองูๆปลาๆไปไม่ถึงไหนอยู่นั่นเอง... ด้วยระบบการศึกษาของไทยไม่ได้ส่งเสริมให้คนเรียนสามารถเรียนได้ด้วยตัวเอง เน้นการเรียนเชิงปริมาณ และยึดติดกับการเรียนกับครูเป็นหลัก จึงทำให้คนไทยเรียนเองไม่เป็น และขาดความมั่นใจในตัวเองในแทบทุกๆเรื่อง ดังจะเห็นได้ว่าคนไทยมักติดนิสัยขี้กลัว ไม่กล้าแสดงออก เวลาเจอปัญหาการเรียนอะไรที่ยาก(ลำบาก)มักไม่อดทน และจะอิดออดต่อรอง และขอให้คนอื่นช่วยเหลือเป็นประจำ ผลมันตามมาเป็นลุกโซ่ในที่สุด...เมื่อการศึกษาในระบบไม่สามารถตอบสนองให้ความรู้+ความมั่นใจที่แท้จริงกับคนเรียนได้ จึงเกิดมีการศึกษานอกระบบเกิดขึ้นมากมายหลายหลักสูตรยิ่งกว่าดอกเห็ดหน้าฝน....และแทบทุกหลักสูตรจะเป็น "หลักสูตรรับรองผล" เพื่อตอบสนองปัญหาทางจิต(ใจ)เรื่องความไม่มั่นใจและการขาดที่พึ่ง โดยคนเรียนมองข้าม หรือหลอกตัวเองไม่พูดถึงความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ข้อหนึ่งก็คือ ต่อให้เสียตังค์คอร์สเป็นหมื่นเป็นแสน แต่โดยหลักแล้วไม่ออกแรงขยันเรียนเองเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จในการเรียนได้อย่างเด็ดขาด เพราะวิชาภาษานั้นเป็นวิชาทักษะเหมือนกับ เต้นรำ ร้องเพลง ว่ายน้ำ คนสอนอาจสอนได้แค่หลัก(ในเวลาจำกัด) แต่สุดท้ายคนเรียนเองนั้นแหละที่ต้องฝึกฝนและพึ่งพาตัวเองเป็นสำคัญ... แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 09:47:44 จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 25 พ.ค. 52 09:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอนเช้าเข้ามาดู โดนเทศน์เเต่เช้า "- -" ...... แต่ไม่เป็นไร มีใครพอจะตอบคำถามเราได้ก็ช่วยหน่อยละกันนะ จากคุณ : ตำรวจ ไฟฟ้า - [ 25 พ.ค. 52 11:58:22 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เปล่าหรอกคุณ ตำรวจ ไฟฟ้า เราตามเกาะพี่ๆเขาอยู่ เขาอยากแนะคุณหรอก ดูซีเขียนเสียยาวอย่างนี้ จริงๆพี่เขาไม่มีเวลาด้วยนะเออ  เขาช่วยเขียนให้คุณน่าดีใจทีเดียว เราก็เลยมาลักเรียนด้วย เราไม่เคยเรียนเลยช่วยไม่ได้ ขอให้โชคดีนะคะ ขอให้มีคนมาช่วยเร็วๆละกัน เผื่อคนสนใจข้อหนึ่ง เราไปค้นมา http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/grammar/pron/sounds/ เราว่าเว็บนี้ก็ดีนะคะ จากคุณ : ploy_angjoe - [ 25 พ.ค. 52 13:27:59 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ได้ว่าอะไร จขกท หรอก เพียงแต่แนะนำว่า ถ้าผู้สอนแนะแนวให้ผู้เรียนสำรวจดูให้ดีๆว่าวิชาภาษาอังกฤษในแต่ละระดับมันมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง และจะต้องพัฒนาทักษะอะไรบ้าง เพื่อที่จะวางฐานรากที่แข็งแรง ตวามรู้พวกนี้มันเหมือนกับ building blocks ที่เอามาก่อตึกป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ถ้าไม่วางฐานรากก่อน แต่อยู่ดีๆไปสร้างหลังคาก่อน มันก็หล่นลงมาพัง ดังนั้น การเตรียมสอบ โดยการไปเรียนทำข้อสอบเลย จึงอาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้เรียนบางคน  แต่โรงเรียนสอนภาษาส่วนใหญ่มักจะเน้นสอนทำข้อสอบ เพราะมันจูงใจให้คนมาเรียนกันมาก  เนื่องจากหลายๆคนเชื่อกันผิดๆว่า ถ้าเรียนแล้วจะสอบได้ ถ้าไม่เรียนจะสอบตก แต่ในเมื่อหลวมตัวเรียนไปแล้ว ถ้าตามไม่ทัน ก็ต้องหยุดผู้สอน แล้วถามว่า ผมตามไม่ทัน เป็นเพราะผมไม่มีพื้นฐาน topics ไหน และจะไปแก้จุดอ่อนตรงไหน เช่นต้องไปอ่านหนังสือเล่มไหนเสริม หรือไปทำกิจกรรมอย่างใดเสริม การสอนที่ดีไม่ใช่การสอนแบบผู้สอนพูดแล้วให้นักเรียนนั่งจดยิกๆลูกเดียว (ใครเรียนแบบนี้เขาเรียกว่า passive learning) ผู้สอนควรส่งเสริมการเรียนแบบ active learning คือผู้เรียนมี participation เ้ช่นมี discussion กันหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น improvisation (คิดคำพูดสดๆโต้ตอบกันคล้ายๆแม่ประยูรกับทินกรเล่นลำตัด แต่ทำเป็นภาษาอังกฤษ (ไม่ต้องเป็นโคลงก็ได้))  หรือ role-playing (ลองเล่นละครภาษาอังกฤษกันดู)  ฯลฯ... และผู้สอนควรขอ feedback จากผู้เรียน เป็นระยะๆ และเมื่อรู้ว่า ใครมีพื้นฐานไม่แข็งพอที่จะเรียนเรื่องที่กำลังเรียน ก็ควรแนะนำให้ไปเรียนเรื่องที่ง่ายกว่านี้มาก่อน (ให้ย้ายไปเรียนระดับต่ำกว่านั้นมาก่อน)  หรือถ้าโรงเรียนไม่สอนระดับต่ำกว่านั้น ก็ควรให้นักเรียนเลิกรียน แล้วคืนเงินให้นักเรียนไป แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 15:25:12 แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 15:15:25 แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 52 15:04:36 จากคุณ : fortuneteller - [ 25 พ.ค. 52 15:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มาตอบคับ เดี๋ยวเจ้าของกระทู้จะน้อยใจ อิอิ ไม่รู้ว่าตอนที่เราเรียนกะเจ้าของกระทู้เรียนจะเหมือนกันมั้ยนะ แฮ่ เริ่มเลยดีกว่า จำเป็นไหมต้องเรียน ตาม หมายเลข 1-52 >>> เราคิดว่าไม่จำเป็นนะ ตอนเราเรียน ไปวันแรกก็งง เหมือนกัน แต่ตอนที่เราเรียน มันไม่ใช่แบบ หมายเลข 1-52 อ่ะนะ ในแต่ละเทปที่เราเรียน แทบไม่มีความต่อเนื่องกันอ่ะ จะแยกๆ ตาม reading แต่ละอัน listening แต่ละอันไปเลย เหมือนว่าขาดเรียนก็ยังต่อติด แล้วตอนเริ่มคอร์สเขาก็ไม่ได้มาเริ่มอะไรที่แบบให้มาจดๆหัวข้อเป็นกิจลักษณะอ่ะ จะสอนๆให้จดตามแต่ละ reading ไปเลยอ่ะ เรียนยังไงให้เกต >>> เราเรียนซ้ำๆๆ ครั้งแรกจดไม่ทัน ครั้งต่อไปจดซ้ำที่เดิม ก็พอไปได้นะ จดทุกอย่างที่เขาเขียนอ่ะ นอกเรื่องเราก็จด 555 เพราะว่ามันจะช่วยให้เราจำความหมาย ลักษณะการใช้ของคำๆนั้นได้อ่ะนะ อย่างที่บอก จดครั้งแรกเอาแต่ประเด็น ครั้งที่สองไปเอาน้ำจิ้มให้จำง่าย แล้วก็ต้องกลับมาสรุปไว้อ่านเองอีกทีอ่ะ (อันนี้คิดจะทำ แต่ยังไม่ได้ทำเลย เรียนจบมาก็นานแล้ว 55) เพราะไม่งั้นก็จะเรียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่มันชัดเจน เพราะเขาสอนพลิกแพลงไปตามข้อสอบน่ะ ไม่ได้สอนกฏตายตัว ส่วน cd ที่ให้มา เราไม่เคยฟังเลยอ่ะ แหง่ววว ตอบไม่ได้ ไม่รู้จะตอบตรงคำถามรึเปล่า เอิ๊กๆ ไปดีก่าเรา จากคุณ : tetchan - [ 25 พ.ค. 52 18:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 1 มิ.ย. 52 19:50:50 ]