ความคิดเห็นที่ 2 |
วิธีฝึกของอาจารย์เสื้อเขียวคือ พาซิงหุนเข้าไปในห้องมืดเหมือนห้องฝึกวิชาของเอี้ยก้วยในสุสานโบราณ
เมื่อเห็นห้องมืดนี้ ซิงหุนก็เข้าใจทันทีว่าทำไมผิวของอาจารย์เสื้อเขียวถึงได้ดูเหมือนผีดูดเลือดแบบนั้น และแซวอาจารย์ว่า นี่คงไม่คิดจะให้เขาจับนกกระจอกในห้องนี้หรอกนะ อาจารย์เสื้อเขียวบอก ถึงเวลาก็รู้เอง และบอกว่าให้ซิงหุนอยู่ในห้องนี้คนเดียว โดยจะจุดตะเกียงให้สามวัน
หลังจากสามวันผ่านไป ตะเกียงดับ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด ซิงหุนจึงค่อยนอนหลับได้เต็มที่เป็นคืนแรกตั้งแต่เข้าหุบเขามา
การอยู่ในห้องมืดสนิทเหมือนเข้าถ้ำแบบนี้ นับว่าโหดร้ายทารุณกับเด็กอายุแค่ 5-6 ขวบมาก แต่สำหรับซิงหุนที่เป็นนักฆ่าซึ่งมีความทรงจำของชาติก่อนอยู่ครบ และชอบความมืดอยู่เป็นทุนเดิม มืดๆ แบบนี้กลับยิ่งถูกใจเสียอีก
ระหว่างที่ซิงหุนกำลังจะหลับ ก็รู้สึกได้ว่ามีอีกคนหนึ่งอยู่ในห้องลับนั่น จึงกลั้นลมหายใจให้อีกฝ่ายจับตำแหน่งไม่ได้ทันที จากนั้นบุคคลลึกลับนั้นจึงโผล่ออกมา ปรากฏว่าคือ ท่านอาเงา นั่นเอง
ท่านอาเงาคือบุคคลลึบลับที่ส่งซิงหุนเข้ามาในหุบเขาโหยวหลีกู่ ตอนที่ถูกส่งเข้ามาในหุบเขา ซิงหุนได้สติตื่นอยู่ในร่างใหม่นี้แล้ว ซิงหุนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และ ท่านอาเงา เป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร และรู้หรือเปล่าว่าที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งของซิงหุนวาดรูปดอกไม้สีแดงสดเอาไว้เหมือนเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง ซึ่งซิงหุนค้นพบความลับเรื่องภาพวาดที่ฝ่าเท้านี้เข้าโดยบังเอิญ หลังจกส่งซิงหุนเข้ามาในหุบเขานักฆ่าแล้ว ท่านอาเงาจะโผล่มาแบบลับๆ ล่อๆ แบบนี้เป็นระยะ และคอยกำชับให้ซิงหุนระวังโน่นระวังนี่
ซิงหุนถามว่า โผล่มาพบแบบนี้ไม่กลัวอาจารย์เสื้อเขียวจับได้หรือ ท่านอาเงาบอก อาจารย์เสื้อเขียวนั่นหัวดื้อมาก หยิ่งในการรับศิษย์ ไม่มีทางกลับมาก่อนปล่อยให้ซิงหุนอยู่ในห้องมืดครบสามวันหรอก
ท่านอาเงายื่นผืนผ้าปักลวดลายอะไรบางอย่างมาให้ซิงหุน เพราะอยู่ในความมืด ซิงหุนจึงมองไม่เห็นว่าผ้าปักลวดลายอะไร แล้วบอกว่าผืนผ้านี้ซ่อนยอดวิชาเอาไว้ ถ้าฝึกสำเร็จจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหล้า ซิงหุนย้อนถามว่าแล้วทำไมท่านอาเงาไม่เก็บไว้ฝึกเอง? ท่านอาเงาบอก เขาพยายามหาความลับของผืนผ้านี้มาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่พบ บางทีซิงหุนอาจมีวาสนาก็ได้ ซิงหุนจึงเก็บผืนผ้านี้เอาไว้
หลังจากอยู่ในห้องมืดครบสามวัน อาจารย์เสื้อเขียวก็กลับมา และพอใจมากเมื่อได้เห็นว่าซิงหุนไม่มีทีท่าว่าร้องไห้กลัวความมืดเลย จากนั้นจึงเริ่มฝึกวิชากัน โดยเริ่มจากวิชาตัวเบา
อาจารย์เสื้อเขียวทิ้งรอยเท้าในแนวเส้นตรง 37 ก้าวเอาไว้ให้ในตอนที่จุดตะเกียงทิ้งไว้สามวัน แล้วให้ซิงหุนเดินตามรอยเท้าเส้นตรงนั้นกลับไปกลับมา โดยมีพี่แกคอยซัดอาวุธลับใส่จากด้านข้าง ให้ซิงหุนหลบโดยที่ยังคงอยู่บนเส้นตรง ถ้าเท้าออกห่างจากเส้นตรงนั้นจะถูกลงโทษ แล้วการฝึกนี้ยังเป็นการฝึกในความมืด ให้อาศัยประสาทหูและความรู้สึกจับเสียงและความเคลื่อนไหวของวัตถุ เป็นการฝึกหลบการโจมตีแบบกะทันหันโดยไม่ต้องใช้ตามอง
ด้วยความที่เป็นนักฆ่ามีประสบการณ์โชกโชน ทำให้ซิงหุนเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วว่องไวและมีประสาทสัมผัส สัญชาตญาณเฉียบแหลมกว่าคนธรรมดาทั่วไป จึงสามารถเรียนรู้วิชาตัวเบาได้อย่างรวดเร็ว บวกกับในระหว่างที่พักผ่อนอยู่คนเดียวในห้องมืด (อาจารย์เสื้อเขียวจะออกจากห้องไปเป็นพักๆ) ซิงหุนเอาผืนผ้าออกมาลูบคลำดู และค้นพบความลับของผ้าเข้าโดยบังเอิญ อันเป็นความลับที่หากชาติก่อนซิงหุนไม่ได้เป็นคนในยุคปัจจุบัน จะไม่มีทางล่วงรู้ความลับนี้ซึ่งคนโบราณทั่วไปไม่รู้อย่างแน่นอน
ผืนผ้านั้นซ่อนวิชาฝึกปราณเอาไว้ โดยความก้าวหน้าในการฝึกไม่แสดงออกมาให้คนภายนอกรู้สึก มีแต่ผู้ที่ฝึกที่รู้ได้ ซิงหุนเริ่มฝึกพลังปราณนี้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา ทำให้การเคลื่อนไหวในแนววิชาตัวเบาที่มีพลังปราณนี้หนุนเสริมคล่องแคล่วว่องไวขึ้นมาก แต่ซิงหุนก็พยายามซ่อนคมงำประกายเอาไว้ ไม่เผยให้อาจารย์เสื้อเขียวรู้ไต๋หมดว่าฝีมือของเขาก้าวหน้าขนาดไหน จะแสดงออกมาเต็มที่ก็เฉพาะตอนที่ซ้อมอยู่คนเดียวเวลาอาจารย์ไม่อยู่ กระทั่งท่านอาเงาก็ไม่รู้เรื่องที่ซิงหุนพบความลับในผืนผ้าและเริ่มฝึกพลังปราณนั้นแล้ว
มีครั้งหนึ่ง ตอนที่ฝึกวิชาตัวเบา แล้วอาจารย์เสื้อเขียวซัดอาวุธลับเข้าใส่แบบเพิ่มความเร็วโดยไม่บอกกล่าว ซิงหุนเผลอแสดงระดับวิชาตัวเบาที่แจริงของตัวเองออกไป กระโดดทีเดียวสุงขึ้นไปเกือบถึงเพดาน ทำเอาอาจารย์ตกใจ ซิงหุนรีบแก้ตัวว่าบังเอิญทำได้กะทันหัน ตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้ยังไง อาจารย์ก็เชื่อ และบอกว่า อาจารย์ของอาจารย์เคยบอกว่าวิชาที่ฝึกอยู่นี้ หากฝึกถึงขั้นสูงสุดจะสามารถยืมพลังของอากาศพาตัวลอยได้ แต่แม้แต่อาจารย์ของอาจารย์เองก็ฝึกถึงขั้นนั้นไม่สำเร็จ บางทีเมื่อกี้ซิงหุนอาจเข้าถึงเคล็ดลับโดยบังเอิญก็ได้ จากนั้นก็ไม่ได้ติดใจสงสัยเรื่องนี้อีก ส่วนซิงหุนก็ยิ่งระวังตัวในการซ่อนคมงำประกายกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม แค่ระดับฝีมือและระดับความก้าวหน้าที่ซิงหุนแสดงออก อาจารย์เสื้อเขียวก็หน้าบานและพอใจมาก บอกว่าตั้งแต่เขารับศิษย์มา ซิงหุนนี่แหละเก่งที่สุดแล้ว ซิงหุนจึงถามว่าแล้วศิษย์คนอื่นๆ ล่ะ? อาจารย์เสื้อเขียวบอก ศิษย์คนก่อนหน้าของเขาคือซิงหุนคนก่อน ตายไปแล้ว ชื่อถึงได้ถูกนำมาตั้งให้แก่นักฆ่ารุ่นใหม่ เขาก็ได้แต่ว่าหวังว่าหลี่หลินจะเป็น ซิงหุนคนสุดท้าย ไม่มี ซิงหุน คนถัดจากนี้อีก ซิงหุนฟังแล้วก็ได้แต่ขนหัวลุก
ด้วยความที่แม้ร่างกายภายนอกจะเป็นเด็ก แต่ข้างในเป็นผู้ใหญ่ และรู้ดีว่าหน้าตาของตัวเองนั้นน่ารักถึงขนาดแกล้งทำเป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้วก็ยังจะถูกส่งไปอยู่เรือนโบตั๋น ซิงหุนจึงใช้หน้าตาและความสามารถด้านการปั้นหน้าหลอกตบตาคนที่ติดตัวมาจากตอนที่เป็นนักฆ่าแสดงบทเด็กชายผู้ร่าเริงและขี้อ้อน ทำเอาอาจารย์เสื้อเขียวที่เดิมทีเย็นชาไม่ชอบการผูกพันนึกรักซิงหุนเหมือนลูกจริงๆ ไปเลย
ถัดจากฝึกวิชาตัวเบา ก็เป็นฝึกซัดอาวุธลับ ซึ่งอาวุธลับที่อาจารย์เสื้อเขียวให้ฝึก เป็นอาวุธลับแบบซัดทุกชนิด ตั้งแต่มีดสิ้น เข็ม กระสวย กระสุน ไปจนถึงทรายพิษ แต่ส่วนใหญ่จะไม่อาบยาพิษ เน้นอาศัยฝีมือซัดให้ถูกจุดตาย
อาวุธลับจะฝึกให้ซัดทั้งแบบเดี่ยวและแบบกลุ่มให้เข้าเป้าทั้งหมด ฝึกซ่อนอาวุธลับเอาไว้ในส่วนต่างๆ ของร่างกายภายใต้เสื้อผ้าโดยไม่ให้คนนอกสังเกตเห็นได้ให้มากที่สุด และฝึกซ่อนเข็มไว้ในปากแล้วยังสามารถพูด กิน ดื่มได้แบบเป็นปกติ สำหรับพ่นทำร้ายคู่ต่อสู้แบบไม่ทันตั้งตัว
ตามกำหนดเดิม ซิงหุนต้องฝึกอยู่ในห้องมืดเป็นเวลาสามปี แต่เนื่องจากฝีมือก้าวหน้าเร็วกว่าที่คิดมาก ดังนั้นเพียงสองปีครึ่ง อาจารย์เสื้อเขียวก็ให้เปลี่ยนเป็นออกไปฝึกที่นอกห้องมืดได้ ด้วยเหตุผลว่า ผิวของซิงหุนจะดูผิดปกติจนเห็นได้ชัดเหมือนผิวของเขาไม่ได้
เมื่อออกไปฝึกที่นอกห้องมืด ด้วยพลังปราณจากผืนผ้าที่ฝึก ทำให้ประสาทสัมผัสทุกส่วนของซิงหุนเฉียบแหลมกว่าที่อาจารย์เสื้อเขียวรู้หลายเท่า ดังนั้นซิงหุนจึงจับได้ว่า การฝึกนอกห้องศิลานั้นเป็นไปเพื่อให้คนของหุบเขาได้เห็นผลการฝึกของเขา ซิงหุนจึงจงใจทำเป็นฝีมือถอยหลังจนอาจารย์ชุดเขียวที่ชินเสียแล้วกับการฝึกฝนที่ก้าวหน้าพรวดๆ แบบติดจรวดของศิษย์รักประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น ซิงหุนก็แก้ตัวว่าไม่ชินกับการฝึกในเวลากลางวัน พออยู่ในที่สว่างๆ แล้วเขาเพลีย ไม่ค่อยมีแรง
ความจริงคือ...จากประสบการณ์ในการเป็นนักฆ่าในชาติก่อนทำให้ซิงหุนรู้ว่า ยิ่งแสดงฝีมือให้เห็นว่าตัวเองเก่งจนเรียนจบหลักสูตรเร็ว ก็ยิ่งถูกส่งไปเริ่มทำงานเร็ว และม่องเท่งเร็ว ดังนั้นแกล้งทำเป็นงำประกาย ทำเป็นไม่ค่อยเก่งเอาไว้ ชีวิตถึงจะอยู่รอดปลอดภัยและยืนยาว
หลังจากฝึกนอกห้องศิลาได้ไม่กี่วัน อาจารย์เสื้อเขียวก็บอกว่า ต่อไปรายการฝึกจะเปลี่ยน เป็นไปฝึกวิชาศิลปะกับอาจารย์อีกคนครึ่งวันเช้า แล้วกลับมาฝึกกับเขาอีกครั้งวัน โดยเขาจะไปรับกลับมาในตอนบ่าย
อาจารย์สอนวิชาศิลปะชื่อ เฉิงเตี๋ยอี เป็นสาวสวยถูกใจซิงหุนเป็นอย่างยิ่ง ซิงหุนเรียกเฉิงเตี๋ยอีว่า อาจารย์คนสวย เป็นการประจบให้อาจารย์เอ็นดูด้วยทางหนึ่ง
สิ่งที่ซิงหุนต้องเรียนเมื่อไปอยู่ที่เรือนป่าไผ่ของอาจารย์คนสวยเฉิงเตี๋ยอีคือ เลียนแบบแบบทุกสิ่งทุกอย่างของเด็กชายชุดม่วงคนหนึ่งที่อายุกับส่วนสูงพอๆ กับซิงหุน และมีหน้าตาเหมือนกับซิงหุนราวกับฝาแฝด...
เด็กคนนั้นพักอยู่ในเรือนป่าไผ่ของเฉิงเตี๋ยอี เฉิงเตี๋ยอีให้ซิงหุนซ่อนตัวอยู่หลังม่านมู่ลี่ ดูทุกอิริยาบถความเคลื่อนไหวของเด็กคนนั้น แล้วฝึกเลียนแบบทุกอย่างของเด็กคนนั้น ตั้งแต่ น้ำเสียง วิธีพูด สำเนียง อิริยาบถ บุคลิก กิริยาท่าทาง ฝีมือและรูปแบบการดีดพิณ วาดภาพ ชงชา ลายมือ ฯลฯ
ซิงหุนขอลองเข้าไปคุยกับเด็กคนนั้นดู เพื่อจะได้ศึกษาอีกฝ่ายให้ละเอียดกว่านี้ แต่เฉิงเตี๋ยอีไม่อนุญาต โดยบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นโรคเก็บกดชอบอยู่คนเดียว ถ้าอยู่กับคนอื่น จะไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ในตอนนี้ ซิงหุนรู้แล้วว่า ภารกิจแรกที่เขาจะต้องไปทำ...คือสวมรอยเป็นเด็กผู้ชายชุดม่วงคนนั้นอย่างแน่นอน
แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 15:15:19
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 52 15:15:12
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 52 09:54:06
จากคุณ |
:
Linmou
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ส.ค. 52 09:48:08
|
|
|
|