ความคิดเห็นที่ 21 |
|
ฃ (ขวด) เป็นพยัญชนะ ตัวที่ 3 ในบรรดาพยัญชนะ 44 ตัวของอักษรไทย ในลำดับถัดจาก ข (ไข่) และก่อนหน้า ค (***) จัดอยู่ในกลุ่มอักษรสูงในระบบไตรยางศ์ มีชื่อเรียกกำกับว่า ฃ ขวด เข้าในพวกกัณฐชะ (เกิดจากเพดานอ่อน) เป็นพยัญชนะชนิดหัวหยักหรือหัวแตก ออกเสียงอย่าง ข (ไข่) (กลุ่มเสียง /ค/, [kʰ]) สามารถใช้เป็นมาตราตัวสะกดในมาตรากักได้ (แม่กก) เดิมมีการคาดกันว่าเสียงของ ฃ นั้นมีความแตกต่างจากเสียง ข แต่กลับเพี้ยนไป
ปัจจุบันไม่มีคำศัพท์ในหมวดคำ ฃ ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 เป็นอักษรที่ไม่นิยมใช้แล้ว แต่ยังมีการใช้อักษร ฃ ในบางแวดวง นัยว่าเพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ตัวอักษรไทยมีใช้ครบ 44 ตัว รวมถึงมีการพูดถึงการฟื้นฟูการใช้งานอักษร ฃ ขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม ในแบบเรียนอักษรไทยรวมไปถึงบนแป้นพิมพ์ภาษาไทยก็ยังคงมีอักษร ฃ อยู่
อักษร ฃ นี้เป็นอักษรของไทยดั้งเดิม ไม่ปรากฏในชุดอักษรภาษาอื่น ๆ เลย ซึ่งหมายความว่า ในชุดอักษรภาษาอื่น ๆ ที่ลำดับอักษร ก ข ค ฆ ง แบบเดียวกันกับอักษรอินเดีย เช่น อักษรเทวนาครี อักษรขอม อักษรมอญ ฯลฯ ล้วนไม่มีตัวอักษร ฃ ทั้งสิ้น จึงให้เหตุผลว่าน่าจะเป็นการประดิษฐ์แทรกเช่นเดียวกับอักษร ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ ฯลฯ เมื่อพ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยใน พ.ศ. 1826 ได้เติมพยัญชนะและวรรณยุกต์เข้าในวรรคอักษรแบบอินเดีย โดยให้เหตุผลว่าเพื่อใช้แทนเสียงที่ภาษาไทยในสมัยนั้นมีอยู่ให้ครบถ้วน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ฃ ด้วย หรือไม่ก็ ฃ ได้รับการดัดแปลงมาจากภาษาสันสกฤตนั่นเอง
นอกจากตัวอักษร ฃ จะปรากฏในภาษาไทยแล้ว ตัวอักษร ฃ นี้ยังมีประวัติการใช้งานอยู่ในภาษาไทยถิ่นอื่นอีก เช่น กำเมือง (ของอาณาจักรล้านนา) ภาษาไทขาว และอื่น ๆ อีก ซึ่งบ้างยังคงปรากฏหลักฐานว่ายังมีการใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน
ประวัติการใช้ ฃ
สมัยสุโขทัย ตัวอักษรไทยสมัยอาณาจักรสุโขทัยหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏการใช้ ฃ ในภาษาไทย คือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือศิลาจารึกหลักที่ 1 (จารึกเมื่อ พ.ศ. 1826) มีการใช้ ฃ อยู่ 11 คำ ได้แก่ ฃบบ (ขับร้อง), ฃ๋า (ฆ่า), ฃาม (มะขาม), ฃาย (ขาย), เฃา (ภูเขา), เฃ๋า (เข้า), ฃึ๋น (ขึ้น), ฃอ (ตะขอ), ฃุน (ขุน), ฃวา (ขวา), แฃวน (แขวน) การใช้ ฃ ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นไปอย่างแม่นยำ หมายความว่า ไม่มีการใช้ ข ในคำที่ใช้ ฃ นั้นเลย
นักภาษาศาสตร์ในปัจจุบันนำคำที่ใช้เขียนด้วย ข และ ฃ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ไปเปรียบเทียบกับภาษาไทถิ่นอื่น ๆ เช่น ไทขาว ก็พบว่าเป็นคำที่ใช้เสียงประเภทเดียวกัน และแยกเสียง ข และ ฃ เหมือนกัน เพราะคำเหล่านี้เป็นคำที่เป็นมรดกตกทอดมาจากภาษาไทโบราณเก่าแก่ตั้งแต่ยังไม่มีอักษรเกิดขึ้น ภาษาไทถิ่นยังใช้คำเหล่านี้อยู่ แต่ว่าเสียงเพี้ยนไป โดยร่องรอยขอการเปลี่ยนแปลงสามารถสังเกตได้ชัดเจนจากศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่าเริ่มมีการใช้ ข และ ฃ อย่างสับสน และใช้แทนที่กันในหลายแห่ง เช่น ใช้ ขุน บ้าง ฃุน บ้าง
นอกจากนั้น นักประวัติศาสตร์ยังได้พบกับร่องรอยของการใช้ ฃ ในจารึกอีกหลายแห่งในประเทศไทย เช่น จารึกป่านางเมาะ จารึกพ่อขุนรามพล จารึกวัดกำแพงงาม และจารึกแสดงผลกรรมนำสู่นิพพาน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานไว้ว่าอักษร ฃ เป็นอักษรที่ปรากฏครั้งแรกในปี พ.ศ. 1935
สมัยอยุธยาและธนบุรี ครั้นมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ตัวภาษาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะมีการใช้ศัพท์ใหม่เป็นจำนวนมาก การใช้ ฃ เริ่มลดลง แต่ก็ยังมีใช้ ทว่าไม่ปรากฏหลักเกณฑ์การใช้ ฃ ในตำราว่าด้วยอักขรวิธีของไทยในสมัยนั้น และพบว่ามีหลักฐานน้อยมาก เช่น จารึกบนแผ่นอิฐมอญ จำนวน 3 ชิ้น ซึ่งพบที่ฝาผนังอุโบสถวัดท่าพูด อำเภอสามพราน
สมัยรัตนโกสินทร์ การเขียนอักษร ฃในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้ระบุคำที่เขียนด้วย ฃ ในหนังสือชื่อ นิติสารสาธก เล่ม 1 ได้แก่ ฃอ, ฃ้อความ, ฃัน, ฃาน, ฃาด, ฃายหน้า, ฃำ, เฃา, เฃ้า, ฃุน, ไฃ, โฃก, ฃอง, เฃียน, ฃยัน และฃลุม
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อเปิดหนังสือ "อักขราภิธานศรับท์" ของ หมอบรัดเลย์ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2416 ก็พบคำที่ใช้ ฃ ขวด ได้แก่ "ฃิก, ฃุก ๆ, ฃุกฃัก, ฃุกค่ำฃุกคืน, เฃกหัว, เฃกโฃก, แฃก, โฃก, ฃอกรั้ว, ฃงจู๊ และ ฃัง" (เฉพาะคำว่า "ขัง" พอเป็นลูกคำ เช่น ขังไก่ ขังคน ฯลฯ ใช้ ข ไข่ทั้งหมด) คำว่า "ข้าง" ใช้ ฃ ขวดก็มี ข ไข่ก็มี ส่วน "ขิง, ขึง, ขึ้ง เข่ง, แขง, แข่ง, แข้ง, โขง, โข่ง, ของ" (รวมทั้งลูกคำ ยกเว้น ของสงฆ์) ใช้ ข ไข่ ซึ่งยังไม่มีเอกภาพเลย
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อมีปทานุกรมของกระทรวงธรรมการ พ.ศ. 2470 ก็มีการระบุไว้ว่า "ฃ เป็นพยัญชนะตัวที่สามของพยัญชนะไทย แต่บัดนี้ไม่มีที่ใช้" เป็นอันหมดวาระของ ฃ ลง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ซึ่งทำการลงมติให้ตัดตัวอักษรที่มีเสียงซ้ำกันออกไปหลายตัว รวมไปถึง ฃ ด้วย (โดยให้เปลี่ยนไปใช้ ข แทน) แต่หลังจากใช้แบบอักษรใหม่เป็นเวลา 2 ปี ก็กลับมาใช้อย่างเดิมอีก
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 จนถึงฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2542 ก็ได้ให้คำอธิบายตัวอักษร 2 ตัวคือ ฃ และ ฅ ว่า "เลิกใช้แล้ว"ทั้งที่ไม่เคยมีการประกาศเลิกใช้อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
ในสมัยหลังลงมา ปรากฏว่าใช้คำว่า เฃตร อยู่คำเดียว จึงได้ชื่ออักษรว่า ฃ เฃตร (ต่อมาแปลงเป็น เขต) แต่ภายหลังก็เลิกใช้ไปอีก
ฃ ในภาษาล้านนา
ฃ (ข๋ะ) ในภาษาล้านนายังคงมีการใช้กันอยู่ทั่วไป แต่พบว่าในคัมภีร์ใบลาน ไม่ปรากฏอักษร ฃ บ่อยครั้งนัก เพราะตัวอักษร ฃ ยังไม่เด่นชัด ด้วยเห็นว่าสามารถใช้อักษร ข หรือ ขร แทนได้โดยไม่ทำให้เสียงหรือความหมายต่างกัน และในการเขียนนั้น ก็มิได้มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัวว่าศัพท์ใดจะต้องใช้อักษร ฃ จึงเห็นได้ชัดว่ามีการเขียนโดยใช้อักษร ฃ และ ข สับกันในศัพท์เดียวกัน และอยู่ในข้อความที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น ในพจนานุกรมภาษาล้านนาจึงอาจบันทึกได้ว่าเคยปรากฏการใช้อักษร ฃ นี้ในฐานะพยัญชนะต้นของคำในอดีต แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้วเหมือนกับภาษาไทยกลาง
และที่น่าสังเกตก็คือ การที่มีการเขียน ขร- อยู่บ้างนั้น อาจเป็นร่องรอยของอักษร ฃ เพราะอักษร ร ที่กำกับอยู่นั้น เป็นสัทลักษณ์ให้ออกเสียง ฃ ทำให้ต้องพยายามค้นหาคำที่อักษร ฃ นี้ขึ้น เพื่อให้เห็นอดีตแห่งอักษรศาสตร์ล้านนา และจากการศึกษาของศาสตราจารย์ฟาง เกว่ย ลี ท่านเห็นว่าอักษร ฃ นี้เป็นพยัญชนะสำคัญอันหนึ่งในภาษาไทดั้งเดิม ซึ่งมีเสียงเสียดแทรกและไม่ก้อง และท่านได้สันนิษฐานศัพท์ที่เคยใช้อักษรนี้เป็นพยัญชนะต้นได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจสถาปนารูปศัพท์ให้ตรงกันกับศัพท์สันนิษฐานไว้ดังปรากฏในพจนานุกรม นอกจากนั้น ยังมีผู้สังเกตว่าคำที่เขียนด้วยตัว ข กับ ฃ มีความหมายแตกต่างกัน
ฃ เทียบกับ กฺษ ในภาษาสันสกฤต จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวไว้ว่า มีบางท่านกล่าวว่า ฃ อาจประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้แทนกับอักษร กฺษ (क्ष) ในภาษาสันสกฤต ซึ่งออกเป็นเสียงหนึ่งต่างหาก เช่น
คำที่ใช้ ฃ คำที่ใช้ กฺษ
ฃมา กษมา, ษมา ฃัตติยะ กษัตริย์ ฃัย กษัย, ขษัย
รูปร่างของตัวอักษรก็น่าจะมาจากการเขียน ก กับ ษ หวัดติดกัน สำหรับอักษรปัจจุบันอาจจะพอเป็นไปได้ แต่จิตรก็ได้แย้งไว้ว่า ในอักษรโบราณอย่างราวยุคพ่อขุนรามคำแหงนั้น การเขียนเช่นนั้นไม่คล้ายและไม่มีเค้าของตัว ฃ เลย บ้างก็ว่า ฃ เป็นตัวอักษรที่ใช้ในภาษาบาลี ในขณะที่ภาษาสันสกฤตจะใช้ตัว กฺษ เสมอ
การหายไปของ ฃ
นักภาษาศาสตร์ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของพยัญชนะ ฃ และสันนิษฐานว่า ฃ นั้นเดิมมีฐานเสียงที่แตกต่างจากฐานเสียงของ ข โดยมีลักษณะเสียงเป็น พยัญชนะลิ้นไก่อโฆษะ ซึ่งพบได้ในภาษาต่าง ๆ ในกลุ่มภาษาไท และภาษาอื่น ๆ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เสียง ฃ และ ฅ ในสมัยสุโขทัยนั้นออกเสียงลึกกว่าเสียง ข (ไข่) และ ค (***) เวลาที่ออกเสียง ข (ไข่) และ ค (***) โคนลิ้นแตะที่เพดานอ่อน ส่วน ฃ และ ฅ นั้น โคนลิ้นจะแตะที่ส่วนที่ถัดเพดานอ่อนเข้าไปอีก ซึ่งในปัจจุบันไม่มีเสียงนี้ในภาษาไทยมาตรฐาน นอกจากนี้จากงานค้นคว้าของนักวิชาการ 2 คน คือ Jean Burney กับ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ซึ่งเปรียบเทียบกับภาษาลาวและภาษาไทถิ่นต่าง ๆ แล้วสรุปว่า ฃ กับ ฅ เป็นคนละเสียงกับ ข (ไข่) และ ค (***)
เป็นที่น่าสังเกตว่า ฃ มีใช้ในตำแหน่งที่เป็นพยัญชนะต้น ไม่ปรากฏในตำแหน่งตัวสะกดเลย นอกจากนี้ยังมีข้อที่น่าสังเกตว่าคำว่า "ขวด" ซึ่งเป็นชื่อของพยัญชนะตัวนี้ ก็ไม่เคยเขียนเป็น "ฃวด" มาก่อนเลย
ฃ และ ฅ เริ่มจะหายไปจากภาษาปัจจุบันนั้น เกิดจากลักษณะธรรมชาติของภาษาที่ว่าเสียงใดเป็นเสียงโดดเดี่ยว ไม่มีความสัมพันธ์กับพยัญชนะใดเป็นพิเศษจะเปลี่ยนแปลงเสียง หรือสูญเสียเสียงได้เร็วกว่าพยัญชนะที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ยกตัวอย่าง เช่น ป ต จ ก อ มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เพราะเป็นเสียงก้อง ไม่มีลม เนื่องจาก ฃ และ ฅ เป็นเสียงโดดเดี่ยว เมื่อเวลาผ่านไป ฐานที่เกิดขึ้นจาก ฃ และ ฅ จะเขยิบขึ้นมากลายเป็น ข และ ค ตามลำดับ
...คนไทยในสมัยปัจจุบันไม่ได้มีหน่วยเสียงเสียดแทรกที่ฐานกรณ์ลิ้นไก่อยู่เหมือนในสมัยพ่อขุนรามคำแหง การค้นพบเสียงนี้ในภาษาไทขาวในประเทศเวียดนามและในภาษาตระกูลกัม-สุย (Kam-Sui) ในประเทศจีนช่วยให้ข้อสันนิษฐานในบทความนี้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น แต่การที่จะคิดว่าควรให้ภาษาไทขาวหรือภาษาตระกูลกัม-สุย เป็นต้นแบบสำหรับให้คนไทยหัดออกเสียง /q/ และเสียง /ɢ/ ตลอดจนความพยายามที่จะรื้อฟื้นนำ ฃ และ ฅ กลับมาใช้ใหม่นั้น คงเป็นความพยายามประเภทที่คนไทยเรียกว่า "ขี่ช้างจับตั๊กแตน"...
ศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงสุริยา รัตนกุล
ฃ ในปัจจุบัน
ล่าสุด ใน วันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ได้มีความพยายามในการรื้อฟื้นการใช้งานตัวอักษร ฃ และ ฅ ขึ้นใหม่ พร้อมกับเสนอให้แก้ข้อความในพจนานุกรมฯ ใหม่เป็นคำว่า "ปัจจุบันไม่ปรากฏที่ใช้งาน" แทนคำว่า "เลิกใช้แล้ว" เพื่อป้องกันความสับสนด้วย โดยรวมไปถึงการคงอักษร ฃ และ ฅ บนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ตามประกาศของคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อักษร ฃ ตรงกับรหัสฐานสิบหก A3 (หรือ 163 ฐานสิบ) บนชุดอักขระ TIS-620[40] และตรงกับรหัสยูนิโคด U+0E03
จากคุณ |
:
นิดจัง
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ก.ค. 52 11:51:03
A:125.24.38.115 X:
|
|
|
|
|
|