ความคิดเห็นที่ 1 สนใจเรื่องพวกนี้มาก...หาอ่านอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยปัญญาอันน้อยนิด หลายอย่างจึงยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก ส่วนประเภทที่มีการเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาก็ต้องพึงระมัดระวังในการอ่านอยู่เหมือนกัน...ขนาดในแง่ของการตีความเกี่ยวกับพยัญชนะและอรรถเดิมก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันไม่น้อย แต่โดยศรัทธาเป็นใหญ่ส่วนตัวก็มีเชื่อว่าน่าจะมีอะไรโยงถึงกันได้ จากคุณ : 000 - [ 11 มิ.ย. 52 23:44:25 A:58.11.22.115 X: TicketID:213384 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นหว้ากอบอกหนังสือหมอสมมีผิดเยอะแยะ ลอง เต๋าแห่งฟิสิกส์ ของ Fritjof Capra สิ อ่านเพลิน ๆ รู้สึกจะเขียนก่อนหมอสมนะ น่าจะหาซื้อยาก ค้นในอากู๋ก็ได้ มีบางเว็ปอ่านได้ทั้งเล่มเลย พูดถึงหลายศาสนาด้วย ไม่ใช่แค่เต๋า น่าสนใจ จากคุณ : ทอถักจักรวาล - [ 12 มิ.ย. 52 05:04:49 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ จขกท พูดว่า "ไอน์สไตร์กล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตว่า ศาสนาในอนาคตจะต้องเป็นหลักของเหตุผล มากกว่าความเชื่อเรื่องเทพ หรือเทวนิยม จะหมดลง..." จริงๆแล้วถ้า Einstein ศึกษาเรื่องเทพ องค์เทวา องค์เทวี ของฮินดูให้ดีๆ จะรู้ว่า แท้จริงแล้ว เป็น symbolic representation ของระบบจักรวาล ซึ่งย่อส่วนเป็น microcosm (คือร่างกายมนุษย์ที่ย่อส่วนมาจากจักรวาล) นั่นเอง ซึ่งนักพรตเต๋าก็คิดในแนวนี้ เพราะว่าภาพแสดงเส้นทางเดินกระแสลมปราณของชาวฮินดูกับของนักพรตเต๋าเหมือนกันมากๆ เพียงแต่ของฮินดูเขียนเป็น sanskrit และอธิบายธรรมชาติโดยใช้องค์เทวา และองค์เทวี หรือเทพหลายๆองค์เป็น symbolic representation ในขณะที่นักพรตเต๋าใช้ภาษากวีในภาษาจีนเขียนอธิบายกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติเอาไว้ บางทีใช้ technical terms สื่อความหมายเกี่ยวกับความงามของธรรมชาติ เช่น จุดกลางเท้าที่เป็นจุดแทงเข็มซึ่งมีชื่อว่า k1 (เป็นหนึ่งในจุดบนสายลมปราณของไต จุด k1 ที่เท้าขวาเป็นของไตขวา จุด k1 ที่เท้าซ้ายเป็นของไตซ้าย) นั้น ในภาษาจีนเขาเรียกว่า "หย่งเฉวียน"  แปลเป็นอังกฤษได้ว่า the bubbling spring point ซึ่งฟังดูแล้วไพเราะมากๆ... และหลักการเช่นว่านี้ มี useful applications หลายอย่าง เช่นทำให้เข้าใจระบบการทำงานของร่างกายและใช้รักษาโรคได้ แพทย์จีนและอินเดียโบราณใช้หลักการเช่นว่านี้ในวิชาการแพทย์ชั้นสูงมาแล้วนับร้อยนับพันปี หมอสม สุจีรา ไม่เข้าใจเรื่องเร้นลับเหล่านี้ ก็เลยจับแพะกับแกะไปชนกัน เอา Einstein ไปอ้างว่าเก่ง แล้วเอาพระพุทธเจ้าไปอ้างว่าเก่งเหนือชั้นกว่า Einstein อีก มันก็เลยเป็นจุดขายหนังสือ "ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น" ในประเทศไทย เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ์  เรื่องราวต่างๆมันก็เลย ออกทะเล ไปกันใหญ่เลย ดังจะเห็นจากผลงานเล่มหนึ่งของหมอสม สุจีราว่าเขาไม่เข้าใจ physics ในระดับพื้นฐานเลย   ส่วน Fritjof Capra ผู้เขียน The Tao of Physics นี้นับได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสคร์ผู้รู้ esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) และหาความสัมพันธ์ระหว่าง science กับ esoteric arts ได้อย่างแท้จริง และอธิบายได้เป็นอย่างลึกล้ำ ไม่ได้มั่วแบบหมอสม สุจิรา  เราแนะนำให้อ่านผลงานของ Fritjof Capra จะเข้าท่ามากกว่าอ่านของ หมอสม สุจีรา คือว่าอะนะ ระดับความคิดความอ่านและความเข้าใจ เรื่อง science, phylosophy, religions และ esoteric arts  มันไปกันคนละระดับชั้น แบบทิ้งกันไกล มากๆเลยหละ... แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 12:35:29 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 12:27:49 จากคุณ : fortuneteller - [ 12 มิ.ย. 52 12:25:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ เรื่อง esoteric arts บางอย่างที่เกี่ยวกับพลังของจักรวาล เช่นทฤษีธาตุทั้ง 5 ถ้าศึกษาให้ดีๆ ตามหลักวิชา Feng Shui จะเข้าใจว่าธาตุตนเองนั้น เมื่อเผชิญกับพลังรอบๆด้าน ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา และฤดูกาลนั้น หากเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ จะนำไปใช้แก้สถานการณ์ในชีวิต เช่นอาชีพการงาน หรือการเงิน ความรัก หรือแม้กระทั่งช่วยได้ในเรื่องโชคชะตาในชีวิต  บางทีช่วยได้โดยตรงเลย เช่นรู้ว่าธาตุไหนในร่างกายป่วย ก็ทำให้ธาตุนั้นแข็งแรงขึ้นโดยการฝึกกำลังภายใน หรือฝึกสมาธิ ฝึกโยคะ ก็น่าที่จะรักษาอาการป่วยได้ในแนว "การแพทย์ทางเลือก" เมื่อคืนนี้แม่โทรหาเรายามวิกาล (อยู่บ้านเดียวกัน แต่ใช้โทรศัพท์กันคนละเบอร์ ไม่อยากเดินขึ้นเดินลง) เสียงแม่เหมือนคนมีทุกข์ แม่พูดว่า "ลูกเอ๋ยให้เข้าหาพระ หาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์"   เราพูดเรื่องที่เราเขียนในวรรคแรกใน คคห นี้ ให้แม่ฟัง บอกว่า เราพยายามแก้ไขวิถึชีวิตเราให้ดีกว่าเดิม โดยอาศัยหลักการตามนั้น และอฺธิบายให้แม่ฟังว่า ตอนที่แม่จุดธูปเทียนหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในบ้าน แล้วบนบานให้หายป่วยนั้น แม่ไม่ได้แก้ที่ต้นตอ ลงเอยขาซ้ายแม่พิการจนต้องแก้ไขโดยให้หมอผ่าตัดใส่สะบ้าเทียม จึงเดินได้  ต้นตอก็คือ spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียง) เราเป็นเหมือนแม่ แต่เอียงกันคนละทิศ วันที่เราไปให้เลือดแม่ ตอนแม่ผ่าตัด ขาขวาเราเกือบพิการเหมือนขาซ้ายแม่ เราจึงไม่ไปนั่งจุดธูปจุดเทียนไหว้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ในบ้าน แต่เราใช้วิธีของเต๋า นั่นก็คือ "ยอมรับว่าแนวกระดูกสันหลังเราเอียง" แล้วเราฝึก Qi Gong ท่ายืนของสำนัก Wudong มันกลายเป็น chiropractic โดยธรรมชาติ เพราะท่ายืนนี้ ทำให้ปล้องกระดูกสันหลังกลับเข้าสู่แนวธรรมชาติ โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกนั่นเอง เมื่อกระดูกสันหลังของเราเข้าแนวดีกว่าเดิมแล้ว ขาขวาของเรา จึงรอดจากความพิการไปได้ แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 14:01:10 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 13:58:50 จากคุณ : fortuneteller - [ 12 มิ.ย. 52 13:40:11 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เวลาเราเข้าห้องศาสนา เราจะโดนคนทุกศาสนารุมด่า นั่นก็เพราะว่าเรามีความคิดคล้ายๆ Fritjof Capra  นั่นก็คือเราคิดว่า จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าสอนเรื่อง ฝึกสมาธิและลมปราณคล้ายๆ แนวของ falun gung เราพยายามบอกแม่เราเรื่องนี้ เพราะเวลานี้ แม่จะจุดธูปจุดเทียนไหว้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ในบ้าน แล้วก็จะตื่นทำบุญตักบาตร เพราะหวังจะมีความสุขและสุขภาพที่ดีกว่านี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะว่ามะเร็งก็กำลังลุกลามไปในร่างแม่เรื่อยๆ ความหดหู่ที่แม่โทรมาตอนดึกๆ เมื่อคืนนี้ พิจารณาจาก "ธรรมะ" ในแนวเต๋าตามทฤษฎีธาตุทั้ง 5 อธิบายได้ว่า เกิดจากมะเร็งมันเล่นงานเอาแถวๆ บริเวณปอด และปอดเป็นธาตุโลหะ ถ้าธาตุนี้ป่วยจะทำให้มีอารมณ์เศร้า  เวลาที่แม่โทรมา แม่โทรมายามที่ กระแสลมปราณของปอดกำลังพุ่งพล่าน ณ ยามนี้ (ตามหลักวิชาแทงเข็มของจีน) ทำอาการป่วยให้ดีขึ้นหรือเลวร้ายลง แม่พยายามบอกเราว่า ถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ (แม่หมายถึงรวยกว่านี้)  เราจะต้อง "เข้าหาพระ" ในขณะที่เราพยายามบอกแม่เราว่า ถ้าแม่อยากหายป่วย และมีความสุขในชีวิต แม่ควร ฝึก Zen Macrobiotics กับฝึก Qi Gong (กำลังภายใน) ตามแนวของสำนัก Wudang (บู๊ตึง) หรือถ้าแม่อยากฝึกตามแนวพุทธ แม่ควรฝึกตามแนว falun gung เช้านี้แม่ตื่นมา แล้วพูดกับพ่อว่าเราเป็น "ไอ้คนนอกศาสนา ขอให้มันตกนรก" และแม่ก็สาปแช่งเราไปตลอดวัน เกี่ยวกับเรื่องที่เราไม่เข้าวัดไปทำบุญ :-)ัดเรื่องข้อผิดพลาดในอดีตของเรา เช่นทำงานแล้วไม่รวยเป็นมหาเศรษฐี หรือได้คู่ครองผิดๆในอดีต แม่บอกว่า "เป็นเพราะว่าเราไม่เข้าหาพระ" แม่แช่งเราตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายๆ เราจึง "เกิดพลัง" ตอนนี้เราใช้หลักคำสอนในหนังสือ The Secret เรื่อง the law of attraction มา "สื่อสารกับพลังตามแกนกะดูกสันหลังของเรา ...พลัง kundalini ตามแนวของฮินดูนั่นเอง".... ตอนนี้เรามองเห็นองค์ shakti กำลังสื่อสารกับ shiva เห็นพลังจาก จุด dantian (ศูนย์รวมกำลังภายในใต้สะดือ 1.3 นิ้ว) แผ่กระจายไปคลุมจักรวาล ให้เรามองเห็นวิถีของ Feng Shui ซึ่งเป็นการแก้ไขชะตาชีวิตโดยอาศัยความเข้าใจใน "ธรรมะ" ของนักพรตเต๋า นั่นก็คือความเข้าใจเรื่องธาตุทั้ง 5 ซึ่งเป็นองค์ประกอบแห่งจักรวาล นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 14:49:11 แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 14:35:29 จากคุณ : fortuneteller - [ 12 มิ.ย. 52 14:28:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อันที่จริงแล้ว ชีวิตเรามันก็ไม่เลวร้ายมากนักอย่างที่แม่คิด เราก็พอมีงานทำ ไม่ได้ไปเบียดเบียนผู้อื่น เพียงแต่เราไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่เราก็สุขภาพดี แล้วถ้าป่วยเราก็ใช้ทฤษฎีธาตุทั้ง 5 รักษาตัวเอามาได้โดยตลอด ซึ่งมันก็ยังดีกว่ารวยมากๆขนาดแม่เรา แต่ป่วยอยู่ตลอดเวลา รักษายังไงก็ไม่ดีขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่า แม่หวังว่าจุดธุปไหว้ ทำบุญตักบาตร จะช่วยได้ แต่แม่ไม่เคย "ฝึกพลังจิต" จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าสอนให้ "ฝึกพลังจิต" แม่พูดว่า "ให้เรากลับเนื้อกลับตัว" เรางงว่ามันเรื่องอะไรกันเนี่ย? เราเชื่อว่าความเป็นพุทธที่แท้จริง มันไม่ได้เป็นพุทธในแนวที่แม่เราเชื่อ นั่นก็คือว่าเราไม่ได้ไปจุดธูปไหว้พระพุทธรูป และก็ไม่ได้ไปเข้าวัดเถรวาท เพื่อทำบุญตักบาตร เพื่อหวังที่จะได้บุญ เพื่อหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต (จริงๆแล้วเราว่าพระพุทธเจ้าสอนฝึกสมาธิและลมปราณคล้ายๆ falun gung ต่างหาก ไม่ได้สอนให้ทำพิธีกรรม เช่นพวกปลุกเสกอะไร) และเป็นเพราะว่าเราเป็นศิษย์ Wudang เราจึงไม่ได้ฝึก falun gung แต่ว่าเราศึกษา Feng Shui ซึ่งเป็น "ธรรมะ" และ "ทฤษฎีว่าด้วยกฎแห่งกรรม" ตามแบบฉบับของนักพรตเต๋า แทน และเพื่อความไม่สับสนในแนวคิดเชิงศาสนาและปรัชญา เราได้ขอร้องให้ที่ว่าการอำเภอ เอาคำว่า "ศาสนาพุทธออกไปจากบัตรประชาชนของเรา" และเขาก็กรุณาทำให้ ดังนั้น ตอนนี้ตรงคำว่าศาสนา ในบัตรประชาชนเรา จะมีแต่ "ความว่างเปล่า" แม่ได้แต่พูดว่า "ลูกเอ๋ยจงกลับเนื้อกลับตัวเสียนะ" มันอะไรกันนี่ นับถือคนละศาสนากัน ก็ถือว่าเป็นความชั่วด้วยหรือ? แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 52 14:37:29 จากคุณ : fortuneteller - [ 12 มิ.ย. 52 14:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่มีคำบรรยาย..สุดๆครับ ขอเสนอคุณ 1234 ให้กักตัวคุณ fortuneteller (ตามกระแสไข้หวัดใหญ่)และชำแหละความคิดความอ่านให้มากกว่านี้ครับ.. จากคุณ : vincentlenon - [ 13 มิ.ย. 52 01:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วเคยผ่านตาหนังสือชื่อ สัญลักษณ์แห่งพระสถูป บ้างไหม ชื่อออกแนวศาสนาจ๋าเลย แต่ข้างใน แหม ไม่รู้จะพูดอย่างไร บางส่วน มันวิทย์ วิทย์ ชอบกล มีทั้งฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ แล้วก็มีปราณกับจักราอยู่ด้วย ของ Adrian Snodgrass แปลกันหลายคน มี รศ. ดร. ภัทรพร สิริกาญจน กับธรรมเกียรติ กันอริ เป็นบรรณาธิการ โดยอมรินทร์วิชาการ อ่านตอนแรก ไม่รู้เรื่อง อ่านไปอ่านมา โอ้โฮ ไม่ใช่แค่โลกทั้งผองพี่น้องกัน แต่ศาสนาทั้งผองเป็นญาติกันเฉยเลย อ่านแล้วก็เข้าใจต่อไปได้อีก ถึงที่เขาพูดกันว่า เป็นอย่างที่เห็น กับเห็นอย่างที่เป็น คือมันก็เป็น อย่างที่เราเห็นนั่นแหละ ว่าแต่เราเถอะ มีความรู้มากพอที่จะเห็น อย่างที่มันเป็น (จริง ๆ) หรือเปล่า มิน่าล่ะ จินตนาการถึงสำคัญกว่าความรู้ ก็มันเป็นระบบสัญลักษณ์ ต้องทอ ต้องถัก งัดความรู้ที่ซ่อนอยู่ออกมา แต่ความรู้มีไม่พอ งัดได้นิดเดียวเอง ไปต่างจังหวัดก่อนนะ ไปหลายวัน จากคุณ : ทอถักจักรวาล - [ 13 มิ.ย. 52 01:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Albert Einstein (1879-1955) "I have already read Henry George's great book and really learnt a great deal from it. Yesterday evening I read with admiration -- the address about Moses. Men like Henry George are rare, unfortunately. One cannot imagine a more beautiful combination of intellectual keenness, artistic form, and fervent love of justice. Every line is written as if for our generation. The spreading of these works is a really deserving cause, for our generation especially has many and important things to learn from Henry George." [From: a letter to a Pennsylvania woman in response to a letter inquiring whether Einstein had read Progress and Poverty, 1931. A copy of this letter is available in the School of Cooperative Individualism (SCI) library] จาก THE LAND QUESTION - Quotations from Historical and Contemporary Sources. BROWSE BY AUTHOR. EXCERPTS FROM THE CENTURIES-LONG DEBATE OVER WHETHER LOCATIONS ON THE EARTH -- AND/OR THE RENT ASSOCIATED THEREWITH -- OUGHT TO BE TREATED AS PRIVATE OR SOCIETAL PROPERTY. http://www.cooperativeindividualism.org/land-question_d-e.html จากคุณ : สุธน หิญ - [ 16 มิ.ย. 52 10:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณ คุณ fortuneteller ที่มอบความรู้ให้ครับ ได้เลยครับคุณวินผมจะชำแหละสมองของเขาให้มากที่สุด ห๊ะๆๆๆๆ เกรงว่าจะโดนข้อหาละเมิดสิทธิทางจิตใจของบุคคลปะครับคุณวิน ห๊ะๆๆๆๆๆ ผมดีใจที่ อาจารย์ สุธน หิญ ให้ข้อมูลเชิงวิทย์นะครับ ห๊ะๆๆๆๆๆ ขอบคุณคุณ ทอจักรวาลนะครับ อยากให้อุดหนุนกันอย่างนี้เรื่อยๆนะครับ จากคุณ : 1234 - [ 17 มิ.ย. 52 18:53:40 A:125.26.159.0 X: TicketID:184507 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ชอบอ่าน เกี่ยวกับ เต๋า มากกว่า ครับ เพราะเน้นหลักการศึกษาธรรมชาติที่แท้ จริง จากคุณ : Never Walk Alone By Saebsan - [ 22 มิ.ย. 52 18:17:05 ]