ความคิดเห็นที่ 1   ผมอยากให้มุ่งประเด็นไปที่ การเรียนภาษาที่ 2 ซึ่งจะดีกว่าเน้นที่ภาษาอังกฤษ โดยส่วนตัวอยากให้โรงเรียนปล่อยให้ภาษาที่ 2 นั้นเป็นอะไรก็ได้ จะจีน มาเลย์ ญี่ปุ่น ไม่จะเป็นต้องเป็นภาษาอังกฤษ ครูคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า การเรียนภาษานั้นควรจะขึ้นอยู่กับ personal preference, heritage, vocational aspirations ,opportunities ของแต่ละคน และคิดอีกว่าในบรรดาวิชาทั้งหมดที่สอนกัน ภาษาแม้จะสำคัญ แต่วิชาด้านวิทยาศาสตร์สำคัญกว่ามาก โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ เพราะคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มนุษย์ที่คนเกิดมาบนโลกถ้าเข้าโรงเรียนแล้วต้องเรียน ประเทศที่มีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งเยอะต่างหากที่จะพัฒนาได้ดี โดยส่วนตัวไม่ห่วงเลยถ้าคนไทยอ่อนภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเมื่อใดที่เด็กไทยบวกลบคูณหารไม่เป็น คิดแบบมีตรรกะไม่เป็นนั่นแหละ น่าเป็นห่วง จากคุณ : blackthai เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 00:06:36

ความคิดเห็นที่ 2 Actually, you have already answered your own questions. Those factors are in fact the most critical ones to think about. However, I have one question after reading your post: What is your criteria in judging the ineffectiveness in English teaching/learning in Thailand? If you have a chance, find an article by N. S. Prabru (1990) There is not best methods--why? in TESOL Quarterly. You will find that the answer in which you are looking for does not exist in the near future. As for the Comment 2, I agree with you that second language should not be limited to English only. However, there is a disadvantage of the approach. As you might also know that English is widely used in business and in publications, so English is not actually the option. It should be required as King Rama V had set the intention so that we Thais are not fooled by English speaking people. You might have heard about the 5 languages people should know: mother tongue, English, math, music, and computer. I am actually worried more about our own language, Thai. จากคุณ : beebuzz เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 01:43:07

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ต้องไปคิดมากให้ปวดหัวหรอก ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาที่เรียนยากมากที่สุดในโลก  ดังนั้น การที่จะหาครูสอนภาษาอังกฤษเก่งๆมันก็หายากมากๆเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากนี้แล้ว หลักเกณฑ์ในการที่จะออกใบอนุญาตประกอบอาชีพอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ กับหลักเกณฑ์ในการกำหนดอัตราค่าตอบแทนให้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษนั้น มันไม่ได้ให้หลักประกันว่า จะทำให้สรรหาอาจารย์ ที่เก่งทั้งภาษาอังกฤษ และเก่งทั้งการสอนภาษาอังกฤษ ดังนั้น ผลที่ตามมา ซึ่งเห็นได้ชัด ก็คือ 1. คนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่จะได้ใบอนุญาต ดันได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษไป 2. คนที่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่จะได้ใบอนุญาต ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ 3. คนที่เก่งภาษาอังกฤษ และมีคุณสมบัติครบถ้วน ที่จะได้ใบอนุญาต ไม่มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เพราะค่าตอบแทนน้อยเกินไป แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 11:40:43 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 07:48:22 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 07:48:00

ความคิดเห็นที่ 4 วิธีแก้ไขก็คือเปลี่ยน criteria ในการออกใบอนุญาต ให้สมกับความเป็นจริง นั่นก็คือ เปลี่ยนขั้นตอนในการออกใบอนุญาตประกอบอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ ทำได้คือ จัดตั้งคณะกรรมาธิการซึ่งประกอบไปด้วยฝรั่งเจ้าของภาษาล้วนๆเป็นจำนวนหลายคน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 และให้คนไทยซึ่งมีความประสงค์ที่จะขอรับใบอนุญาตประกอบอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นใครก็ได้ "โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา" นั่นก็หมายความว่าคนไทยจบ ป.4 แต่เก่งอังกฤษมากๆ ก็สมัครได้ ให้ผู้สมัครยื่น  application ต่อคณะกรรมาธิการว่าต้องการขอ teaching license  คณะกรรมาธิการก็จะนัดให้ applicant มา  present ให้คณะกรรมาธิการดูว่า "เขามีวิธีการสอนอย่างไร ใช้สื่อการสอนอะไร  วิธีนี้ และสื่อนี้ ใช้สอนใครได้บ้าง และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ...บล๊าบๆๆๆ...." และคณะกรรมาธิการก็จะซักถามในประเด็นต่างๆ เช่นถ้าสอนๆไปแล้วเจอปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเขาจะแก้ไขอย่างไร เมื่อเสร็จสิ้น presentation แล้ว ก็ให้คณะกรรมาธิการให้คะแนน applicant คนนั้น โดยแบ่งคะแนนออกเป็น 1. ผ่าน 2. ดี 3. ดีมาก 4. ดีเยี่ยม 5. ดีวิเศษระดับเซียนหาที่ติไม่ได้เลย ทุกคนที่ผ่าน 1 - 5 ระดับ ให้ได้ใบอนุญาตหมด แต่จะมีระดับชั้นกำกับอยู่ที่ใบอนุญาตแต่ละใบของแต่ละคน การจ่ายเงินเดือนจะจ่ายตามระดับชั้นของความเก่ง เช่น 1. ผ่าน   12,000 ต่อเดือน 2. ดี       18,000 ต่อเดือน 3. ดีมาก  35,000 ต่อเดือน 4. ดีเยี่ยม 60,000 ต่อเคือน 5. ดีวิเศษระดับเซียนหาที่ติไม่ได้เลย 100,000 ต่อเดือน ซึ่งอัตราเงินเดือนเหล่านี้ ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามค่าครองชีพ และอายุการทำงาน โดยเปิดโอกาสให้ licensee (ผู้ถือใบอนุญาต) ไปยื่น application ต่อคณะกรรมาธิการเพื่อขอทำ presentation ใหม่ได้เรื่อยๆ เพื่อปรับเปลี่ยนระดับการสอบผ่านให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันจะให้หลักประกันว่า licensee เก่งขึ้นจริงๆ โดยการใช้ความเป็นอัฉริยะของตนเอง เรียนรู้ค้นคว้าด้วยตนเอง หรือเข้าไปเรียนกันในมหาวิทยาลัยที่ระดับดีๆ ที่ผลิตคนจบปริญญาโท และปริญญาเอกเก่งมากๆจริงๆออกมา  ไม่ไช่แห่กันไปสมัครเรียนมหาลัยห้องแถวหรือมหาลัยสำเร็จรูปจนจบปริญญาเอกมากันมากมาย แต่ไม่เก่งขึ้นเลย เพราะระบบไทยผิดพลาดโดยการไปกำหนด "เงินค่าตอบแทนจ่ายตามวุฒิ"  มหาลัยห้องแถวกับมหาลับสำเร็จรูปจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดจนสร้างความสับสนให้แก่ผู้คนในสังคมไทย แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 12:31:59 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 07:54:26

ความคิดเห็นที่ 5 คณะกรรมาธิการชุดนี้  ต้องจัดตั้งอย่างโปร่งใส หากมิเช่นนั้นแล้วจะโดนคนไทยที่รวยๆหรือมีอิทธิพลยัดเงินหรือบีบบังคับให้ออกใบอนุญาตให้พรรคพวกหรือญาติพี่น้องตัวเองได้ คนที่เรามองเห็นว่าเหมาะที่สุด ที่หน่วยงานการศึกษาไทยสมควรวิงวรขอร้องให้เขามาเป็นคณะกรรมาธิการนะ ก็คือคนในหน่วยงานใน University of Cambridge ซึ่งจัดทำและออกข้อสอบ CPE คือ Certificate of Proficiency in English ไปดู website เรือง CPE http://www.cambridgeesol.org/exams/general-english/cpe.html จะเห็นว่าข้อสอบ CPE นี้ ระดับความยากง่ายของมัน ถ้าเทียบกับเนื้อหาสาระของหลักสูตรภาษาอังกฤษที่นักศึกษาปี1 ปริญญาตรีเอกอังกฤษในมหาลัยในประเทศอังกฤษต้องเรียนกันนะ ก็ตองถือว่า "CPE ยังต่ำกว่า ปี1 เล็กน้อย" แต่คนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองจะ สอบ CPE ผ่านได้ยากมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่น่าสนใจ ที่อยากให้ทดลองกัน นั่นก็คือ เอาคนไทยที่จบปริญญาตรีเอกอังกฤษจากมหาลัยไทยซึ่งไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน ในแต่ละปี ที่จบมา มาสอบ CPE แข่งกัน  ถ้าให้บัณฑิตเอกอังกฤษทั่วประเทศ มาสอบ CPE แข่งกันนะ "รับรองได้ว่า จำนวนบัณฑิตที่สอบตกจะมีมากกว่าจำนวนบัณฑิตที่สอบผ่าน ในอัตราส่วนที่เป็นตัวเลขสูงมากๆ แบบน่าตกใจถึงขั้นช๊อกกลางอากาศ เลยที่เดียวหละ" ในขณะที่นักเรียนไทยในประเทศอังกฤษทุกคนต่างก็กลัวข้อสอบ CPE กันมากๆ คนไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในประอังกฤษน้อยกว่า 10 ปี ถ้าสอบ CPE ก็มักจะสอบตกกันระนาวเลยหละ....!!! รู้สึกว่า Michigan University ของสหรัฐ ก็เคยออกข้อสอบ CPE (ไม่รู้ตอนนี้ยังทำอยู่หรือเปล่า) แต่ข้อสอบ เขาไม่โหดเท่าของ University of Cambridge กติกาของ presentation ทำได้ 2 รูปแบบคือ 1 applicant เดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อไป present โดยตรงต่อคณะกรรมาธิการที่ University of Cambridge   2 applicant อยู่ในประเทศไทย และให้ดำเนินการในรูปแบบที่ว่าเป็น presentation ผ่าน video conferencing โดยมีระบบ security ที่รัดกุมหนาแน่นเพื่อป้องกันการโกงโดยใช้ advanced telecommunication system and devices เป็นตัวช่วยโกง   ทางที่ดีนะ presentation ในทั้งสองรูปแบบควรออกทีวีด้วย อ่านใช้วิธีบันทึกเป็น video clips มาออกทีวี หรือถ่ายทอดสดผ่าน video conferencing  เพื่อให้คนไทยทั้วประเทศสนใจเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ นั่งดูทีวี แล้วเรียนรู้ซึ่งกันและกันในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ หรืออีกกติกาหนึ่งก็คือ คนไทย ใครก็ได้ ที่สอบ CPE ของ University of Cambridge ผ่านได้เกรด A ซึ่งเรารับรองได้ว่า "ไม่หมูนะ".... (ใครก็สมัครสอบแบบ private candidate ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียนหรือนักศึกษที่สถาบันไหน ทำให้คนเรียนด้วยตัวเองก็มีสิทธิเข้าสอบ)  และสามารถพิสูจน์ได้ว่า ครอบครัวมีฐานะยากจน ก็ให้ประกาศออกรายการทีวีหรือ website และหาหน่วยงาน องค์กร หรือคนใจบุญเป็น sponsor ออกค่าเครื่องบินไปกลับประเทศไทยอังกฤษ เพื่อให้เขาไป present ต่อคณะกรรมาธิการที่ University of Cambridge ในประเทศอังกฤษ  โดยก่อนจะออกเงินให้นะ applicant อาจต้องไป present ให้ผู้รับอาสาเป็น sponsor ดูก่อนว่า มีโอกาสผ่านหรือจะเสียเงินค่าเครื่องบินเปล่าๆ ส่วนคนที่มีฐานะดีใช้การได้ ก็ให้จ่ายเงินค่าเครื่องบินไปกลับประเทศไทยอังกฤษเอาเอง เพื่อไป present ต่อคณะกรรมาธิการที่ University of Cambridge ในประเทศอังกฤษ ซึ่งในกรณีนี้ จะเคยหรือไม่เคยสอบผ่าน CPE ก็มีสิทธิยื่น application ต่อคณะกรรมาธิการได้ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 10:53:46 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 10:48:02 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 09:37:40 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 09:15:19 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 08:21:40 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 08:21:10 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 08:16:26

ความคิดเห็นที่ 6 ขอเคลียร์เรื่องกติกาให้แน่ชัด นั่นก็คือ teaching license ที่จะให้นี้ ให้ครอบคลุมการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยทุกระดับ ตั้งแต่ ป1. ไปจนถึงปริญญาเอก ขึ้นอยู่กับว่า applicant จะเลือกที่จะไป present  ต่อคณะกรรมาธิการว่า เขาต้องการ teaching license ที่จะสอนภาษาอังกฤษให้แค่คนไทยในระดับไหน เมื่อ presentation ทำได้ดีผ่านการอนุมัติไปแล้ว teaching license ที่จะออกให้ก็จะอนุญาตให้สอนได้ในระดับนั้นๆ โดยมีกติกาปลีกย่อยไปอีกว่า คนที่ได้ teaching license ให้สอนภาษาอังกฤษในระดับสูงๆ ก็ให้สอนในระดับต่ำกว่าได้ แต่คนที่ได้ teaching license ให้สอนภาษาอังกฤษในระดับต่ำกว่า แต่อยากขยับไปสอนในระดับสูงๆกว่า (เช่นเคยได้รับอนุญาตให้สอนในระดับมัธยม แต่อยากไปสอนในระดับปริญญาตรี) ก็ให้ licensee (ผู้ถือใบอนุญาต) ไปยื่น application ต่อคณะกรรมาธิการ เพื่อขอไป present อีกรอบหนึ่งเพื่อเลื่อนระดับ teaching license ไปเป็นในระดับปริญญาตรี  หรือถ้าเขา ambitious มากๆ และมั่นใจว่าทำได้ ก็ให้ไป present ให้ดูว่าเขาจะสอนในระดับปริญญาเอก (ซึ่งกรณีนี้ applicant น่าจะมีผลงานวิจัยค้นคว้าหรืองานเขียนหนังสือหรือตำรา (อาจทำเป็นส่วนตัว ก็ได้สำหรับคนเรียนด้วยตัวเอง หรือทำให้มหาลัยก็ได้ กรณีคนเรียนในมหาลัย) เอามาแสดงให้คณะกรรมาธิการดูด้วย ส่วนคุณสมบัติของ applicant นั้น "จะต้องไม่จำกัดวุฒิการศึกษา"  นั่นก็คือจบ ป.4 ก็สมัครได้ หรือถ้าไม่เคยเรียนหนังสือในโรงเรียนที่ไหนเลย จนถึงกับไม่มีวุฒิการศึกษาใดๆปรากฏเลย ก็ให้สมัครได้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ แนวทางนี้ต้องการสนับสนุนคนที่เก่งภาษาอังกฤษโดยเรียนด้วยตัวเองจนเก่งมากๆคล้ายๆ Thomas Edison เรียนวิทยาศาสตร์ด้วยตนเองจนเก่งมากๆ ให้มีโอกาสก้าวหน้าในชีวิตในประเทศไทย เหมือนๆที่สังคมอเมริกาให้โอกาส  Thomas Edison ประสบความก้าวหน้าในชีวิต นั่นเอง หรือในทางกลับกัน applicant จะจบสูงๆถึงระดับปริญญาเอกจากมหาลัยในต่างประเทศ ก็ให้มาลงสมัครแข่งขันกันได้โดยเท่าเทียมกัน  เช่นกัน ทุกๆคน แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 09:41:39 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 08:43:19 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 08:37:54 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 08:31:07

ความคิดเห็นที่ 7 วิธีการที่เราเสนอนี้ จะแก้อาการป่วยของระบบการศึกษาไทยได้ถูกจุด "คือเยียวยาถูกวิธี" เพราะอาการป่วยร่อแร่ของการศึกษาไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ) ในขณะนี้คือ 1. คนไม่เก่งภาษาอังกฤษแต่มีคุณสมบัติครบถ้วน(มีวูฒิการศึกษาสำหรับเป็นอาจารย์) ก็จะได้ teaching license ไป ในขณะที่คนเก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วน (ไม่มีวุฒิการศึกษาสำหรับเป็นอาจารย์) กลายเป็นไม่ได้ teaching license 2. คนเก่งภาษาอังกฤษและมีคุณสมบัติครบถ้วน(มีวุฒิการศึกษาสำหรับเป็นอาจารย์) ที่จะได้ teaching license ไม่ยอมไปเป็นครูหรืออาจารย์เพราะค่าตอบแทนน้อยเกินไป 3. คนเก่งๆและมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้ teaching license สามารถไปสอนได้ เพราะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย จึงยอมไปเป็นอาจารย์ เพราะมีพ่อแม่ subsidize ให้ในรูปแบบของการซื้อรถแพงๆให้ขับ ซื้อเสื้อผ้าแพงๆหรูๆให้ใส่  และพ่อแม่จ่ายเงินพิเศษให้ลูกทุกเดือนด้วยเนื่องจากว่าเงินเดือนที่ได้รับจากสถาบันการศึกษามันไม่พอกินพอใช้  เพื่อให้ลูกตัวเองเข้าไปเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติ แล้วอยู่รอดมีหน้ามีตาในวงสังคม  ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติ์ยศและชื่อเสียงแก่วงตระกูล นั่นเอง แต่ในทางกลับกัน คนจนๆที่เรียนเก่งแล้วมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้ teaching license ด้วยนั้น กลับต้องกัดก้อนเกลือกิน แล้วกัดฟันพูดว่า "ฉันเป็นอาจารย์เพราะใจรัก" 4. ทำลายล้างระบบเส้นสาย ระบบการยัดเงินใต้โต๊ะ...การได้ตำแหน่งครูอาจารย์ เท่าที่รู้ๆกันอยู่ มีการซื้อขายตำแหน่งกัน การเลิ่อนขั้นเงินเดือน เลื่อนขั้นด้วยการส่งส่วยให้เจ้านายตามลำดับชั้น เลื่อขั้นด้วยอายุงาน ทั้งๆที่ครูหรืออาจารย์บางคนทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และเลื่อนขั้นเงินเดือนด้วยวุฒิการศึกษา มันก็เลยต้องมีการเรียนต่อ แล้วก็มี "มหาลัยสำเร็จรูป" เกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย จนถึงกับมีคนเขานินทากันว่า ถ้าใครอยากได้ปริญญาเอกด้านการศึกษา ก็ให้ไปที่ "มหาลัย...สิ" เพราะว่า มหาลัยที่ว่านี้ เป็นมหาลัยไทยที่ผลิตคนจบปริญญาเอกด้านการศึกษาไปมากมายจนดอกเตอร์ในเมืองไทยเดินกระทบไหล่กันเต็มไปหมด เพราะมหาลัยนี้นะ รับรองเรียนยังไงก็จบปริญญาเอกอย่างแน่นอน 5. การจ่ายเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ดูๆแล้วมันยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วมันไม่ยุติธรรม เนื่องจากปริญญาเอกจากมหาลัยห้องแถวของสหรัฐหรือปริญญาเอกจากมหาลัยสำเร็จรูปของไทย  อาจกลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า ถ้าเปรียบเทียบกับคนจบปริญญาตรีจากมหาลัยที่เอ็นติดยากๆ ซึ่งเก่งกว่าหลายเท่า หรือเปรียบกับความสามารถของคนบางคนที่เรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตัวเองจากประสบการณ์ชีวิตจริงหรือจากประสบการณ์การทำงานด้านภาษาอังกฤษอันยาวนาน   สรุป รายได้ของคนต้องแข่งกันที่ความสามารถ (เช่นกรณีสอนภาษาอังกฤษ ต้องมีความคิดพลิกแพลงใหม่ๆ ในการสร้างสื่อการสอน และในการคิดวิธีการสอนใหม่ๆขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ยิ่งคิดแบบนอกตำราได้ โดยไม่เคยเรียนมาก่อน ก็ยิ่งดี นั่นก็คือคิดได้เองโดยการ "พัฒนาวิธีคิด" ขึ้นมาได้ด้วยตนเอง เป็นต้น)  แข่งกันที่ความสามารถ แช่งกันที่ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์การทำงาน แข่งกันที่ผลงาน แข่งกันที่คุณค่าของมนุษย์   ไม่ใช่แข่งกันที่วุฒิการศึกษาจนเกิดมหาลัยห้องแถวหรือมหาลัยสำเร็จรูปขึ้นมามากมาย ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องการสรรหาครู อาจารย์ และสับสนเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนให้ครูอาจารย์...จนกลายเป็น "ระบบการศึกษา แบบเล่นละครตบตาคนดูกัน ในสังคมไทย....!!!!!" แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 09:57:22 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 09:08:03 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 09:05:52 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 09:01:28

ความคิดเห็นที่ 8 เอาไว้รอให้พรรคการเมืองใหม่ที่ได้รับการเลือกตั้งคราวหน้า อยากเยียวยาระบบการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยนะ  โดยอุตริจะตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นมาชื่อกระทรวงศึกษาภาษาอังกฤษ แล้วพรรคการเมืองนั้นมาเชิญเราไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้นะ โดยรับเงื่อนไขเราได้ว่า "เราฉีกวุฒิการศึกษาเราทิ้งไปตั้งนานแล้ว" และไม่มีวุฒิการศึกษาใดๆมาแสดงเลย และเราก็ใช้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพมาเกินกว่า 20 ปี โดยมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ถ้าหัวหน้าพรรคการเมืองนั้นอ่านกระทู้นี้ดู แล้วมาเชิญเราไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนั้นจริงๆอย่างที่ว่านะ เราท้าพนันว่า เราจะยกเครื่องระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยใหม่หมดเลย ให้มันดีขึ้น แบบสร้างปาฏิหารย์ได้ เหมือนๆกับทำให้การจราจรใน กทม ให้หายติดขัดได้ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน...555+++... ถ้าเรารับตำแหน่งนี้นะ เราก็จะถูกฆ่าตายเหมือนๆกับที่คุณแสงชัย สุนทรวัฒน์โดนฆ่าตายตอนที่เขาไปเป็นผู้บริหาร อสมท และไปปรับเปลี่ยนระบบการทำงานของ อสมท จน อสมท จากขาดทุนทุกปี เพราะระบบพวกพ้องยัดเงินใต้โต๊ะ เขาเปลี่ยนมันมาเป็นระบบโปร่งใส จน อสมท กลายเป็นมีกำไรขึ้นมาได้ แค่เพียงในเวลา 1 - 2 ปีเอง ถ้าเราไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงนี้นะ คนที่อยู่ในระบบที่ต้องซื้อตำแหน่ง ยัดเงินใต้โต๊ะ พวกเช้าชามเย็นชาม พวกมหาลัยสำเร็จรูป พวกโรงเรียนสอนภาษาที่แหกตาชาวบ้านว่าภาษาอังกฤษเรียนได้ไวๆเหมือนชื่อบะหมี  ที่จะต้องเจ้งกันไปตามๆกัน คนพวกนี้ก็อาจจะมาลงขันกัน จ้างมือปืนมาฆ่าเรา แบบที่เคยมีคนซึ่งสูญเสียผลประโยชน์ที่ได้รับจาก อสมท ลงขันกันฆ่า คุณ แสงชัย สุนทรวัฒน์ ดังนั้น ขอร้องเลย ไม่ต้องมาเชิญเราหรอก เราแค่ปั่นกระทู้นี้เล่นสนุกๆเท่านั้นเอง เราไม่กล้ารับตำแหน่งนี้หรอก ...555+++...คือยอมสารภาพว่า ปอดแหกอ้ะ ปล่อยให้การศึกษาไทยเป็นไปตามมรรควิถี "เต๋า" เถิด เรายังไม่อยากพลีชีพเพื่อใครทั้งสิ้น...ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.... หมายเหตุ คนที่จะรื้อระบบที่ป่วยหนักๆของไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบอะไรก็ตาม ไม่ใช่แต่จะเป็นการศึกษาอย่างเดียวนะ หากแต่ระบบอื่นๆเช่น ระบบหน่วยงานไทย ระบบการจัดซื้อจัดจ้าง และอื่นๆอีกหลายๆระบบนะ ใครจะบกเครื่องระบบใหม่นะ ส่วนใหญ่ก็มักจะต้อง "พลีชีพ" คือเสี่ยงถูกฆ่าตายเพราะการขัดผลประโยชน์นั่นเอง เอ่อ เพิ่งคิดขึ้นมาได้...แต่ถ้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงที่ว่านี้นะ แล้วเราย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างแดนในประเทศที่หาสัญญาญ wifi ได้ง่ายๆ หรือมีระบบการสื่อสารเคลื่อนที่ดีๆ เราจะสามารถบริหารงานผ่าน Internet โดยอาจจะใช้ skype หรือระบบ video conferencing สั่งงานให้ลูกน้องไปทำงานในเมืองไทยได้ตามนโยบาย และบรรลุเป้าหมายได้สบายๆ  และก็จะรู้สึกปลอดภัยหน่อยเพราะว่า เราสามารถย้ายตำแหน่งที่อยู่เราได้บ่อยๆ จนทำให้ยากที่จะตามหาตัวเราได้นะว่าเราอยู่ที่แห่งหนตำบลใดในโลก...ถ้าเป็นว่ามีระบบป้องกันภัยให้ตัวเองแบบนี้ได้นะ เราก็คงยอมรับตำแหน่งนี้น่ะ ...อิๆๆๆ...รับรองว่าสนุกแน่ๆ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความฝั่นนั่นแหละ...เหอๆๆ... *****หมายเหตุ เรื่องคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ "พลีชีพ" นั้น จริงๆแล้วนะ มันก็มีลับลมคมในปลีกย่อยอีกมาก ซึ่งก็อยากให้ไปอ่านต่อใน คคห 17 น่ะ แล้วคุณจะรู้ว่า อะไรเป็นอะไร****** แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 15:54:45 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 15:28:45 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 12:50:28 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 10:40:13 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 10:39:26 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 10:37:24 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 10:32:47 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 10:28:10

ความคิดเห็นที่ 9 The way of teaching is a bitch! เราว่าสอนไม่เป็น ตัวแม่เลย ความเห็นเรานะ จากคุณ : saengdaed เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 10:50:17

ความคิดเห็นที่ 10 แนวความคิดในเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมาธิการซึ่งเป็นคนอนุมัติออก teaching license ให้ ที่เราบอกว่าอยากให้เป็นอาจารย์ฝรั่งเจ้าของภาษาใน University of Cambridge นั้น เกิดจากประสบการณ์จริงในชีวิตเรา ที่เราเคยไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง (อยู่แถวๆย่านสยามฯ เมื่อหลายปีมาแล้ว) ซึ่งมีฝรั่งชาวอังกฤษเป็นผู้บริหารอยู่   วิธีการรับสมัคร เขาไม่ดูวุฒิการศึกษาเราเลย แต่เขาเอา essay ที่เขียนโดยนักศึกษาระดับปริญญาเอกในมหาลัยที่มีชื่อเสียงของไทย (ซึ่งเรียนเอกสาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า) มาให้เราดู แล้วบอกเราว่า 1. ให้เรา edit (ตรวจแก้) essay นั้น 2. ให้เราเขียน plan มาว่า นักเรียนระดับนี้ เราจะวางแผนการสอนอย่างไร และจะใช้วิธีการสอนแบบไหน ใช้สื่อการสอนอะไร หาสื่อการสอนจากแหล่งไหน หรือถ้าสร้างสือการสอนขึ้นมาเอง จะมีวิธีสร้างสือต่างๆเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง   3. พอเขียนแผนการสอนไปแล้ว เราต้องเอาไปให้ฝรั่งคนนั้นตรวจ แล้วเขาจะซักถามเราโดยละเอียด โดยจะตั้งคำถามว่า ถ้าเราเจอปัญหาแบบนั้น หรือแบบนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร เราทำตามขั้นตอนนั้นแล้วก็ได้งานทำแฮะ...เอ่อเขาเล่นวิธีแปลกๆดีเหมือนกันนิ...??!!! ฝรั่งคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองจริงๆ (เราสังเกตดูได้จากลักษณะคำถามที่เขาซักถามเรานะ)  วิธีการรับสมัครครูของเขานะ "ทำได้แสบทรวงจริงๆอ้ะ..!!!!" กระบวนการรับสมัครครูที่ฝรั่งคนนี้ใช้นะ ทุกอย่างทำเป็นภาษาอังกฤษหมด คือสัมภาษณ์โดยพูดภาษาอังกฤษด้วยความเร็วระดับเจ้าของภาษาพูดกันเอง ไม่มีการลดหย่อนความเร็วให้แบบฝรั่งพูดกับคนไทย และแผนการสอนทุกอย่างที่เราต้องเขียนออกมา ให้ทำเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย...ใช้เวลาทดสอบนานมากๆ... เราคิดว่าถ้าหน่วยงานไทยที่ออก teaching license ให้ครูสอนภาษาอังกฤษเท่าที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้นะ เปลี่ยนวิธีประเมินความสามารถของ applicants ทั้งหมดแบบนี้นะ คนหลายๆคนที่เคยมีคุณสมบัติเพียงพอ ก็จะกลายเป็น ไม่มีคุณสมบัติเอาเสียเลยแล้วก็จะเหลือคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเท่านั้น ที่จะได้ teacing license ไป ซึ่งมันก็จะเป็นการยกระดับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็วทันตาเห็น... แต่ถ้าให้คนในหน่วยงานไทยเป็นคนตัดสินว่าใครจะได้ teaching license ด้วยวิธีการเช่นที่ฝรั่งตนนั้นทำกับเรานะ จะมีโอกาสสูงที่นักการเมือง นักธุรกิจ คนมีเงิน และมีอิทธิพล จะเอาเงินยัดใต้โต๊ะให้คนในหน่วยงานไทยได้ เพื่อให้ลูกหลานญาติพี่น้องตนเองได้ teaching license ไป ดังนั้น เราจริงเสนอว่า สมควรพึ่งพาอาศัยคณะกรรมาธิการซึ่งแต่งตั้งขึ้นมาจากคณะบุคคลที่เป็นชาวต่างประเทศซึ่งพำนักอาศัยอยู่ต่างแดน ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่มีความรู้เชี่ยวชาญพิเศษในเรื่องการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง  และมีความน่าเชื่อถือมากๆเช่นอาจารย์ในมหาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียง มาเป็นผู้ออก teaching license ให้ จึงจะโปร่งใส 100% ว่าไม่มีการโกงกันและไม่มีการซูเอี๋ยกัน และเป็นหลักประกันความยุติธรรมว่า "ค่าตอบแทนอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ต้องจ่ายตามความสามารถอย่างแท้จริง" ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันกันอย่างยุติธรรมในตลาดเสรี นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 12:35:22 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 12:34:05 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 12:22:55 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 12:12:22 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 12:05:39

ความคิดเห็นที่ 11 ตอนนี้เผอิญเราทำงานแปลเอกสารไทยเป็นอังกฤษเรื่องยากๆ แปลช้าเกินไปเพราะเราอ่านต้นฉบับภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ก็เลยเสียสติไป ฟุ้งซ่านมาก ...เฮ้อ...!!!...ไปแล้ว...กลับไปทำงานต่อจะดีกว่า...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 12:52:13

ความคิดเห็นที่ 12 อาจารย์หมอดูกล่าวได้ถูกต้อง เคยเห็น hero ตัวจริงคนไหนได้ตายดีบ้างล่ะ Lincoln, Martin King, Gandhi. ไม่ใช่แค่เรื่องครูสอนอังกฤษนะอาจารย์ ทุกเรื่องในวงราชการไทยเลยที่ค่าตอบแทนไม่ได้ดูตามความสามารถ คนจะได้ดี ดูที่ผลประโยชน์ / connection เป็นหลัก เคยเห็นอาจารย์พูดถึงเรื่อง ระบบดีๆของอังกฤษ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าประเทศเค้าสร้างระบบดีๆที่ว่าได้ยังไง จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 13:44:01

ความคิดเห็นที่ 13 ต้องขอโทษ จขกท ด้วยที่นอกเรื่อ การเรียนการสอนอังกฤษในบ้านเรา  ส่วนตัวคิดว่า อาจารย์/ผู้สอน ที่สอนกันอยู่ในขณะนี้   มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้แบบเป็นธรรมชาติ  มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่สื่อสารแทบไม่ได้เลย นอกจากความสามารถทางการสื่อสารแล้ว   ทัศนคติในการสอนภาษาก็สำคัญไม่แพ้กัน สอนอย่างไรจะให้คนเรียนสื่อสารได้จริงๆ คิดเหมือนอาจารย์หมอดู   คนที่สื่อสารภาษาอังกฤษเก่งๆในเมืองไทย เค้าคงไปทำงานอื่นนอกจากงานสอนเพราะได้เงินดีกว่า สงสัยโหวตกระทู้นี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้คุยไปนานๆ โหวต แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 13:51:40 จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 13:46:35

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ blackthai  คือว่า  อย่างงานวิจัย งานวิชาการทุกด้านในปัจจุบันส่วนมากก็จะเป็นภาษาอังกฤษนะ ถ้าเราเลือกเรียนภาษาอื่นก็อาจจะมีปัญหาเวลาศึกษางานวิจัยอยู่ดี หรือเปล่า? จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 13:56:40

ความคิดเห็นที่ 15   ขอบคุณครับ คุณ fortuneteller  พิมพ์มาเยอะเหลือเกิน ทำให้ผมได้มองเห็นอะไรมากขึ้น เราต้องเผชิญกับสภาพนี่ไปอีกเรื่อย ๆ เฮ้อ .... จากคุณ : ผ่านมาแต่ไม่ให้ผ่านไป เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 13:57:12

ความคิดเห็นที่ 16   คุณ Classic (พระเอกละครหลังข่าว) ใช่ครับ คนที่เก่งภาษาอังกฤษนั้นจะได้เปรียบเพราะเข้าถึงงานวิชาการเหล่านั้นได้ แล้วรบกวนคนที่เก่งภาษาอังกฤษช่วยแปลเป็นภาษาไทยได้หรือเปล่าล่ะครับ รัฐน่าจะมีศูนย์การแปลแห่งชาติด้วยซ้ำ แปลอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ให้คนทั้งประเทศได้เข้าถึง และการจะบังคับให้ภาษาที่ 2 ของทุกคนเป็นภาษาอังกฤษนั้นผมว่ามันฝืนธรรมชาติ แต่ถ้าคนที่ชื่นชอบเกาหลี ญี่ปุ่น จีน อาหรับ สามารถใช้เวลาทุ่มเททำในสิ่งที่เขาชอบได้เต็มที่ แล้วเขาทำได้ดี มันก็จะดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ เพราะบางคนเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้เอาเสียเลย ต้องมาตกซ้ำๆซากๆ ต้องใช้เวลาเปลืองทรัพยากรไปมาก ทั้งที่ถ้าเขาพูดได้ 2 ภาษาอยู่แล้ว แต่ภาษาที่ 2 ของเขาเป็น เขมร จีน ลาว เกาหลี เวียดนาม มาเลย์ พม่า อาหรับ ผมว่าเราควรพิจารณากันใหม่นะครับ ลองคุยกันดู ว่าภาษาที่ 2 จะเป็นอะไรก็ได้ หรือต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น จากคุณ : blackthai เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 14:24:44

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนเรื่องคุณ แสงชัย สุนทรวัฒน์ ที่เราพูดถึงใน คคห 8 นะ ก็ต้องแยกแยะประเด็นให้ดีๆนะ เพราะว่าจริงๆแล้วคุณ แสงชัย สุนทรวัฒน์ ก็เป็นเด็กของบิ๊กทหาร เขาจึงได้ตำแหน่งงานผู้บริหาร อสมท แต่เผอิญถึงจะได้งานเพราะมีบิ๊กทหารสนับสนุนนะ แต่เขาก็เก่งจริง แต่เก่งเกินไปก็เลยโดนฆ่าตาย   และคนซึ่งต้องสงสัยว่าลงขันฆ่าแสงชัยตายนะ ก็โดนฆ่าตายด้วยอาวุธสงคราม ซึ่งมันก็ทำให้คนไทยหลายๆคนต่างก็คาดว่า โดนคนมีสี (อาจเป็นคนที่ดันคุณแสงชัยมาสู่ตำแหน่ง) สั่งให้มือปืนมาฆ่า (คนที่ฆ๋าแสงชัย) ให้ตายตกตามกันไป เพื่อเป็นการล้างแค้นนั่นเอง อันนี้เป็นการพูดตรงๆนะ ไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่คนตาย ต้องแยกแยะประเด็นให้ดีๆ สิ่งที่เราต้องการจะสื่อ ก็คือว่า ระบบต่างๆหลายๆระบบในเมืองไทยนะ มันก็เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีพรรคการเมืองที่ไหนมาแต่งตั้งให้เราดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาภาษาอังกฤษ ดังที่เราตั้งสมมุติฐานไว้ใน คคห 8 นะ เราก็คงต้อง "ตอบแทนพรรคการเมืองนั้น"  โดยการส่งส่วยผลประโยชน์อะไรบางอย่าง ให้เขาอยู่ดีนั่นหละ ดังนั้น ระบบต่างๆในประเทศไทย มันแก้ไขปรับปรุงได้ยากมากๆ นั่นก็เป็นเพราะว่า "มีผลประโยชน์เป็นเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นเอง...!!!" แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 15:46:55 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 15:36:05 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 15:30:52 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 15:25:47

ความคิดเห็นที่ 18 Don't ever think about the Thai education system, even private firms in Thailand which have money and resources still fail to train their personnel to be proficient English users. I know because my daughther works with the Big 4 Audit firms. I dare say that the success will happen in the next life, in the afternoon. 5555 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 52 23:11:54

ความคิดเห็นที่ 19 That soon! จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 00:55:48

ความคิดเห็นที่ 20 I am ever optimistic! จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 03:12:18

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ Ha, ha, ha... You're probably right!  English is such a difficult language to learn. I have only made suggestions on how English teachers should be recruited from within the Thai education system. However, the end result could be "The ability to communicate well in pidgin English". Read # 21 and # 22 (about a particular finance company) in this post: http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8205903/K8205903.html แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 07:31:11 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 07:26:02 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 07:22:56 แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 52 06:53:50 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 06:50:01

ความคิดเห็นที่ 22 That soon! จากคุณ : tnu --------------- 555 คุณ tnu ทราบหรือไม่ว่าคำนี้แหละคือที่มาของชื่อยี่ห้อรถยี่ห้อหนึ่ง Datsun จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 08:40:07

ความคิดเห็นที่ 23 555...เคยผ่านตามา แต่ไม่ได้นึกถึงตอน ตอนพิมพ์ จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 52 10:18:41

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ blackthai จากที่คุณกล่าว -------------------------------------------------------------------------- ใช่ครับ คนที่เก่งภาษาอังกฤษนั้นจะได้เปรียบเพราะเข้าถึงงานวิชาการเหล่านั้นได้ แล้วรบกวนคนที่เก่งภาษาอังกฤษช่วยแปลเป็นภาษาไทยได้หรือเปล่าล่ะครับ รัฐน่าจะมีศูนย์การแปลแห่งชาติด้วยซ้ำ แปลอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ให้คนทั้งประเทศได้เข้าถึง -------------------------------------------------------------------------- ผมว่า ในด้านวิชาการ ผู้วิจัยควรสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ดี ไม่ใช่ให้ใครมาแปลให้ เพราะ 1) คนแปลไม่ได้เรียนด้านนั้นๆมา ทำให้ไม่สามารถแปลถูกได้เลย จะมั่วมากๆ เจอศัพท์เทคนิคบางคำ ถ้าคนที่เรียนด้านนั้นมา ได้ยินปุ๊บ เข้าใจ แต่คนนอกสาขา ได้ยิน อาจต้องหาความหมายจากการอ่านข้อมูลเป็นหน้าๆ 2) คนทำงานวิจัย ไม่ใช่แค่อ่าน  ต้องเขียนด้วย รวมทั้งสำคัญที่สุด ต้องไป present ให้คนอื่นฟัง (ระดับนานาชาติ) ซึ่งแน่นอน ภาษากลางที่ใช้ในการชุมนุมทางวิชาการ คือ ภาษาอังกฤษ ดังนั้น การรู้ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับนักวิจัย หากว่าต้องการพัฒนาความรู้  การมีบทบาทในสังคมนักวิจัยระดับนานาชาติ จากคุณ : Tiger อู๊ด เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 05:21:48