ความคิดเห็นที่ 1 ไปจุดธูปบอกเซียนแล้วให้มาช่วยดู ระหว่างนี้ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่านี่ไม่ใช่ทดลองแปลนะครับ เป็นสัญญาว่าจ้างแปล มีบทลงโทษผู้แปลที่ส่งช้าด้วยการปรับ แต่เวลาจ่ายเงินบอกจะจ่ายเป็นงวด กี่งวดก็ไม่บอก แหม ทีปรับละปรับจริง ที่จ่ายจะจ่ายจริงหรือเปล่าหว่า? "..จะส่งงานเอกสารที่แปลเสร็จเรียบร้อยคืนให้แก่ผู้ว่าจ้างภายใน 5 วันต่อเอกสารต้นฉบับ 100 หน้ากระดาษ A4 นับแต่วันที่ตกลงค่าแปลเอกสารเรียบร้อย.." >> สมมุติว่าตกลงค่าแปลหน้าละห้าร้อยบาท ตกลงกันวันที่ 1 ส.ค. ก็ต้องส่งเอกสารที่แปลเสร็จเรียบร้อยวันที่ 6 ส.ค. เกิดเขาตีกลับมาว่าผิดอยู่สิบห้าเปอร์เซนต์ ก็ต้องถือว่ายังไม่เสร็จเรียบร้อยใช่ไหมครับ ช่วงที่ยังไม่เสร็จและต้องแก้ไขนี้ ให้เวลาเท่าไรโดยที่ไม่ปรับ??? สมมุติรับเรื่องคืนมาวันที่ 7 ส.ค. และเราแก้ส่งคืนวันที่ 10 ส.ค. เราจะถูกปรับหรือเปล่า? เพราะเงื่อนไขมันบอกว่าส่งงานที่แปลเรียบร้อยในห้าวัน ระวัง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 11:45:09

ความคิดเห็นที่ 2   ขอร่วมแจมด้วยคนค่ะ เป็นสัญญาที่ดูไม่ค่อยน่าสนใจ บริษัทที่ว่าเป็นเอเจนซี่งานแปลหรือเปล่าคะ 2. หรือการใช้ภาษาก็ดี >>ควรระบุให้ชัดเจน บ่อยครั้งที่พบว่าลักษณะการใช้ภาษาให้สวยงามเป็นความเห็นส่วนบุคคล ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ถ้างานเราดี แต่เขาบอกว่าไม่ได้เรื่อง จะทำยังไง 3. ...กำหนดจะส่งงานเอกสารที่แปลเสร็จเรียบร้อยคืนให้แก่ผู้ว่าจ้างภายใน 5 วันต่อเอกสารต้นฉบับ 100 หน้ากระดาษ A4 นับแต่วันที่ตกลงค่าแปลเอกสารเรียบร้อย หากล่าช้ากว่านี้ผู้รับจ้างยินดีให้ผู้ว่าจ้างปรับ... >>ข้อนี้ดูผิดปกติมาก ๆ 1)ไม่มีการระบุขนาดฟอนต์ จำนวนบรรทัดต่อหน้า ระบุเป็นจำนวนคำต่อวันโดยประมาณจะดีกว่ามั้ยคะ หรือไม่ก็มีการตกลงกันก่อนรับงานว่าจะคิดต้นฉบับในแต่ละครั้งเป็นกี่หน้า 2) เอกสารแต่ละชนิดมีความยากง่ายต่างกัน อย่างเช่นถ้าเป็นคำโคลงกลอน บทความเฉพาะทาง บทความโฆษณา กฎหมาย ฯลฯ การถ่ายความเป็นอีกภาษาหนึ่งจะใช้ความเร็วต่างจากบทความทั่วไป 3) ความล่าช้าที่เกิดจากผู้จ้าง ความไม่ชัดเจนของต้นฉบับ เช่นส่งต้นฉบับล่าช้า ส่งคำถามขอบริบทเพิ่มเติมไปแต่ไม่ได้รับคำตอบในเวลาอันควร จะถือว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ 4) ส่วนที่ระบุว่า 5 วันนั้น เป็นวันทำการหรือเปล่าหรือทำทั้งเจ็ดวันต่อสัปดาห์ ไม่รวมวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ควรเผื่อเวลาทีมงานป่วย ติดธุระไว้ด้วย 4. หากภายหลังปรากฏว่า เอกสารของผู้ว่าจ้างที่ให้ผู้รับจ้างแปลเกิดรั่วไหลสู่ภายนอกโดยฝ่ายผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างยินดีรับผิดชอบด้วยการ... >>ข้อนี้ไม่น่าเป็นห่วง ถ้าเขากล่าวหาก็ต้องมีหลักฐานชัดเจน 5. ผู้ว่าจ้างตกลงว่า จะชำระค่าแปลเอกสารให้แก่ผู้รับจ้างรวมเป็นงวด เมื่อได้ตรวจสอบเอกสารที่ผู้รับจ้างแปลแล้วว่าถูกต้องตามสัญญาข้างต้น >>คำว่างวดในที่นี้คงไม่ได้หมายถึงต่องานใช่มั้ยคะ ที่เคยเจอจะเป็นจ่ายทุกเดือน ส่งใบเรียกเก็บเงินเดือนละครั้ง ถือว่าปกติ ถ้างานชิ้นใหญ่มากเป็นแสนคำควรจะขอมัดจำล่วงหน้าด้วย เพราะกว่างานจะเสร็จเราก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ถ้าไม่จ่ายอย่างที่ความเห็นข้างต้นว่ามา เขาจะให้ดอกเบี้ยเราเป็นค่าปรับมั้ย อันนี้หยอกเล่น ๆ ไม่เห็นมีการรับประกันจำนวนงานต่อเดือนว่าเขาจะส่งงานให้ได้มากน้อยเท่าไหร่ ถ้าหกเดือนให้มา 20 หน้าก็ดูว่าจะไม่คุ้มนา สัญญานี้ระบุแต่บทลงโทษของผู้รับจ้าง ไม่มีของผู้จ้าง น่าคิดนะ รอความเห็นจากท่านอื่นเพิ่มเติมนะคะ จากคุณ : Care เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 12:34:46 A:118.172.151.105 X: TicketID:102404

ความคิดเห็นที่ 3 1. โดยปกติของธุรกิจประเภทนี้ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่เป็น freelance เข้าทำสัญญาแบบนี้หรือไม่คะ และถ้าทำ เราต้องทำสัญญากันก่อนเลยเหรอคะ โดยที่ยังไม่ตกลงว่าจ้างกัน ====================================== ทำครับ ดูที่เจตนานะครับ ในมุมมองของลูกค้า การนำเอกสารภายในออกไปแปลมีความเสี่ยงที่ต้องกังวลคือ ก. เสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยในสิ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผย ข. เสี่ยงต่องานเสร็จไม่ทันกำหนดเวลาที่ต้องใช้ ค. เสี่ยงต่อการได้รับงานคุณภาพต่ำเกินกว่าจะยอมรับได้ เมื่อเราเข้าใจมุมมองของลูกค้าแล้ว รักจะทำธุรกิจกันต่อไป เราก็ต้องแก้ข้อกังวลในใจเขา เราต้องแสดงความมุ่งมั่นที่จะรักษาความลับของลูกค้า ทำงานให้มีคุณภาพ ส่งงานให้ทันกำหนด รับผิดชอบปรับปรุงแก้ไขหากมีข้อผิดพลาด โดยเราต้องกำหนดแนวปฏิบัติของเราขึ้นมาในรายละเอียด ซึ่งความจริงอันนี้เป็นมาตรฐานวิชาชีพอยู่แล้วนะครับ ส่วนการทำสัญญาเป็นเพียงการ "ลด" ความกังวลของลูกค้าเท่านั้น คุณจะช่วยลดความกังวลในใจของลูกค้าได้ไหม? ====================================== 2. รบกวนพิจารณาเนื้อหาของสัญญาให้ด้วยค่ะว่า ดิฉันถูกเอาเปรียบหรือไม่บ้าง ตรงไหนอย่างไร โดยเฉพาะ -หากส่งช้าโดนปรับ แล้วเทียบกับค่าแปลที่ได้รับ (ซึ่งดิฉันต้องแบ่งกับนักแปลอีกทีค่ะ) มันยุติธรรมหรือไม่ ====================================== ถ้าผมเป็นลูกค้า คุณส่งงานผมช้า เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของผม ค่าปรับที่ผมได้มันคงไม่ช่วยอะไร ถ้าคุณเข้าใจในความเสียหาย คุณมีแนวปฏิบัติที่จะส่งงานให้ได้ตรงเวลา ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล สัญญาข้อไหนขาดความชัดเจน คุณก็แก้ไขปรับปรุงไป ====================================== -ต้องแปล 100 หน้าและส่งเขาใน 5 วัน (โดยผู้ว่าจ้างไม่ได้กำหนดว่าเราจะใช้กี่คนแปล แต่ดูเหมือนว่าคุณภาพที่ลูกค้าคาดหวัง เราคงต้องใช้นักแปลคนเดียวกันแปลเนื่อหาทั้งหมดมากกว่าที่จะแบ่งแปล) ====================================== หน้าที่ของลูกค้าคือกำหนดวันส่งงานและจ่ายเงิน ส่วนเราจะใช้นักแปลกี่คน ควบคุมคุณภาพแบบไหน ทำอย่างไรให้ส่งงานได้ตรงเวลา เป็นหน้าที่ของเราครับ คุณต้องกำหนดแนวปฏิบัติขึ้นมา ถ้ากำหนดเวลานี้มันมีผลกระทบต่อคุณภาพงาน คุณก็คุยกับลูกค้าอธิบายให้เขาฟัง ลูกค้าไม่ได้ตั้งใจบีบให้คุณจนตรอก แต่เขาก็มีความจำเป็นในงานของเขา คุณลองเจรจาปรับเปลี่ยนดู ====================================== 3. แอบสงสัยเองว่า หากเอกสารของผู้ว่าจ้างที่ให้ผู้รับจ้างแปลเกิดรั่วไหลสู่ภายนอก (ซึ่งไม่ใช่โดยเรา) จะมีวิธีพิสูจน์ได้อย่างไรคะ คือ เกรงว่ารั่วเพราะบุคคลอื่นแต่เขาจะมาโทษเราแล้วเราจะต่อสู้อย่างไร คือ ลำบากใจนิดๆ ค่ะ ====================================== เปลี่ยนเงื่อนไขในสัญญาเป็น "ผู้รับจ้างสัญญาว่าจะปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ โดยพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรักษาข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับและรับทราบไว้เป็นความลับ หากข้อมูลดังกล่าวรั่วไหลสู่ภายนอกโดยเป็นที่พิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือเกิดจากการกระทำของฝ่ายผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างยินดี (ให้ดำเนินการตามกฎหมาย/ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นในวงเงินไม่เกิน...)" ====================================== 4. ขอข้อแนะนำอื่นๆ ก่อนที่จะต้องเข้าทำสัญญา เช่น ข้อความที่ควรต้องแก้ไขเพิ่มเติม ====================================== สัญญาที่คุณยกมาเป็นสัญญาที่ไม่รัดกุม เจตนาแท้จริงแล้ว ลูกค้าเพียงต้องการบรรเทาความกังวลในใจ หน้าที่ของคุณคือ อย่าเพิ่งคิดว่าลูกค้าจะเอาเปรียบ พยายามสร้างสถานการณ์แบบ win-win ขึ้นมา อันไหนติดขัดไม่สบายใจ ก็เจรจาปรับเปลี่ยนให้ชัดเจน กำหนดวันชำระเงินให้ชัด ทำงานของคุณให้ดีที่สุด แสดงความเป็นมืออาชีพออกมาให้ลูกค้าเห็นครับ ลูกค้าอยากทำงานกับคุณจะแย่แล้ว ปกติในใบเสนอราคาของผมเอง นอกจากระบุราคาและกำหนดส่งที่ชัดเจนแล้ว ผมจะระบุไว้ด้วยว่า รับประกันแก้ไขข้อผิดพลาดโดยไม่จำกัดระยะเวลา (อันนี้ต่างจากคนอื่นที่มักกำหนดไว้ว่าต้องแก้ภายใน 7 วัน 15 วัน) ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ลูกค้าสบายใจแล้ว ยังง่ายแก่การเจรจาเงื่อนไขการชำระเงินอีกด้วย เช่น สำหรับงานที่ส่งมอบในแต่ละเดือน กำหนดให้ลูกค้าชำระเงินไม่เกินวันที่ ( ) ของเดือนถัดไป ส่วนงานมีข้อผิดพลาดตรงไหนเมื่อไหร่ เขาก็ส่งมาแก้ เราจะระบุหรือไม่ก็ได้ว่าจะแก้ให้แล้วเสร็จในกี่วัน เท่านี้กำหนดชำระเงินก็ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขงานแล้ว ถ้าเราทำดีก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหรอกครับ ====================================== จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 13:17:44

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบอกว่าข้อความในสัญญาที่คุณแปะไว้นั้น ไม่ค่อยจะแสดงเจตนาของการร่วมมือกันอย่างเป็นมิตรระหว่างผู้ว่าจ้างกับนักแปล หากแต่จะ "ส่อความ" ว่าผู้รับจ้างจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อหารายได้จาก "การเอาผิดกับนักแปล" ซึ่งจริงๆแล้วก็เคยมีคนทำเช่นนี้มาก่อน คนๆนี้ (เอาบ้านทำบริษัท) ตั้งบริษัทอยู่แถวๆบางบัวทอง เขาจะเขียนสัญญาคล้ายๆกับที่คุณแปะไว้ข้างบนมากๆเลยหละ เขาหลอกนักแปลหน้าใหม่มาเกิน 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังลอยนวลอยู่ได้ เนื่องจากเขารู้ว่า นักแปลหน้าใหม่ ไม่ค่อยรู้แหล่งหางาน ก็เลยตกเป็นเหยื่อไปทำงาน ที่หาง่าย ก็มีแต่ "งานแปลก๋วยเตี่ยวเรือ" คืองานแปล ที่แปลลวกๆ ชุ่ยๆ ราคาถูกๆ จากร้านแปลแถวๆวิทยุ เพลินจิต สุขุมวิท แล้วนักแปลโดนกินหัวคิว 50% เราเคยทำงานพวกเนี้ยในอดีต (โดยพยายามแปลให้ดีๆเต็มความสามารถ) จนเครียดเสียสติไปเลยอยู่หลายปี...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมารู้ในภายหลังว่า งานแปลราคาแพงๆ ที่ทำไปดีขนาดนั้นน่ะ จริงๆ แล้วนักแปลควรได้มากกว่านั้นหลายเท่า หากแต่ว่า การจะไปหาลูกค้าดีๆแบบเนี้ย ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในวงการแปล และรู้จักผู้คนนานๆ ละก้อ มันเป็นเรื่องยากพอสมควร คือว่า ถ้านักแปลไม่มี connections มากพอสมควร ก็ติดต่อหาลูกค้าลำบาก (ยิ่งหวังพึ่งโฆษณา pantipmarket นะ พี่แกเล่นตัดราคากันเหลือหน้าละ 80 บาท ..อดอยากมาจากไหนกันหว่า?...เราเข้าไปโฆษณาได้ทีสองที กลายเป็นหมาหัวเน่า ...เผ่นออกมาแทบไม่ทันแน่ะ... เราเคยบ่นๆเรื่องนี้จะมีเรื่องทะเลาะกับคน จนในที่สุด "เราก็ต้องประกาศว่า ไม่ต้องมาหาว่าเราไปดูถูกใครว่า คนนั้นคนนี้ไม่มีความสามารถ แล้วใช้แต่ connections หางาน เพราะตอนนี้เรากำลังประกาศว่า ตัวเราเอง เพื่อให้รอดพ้นจากอาการตกงาน เราก็กำลังใช้ connections ของแฟนเราเอง หางานดีๆให้เราทำ ส่วนเราจะมีหรือไม่มีความสามารถนั้น ไม่ต้องพูดถึง เอาแค่อยู่รอดไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง...555+++..." คนที่บ้านอยู่แถวๆบางบัวทองน่ะ ก็เลยจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อหลอกลวงนักแปลหน้าใหม่โดยเฉพาะ ถ้าคุณไปสมัครงานที่นั่นละก้อ ขอให้แคล้วคลาดนะ หรือไงก็บอกรูปพรรณสันฐานหมอนั่นให้คนรู้ด้วย (เอารูปถ่ายมันมาแปะ)   ไปอ่านกระทู้เก่าที่เราตอบไว้ (ในกระทู้นั้น เราพูดถึงเรื่องข้อสัญญาว่าด้วยการรักษาความลับเอาไว้อย่างรัดกุมอีกด้วย ไม่ใช่เปิดช่องโหว่ให้มาเอาผิดกันง่ายๆ) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/07/K8035796/K8035796.html แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 52 14:04:57 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 52 16:26:54 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 52 16:17:19

ความคิดเห็นที่ 5 เป็นผมน่ะหรือ สัญญาแบบนี้ กดทิ้งชักโครกไปเลย สัญญาทางธุรกิจ ต่างฝ่ายต้อง "เขี้ยว" ที่สุดไว้ก่อนครับ นี่เป็นกฏเหล็ก ในทางปฏิบัติจะลดหย่อนกันยังไง ก็ว่ากันไป จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 13:09:48

ความคิดเห็นที่ 6   อ้างถึง #5 สัญญาแบบนี้ กดทิ้งชักโครกไม่ได้ค่ะ เพราะกระดาษที่ใช้ อย่างน้อยก็ต้อง 70 g. ติดคอห่านแน่เลยอ่ะ... มันไม่ยุ่ย... จากคุณ : o;] เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 52 18:03:55 A:125.25.68.254 X: TicketID:012689

ความคิดเห็นที่ 7 555 สวัสดีครับ คุณนวล จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : วันรพี 08:09:44

ความคิดเห็นที่ 8   คุณพ่อโปรเจ็กต์กลับมาแล้ว ดีใจจังคะที่จะได้ข้อมูลดีๆ อีก จากคุณ : เซร่า เขียนเมื่อ : วันรพี 14:27:22 A:202.90.6.36 X:

ความคิดเห็นที่ 9 ผมก็เคยทำสัญญาแปลกับบริษัทในเยอรมนี และสัญญานั้นก็ยังมีผลใช้อยู่จนปัจจุบัน แต่ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ก่อนอื่นคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า "คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาไม่โกงคุณ" แค่นี้เองจริงๆครับคือคำแนะนำของผม ถ้าคุณยังสงสัยอยู่ ไม่ต้องไปกดชักโครกทิ้งหรอกครับ มันมาเป็นไฟล์ข้อมูล ก็อย่าพิมพ์ออกมาเสีย ลบทิ้งไปเลย งานดีๆ เยอะแยะๆไปหมด ไม่ต้องไปง้อกับสัญญาประหลาดๆนั้นหรอกครับ เป็นผมอ่านแล้วลบทิ้งไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามานั่นงคิดหาเหตุผล โชคดีนะครับ จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 52 17:01:43

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านสัญญาที่ จขกท แปะไว้อีกรอบ แล้วรู้สึกว่ามันเหมือนสัญญาของไอ้นักตุ๋นที่บางบัวทองมากๆเลยหละ ไม่รู้ จขกท ไปเจอบริษัทนี้ที่ไหน หรือว่าไอ้หมอนี่เปิดสาขาเพิ่ม?   วิธการตุ๋นของมันนะ มันจะเรียกเงินมัดจำจากนักแปลคนละหมื่นกว่าบาท เดี๋ยวนี้อาจมากกว่านั้น ถ้านักแปลที่ไหนเจอแบบนี้ ก็นับว่าผิดปกติแล้ว เพราะส่วนใหญ่มีแต่นักแปลจะเรียกเงินมัดจำจากลูกค้า 50% ก่อนแปลในกรณีที่ลูกค้าเป็นบุคคลธรรมดาขาจร เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ในกรณีที่ลูกค้าเป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือนักแปลเขาก็จะแปลไปก่อน พอแปลเสร็จส่งงานไป แล้วก็ไปวาง invoice เรียกเก็บเงินทีหลัง รายได้หลักของนักตุ๋นคนนี้ ก็คือเอาเงินมัดจำจากนักแปลไปหมุน คนละหมื่นหลอกมาได้ 10 คนก็ได้แสนหนึ่งแล้ว วิธีการก็คือ พอนักแปลส่งงาน เขาก็จะเก็บ file งานแปลชุดหนึ่งไว้ "เล่นแร่แปรธาตุ" ในขณะที่บอกให้นักแปลกลับไปแก้ไขงานแปลด้วยเหตุผลที่ว่า "ไม่ได้มาตรฐาน และมีแปลผิด" เมื่อเขาได้คำแปล สมมุติว่า 10 ชุด จากนักแปล 10 คน เขาก็จะเอามันมา edit (ตรวจแก้) ตัดต่อ ให้เป็นชุดเดียวเพื่อส่งมอบให้ลูกค้า แล้วรับทรัพย์จากลูกค้า ในขณะที่ยึกยักไม่ยอมจ่ายนักแปลเลยแม้แต่สักคนเดียว หรืออาจจ่ายให้แค่ 1 คนที่ทำมาดีที่สุด ตอนแรกเราสงสัยว่าเขาแล้วเขามีงานแปลจากลูกค้าที่ไหนเข้ามาได้จริงหรือเนี่ย? คำตอบที่น่าประหลาดก็คือว่า "มีจริงๆ...!!!" จากการเผอิญเมื่อตอนเราพิมพ์ดีดภาษาไทยไม่เป็น เรามีงานแปลด่วนต้องทำ และต้องอาศัยบริการพิมพ์ดีดภาษาไทย เราเคยไปถามๆหาบริการพิมพ์ดีดจากแถวๆเกษตรฯ ไปเจอบ้านคนแห่งหนึ่ง เป็นเจ้าของกิจการเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวเพิ่งเลิกกับแฟน เธอรับพิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์ มีเครื่องคอมฯหลายเครื่อง มีพนักงานพิมพ์ดีดทำงาน 3 กะ เพื่อให้มีบริการพิมพ์งานได้ตลอด 24 ชม   คุยๆกัน เจ้าของบริการพิมพ์งานเล่าให้ฟังถึงว่า มี "นักแปล" คนหนึ่ง (ก่อนย้ายไปอยู่บางบัวทอง) มาอาศัยบ้านเธอทำธุรกิจแปลเอกสาร และจ้างเธอพิมพ์งานด้วย เธอเรียกนักตุ๋นว่า "นักแปล" พอได้ยินชื่อหมอนี่ เราจำมันได้ทันที เนื่องจากมันเคยตุ๋นนักแปลรุ่นน้องๆเราไปหลายคน และมันก็เคยทำงานเป็นพนักงานพิสูจน์อักษร (ไม่ใช่ "นักแปล") ในบริษัทแปลเอกสารแห่งหนึ่งที่เราเคยทำงานอยู่เมื่อนานมาแล้ว เจ้าของบริการพิมพ์ดีดเล่าให้เราฟังว่า ไอ้นักตุ๋นคนนี้มีงานแปลมากมายเป็นกองพะเนินเทินทึก มากขนาดค่าพิมพ์งานออกมาเป็นเงินถึง 3-4 หมื่นบาท  (อาจเป็นแค่ค่า print เพราะส่วนใหญ่นักแปลจะส่งงานเป็น files)  แล้วมันก็ชักดาบค่าพิมพ์งานไป คือรับงานไป แล้วมันก็ใช้ชั้นเชิงเดิม นั่นแหละ คือบอกว่า "ต้องเอาไปตรวจความถูกต้องก่อนจ่ายเงิน"  แต่มันก็ไม่จ่ายเงิน จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 08:11:34

ความคิดเห็นที่ 11 พอเราถามเจ้าบริการพิมพ์งานว่าตอนนี้มันไปไหน เธอตอบว่ามันย้ายไปบางบัวทองแล้ว แล้วก็ชักดาบค่าพิมพ์เธอไปหลายหมื่นบาทด้วย เราถามว่ามันเอางานแปลมาจากไหน  เธอตอบว่า "มันรู้จักคนมีสี และรู้จักคนในหน่วยงานต่างๆ คนมีสีใช้อิทธิพลดึงงานแปลออกมาให้มัน" เราคาดว่า มันคงมีเอี่ยวกับคนมีอิทธิพล หรือไม่ มันก็ยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อเอางานราคาแพงๆออกมาจากหน่วยงานบางแห่ง โดยอาศัย connections ของคนมีสี อาจเป็นด้วยเหตุผลนี้ที่มันไม่ถูกจับดำเนินคดีง่ายๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 08:32:00

ความคิดเห็นที่ 12 ประวัติความเป็นมาของคนๆนี้ว่าเข้าสูวงการ(ต้มตุ๋นนัก)แปล ได้ยังไง ก็คือว่า ตอนที่มันเรียนรามฯปี 1 หรือ 2 เนี่ยมันไปทำงานเป็นพนักงานพิสูจน์อักษรที่บริษัทแปลซึ่งเราทำงานเป็นนักแปลอยู่ คนๆนี้มีความสนใจอยากที่จะเป็นนักแปลมากๆ  สิ่งที่เขาเพียรพยายามทำ ก็คือจริงๆแล้วเขามีหน้าที่ตรวจตัวสะกด (สมัยนั้นนักแปลอาวุโส ไม่มีใครพิมพ์ดีดเป็น หรือถึงพิมพ์เป็นแล้วส่ง files มา พอ print ออกมา ก็ยังต้องตรวจว่าพิมพ์ถูกหรือเปล่า การตรวจตัวสะกด จะทำหลังจาก editor ตรวจคำแปลไปแล้ว นักตุ๋นคนนี้ มันจะไปแก้คำแปลอีกรอบหนึ่งเพื่อแสดงภูมิความรู้ของมัน ปรากฎว่าพนักงานพิมพ์ดีดทั้งบริษัทเดินขบวนร้องเรียนต่อเจ้าของบริษัท เรื่องต้องพิมพ์งานใหม่หลายรอบ  ก็เลยโกลาหลอลเวงไปทั้งบริษัท เราเห็นไอ้หมอนี่มันมีความเพียรพยายามอยากเป็นนักแปลมากๆ เราเลยบอกเจ้าของบริษัทว่า "ให้ส่งเสริมมัน โดยการเริ่มเอางานง่ายๆ ให้มันหัดแปล" ...แล้วมันก็ได้ตามนั้น ตามที่เราช่วยมันไว้  ที่เราทำได้ ก็เพราะว่าเราเป็นพนักงานคนโปรดของเจ้านาย เจ้านายมักจะมาปรึกษาเราเรื่องการเตรียมไพร่พลเพื่อทำงานแปลชิ้นใหญ่ๆ หรือเรื่องการว่าจ้างพนักงานแปลรายใหม่ๆ แทนที่ไอ้หมอนี้จะ happy นะ หนอยแน่ะ มันกลับสร้างวีรกรรมใหม่ๆ...อีกไม่กี่วัน มันไปโผล่ที่เพลินจิต แล้วไปหลอกบริษัทแปลแห่งหนึ่งว่ามันเป็น "อาจารย์" ที่มีผลงานแปล และผลงานเขียนตำราตีพิมพ์มามากมายแล้ว (เผลอๆมันเอาชื่อคนอื่นไปอ้าง) มันก็เลยไปรับงานแปลเป็นชิ้นๆ (ทำแบบ freelance) จากร้านแปลแห่งนั้น แต่แอบเอาเข้าไปแปลในบริษัทที่มันทำงาน (บริษัทเดียวกับที่เราทำงานเป็นนักแปล) แล้วมันก็แปลไปในเวลาทำงานรับเงินเดือน ในกรณีที่มันไปได้งานแปลเป็นชิ้นๆเร่งด่วนมาจากที่เพลินจิต มันก็จะเบี้ยวงานประจำมัน บางทีเบี้ยวไป 2-3 วัน แล้วพองานจรเสร็จมันจึงกลับเข้ามางานประจำใหม่ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 09:10:42 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 08:37:25

ความคิดเห็นที่ 13 หลังจากนั้นมันใช้โทรศัพท์ในที่ทำงานรับงานจากร้านแปลเอกสารที่อื่น หรือบางทีจากลูกค้าขาจรจากที่อื่น จนเรื่องนี้ไปถึงเจ้านาย เจ้านายก็เรียกเราไปปรึกษา บอกว่า "คิดว่าจะไล่ไอ้หมอนี่ออก แต่สงสารมัน เพราะว่ามันไปมีแฟน 2-3 คนพร้อมๆกัน แล้วผู้หญิงทุกคนก็เริ่มท้องกันหมด...(นี่ก็คือวีรกรรมอีกอันหนึ่งของมัน)...จะเอาไงดี" จริงๆแล้วเราคิดผิด ดันไปโดนกระแสลมปราณอารมณ์ขี้สงสารใจบุญของเจ้านายครอบงำจิตใจ เราจึงแนะนำว่า "เพื่อไม่ให้เจ้านายต้องคิดมากเรื่องที่ว่ามันจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกมันตั้ง 2-3 คน... ก็แนะนำว่า เอางี้นะ ให้จ่ายเงินหมอนี่เป็นรายวัน วันไหนมาทำก็จ่าย วันไหนเบี้ยวไม่มาทำ ก็ไม่จ่าย  (เพราะถ้าแนะนำให้ไล่มันออก เจ้านายก็คงคิดมาก เพราะแกเป็นคนใจบุญ)" เจ้านายก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และตกลงตามนั้น แต่คำแนะนำของเรานั้น มันช่างโง่เสียเหลือเกิน มันกลายเป็นผลร้ายต่อเจ้านายเราในภายหลัง ถ้าเราเป็นกุนซือสมัยก่อนนะ สงสัยเราต้องโดนลงโทษสถานหนักเพราะให้คำแนะนำที่ผิดๆ คือจริงๆแล้วต้องไล่ไอ้หมอนี่ออกเดี๋ยวนั้นเลยถึงจะถูก แล้วอ่านๆไป จะรู้ว่าเพราะอะไร จากนั้น เราลาออกไป แล้วไปทำงานเป็น freelance translator เต็มตัว แล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวเรื่องหมอนี่อีกเป็นเวลาหลายปี   จนกระทั่งเมื่อไปติดต่อเรื่องบริการพิมพ์ดีดที่ใกล้ๆเกษตรฯนั่นแหละ จึงได้ข่าวเกี่ยวกับไอ้หมอนี่อีก ตอนคุยกับเจ้าของบริการพิมพ์ดีดเสร็จจะกลับบ้านเธอบอก อยากได้นามบัตร "นักแปล" คนนี้ไหม? เธอหมายถึงไอ้หมอนั่น เราบอก "ก็ได้" เราเห็นเบอร์โทรศัพท์มันบนนามบัตร ก็เลยโทรไปทักทายถามทุกข์สุขมัน มันเล่าให้เราฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า ตอนเจ้านายเก่าเราพยายามจะไล่มันออกอีกครั้งหนึ่ง แล้วคราวนี้ไล่ออกจริงๆ มันเลยฟ้องเรียกค่าชดเชยและค่าเสียหายจากเจ้านายเก่าเราได้เงินมา "หลายแสนบาท" เราเลยแวะไปหาเจ้านายเก่าเราแล้วถามเรื่องโดนมันฟ้องว่าจริงหรือเปล่า เจ้านายตอบว่า "จริง ต้องเสียเงินให้มันไป แต่ก็ตั้งใจจะให้มันอยู่แล้วเพราะสงสารมันกลัวมันจะอดตายไม่มีเงินเลี้ยงลูก" ในใจเราคิดนะ โอ้น่าจะตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม...รีบๆไล่มันออกไปตั้งแต่ตอนนั้นเสียก็ดี เพราะปล่อยไว้นานเกินไป กลายเป็นว่ามันทำงานครบระยะเวลาที่จะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานซึ่งจะทำให้มันเรียกร้องค่าชดเชยจากการเลิกจ้างได้....นึกๆแล้วเรา felt guilty ที่แนะนำเจ้านายเก่าเราผิดๆ แต่ความคิดที่ว่า ถึงแนะนำให้ไล่มันออก เจ้านายก็ได้แต่สงสารว่ามันจะไม่มีเงินเลี้ยงลูก เราก็พลอยสงสารมันไปด้วย ก็เลยตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และไอ้เงินหลายแสนบาทที่มันได้จากเจ้านายเก่าเรานี้หละ ก็คือเงินทุนที่มันเอาไปเปิดบริษัทแปลต้มตุ๋นนักอยากแปลยังไงล่ะ นี่แหละคือประวัตินักตุ๋นรายนี้ เล่าจากตอนหลังๆย้อนๆไปตอนต้นๆราวกับนิยายเรื่อง Hannibal Rising ของ Thomas Harris เลยหละ ตกลง จขกท หายไปเลย ไม่ตอบมาว่าบริษัทแปลที่คุณเจอน่ะ เข้าข่ายเป็นหมอนี่หรือเปล่า ถ้าใช่ก็โปรดแจ้งให้ทราบด้วย เพื่อที่จะเตือนนักแปลทุกคนให้ระวังภัยเอาไว้ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:09:54

ความคิดเห็นที่ 14 หมอนี่เห็นพวกเราพูดถึงกันมาหลายปีก็ยังอยู่ได้ ท่าทางจะเป็น You Know Who ของวงการนักแปลเมืองไทยแบบเดียวกับโวลเดอมอร์ทของ HP จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 10:50:01

ความคิดเห็นที่ 15 การที่ผู้ว่าจ้าง (ที่เป็นนักตุ๋น ตั้งใจจะหลอกนักแปล) บอกนักแปลว่า 1. เขาจะตรวจสอบความถูกต้องก่อนจ่ายเงิน 2. เขาจะดูคำแปลว่าได้มาตรฐานจริงๆก่อนจ่ายเงิน 3. ถ้าไม่ถูกต้องและไม่ได้มาตรฐานตาม 1. และ.2 นักแปลก็ต้องเอางานกลับไปแก้ใหม่จนกว่าจะถูกต้องและได้มาตรฐาน 4. ถ้าแก้แล้วก็ยังไม่ผ่าน 1. กับ 2. เรื่อยๆ เขาก็จะยึดเงินมัดจำ (กรณีนักตุ๋นเรียกเงินมัดจำจากนักแปล แต่รู้สึกจะเรียกมัดจำจากนักแปลทุกรายนะ) ถ้าเจอแบบนี้นะ แปลยังไงนักแปลก็ไม่มีทางได้เงิน แถมยังจะต้องเสียเงินมัดจำอีกต่างหาก เพราะถ้าแปลซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับ 100% ภาษาปลายทางก็ออกมาไม่เป็นภาษาคน ผู้ว่าจ้าง (ที่เป็นนักตุ๋น) ก็บอกว่า "คำแปลสำนวนใช้ไม่ได้" พอนักแปลเอากลับไปแก้ แล้วส่งมาใหม่ คราวนี้ภาษาปลายทางสวยหรู ผู้ว่าจ้าง (ที่เป็นนักตุ๋น) ก็บอกว่า "แปลผิดบานเลย เพราะต้นฉบับเขาไม่ได้พูดว่ายังงี้" สรุปแล้วนะ นักแปลตายทั้งขึ้นทั้งล่องเลยหละ ซึ่งจริงๆแล้วการพิจารณาว่างานแปลถูกต้องได้มาตรฐานหรือไม่นั้นลูกค้าจริงๆไม่มีใครเขาทำแบบนี้หรอก แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 52 13:37:31 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 13:33:49

ความคิดเห็นที่ 16 เราเคยเห็นไอ้นักตุ๋นคนนี้มันเอาปากกาขีดคำแปลว่าตรงนั้น ตรงนี้ แปลผิด หรือแปลไม่ได้มาตรฐาน มันไปทำแบบนี้กับคำแปลของนักแปลรุ่นพี่เราในที่ทำงานเก่า ซึ่งมีความรู้ภาษาอังกฤษดีมากๆ และมีประสบการณ์ในการแปลมากว่า 20 ปี (ลำดับชั้นได้เป็นรุ่นพ่อไอ้นักตุ๋น...555+++...) แล้วเรื่องตลกก็คือว่า ตอนที่มันฮึกเหิมไปแก้งานนักแปลที่ชำนาญกว่ามันหลายชั้นนะ ในช่วงเวลานั้นไอ้นักตุ๋นคนนี้ยังเรียนปี 1 หรือ ปี 2 ที่รามอยู่  และเราเคยชะโงกไปดู (ตอนทำงานบริษัทเดียวกัน เรานั่งหลังมัน) ไอ้หมอนี่กำลังแปลเอกสารเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องจักรอยู่ มันเพ่งมองดูคำว่า "uniform wearing" อยู่หลายรอบแล้ว ด้วยสายตาที่ครุ่นคิด และใบหน้าที่สงสัย ซึ่งในส่วนนั้นของเอกสาร เขาพูดถึงส่วนหัวของเครื่องที่ใช้ตัดหรือเจาะวัสดุอะไรบางอย่างในโรงงาน เราว่าในบริบทนะ "uniform wearing" มันแปลว่า "การสึกกร่อนอย่างสม่ำเสมอ(จากการใช้งาน)" แต่ไอ้นักตุ๋นมันยังงงอยู่หลายรอบ เราก็แกล้งทำเป็นจะเดินไปนอกห้องผ่านโต๊ะมัน แล้วเหลียวมาดูเอกสารแบบ "ไม่ตั้งใจ" แล้วเราพูดกับมันเสียงหัวเราะๆว่า "อืมม์...uniform wearing หรือ? น่าสนใจว่ะ เครื่องที่ไหนกันฟะมันมันจะ 'สวมเครื่องแบบ' ได้...555+++..." แล้วเราก็เดินผละออกไป... ปล่อยให้มันทำหน้าประหลาดๆต่อไป จริงๆแล้ว นั่นเป็นการเตือนมันอีกด้วยว่า "กรูรู้นะว่ามรึงเอางานข้างนอกแอบเข้ามาทำ" ตกลงความรู้มันมีอยู่แค่เนี้ย แต่มันแก้เขาไปดะหมดเลยอ้ะ เพื่อนคนหนึ่งของ Kim (เอ่อหมู่นี้ Kim ไม่ค่อยแวะมาแถวนี้เลย) ไปสมัครงานกับนักตุ๋นคนนี้ แล้วหลวมตัวไปจ่ายเงินมัดจำให้มัน  แล้วก็โดนหมอนี่มัน "ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ" แก้งาน แก้แบบที่มันแก้ดะไปเลย (แบบที่เราเคยเห็นมันทำในที่ทำงานเก่า (คือเขาแปลถูกแต่มันแก้ให้เป็นแปลผิด) จนพนักงานพิมพ์ดีดทั้งบริษัทเดินขบวนประท้วงกัน)  มันแก้งานเพื่อน Kim เป็นรอยยึบยั่บเลย (จุดประสงค์ก็เพื่อจะยึดมัดจำ)   เพื่อน Kim เอาคำแปลไปให้อาจารย์ที่มหาลัยช่วยตรวจดูว่าทำไมไม่ผ่านมาตรฐาน แต่อาจารย์ก็บอกว่า ก็แปลดีแล้วนี่นา อาจารย์ก็กลัวลูกศิษย์จะโดนยึดมัดจำ เลยช่วยปรับคำแปลให้ดีกว่าเดิมอีกด้วย แต่พอส่งงานอีกรอบ ไอ้นักตุ๋นก็บอกว่า "ยังใช้ไม่ได้"...!!!  แล้วมันก็ยึดเงินมัดจำไป (รู้สึกจะหมืนกว่าบาท) ในที่สุด... แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 52 13:57:19 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 13:51:34

ความคิดเห็นที่ 17 ดังนั้น นักแปลหน้าใหม่พึงรับรู้ไว้ว่า ไม่มีลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างที่ไหนเขาจะเรียกเก็บเงินมัดจำเป็นเงินประกันผลงาน สัญญาแบบนี้มันเป็นสัญญาก่อสร้างต่างหากที่หน่วยงานไทยเรียกเก็บเงินประกันผลงานจากผู้รับเหมา   ในกรณีของการแปลนั้น นักแปลต่างหากล่ะ ที่ต้องเก็บเงินมัดจำจากลูกค้าหรือจากผู้ว่าจ้างเป็นจำนวนประมาณ 50% กรณีที่ลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างเป็นใครก็ไม่รู้ แต่ส่วนใหญ่นักแปลก็เกรงใจ ไว้ใจกัน ยอมแปลให้ไปก่อน แล้วจึงค่อยเก็บเงิน ซึ่งนักแปลโดนเบี้ยวก็มีบ่อยพอสมควร และกรณีที่ลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างเป็นบริษัท ห้างร้าน หรือองค์กรที่มีตัวตนมีที่อยู่แน่นอน หรือเป็นที่รู้จักกันดี นักแปลก็ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งว่าจะไม่โดนเบี้ยวค่าแปล ก็ยอมแปล พอแปลเสร็จ ส่งงานไป แล้วก็ส่ง invoice ไปเก็บเงิน พร้อมส่งสำเนาบัตรประชาชนไปให้ลูกค้าทำเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่ไอ้เรื่องที่ว่า อยู่ดีๆไปเจอลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างจะมาเรียกเก็บเงินมัดจำจากนักแปลก่อน แบบสัญญาก่อสร้างนี้นะ (จริงๆแล้วสัญญาก่อสร้างเขามักจะให้ผู้รับเหมาวางหนังสือค้ำประกันผลงาน) ในวงการแปล ไม่มีใครเขาทำกันหรอก อย่าได้หลงกลเป็นอันขาด แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 52 08:58:37 แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 52 14:03:49 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 14:01:24