 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ได้เขียนบทความอธิบายเกี่ยวกับ "พระเจ้าเหา"ไว้ดังนี้
เมื่อผมได้พูดถึง พระเจ้าเหา ในรายการ ภาษาของเรา มา ๒ ๓ ครั้ง รวมทั้งคราวที่แล้วด้วย และได้ไปบรรยายในที่หลายแห่ง ก็ได้พูดถึง พระเจ้าเหา ซึ่งผมเคยสงสัยมานานว่าจะเป็นเรื่องที่เราพูดกันเล่น ๆ หรือว่าเป็นบุคคลจริง ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังหาที่มาไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อ ๕ ปี ที่แล้วมานี้ ผมได้ไปซื้อหนังสือ ประวัติการสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยกับชาติจีนที่ ท่านลิขิต ฮุนตระกูล เป็นผู้แปลและเรียบเรียงจากเอกสารที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพงศาวดารจีน ผมก็พบว่า คำนำที่ท่านเขียนไว้นับว่ามีสาระประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผมมีความรู้สึกสว่างไสวขึ้นในจิตใจ เมื่อผมได้นำเรื่องนี้มาพูดและมาเขียน ก็ปรากฏว่ามีผู้สนใจสอบถามไปมาก และอยากจะทราบเรื่องนี้เพิ่มเติม ผมจึงขออนุญาตนำ คำนำ ที่ท่านลิขิต ฮุนตระกูล เขียนไว้ในหนังสือดังกล่าวตอนหนึ่งมาเสนอท่านผู้อ่านผู้ฟังดังนี้
ในที่สุด ข้าพเจ้าก็พบหลักฐานในหนังสือจีนกล่าวว่า ชนชาติไทยกับจีนก็ได้ก่อสร้างตนมาตั้งแต่เริ่มต้นพงศาวดารจีน ฉะนั้น หนังสือประวัติศาสตร์การสัมพันธ์ระหว่างชาติไทยและจีนเล่มนี้ จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องนำเหตุการณ์ และศักราชแห่งพงศาวดารจีนมาเป็นแนวทางเรียบเรียง เพื่อให้ผู้อ่านจะได้มีโอกาสตรวจสอบได้สะดวกในพงศาวดารจีน มีข้อความปรากฏดังต่อไปนี้ คือ :-
( ก ) พระเจ้าเสียวเหา ( หรือพระเจ้าเหาน้อย ไทยเรียก พระเจ้าเหา ) กษัตริย์องค์ที่ ๒ ในพงศาวดารจีนครองราชย์ระหว่าง ๒,๐๕๔ ถึง ๑,๘๗๑ ก่อนพุทธศักราช พระองค์เป็นต้นตระกูลของชนชาวไทย ไทย ซึ่งลูกหลานในภายหลังได้กลายเป็นชาวดอยไปในมณฑล ฮูนาน กวางตุ้ง กวางสี กุยจิว เสฉวน และหยุนนาน ซึ่งชนจีนได้พบชาวดอยนี้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น
จากข้อความตอนนี้ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าเสียวเหา หรือ พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยนั้น จีนได้ยอมรับนับถือว่าเป็นกษัตริย์ในพงศาวดารของจีน ปัญหาก็อยู่ที่ว่า แล้วกษัตริย์องค์แรกของจีนคือใคร หนังสือเล่มดังกล่าวนั้นว่าได้แก่พระเจ้าหว่างตี่ ( ๒๑๕๔ ปีก่อน พ.ศ. ) เมื่อจีนได้อพยพเข้ามาสุ่ดินแดนที่เป็นประเทศจีนทุกวันนี้ ดินแดนนี้คงเป็นดินแดนที่คนไทยได้เคยครอบครองอยู่ก่อน ดังที่ เอเวิร์ด เอช. ชาเฟอร์ ( Edward H. Schafer ) ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ จีนโบราณ ( Ancient China ) ตอนหนึ่งว่า
อารยธรรมจีนในส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจ และจินตนาการส่วนมากซึ่งพวกเราในปัจจุบันนี้คิดว่าเป็นแบบจีนนั้น ความจริงได้กำเนิดมาจากประชาชนคนไทยเดิมทางใต้ จากประชาชนชาวทิเบตเดิมทางตะวันตก และจากประชาชนชาวมองโกเลียนเดิมทางเหนือ
จากข้อเขียนของซาเฟอร์นี้ แสดงว่าก่อนที่จีนจะเข้ามาครอบครองดินแดนที่เป็นประเทศจีนในบัดนี้ เดิมดินแดนนี้ได้มีชนเผ่าต่าง ๆ ที่ทรงอำนาจปกครองอยู่อย่างน้อยก็ ๓ เผ่า ด้วยกัน คือ ไทย ทิเบต และมองโกเลียน และชนทั้ง ๓ เผ่านี้คงปกครองดินแดนนี้มาเป็นเวลานานแล้ว จนกระทั่งมีวัฒนธรรมและอารยธรรมสูง ถึงขนาดที่เมื่อคนจีนได้อพยพเข้ามาอาศัยต้องรับวัฒนธรรมและอารยธรรมเหล่านั้น โดยเฉพาะอารยธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับจิตใจซึ่งแสดงให้เห็นว่าชนเผ่าต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีที่ดีงามอยู่ก่อนแล้ว และถ้าหากไม่ดีกว่าของจีน จีนคงไม่ยอมรับนับถือแน่
และในบรรดาชนทั้ง ๓ เผ่าที่ปกครองดินแดนนี้ คนไทยคงจะเป็นเผ่าที่มีอำนาจมีอิทธิพลมากที่สุด ชาวจีนจึงได้ยอมรับนับถือ พระเจ้าเหา ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยให้เป็นกษัตริย์จีนด้วย คงจะทำนองเดียวกับเมื่อไทยได้อพยพเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นสุโขทัยเดี๋ยวนี้ เดิมก็เป็นดินแดนที่อยู่ในอำนาจของขอมมาก่อนเมื่อเรามาอยู่ใหม่ ๆ เราก็ต้องยอมรับอำนาจของขอมไปก่อน แต่เมื่อเราปีกกล้าขาแข็ง มีอำนาจมีอิทธิพลมากขึ้น เราก็ยึดอำนาจจากขอมได้ และตั้งตัวเป็นเอกราช แล้วในที่สุดขอมก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเราข้อนี้ฉันใด จีนกับไทยก็ฉันนั้น
การที่เรามีกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า เสียวเหา ซึ่งแปลว่า เหาน้อย นั้นย่อมแสดงว่าต้องมีกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า เหาใหญ่ ซึ่งอาจเป็นพ่อหรือพี่ของพระเจ้าเสียวเหาหรือเหาน้อยก็ได้ เช่นเดียวกับในภาษาบาลีก็มี มหา กับ จุล ถ้าเป็นคนพี่ก็มี มหา นำหน้า เป็นน้องก็ใช้ จุล นำหน้า เช่น มหากาลจุลกาล มหาปันถก จุลปันถก หรืออย่างฝรั่งก็มี senior กับ junior คำว่า junior ก็คล้าย ๆ กับ จุล นั่นเอง แต่เขามักใช้เรียกคนที่เป็นลูก เช่น Tom junior ก็คือทอมซึ่งเป็นลูก ไทยเราก็นำมาประยุกต์ใช้ เช่น รัชกาลที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ ๔ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็คือ จอมจูเนียร์ นั่นเอง หรือ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ พระโอรสของพระองค์ก็คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ก็คือ จักรพงศ์จูเนียร์นั่นเอง
ถ้าหากพระเจ้าเสียวเหาหรือเหาน้อย เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒ ของจีน ก็แสดงว่าก่อนหน้าพระเจ้าเสียวเหา หรือพระเจ้าเหาน้อยนี้ จะต้องมีกษัตริย์องค์อื่น ๆ อีก รวมทั้งพระเจ้าเหาใหญ่ด้วย
คำว่า เหา นี้ คงจะตรงกับ พระเจ้าเหยา ซึ่งเขียนเป็นอักษรโรมันว่า Yao แต่คำว่า Yao นี้ เมื่อผมแปลหนังสือชุด บ่อเกิดลัทธิประเพณีจีน ให้ราชบัณฑิตยสถาน ผมถอดออกมาเป็น เหยา เวลาส่งไปให้ คุณหมอตันม่อเซี้ยง ตรวจเกี่ยวกับชื่อภาษาจีน ท่านได้แก้เป็น เอี่ยว เพราะตัว Y อาจเป็นตัว ย หรือตรงกับ I ก้อได้ ถ้า Y ตรงกับ I ดังนั้น Iao ก็ต้องถอดเป็น เอี่ยว ครับ
นอกจากนั้น ท่านลิขิต ฮุนตระกูล ยังได้เขียนถึงกษัตริย์ที่ถัดจาก พระเจ้าเหา หรือ พระเจ้าเหยา หรือ เอี่ยว อีก ๒ องค์ ดังนี้
( ข ) พระบรมศพของพระเจ้าซุ่น อันดับราชวงศ์ที่ ๓ ครองราชย์ระหว่าง ๑,๗๑๒ ถึง ๑,๖๖๓ ปีก่อนพุทธศักราช ได้สวรรคตและทำฮวงซุ้ยไว้ ณ ภูเขากิวหยีซาน ใต้เมืองเพ่งย้วน ปลายเขตมณฑลฮูนาน ติดภาคเหนือมณฑลกวางสีและมณฑลกวางตุ้งในปัจจุบันนี้ คือ อยู่ ณ ดินแดนภาคใต้แม่น้ำยางจือเกียง
( ค ) พระบรมศพ พระเจ้าหยู อันดับราชวงศ์ที่ ๔ ครองราชย์ระหว่าง ๑,๖๖๒ ถึง ๑,๖๕๕ ปีก่อนพุทธศักราช ได้สวรรคต ณ ฝั่งใต้แม่น้ำยางจือเกียงเหมือนกัน และทำฮวงซุ้ย ไว้ ณ ภูเขาห้วยจิซาน แห่งเมืองเจียงเฮง มณฑลจิเกียง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ติดทะเลจีน พระบรมศพพระเจ้าซุ่น กับพระเจ้าหยู ยังมีร่องรอยอยู่จนทุกวันนี้
คำว่าพระเจ้า ซุ่น และ หยู ในภาษาจีนนี้ อาจเป็นชื่อไทย ๆ ว่า ชวน หรือ อยู่ ก็ได้ แต่จีนได้ออกเสียงเพี้ยนไปเป็น ซุ่น และ หยู
ในตอนสุดท้าย ท่านลิขิต ฮุนตระกูล ได้เขียนไว้ว่า
ข้าพเจ้าขอแสดงความนับถือ และเคารพท่านผู้ที่ได้แต่งหนังสือเกี่ยวกับเรื่องชาติไทยต่าง ๆ ที่ได้อุตส่าห์พยายามไปด้วยตนเอง ตรวจค้นหาเรื่องชาติไทยโบราณและมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ชาติไทยเป็นชาติโบราณก่าแก่มาก ได้ตั้งรกรากเป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่ในดินแดนภาคเหนือและภาคใต้แม่น้ำยางจือเกียงแห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นกรณีแวดล้อมนำมาถึงผลสุดท้ายให้ข้าพเจ้าคิดเห็นและเข้าใจเอาว่า ท่านผู้แต่งหนังสือเหล่านั้นคงจะได้พบหลักฐานเท่าที่ข้าพเจ้าได้ค้นพบมานี้ก่อนหน้าข้าพเจ้า จากหนังสือประวัติศาสตร์จีน หนังสือพงศาวดารจีน และหนังสือบันทึกเหตุการณ์โบราณของจีนอื่น ๆ มาแล้ว จึงได้รู้เรื่องชาติไทยชัดแจ้งหนักหนา แต่ไฉนจึงไม่เขียนเรื่องของชาติไทยอย่างละเอียดกว้างขวางยิ่งกว่านี้ เพราะหลักธรรมดามีอยู่ว่า ถ้าไม่ทราบเรื่องพิศดารแล้วจะย่อเรื่องได้อย่างไร ?
จากความเห็นของ ท่านลิขิต ฮุนตระกูล ก็พอสรุปได้ว่า ชาติไทยเคยเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มาก่อนจีน แต่ที่เราต้องอพยพหนีลงมาทางใต้นั้นคงไม่ใช่ว่าจีนเก่งกว่าไทย แต่อาจเป็นเพราะคนจีนมีจำนวนมากกว่าไทย เราสู้ในด้านกำลังคนไม่ได้จึงต้องถอยร่นลงมา คนไทยบางพวกที่เห็นว่าจีนมีอำนาจขึ้นมา ก็อาจประจบประแจงจีน แต่งตัวแบบจีน พูดภาษาจีน เหยียดภาษาไทยลงไป ในที่สุดก็ถูกจีนกลืนหมด เพราะเมื่อคนไทยพูดไทยไม่ได้แถมพูดแต่ภาษาจีน แต่งกายแบบจีน และอาจแต่งงานกับคนจีนด้วย ในที่สุดก็ถูกกลืนเป็นจีนไปอย่างสิ้นเชิง
บางส่วนจากบทความจากหนังสือ : รวมบทความสารคดีเชิงศาสนา โดย ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต
แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 52 15:40:21
จากคุณ |
:
เพ็ญชมพู
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ส.ค. 52 15:31:45
|
|
|
|
 |