 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
วิธีการจำของเราที่เขียนไว้ข้างบนนี้ เราเรียกว่า
memorization by association
คือการจำโดยโยงใยความสัมพันธ์กันนั่นเอง
เราเคยคิดจะเปิด course สอนวิธีการใช้ IT ทุ่นแรงในการเรียนภาษาอังกฤษซึ่งเหนือชั้นกว่า mind map หลายสิบเท่า (เพราะเราใช้ software หลายตัว ผสานกับความรู้ลึกๆเรื่อง Internet และ operating sytem ที่เรามีอยู่ในสมอง และที่ค้นคว้าเจอใหม่เรื่อยๆ เนื่องจากเราเป็น "นักขุด" คือใช้ google ขุดข้อมูลเก่งมากๆ) โดยเราจะตั้งชื่อ course นี้ว่า computer assisted language learning คือสอนให้ผู้เรียนรู้ว่า
มีความรู้และทักษะอะไรบ้าง (ในระดับต่ำสุด) ที่จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อวางฐานรากให้มั่นคง เพื่อที่จะได้เรียนภาษาอังกฤษต่อไปได้ด้วยตนเองในอนาคต โดยการ
"สรรหา และสร้างบทเรียนให้แก่ตนเอง จากแหล่งทรัพยากรต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Internet"
แต่เคยมีคนหลังไมค์กับ mail ไปถามว่าเราคิดค่าสอนเท่าไหร่
เราตอบว่า ตอนนี้ไม่มีปัญญาลงทุนเช่าสถานที่ และติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทค เพื่อสอนเป็น class ใหญ่ๆที่จะคิดถูกๆได้ ถ้าสอนเป็นกลุ่มนี่ 2 ชม คิดคนละร้อยสองร้อยยังพอไหว แต่มันต้องลงทุนเยอะซึ่งเรายังไม่มีเงินทุนมากขนาดนั้น
เราเลยบอกคนไปหลังไมค์กับ mail ว่า แต่ตอนนี้ ถ้าใครจะเรียนนะ เราจะสอนตัวต่อตัวคิดแค่ 500 บาท ต่อหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งถุกที่สุดเท่าที่เราจะ คิดให้ได้ ถ้าคำนึงถึงเวลาที่ต้องเสียไปในการเตรียมการสอนในแต่ละครั้ง และมันถูกมากๆ ถ้าคำนึงถึงว่าเราแจก ebooks, software, mp3 และ videos ฟรี (แค่ dictionaries ฟรี นี่ก็คุ้มเกินค่าสอนแล้ว)
แต่ไม่มีใครเรียนเลย...555+++....เพราะพวกเขาบอกว่า "แพงเกินไป" เราก็เลยถามแฟนเราว่า อ้าวแล้วที ดร.วัชรวรรณ สอนวิธีใช้ mind map เรียนภาษาอังกฤษ คิดเงินตั้ง 18,000 บาท ต่อ 6 วัน ทำไมยังมีคนแห่กันไปเรียนราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟล่ะ
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว mind map มันช่วยฝรั่งเจ้าของภาษาให้ organize thoughts ซึ่งใช้งานยากพอสมควร แต่มันไม่ได้เป็น software ที่ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพนักเลย
แฟนเรา (ซึ่งจบอักษรศาสตร์เอกอังกฤษ และปริญญาโทการแปลมานะ) ย้อนกลับมาสัพยอกเราเล่นๆว่า
"โธ่ๆๆๆๆ ก็คุณเป็นใคร แล้ว ดร.วัชรวรรณเป็นใครกันล่ะ? ทำไมไม่ใช้สมองคิดดูบ้างล่ะ...ฮ่าๆๆๆ...."
เราก็เลยโมโหหยุดเขียนบทเรียนภาษาอังกฤษมันซะเลย หาของฟรีอะไรได้ไม่ว่าจะเป็น สื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เป็นทั้ง software (ส่วนใหญ่เป็น dictionaries ดีๆ หรือเป็น software ที่ทำอะไรดีๆได้ตั้งหลายอย่าง), ebooks, mp3 และ video clips ระดับตั้งแต่ประถมถึงปริญญาเอก ก็มี (ตอนนี้มีมากกว่า 500 ชุด กินเนื้อที่เกินกว่า 40 GB บน hard disk แล้ว และกำลังจะงอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังต้องซื้อ hard disks เพื่มแล้ว) ทีแรกกะจะเก็บไว้ไปเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งถ้าเปิดได้จริงๆนะ เราจะมีสื่อการสอนภาษาอังกฤษมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาดังๆทั้งหมดในประเทศไทย แต่ก็เปิดไม่ได้สักทีเพราะเงินทุนเราไม่พอ แล้วก็ยังหาแม่ยกไม่ได้อีกด้วย ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ..........
แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนใจเสียแล้ว เราเก็บสื่อไฮเทคพวกนั้นเอาไว้สอนตัวเราเองจะดีกว่า เผื่อเราจะเขียนเก่งๆ แล้วเขียนหนังสือภาษาอังกฤษไปขายในต่างแดนมั่ง
แต่ขณะนี้เราค่อยเรียนดูดวงไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้เปลี่ยนอาชีพจากนักแปล ไปเป็นหมอดูได้ในที่สุด ซึ่งน่าจะทำเงินจากการดูดวงได้ไม่แพ้ติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษดังๆน่ะ แต่เป็นหมอดูเนี่ย เราไม่ต้องลงทุนเพื่อเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเงินตั้งเป็นล้าน เราจะเป็นหมอดูยุคไฮเทค มีแค่ notebook เครื่องเดียว ไปนั่งใต้ต้นมะขามที่ไหน ก็ได้ ทางใครทางมัน ไม่อยากไปแย่งติวเตอร์ภาษาอังกฤษทำมาหากินอีกแล้ว...555+++...
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 14:24:27
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 11:01:43
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 52 08:38:27
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ส.ค. 52 08:29:07
|
|
|
|
 |