ความคิดเห็นที่ 2 รอด้วยคนครับ จากคุณ : วรวินทร์ - [ 25 พ.ค. 52 19:50:10 A:124.157.142.50 X: TicketID:217180 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ฝากผู้รู้ ช่วยแถลงไขด้วยนะคับ เคยดูในนิตยสาร ประมาณปี 2525 (อาจจะจำผิดนะคับ ) ที่ สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นแม่กองในการบูรณะพระบรมมหาราชวัง แล้วเห็นว่าทรงเข้าไปเยี่ยม คนที่อาศัยใน พระบรมมหาราชวัง ในรูปเห็นเป็นผู้หญิงแก่ๆมอม ไม่ทราบว่า เป็นข้าหลวงที่ถวายงาน แล้วไม่มีที่ไป( อย่างคุณช้อย ในสี่แผ่นดิน) หรือป่าวคับ ช่วยมาบอกคำตอบเร็วๆนะคัย อยากรุจัง ขอบพระคุณคับ จากคุณ : หนอนตุ่น (หนอนตุ่น) - [ 25 พ.ค. 52 22:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หลายพระองค์ประทับในพระบรมมหาราชวังครับ ด้วยทรงติดที่ รับสั่งว่าถ้าโดนระเบิด(จากสงคราม) ก็ยอมสิ้นในวังหลวง บางพระองค์ประทับวังส่วนพระองค์ เช่นเสด็จพระองค์วาปี ประทับวังวาริชเวสม์เป็นต้น เบี้ยหวัดรายปี อาจจะลดทอนลงบ้าง แต่ก็ได้รับครับผม จากคุณ : natthaset - [ 26 พ.ค. 52 03:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ทราบว่ามีท่านหนึ่งที่ถือกุญแจห้องต่างๆในวังหลวง ไม่เคยออกนอกประตูวังเลย  ท่านเล่าให้ฟังตอนกรุงเทพฯ 200 ปี  ตอนนั้นท่านก็อยู่วัยกลางคนแล้วค่ะ จากคุณ : tintila - [ 26 พ.ค. 52 19:56:30 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีครับ  เห็นกระทู้ก็เลยแวะเข้ามาแรกเปลี่ยนความรู้ครับ สำหรับเจ้านายฝ่ายในนั้น หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สวรรคตแล้ว  บรรดาเจ้านายที่อยู่ฝ่ายในก็ได้พากันออกไปอยู่ในวังส่วนพระองค์ของพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ กันมากและเจ้านายอีกหลายพระองค์ก็ได้สิ้นพระชนม์ลงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นกัน  แต่พอเกิดการปฏิวัติ ในปี พ.ศ.๒๔๗๕  บรรดาเจ้านายหลายพระองค์ที่เหลืออยู่ต้องได้รับผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัส  เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ต่างก็ถูกลดบทบาทลง  มีการล่วงละเมิดอย่างมากมาย  ทำให้เจ้านายต้องเสด็จ  "ลี้ภัยทางการเมือง"  ไปอยู่ต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย  สิงคโปร์  อินโดนีเซีย  บรรดาข้าหลวงในวัง  บ้างก็เดินทางตามเสด็จไปยังที่ประทับใหม่  แต่บางคนก็ทูลลากลับไปอยู่กับญาติพี่น้องของตน  ปัจจุบันนี้ยังมีข้าหลวงร่วมเหตุการณ์สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่หลายท่าน จากคุณ : ครูอาร์ม (เจ้าคุณโบราณ) - [ 27 พ.ค. 52 21:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าจำไม่ผิด เจ้าจอมคนสุดท้ายที่ประทับในพระบรมมหาราชวัง จะเป็น เจ้าจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์ (มั้งครับ) ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เพราะท่านเพิ่งสิ้นไปเมื่อปี 2524 นี้เอง ไม่แน่ใจเท่าไรนะครับ ยังไงรบกวนผู้อื่นด้วย จากคุณ : วรวินทร์ - [ 27 พ.ค. 52 22:46:57 A:124.157.136.179 X: TicketID:217180 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอตอบและอ้างอิงโดยคัดลอกจากข้อมูลเท่าที่มีหากแต่หลากแหล่ง  อันจะมีมากสักหน่อยเนื่องจากเป็นข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกันในหลายบันทึกความทรงจำ    ทั้งนี้ เพื่อความเข้าใจของผู้อ่านถึงสภาพบ้านเมืองในขณะนั้น จากหนังสือ  “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า”   เรียบเรียงโดย   คุณหญิงวินิตา   ดิถียนต์ (ว.วินิจฉัยกุล)   และ  คุณชัชพล   ไชยพร   กล่าวถึงตำหนักที่ประทับของพระนางเจ้าสุวัทนาฯ  และ  สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ   ไว้ดังนี้...... “พระตำหนักสร้างอยู่ในเขตพระราชฐานฝ่ายใน (ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์  กรมขุนสุพรรณภาควดี พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ประสูติแต่เจ้าคุณประยูรวงศ์    สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่รัชกาลที่ ๕  มีผลให้พระตำหนักยังว่างอยู่ )  เมื่อย้อนไปสมัยรัชกาลที่ ๕ เคยเป็นสถานที่คึกคัก    อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยชาววังทั้งเจ้านายฝ่ายใน   เจ้าจอม  และบรรดาสตรีข้าน้ำคนหลวง   แต่เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๕  พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองรัชกาลก็มักประทับอยู่ในพระราชวังข้างนอก   เจ้านายฝ่ายในและเจ้าจอมก็พากันย้ายออกมาประทับที่สวนดุสิตกัน   เขตพระราชฐานชั้นในก็อับเฉาโรยราลง    เหลือเจ้านายฝ่ายในอยู่เป็นจำนวนน้อย   เมื่อพระองค์ใดสิ้นพระชนม์ไป    ตำหนักก็ปิดลง   ทำให้ดูเงียบเหงากว่าแต่ก่อนมาก”   “จนกระทั่งถึงฤดูร้อนของ พ.ศ. ๒๔๗๕   ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ที่สุดในการปกครองยุครัตนโกสินทร์      ขณะนั้นเป็นเวลาต้นเดือนมิถุนายน    พระนางเจ้าสุวัทนาฯ  ทรงพาพระธิดาไปประทับที่หัวหิน................ทรงทราบข่าวที่ไม่เคยทรงคาดฝันมาก่อนว่า   เกิดการปฏิวัติขึ้นในพระนคร.................พระนางเจ้าสุวัทนาฯ   ไม่ทรงมีทางเลือกอื่นนอกจากทรงพาสมเด็จเจ้าฟ้าพระธิดาออกจากพระตำหนัก ( พระตำหนักสวนหงส์ ในเขตพระราชวังดุสิต )   กลับเข้าไปประทับ  ณ  ตำหนักเดิมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมขุนสุพรรณภาควดี   ที่เคยประทับอยู่หลังประสูติเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ ”   “ในกำแพงพระบรมมหาราชวังหาใช่ปลอดภัยอย่างที่คิด    เพราะมีเครื่องบินเล็กลำหนึ่ง     ประสบอุบัติเหตุตกลงบริเวณกำแพงแก้ว   ด้านหลังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน   ใกล้กับตำหนักที่พระนางสุวัทนาฯ  และสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯประทับอยู่พอดี.............................ประตูพระบรมมหาราชวังทุกชั้นถูกปิดลั่นดาลหมด    คนในไม่ได้ออก   คนนอกไม่ได้เข้า   เหมือนถูกขังอยู่” “เหตุการณ์นี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ   ยิ่งทรงปริวิตกถึงสวัสดิภาพของเจ้านายฝ่ายในเป็นอย่างยิ่ง ....................จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ   ให้เจ้าพระยาวรวงศ์พิพัฒน์ (หม่อมราชวงศ์เย็น   อิศรเสนา)   นำเสด็จสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี   พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า    สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบุรีราชสิรินธร   สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ   พระนางเจ้าสุวัทนาฯ    รวมทั้งเจ้านายฝ่ายในอีกหลายพระองค์   หลีกลี้วิกฤตทางการเมืองในพระนคร   ไปประทับที่ตำหนักเขาน้อย   จังหวัดสงขลา   ซึ่งเคยเป็นตำหนักของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์” จากคุณ : สร้อยสยาม - [ 1 มิ.ย. 52 23:01:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ   ลดาวัลย์   นั้น    ในหนังสือเล่มเดียวกัน   บันทึกไว้ว่า......... “เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ   ลดาวัลย์  และเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์เฉียด  ลดาวัลย์   ย้ายออกไปพำนักที่ชลบุรี   เจ้าจอมเอิบกับเจ้าจอมมารดาแส  กลับไปอยู่ถิ่นเดิมของราชินิกุลบุนนาคที่เพชรบุรี     ส่วนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า    หม่อมเจ้า  และเรื่อยมาถึงเชื้อพระวงศ์และลูกสาวข้าราชบริพารที่เคยถูกส่งตัวมาพึ่งใบบุญและร่ำเรียนวิชาของกุลสตรีตามตำหนักต่างๆ   ก็ถูกส่งตัวกลับคืนพ่อแม่หมด” ตำหนักที่สอนวิชากุลสตรีที่กล่าวถึงนี้คือ   “วังสวนสุนันทา”   นั่นเอง    เป็นวังเดียวกับที่   ม.ล.เนื่อง   นิลรัตน์   ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ   “ชีวิตในวัง” “ตั้งแต่พระวิมาดาเธอสิ้นพระชนม์แล้ว (พระวิมาดาเธอ   กรมพระสุทธาสินีนาฏฯ สิ้นพระชนม์เมื่อ  พ.ศ. ๒๔๗๒)  ...........สมเด็จพระองค์น้อย (สมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดล  กรมขุนอู่ทองขัตติยนารี)   ว้าเหว่มาก   ทั้งตำหนักมีแต่ความเงียบเหงา   ต่างคนต่างระวังตัวไม่รู้ว่าใครจะถูกส่งตัวคืนพ่อแม่...........สมเด็จพระองค์น้อยรับสั่งว่า.........ถ้าใครสมัครใจจะกลับไปอยู่กับพ่อแม่พี่น้องหรือญาติคนหนึ่งคนใด      ก็ให้มาทูลลากลับไปได้ ...ส่วนใครที่ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง   ก็จะต้องทรงชุบเลี้ยงไปตามเดิม” จากคุณ : สร้อยสยาม - [ 1 มิ.ย. 52 23:08:55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับเรื่องเงินปีของเจ้านายฝ่ายในนั้น    หนังสือ  “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า”   บันทึกไว้ว่า “อัตราเงินปี   สำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ   จึงตกอยู่เพียง  ๘๐๐  บาทต่อปีเท่านั้น   ส่วน  “เงินดำรงพระเกียรติเจ้าฟ้า”   ปีละ  ๔๐,๐๐๐  บาทซึ่งมีธรรมเนียมพระราชทานแก่เจ้าฟ้าทุกพระองค์นั้น   ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม    ก็ไม่ปรากฏว่าสมเด็จเจ้าฟ้าฯ  ทรงได้รับแต่อย่างใด” “ผลกระทบต่อเจ้านายอีกอย่างหนึ่งจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง    คืองบประมาณแผ่นดินที่เปลี่ยนจากพระคลังข้างที่   มาจัดการโดยรัฐบาลใหม่........สมเด็จพระพันวัสสาฯ  ถึงกับมีพระราชปรารภว่า  “ฉันได้ถูกลดเงินปีเงินเดือน   ถึงบาทละสลึง   เต็มที   เศรษฐกิจก็ตกต่ำ   ก็มาคิดตัดรายจ่ายกับหญิงแต๋ว (หม่อมเจ้าหญิงนราวดี   เทวกุล)  ในบ้านที่ใช้อยู่  เท่าไรก็ไม่สำเร็จ   ตั้งเดือนกว่า   นั่งคิดอยู่ทุกวัน   จะให้พอกับรายได้” สำหรับนางข้าหลวงนั้น   “ม.ล. เนื่อง”   เล่าไว้ถึงอัตราเงินเดือน   ดังนี้ “ข้าหลวงรุ่นใหญ่  รุ่นกลาง  รุ่นเล็ก  มีเงินเดือนคนละ  ๑๐ บาท  ๕ บาท  ๓ บาท   รุ่นจิ๋วได้คนละ ๑ บาท    มีอาหารกิน  ๔  เวลาเต็มเพียบ    จึงไม่มีใครต้องใช้เงิน.............เคยอยู่กับท่าย่ามาตั้งแต่เล็กจนโต   ก็มีเงินเดือนกิน   ๑ บาท   มาเป็นครูเดือนแรกรับเงินเดือน  ๑๒  บาท  ตกใจมาก” “ม.จ.หญิงสบาย  นิลรัตน์ (ท่านย่าของข้าพเจ้า)   .......เงินเดือนท่านได้เดือนละ  ๒๕ บาท   ซึ่งปกครองดูแลห้องเครื่องทั้งหมด........ท่านอา คือ ม.จ.หญิงแย้มเยื้อน   สิงหรา    ได้เงินเดือนเดือนละ  ๒๐ บาท  ........แม่เมี้ยน   มีหน้าที่ทำปลาแล้วย่างปลา   ได้เดือนละ  ๑๐ บาท  .........ม.ล.สละ   ศิริวงษ์   มีหน้าที่ปักพุ่มดอกไม้สด   สำหรับทรงบูชาพระตอนกลางคืน.........ได้เงินเดือนเดือนละ  ๑๐ บาท” จากคุณ : สร้อยสยาม - [ 1 มิ.ย. 52 23:10:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไหนๆก็พูดถึงค่าแรงแล้ว   จะได้กล่าวถึงค่าของเงินในสมัยนั้นดูบ้าง      เรื่องนี้อ้างมาจากคำบอกเล่าของ  “เฉลิมศักดิ์  รามโกมุท”   อดีตตำรวจหลวง  ในหนังสือ “นานาอาชีพโบราณ”   คนเกิด พ.ศ.  ๒๔๖๗   และโตราว  ๑๐  ปี  เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ  พ.ศ. ๒๔๗๕  ว่าไว้ดังนี้ “อาชีพแม่นม    เขาขายน้ำนมสดๆของเขาให้กับเด็กอ่อนและอาบน้ำเช็ดตัว ...........ครั้งละ ๓ สตางค์     ในขณะนั้นปลาทูเข่งละ ๔ ตัว  ราคา ๓ อัฐ    ๑  สตางค์เท่ากับ  ๘  อัฐ     ๑  บาทก็  ๘๐๐  อัฐ” “อาชีพขายก๋วยเตี๋ยว....สมัยก่อนชามละ ๒ สตางค์  จะใส่หมูต้มพร้อมตับเป็นพิเศษ    ค้าขายที่โรงเรียนต้องชามละ  ๑ สตางค์” “อาชีพขายถ่าน....สมัยข้าพเจ้าเด็กๆ  เข่งละ ๓  สตางค์     ถ้าชนิดดีหน่อย  คือแข็.แกร่งให้ไฟแรง  เข่งละ  ๕  สตางค์” “อาชีพขายหนังสือพิมพ์........หนังสือพิมพ์รายวัน   เช่น  สยามราษฎร์   ศรีกรุง   หลักเมือง  ขายฉบับละ  ๓  สตางค์   ส่วนรายสัปดาห์  คือ  เดลิเมล์วันจันทร์  ฉบับละ  ๔  สตางค์” ตามข้อมูลทั้งหลายที่กล่าวมานี้     เชื่อว่าน่าจะทำให้ผู้อ่านพอนึกจินตนาการถึงสภาพบ้านเมืองในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ชัดเจนขึ้นบ้างบางส่วน จากคุณ : สร้อยสยาม - [ 1 มิ.ย. 52 23:11:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คคห 8 อ่านแล้วเหงาเลย นึกถึงบ้านที่ผู้คนคึกคัก ลูกหลานเต็มบ้าน พอลูกหลานโตขึ้น ขยับขยายกันแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเอง บ้านที่เคยคึกคักก็เหลือแต่คนแก่ เงียบเหงาลงไปทุกวัน จะวัง จะบ้านคน หรือสเกลใหญ่ขึ้นในระดับหมู่บ้าน อำเภอ(เล็กๆ) ผมว่าก็วงจรคล้ายๆ กัน พอมันผ่านช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของมันมาแล้ว ก็ก้าวเข้าสู่วัยแก่โรยเหี่ยวแห้งไป เหลือไว้แต่ความทรงจำและความเสียดายของคนที่เคยได้สัมผัสหรือยังเห็นคุณค่าของมัน จากคุณ : เจ๊กผู้ฆ่ายักษ์ - [ 4 มิ.ย. 52 09:30:13 ]

ความคิดเห็นที่ 13 บางพระองค์ยังคงประทับในพระบรมมหาราชวังตั่งแต่วันประสูติ จนถึงวันสิ้นพระชมน์ อย่างเช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐาสารี ทรงเป็นเจ้านายที่มีพระชันษายืนยาวมากที่สุดในพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงมีพระชมน์ยืนยาวถึง ๙๗ ปี จากคุณ : Natajid - [ 24 มิ.ย. 52 11:58:45 A:125.27.11.33 X: TicketID:221455 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ่านดูแล้วเห็นภาพชัดเจน และเข้าใจหัวอกของเจ้านายในสมัยนั้นเป็นอย่างดี ทั้งนี้ เราเข้าใจว่านี่ก็คือการเมืองในสมัยนั้น ดี ๆ นี่เอง จากคุณ : bangkokguy - [ 10 ก.ค. 52 14:31:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เสด็จไปประทับที่บันดุงครับ กรมพระนครสวรรค์ เสด็จประทับที่นั่นจนสิ้นพระชนม์ โดยมีสมเด็นพระพันวัสสาและพระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตกิริฎกุลิณี และพระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ เสด็จไปเยี่ยมที่นั่นครับ ผมอ่านจากหนังสือเล่มนึงแต่ลืมไปแล้วว่าชื่ออะไร แล้วจะค้นมาให้ใหม่นะครับ จากคุณ : คนชุมพรนอนกรุงเทพ - [ 15 ก.ค. 52 11:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านแล้วหดหู่เลย พอจินตนาการได้ถึงสภาพแวดล้อมในเวลานั้น! จากคุณ : รวีช่วงโชติ - [ 2 ส.ค. 52 11:09:50 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คิดดูแล้วหนึ่งบาท เท่ากับ แปดร้อยอัฐ ปลาทู แข่งละ สามอัฐ หนึ่งบาทก็ซื้อปลาทูได้ 800/3 = 266 เข่ง คิดเป็นปัจจุบัน ปลาทู แข่งหนึ่งก็ประมาณ สามสิบบาท ก็เอา 266 x 30 = 7999 บาท เชียวนะคับ เงินเดือน สิบบาท ก็ได้ 79,999 บาทในปัจจุบัน เงินเดือน ไม่ใช่น้อยเลยนะคับ จากคุณ : พิศนุ - [ 5 ส.ค. 52 14:17:54 A:58.9.163.152 X: TicketID:227426 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แล้ว 25 บาท ละครับ ท่านย่าของ มล. เนื่อง ดูแล ห้องเครื่องทั้งหมด199,975 บาท เกือบ 2 แสน ก็ สมเหตุ สมผลนะ กับตำแหน่งระดับ หัวหน้าเชฟ ในปัจจุบัน ที่สำคัญ เชฟ ในวังหลวง ด้วยจิ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 12:58:17 จากคุณ : รักเป็นคำกริยา - [ 19 ส.ค. 52 12:57:45 ]