|
ความคิดเห็นที่ 1 |
|
ในปี พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัช กาลที่ 4) ทรงไม่แต่งตั้งใครดำรงตำแหน่งวังหน้า ส่งผลให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็นผู้กุมอำนาจกองทัพเกือบทั้งหมด พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เกรงว่า เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) อาจเป็นอันตรายต่อราชสมบัติจึงทูลเตือนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แต่พระองค์ไม่ทรงปักใจเชื่อ และทรงปฏิบัติพระองค์ต่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) อย่างปกติ ในปี พ.ศ. 2410 เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ทูลบอกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง (พระราชโอรสในพระบาทสม เด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” (วังหน้า) (เนื่องจากเขาต้องการลดความหวาดระแวงของพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงไม่เห็นชอบ (เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระชนมายุ 12 พรรษาจึงมีความเสี่ยงในการครองราชย์สมบัติ) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งเป็น “กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ” และไม่ทรงแต่งตั้งใครเป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” ในปี พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัช กาลที่ 4) ทรงประชวรใกล้สวรรคต เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางเห็นว่า กรมหมื่นบวรวิไชยชาญสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” กรมขุนวรจักรธรานุภาพ (พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2) ทรงคัดค้าน โดยทรงอ้างว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) (เนื่องจากกรมขุนวรจักรธรานุภาพทรงอยากได้รับตำแหน่งเป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล”) เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็น “กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ” (วังหน้า) ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) สวรรคต 1 วัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) สวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าขุนนางลงความ เห็นให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงขึ้นครองราชย์เป็น “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)” และแต่งตั้งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็น “ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงไม่มีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่น ดิน (เนื่องจากเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดินตลอดเวลาที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน สร้างความไม่พอพระทัยให้กับรัชกาลที่ 5 หลายครั้ง) ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระชนมายุครบ 20 พรรษา เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) จึงลาออกจากตำแหน่ง “ผู้สำเร็จราชการการแผ่นดิน” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็น “สมเด็จเจ้าพระ ยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง)” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์เพื่อดึงอำนาจในการเก็บภาษีอากรมาอยู่ที่พระองค์ (ในยุคนั้นยังไม่มีกรมสรรพากร เจ้าภาษีนายอากรจะเป็นผู้เก็บภาษีจากประชาชน, นำส่งให้กับเจ้ากระทรวง-ขุนนางผู้ใหญ่ เจ้ากระทรวง-ขุนนางผู้ใหญ่นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามอัตราที่กำหนด ส่วนที่เหลือถือเป็นรายได้ของเจ้ากระทรวง-ขุนนางผู้ใหญ่) สร้างความไม่พอใจให้กับพระบรมวงศานุวงศ์-ขุนนางอย่างมาก (เนื่องจากพวกเขาต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีจำนวนมาก) กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงไม่พอพระทัยกับการตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์อย่างมาก (เนื่องจากกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญมีรายได้จากการเก็บภาษีถึง 1 ใน 3 ของรายได้แผ่นดิน) ในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงตรา“พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาส-ลูกไท” เพื่อทยอยเลิกทาสให้หมดไปจากประเทศสยาม เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2417 สร้างความไม่พอใจให้กับพระบรมวงศานุวงศ์-ขุนนางมากขึ้น (เนื่องจากพวกเขาต้องสูญเสียทาสจำนวนมาก) กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงไม่พอพระทัยพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาส-ลูกไทอย่างมากจึงทรงซ่องสุมทหาร-อาวุธจำนวนมากเพื่อเตรียมก่อกบฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงทราบข่าวเรื่องการเตรียมก่อกบฏของกรมพระ ราชวังบวรวิไชยชาญจึงทรงวางแผนให้คนไประเบิดตึกดินในพระบรมมหาราชวังจนเกิดเพลิงไหม้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงให้คนไปบอกกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญให้นำทหารมาช่วยดับเพลิงเพื่อจะจับกุมในข้อหาก่อกบฏ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงรู้ทันแผนการจึงทรงไม่ยอมไปดับเพลิง โดยทรงอ้างว่า พระองค์ทรงประชวรด้วยพระโรครูมาติซั่ม (โรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงกล่าวหากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญว่า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงยิงปืนใหญ่เข้ามาในพระบรมมหาราชวังเพื่อหวังที่จะยึดวังหลวง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงพาครอบครัวของพระองค์ลงเรือเสด็จหนีไปสถานกงสุลอังกฤษประจำประเทศสยามในตอนกลางคืน (กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทรงสนิทสนมกับ โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ กงสุลอังกฤษประจำประเทศสยามอย่างมาก) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงขอให้ เซอร์ แอนดรู คล็าค (ผู้ว่าราชการสิงคโปร์) ช่วยไกล่เกลี่ยกับกงสุลอังกฤษเพื่อให้ส่งตัวกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญคืนมา แต่โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ ไม่ยอม เหตุการณ์ยืดเยื้อเกือบ 2 อาทิตย์จึงทรงเชิญสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) จาก จ.ราชบุรี มาช่วยไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสฉวยโอกาสส่งเรือรบติดปืนใหญ่เข้าสู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และส่งตัวแทนเข้ามาเจรจากับโทมัส ยอร์ช น็อกซ์ โดยเสนอวิธีแก้ปัญหาด้วยการแบ่งประเทศสยามออกเป็น 2 ส่วนคือ - ส่วนที่ 1 : ตั้งแต่กรุงเทพถึงเชียงใหม่ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงปกครอง - ส่วนที่ 2 : ตั้งแต่กรุงเทพลงไปถึงภาคใต้ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญปกครอง อังกฤษรู้ทันแผนการของฝรั่งเศสที่หวังจะยึดภาคตะวันออก (ส่วนที่ 1) ซึ่งอุดมสมบูรณ์-มีทำเลค้าขายดีกว่าไปเป็นอาณานิคมของตนเอง และยกภาคใต้ (ส่วนที่ 2) ซึ่งอุดมสมบูรณ์น้อยกว่า-ทำเลค้าขายสู้ภาคตะวัน ออกไม่ได้ให้เป็นอาณานิคมของอังกฤษจึงปฏิเสธ อังกฤษยอมคืนกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญและครอบครัวของพระองค์ให้กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ห้ามทำร้ายพระองค์และครอบครัวของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงคืนตำแหน่งให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (รัชกาลที่ 5 ทรงจัดสรรงบประมาณให้กับวังหน้า และทรงโอนทหารปืนใหญ่-ทหารเรือของวังหน้าเป็นรวมกับกองทัพ โดยเหลือทหารรักษาพระองค์ของวังหน้า 200 คน)
แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 52 10:34:49
จากคุณ |
:
SawasdeeKrab
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ก.ค. 52 12:19:37
|
|
|
|
|