|
ความคิดเห็นที่ 2 |
|
"มาจากไหน"
ตอบว่ามันเป็นอุดมการณ์​(ideology)ที่ถูกปลูกถ่าย ฝังรากลึกมาแล้ว... แต่อย่างไรก็ตามอุดมการณ์นี้มันก็เกี่ยวโยงกับการจำแนก circle of English ดังที่ Kachru ว่าไว้ดังนี้
Inner circle: traditional bases of English (UK, US, Australia, New Zealand, Ireland, Canana, South Africa, (some) Carribbean countries
Outer circle: countries where English is important for historical reason (British empire): India, Nigeria, Phillipines, Malaysia, Kenya, etc.
Expanding Circle: countries where English plays no historical or governmental role, but studied and widely used as a foreign language: China, Japan, Russia, Egypt, Europe, Thailand, Indonesia.
Kachru กล่าวไว้ว่า inner circle is "norm providing" (i.e. English language norms are developed there); outer circle is "norm-developing", while "the expanding circle is "norm-dependent"(because it relies on the standards set by native speakers in the inner circle.
ดังนั้นถ้ายึดตาม Kachru ก็ต้องบอกว่า ประเทศไทยเป็น expanding circle ซึ่งก็ต้องใช้ภาษาตาม "native speaker" (ในที่นี้ผมขอพูดสั้นๆว่าเป็น native speaker of the variety called "standard English")
จากมุมมองทางภาษาศาสตร์ จุดประสงค์หนึ่งของการเรียนภาษาศาสตร์คือ to describe a language in a way that makes explicit the innate ability (competence) of native speakers (of a particular language variety, in this case, standard English ไม่ว่าจะเป็นแบบเมกัน บริติช ฯลฯ) ดังนั้น ถ้าคำนึงถึงจุดประสงค์ข้อนี้...ก็ต้อง rely on native speaker intuitions ... เนื่องจาก คนไทย (หรือคนที่อยู่ใน expanding circle or even outer circle จะไม่มี intuitions แบบนี้...)
ยกตัวอย่าง...สำนวน for their own good ของเจ้าของภาษา ถูกเปลี่ยนเป็น for the good of them ซึ่งดูเผินๆไม่่ต่างกัน (ในแง่ระบบโครงสร้างวลี) แต่ว่าเนื่องจากมันเป็น "สำนวน" การเรียงคำที่ต่างไป (ถึงแม้จะถูกไวยากรณ์) จะทำให้ความหมายไม่ได้เป็นอย่างสำนวน... ซึ่งเรื่องอย่างนี้ คนที่ไม่ใช่ "เจ้าของภาษา" ทำไม่ได้ หรือไม่มีสัญชาติญาณ (อย่าลืมว่า native speakership requires that one be able to use BOTH grammatically correct AND elements that are NATURAL and IDIOMATIC...)
แน่นอน (following Pennycook and others) การสอนและการถ่ายทอดภาษาอังกฤษแบบเจ้าของภาษามันเป็น political, value-laden enterprise ซึ่งเกี่ยวกับ class struggle, power relations เกี่ยวกับว่า variety อันไหน ของใคร ได้รับการถ่ายทอด และได้รับการยกย่องว่าเป็นมาตรฐาน (เช่น ของ middle-class, educated, White English) ในขณะที่วาไรตี้อื่นอาจจะถูกมองว่า ด้อย ต่ำ ไม่ฉลาด ฯลฯ
แต่อย่าลืมว่า นักวิชาการเหล่านี้ออกมารณรงค์หรือพูดถึงในแง่ที่ว่า..
1) ปลุกจิตสำนึกคน(โดยเฉพาะผู้สอนภาษา)ว่า ภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานนั้นเป็น "แค่" รูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้แย่ไปกว่ารูปแบบอื่นๆ อย่าไปหลงกับมันนัก (นั่นคือ สอนน่ะสอนได้ แต่ให้พึงระลึกไว้ว่า... ก็เป็นแค่ a matter of convention เท่านั้น)
2) เพื่อ make it explicit ว่า ภาษาหรือการสอนภาษาก็สามารถเป็น instrument of dominant interests ได้ และทำให้คนหลายๆกลุ่ม consent to preserving the status quo without physical coercion... (i.e. by accepting extablished practice without quetioning it)
แต่นักวิชาการเค้าไม่ได้บอกว่า
1) ห้ามสอน standard english และ native-speaker ability is worthless/ shouldn't be attempted (เค้าแค่บอกว่า these are political notions)
2) ห้ามเอา native speaker เป็นแบบอย่าง(สู่ความสำเร็จ) คือ เอาเป็นแบบอย่างน่ะได้ แต่ต้องระลึกไว้ว่า recognize it as it actually is (i.e. just an accepted set of norms)....
หนำซ้ำ..ทุกคนควรยึด native speaker เป็นแบบอย่างด้วยซ้ำ (in this case, of standard English of one of the inner circle countries) เพราะการใช้ภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานจะเป็นประตูไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางการเรียน อาชีพ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ฯลฯ
จะทำไงได้ครับ เพราะว่า ภาษาอังกฤษแบบมาตรฐาน แบบเจ้าของภาษา(มาตรฐานเมกัน อังกฤษ ฯลฯ) มันเป็นที่ "ยอมรับ" กันในโลกใบนี้ (จากทั้งคนที่รู้เกี่ยวกับภาษาศาสตร์หรือคนที่ไม่รุ้เกี่ยวกับภาษาศาสตร์) ดังนั้น ถ้าคุณอยากให้ลูกศิษย์ของคุณประสบความสำเร็จในอาชีพ การงาน การเรียน ฯลฯ ก็ต้องให้เค้ารู้ที่จะใช้ภาษาลักษณะนี้ในโอกาสและสถานที่มันควรจะใช้ ​(แน่นอน โดยระลึกไว้เสมอว่ามันเป็นแค่ just an accepted variety...)
การรณรงค์และปลูกจิตสำนึกถึงว่า วาไรตี้อื่น หรือ ของเนทีฟสปีกเกอร์ของวาไรตี้อื่น เป็นสิ่งที่มีระบบ หรือ ดีเหมือนกันกับมาตรฐานนั้น ทำได้...และควรจะทำ... แต่ว่าอย่างที่เรียนไว้ข้างต้น ในเมื่อ สิ่งที่ยอมรับกันในโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้ ... มันจะฉลาดกว่าไหม ถ้าเรารู้ว่าจะในสถานการณ์ไหน บริบทไหน ควรจะปรับพฤติกรรมการใช้ภาษาแบบใด เพื่อตัวเราเอง
อยากให้มองการใช้ภาษาเป็นเรื่องเหมือนการใช้รูปแบบการ cite reference ในการเขียนทางวิชาการ นั่นคือ ไม่ว่าจะเป็นแบบ MLA, APA, Chicago style ทั้งหมด เป็นแค่ conventional format ที่ถูกคัดเลือกและยอมรับ ไม่ได้แปลว่าอะไรดีกว่าอะไร แต่เมื่อสำนักพิมพ์กำหนดจะใช้แบบใดแบบหนึ่ง เราก็ทำไปตามนั้นก็สิ้นเรื่อง คิดเสียว่ามันก็เป็นแค่รูปแบบที่ถูกเลือกมาใช้เท่านั้นเอง
จากคุณ |
:
texasprofessor
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ค. 52 12:05:53
A:67.159.44.137 X: TicketID:220235
|
|
|
|
|