ความคิดเห็นที่ 1 มันก็ต้องทำอย่างที่ว่าแหละครับ ต้องอ่านมากๆ เข้า หรือถ้าอยากเข้าใจทุกคำ ก็ต้องเปิดดิกไปเรื่อยๆ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 18:18:04

ความคิดเห็นที่ 2 That's the only way, there is no short cut. I opened Advanced Learners' Dictionary so often that within one year, it nearly fell apart. Within one year, I could read English novels practically as well as Thai novels. จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 19:12:37

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าอยากเป็นนักแปล เก่งภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ ภาษาไทยก็ต้องเชี่ยวชาญด้วย  เพราะภาษาไทยละเอียดอ่อน  ความหมายเดียวกันแต่ใช้คนละคำอรรถรสทางภาษาก็ได้ออกมาต่างกัน ในขณะที่ภ่ษาอังกฤษใช้คำเดียวแต่ได้หลายความหมายอยู่ที่สถานการณ์ที่ใช้ บางเหตุการณ์ถ้าแปลออกมาภาษาพื้น ๆ ก็ได้ความหมายพื้น ๆ แต่ถ้าใช้คำอื่นที่มีความหมายเดียวกันแต่คำสละสลวยกว่าความหมายก็กินใจกว่า   ความเห็นส่วนตัวจ้ะ จากคุณ : sakrapee เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 21:30:33

ความคิดเห็นที่ 4 ทำตามคุณแอ๊ดกับคุณ K.Senior ไปเลยครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่นานเกินรอถ้าตั้งใจจริง สู้ ๆ ครับ จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 21:41:14

ความคิดเห็นที่ 5 ความฝันเดียวกันเลย  เราต้องพัฒนาภาษาอังกฤษให้เท่าภาษาไทยให้ได้ เพราะเรารู้สึกว่าภาษาไทยของเรามันไปไกลกว่าภาษาอังกฤษ ต้องพยายามต่อไป จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 22:35:59

ความคิดเห็นที่ 6 ดูหนัง chick flick เยอะๆก็ช่วยได้นะคะ เพราะ ภาษาที่ตัวละครพูดก็เหมือนในนิยายรักๆใคร่ๆนั่นแหละ จากคุณ : yinnerella เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 23:24:53

ความคิดเห็นที่ 7   เห็นด้วยกับคุณsakrapee จากคุณ : blackthai เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 23:51:50

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยกับคุณ sakrapee ครับ ผมว่านักแปลที่ดี ต้องเชี่ยวชาญทั้งภาษาต้นทาง และภาษาปลายทาง โดยเฉพาะภาษาปลายทาง ต้องเชี่ยวชาญมากๆๆ มากชนิดที่สามารถเลือกคำมาใช้ได้สละสลวยไม่ติดขัด อยากให้อ่าน กามนิต-วาสิฏฐี ครับ เป็นวรรณกรรมแปล ที่ไม่เหมือนแปล เป็นวรรณกรรมร้อยแก้ว ที่เหมือนร้อยกรอง จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 23:58:51

ความคิดเห็นที่ 9 คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นนักแปลในอุดมคติ 1.เก่งภาษาต้นทาง สามารถอ่านต้นฉบับได้ขาดลอย เข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าคนเขียนเขาต้องการจะสื่ออะไร เขามีความคิดอย่างไร เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดและระหว่างบรรทัด เข้าใจอรรถรส ความเปรี้ยวหวานมันเค็ม เก็บความได้ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน จากเจตนารมณ์ของคนเขียน 2.เก่งภาษาปลายทาง เก่งพอที่จะถ่ายทอดความหมายและความตั้งใจตลอดจนรสชาติของต้นฉบับได้ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน ความไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน สำหรับผมถือเป็นหัวใจของการแปล เพราะนักแปลทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวระหว่างคนเขียนกับคนอ่าน หน้าที่ของการแปลคือการสื่อให้คนอ่านได้รับเฉพาะสิ่งที่มีในต้นฉบับ ไม่ผิดเพี้ยน ไม่ขาดหาย และไม่เกินมา ถ้าต้นฉบับมันจืด คนอ่านก็ควรจะได้อ่านฉบับจืด ไม่ใช่ฉบับต้มยำ ถ้าคนอ่านชิมแล้ว:-)เพราะมันจืด ก็บอกว่าให้ไปโทษคนเขียน อย่ามาโทษคนแปล ดังนั้น อยากให้คนอ่านซี๊ดซ๊าดก็ไปส่องกล้องหาไอ้ที่มันเป็นต้มยำมาแต่ต้น จะได้มันยกร่องทั้งคนแปลคนอ่าน ถ้าคนแปลเห็นว่าต้นฉบับมันจืด มันน่าจะเขียนให้ดีกว่านี้ได้ อย่ากระนั้นเลยจำตูจะทำตัวเป็นฤาษีแปลงสาร เรียบเรียงมันเสียใหม่ให้มันยกร่อง อย่างนี้ผมถือว่าเป็นนักแปร ไม่ใช่นักแปล เป็นอีกประเด็นหนึ่งให้คนอื่นเขาไปสางกันเองก็แล้วกัน นอกเหนือประเด็นที่ผมอยากจะฝาก นี่ว่ากันโดยหลักการนะครับ อุดมคติครับ อุดมคติ ในทางปฏิบัติย่อมไม่มีมนุษย์ที่ไหนที่เก่งเริ่ดจนอ่านปุ๊บเข้าใจต้นฉบับได้ทะลุปรุโปร่งปั๊บ ข้อจำกัดมันสืบเนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ความรู้ความสามารถของนักแปลมีน้อย ความห่วยของคนเขียนที่เขียนมาแล้วตีความได้สิบแปดกระบวนความ ความจำเพาะของเนื้อหาที่ต้องการประสบการณ์ในวิชาชีพนั้นๆ ฯลฯ ดังนั้น เพื่อเสริมข้อบกพร่องเชิงความรู้รอบตัวเหล่านี้ ในทางปฏิบัติ นักแปลจึงต้องพึ่งเครื่องทุ่นแรงเพื่อให้ประหยัดแรงกายแรงใจตลอดจนเวลา เป็นการเพิ่มประสิทธิผลและประสิทธิภาพ นอกเหนือจากการอ่านและการมีความรู้ให้มากที่สุดชนิดแสนรู้แล้ว เครื่องมือที่ควรมีอย่างแรกคือ พจนานุกรม ไม่ต้องถามว่าเล่มไหน ขอให้มียิ่งเยอะยิ่งดี พจนานุกรมทั่วไป พจนานุกรมเฉพาะทางทุกวิชาชีพทุกวงการ ขอให้มีเถอะ อย่างที่สองคือ อรรถาภิธาน อย่างที่สามคือ สารานุกรม อย่างที่สี่คือ อินเตอร์เน็ต เอาไว้ค้นด้วยคุณกุ๊กและสอบถามเพื่อนฝูงตลอดจนเอาไว้เข้ามาราวีคนในนี้คลายเครียด นอกเหนือจากนี้บางคนเล่นพจนานุกรมดิ้นได้ก็มี สำหรับอย่างดิ้นได้นี้ต้วใครตัวมัน ผมไม่มีประสบการณ์ ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว จึงทำให้ไม่มีนักแปลคนไหนเก่งทุกเรื่อง ปกติก็จะรับแปลอยู่เฉพาะในวงการที่ตัวถนัดเพราะขืนสะแอ๋งไปรับงานที่ไม่ถนัดก็เสียฟอร์มเปล่าๆ นักแปลใหม่ๆมักเข้าใจว่านักแปลต้องแปลได้ทุกเรื่องหรือเข้ามาถามว่าควรจะแปลเรื่องอะไรดี แน่นอนว่าใครจะไปตอบได้ดีกว่าตัวเอง เรื่องนี้เคยมีคนโกรธผมมาแล้วเพราะดันใช้สำนวนสวิงสวายมากไปหน่อยไปบอกให้เขาถามคนในกระจกเงา เลยโดนต่อว่า ซวยไป อ้อ นอกเหนือจากคุณสมบัติข้างต้น สิ่งที่จะต้องมีอย่างอื่นๆก็เช่น ความอึด ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ เรื่องพวกนี้เดี๋ยวก็คงมีคนมาเล่าให้ฟัง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 00:30:19

ความคิดเห็นที่ 10 โดนใจความเห็นคุณ sakrapee มากๆค่ะ ถ้าแปลได้ แต่เข้าใจเองมันก็ไม่ใช่นักแปลนะ ถ้าแปลได้ไร้อารมณ์มากๆนี่ก็คิดหนักเลย อย่าว่าแต่มีคนอ่านเลย เขาไม่พิมพ์ออกมาให้ขาดทุน ฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญกับด้านภาษาไทยด้วยค่ะ นักแปลนั้นเป็นผู้เชื่อมผู้อ่านกับผู้เขียนต้นฉบับ จะต้องสื่อความได้และถ่ายทอดอารมณ์ เนื้อเรื่องได้ดี นอกจากจะแปลได้เข้าใจ และถูกต้อง ยังต้องคงอรรถรส ให้เรื่องสนุกสนานด้วยค่ะ ประสบการณ์จึงสำคัญมาก มันอาจจะไม่เกี่ยวกับความสามารถในการแปล การอ่าน ไม่จำเป็นด้วยซ้ำว่าคุณจะต้องเข้าใจทุกคำ หรือคำต่อคำ เพราะนั่นคือการวนกลับสู่ภาวะ "แปลไม่เป็น" การแปลไม่ใช่อ่านแล้วเขียนออกมาเป็นอีกภาษา แต่เป็นการแต่งใหม่ในภาษาใหม่โดยรักษาของเดิม (พูดเองก็งงเอง) ถูกอย่างที่คุณ K.Senior กล่าวว่าไม่มี "ทางลัด" ต้องชนกันอย่างเดียว ฝึกด้วยตนเองด้วยวิธีที่ดีสุดก็คือ "อ่านให้มาก" แล้วลองแปลให้เพื่อนอ่าน หัดเขียนนิยายเองบ้าง  (จะได้เข้าใจอารมณ์นักเขียน) อ่านหนังสือแปลคนอื่นที่มีทั้งดีไม่ดี (หนังสือแปลขายดีไม่ใช่หนังสือที่"แปลดี"เสมอไปนะคะ) ไม่ต้องไปหวังว่าวันหนึ่งเราจะทำเงิน หรือต้องบรรลุได้ในเวลาอันสั้น ถ้าคุณอายุไม่ถึงหกสิบก็อย่าไปคิดว่าต้องเร่งแล้ว ฉันจะแก่เกินแล้ว มันไม่มีคำว่าแก่เกินสำหรับการเริ่มต้นหรอกค่ะ คุณคิดว่าจะประสบความสำเร็จโดยไวเกินไปหรือเปล่า หวังมากเกินไปน่ะ.....มันยังเร็วไปค่ะ เฉยๆกับมัน อย่าไปเจ็บอะไรกับเรื่องแค่นี้ ยังมีเวลาอีกเยอะค่ะ แนะนำอีกนิดว่าลองไปอบรมการเขียน การแปล หรือถ้าอยากได้วุฒิ มีทุน ก็ลองไปเรียนด้านนี้เพิ่มด้วย ลองถามจากคุณ Flowery กับ และหลายๆคนที่สิงแถวนี้ก็เรียน/จบด้านนี้ค่ะ จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 07:21:28

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกความเห็นมากๆเลยค่ะ โล่งใจไปหน่อยว่าที่ทำอยู่นี้ไม่ได้เดินผิดทาง ตอนนี้ก็เอานิยายมาแปลงเป็นtext file ใส่talking dictไปอ่าน อ่านไปก็จิ้มแปลไป ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอ่านได้ครบร้อยเรื่องแล้วน่าจะเก่งขึ้น เราไม่ห่วงภาษาไทยเท่าภาษาอังกฤษ เขียนนิยายอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่เคยส่งให้สำนักพิมพ์เลย (พอใจภาษา แต่ไม่พอใจเนื้อเรื่อง ^^") ทีนี้ พอมาแปล กลายเป็นพบปัญหาว่า ชินกับการเขียนนิยายมาก่อน แปลให้ตรงประโยคต่อประโยคเหมือนคนอื่นๆไม่ได้ (- -") การเรียบเรียงของนิยายภาษาไทยกับนิยายภาษาอังกฤษไม่เหมือนกัน เราอยากให้คนอ่านนิยายแปลอ่านได้ลื่นเหมือนนิยายไทย ก็เลยพยายามอ่านต้นฉบับให้แตกฉาน แตกสิ่งที่เขาเขียนออกมาเป็นข้อมูลดิบ แล้วเอามาประกอบขึ้นใหม่ในภาษาไทย ซึ่งมันทำให้ต้นฉบับกับฉบับแปลดูต่างกันมาก โดนติตรงนี้มาด้วย นอกจากเสียใจแล้วตอนนี้ก็เลยกำลังสับสนด้วย ไม่รู้ว่าที่เราทำนี่ผิดมากหรือเปล่า(เราก็เชื่อในความสามารถในการเขียนของเราเหมือนกันนะ) แต่เวลาอ่านนิยายที่แปลประโยคต่อประโยค เรารู้สึกเหมือนอารมณ์ของนิยายเรื่องนั้นมันหายไป (อธิบายยากจัง แต่เหมือนกับว่า เขียนแบบนี้ในภาษาอังกฤษจะได้อารมณ์แบบนี้ แต่ถ้าเขียนแบบนี้ในภาษาไทยจะให้อารมณ์อีกอย่างนึง อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ) ไม่รู้ว่าเราทิฐิเยอะไปหรือเปล่า แต่ถ้าแปลแบบนี้ใช้ได้จริง เราก็ติดปัญหาตรงที่ยังอ่านนิยายได้ไม่แตกฉานนี่ล่ะค่ะ เราไม่กล้าเดาเลย เพราะถ้าแตกข้อมูลออกมาผิดก็จะถ่ายทอดออกมาให้ถูกต้องไม่ได้ (Garbage-in-garbage-out - -*) จะรู้สึกผิดต่อคนเขียนต้นฉบับและคนอ่านมากๆ (เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย ^^") แล้วก็.. เราหวังมากไปจริงๆนั่นล่ะค่ะ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลย ตอนที่ชวนเพื่อนไม่สำเร็จก็เสียใจอย่างนี้เหมือนกัน จะพยายามบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร หวังว่าผิดหวังมากๆวันนึงก็คงจะแข็งแกร่งขึ้น ขอบคุณมากๆ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ตอนนี้สบายใจขึ้นเยอะเลย ปล. คุณK.Seniorใช้ดิกคุ้มจัง ดิกเรายังสวยอยู่เลย เปิดระวังมาก แถมเวลาจะเปิดเยอะๆก็ดันใช้talking dictกับเปิดดิกในเนตเอาเป็นหลัก (แหะๆ) แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 52 08:59:58 จากคุณ : ratichan เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 08:47:53

ความคิดเห็นที่ 12   มีความเห็นว่า ยากมากครับ ต้องอดทน ทุ่มเท ฝึกหนัก ยาวนาน ขนาดนิยายไทย อ่านแล้วบางครั้งยังแปลไทยเป็นไทยไม่กระจ่างในบางตอน      กามนิต วาสิฏฐี  - หนังสือแปลระดับวรรณคดีไทย โดยสองปราชญ์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย(บาลี สันสกฤต) - อังกฤษ ถึงกระนั้นนักปราชญ์ก็ ยังรู้พลั้งมีบางจุดที่แปลพลาด นักแปลไทยชั้นครูอีกท่านที่น่าหางานของท่านมาอ่านคือ ประมูล อุณหธูป โดยเฉพาะเรื่อง โลกียชน แปลจาก Tortilla Flat ของสไตน์เบ็ค     งานแปลช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน ที่แปลลงใน ลลนา ท่านแปลและเขียนอธิบายการแปลคำศัพท์บางคำประกอบไว้ด้วย ทำให้ได้เห็นถึง ความบรรจงในงาน และเข้าใจว่าทำไมงานของท่านจึงได้รับความนิยมยกย่อง จากคุณ : surgman เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 09:59:53

ความคิดเห็นที่ 13 ต้อง อ่าน อ่าน และอ่านเท่านั้นค่ะ และถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ใช้พจนานุกรม อังกฤษ - อังกฤษ จะดีกว่า อังกฤษ - ไทย เพราะความหมายจะครอบคลุมกว้างขวางกว่าเยอะ ส่วนประเด็นที่คุณว่ามีปัญหาเรื่องการแปลประโยคต่อประโยคนั้น ต้องเข้าใจนะคะว่าเรามีหน้าที่ "แปล" ไม่ใช่ "เรียบเรียง" การอ่านวิเคราะห์ต้นฉบับแล้วเอามาเขียนใหม่ มันจะไม่ใช่งานแปลแล้วสิคะ การลบกลิ่นนมเนย ใช้ภาษาไทยสื่อความหมายให้ถูกต้อง พร้อมรักษาอารมณ์ของต้นฉบับ กับการเรียบเรียงขึ้นใหม่มันต่างกันมากอยู่นะคะ จากคุณ : ทินา (ทินา) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 22:50:24

ความคิดเห็นที่ 14 อย่าท้อไปเลย เรื่องแปลมันไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ขอเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังแล้วกัน นานมาแล้วไม่ได้เป็น"นักแปล" กับเขาหรอก แต่เป็นหนอนหนังสือก็ว่าได้ อ่านแทบทุกอย่างที่ขวางหน้าตั้งแต่อ่่านออก ภาษาไทยก่อน อังกฤษตามมา สมัยโน้นมันหายากก็ใช้วิธีไปหยิบยืม ห้องสมุดบริติชเคานซิลเอา ต่อมาหลายๆ ปีเข้าภาษาต้นทางปลายทางก็ถือว่าใช้งานได้ แต่ก็ไม่เคยต้องใช้การแปลสักที เพราะเจอแต่ไทยไปไทยมา อังกฤษไปอังกฤษมา เพิ่งริอ่านอยากลองแปลก็ตอนเข้ามาเจอพันทิบดอทคอมเมื่อจะสิบปีที่แล้ว แรกๆ ก็ฝืดมาก แม้จะแปลไม่ผิด แต่แปลได้ไม่ลื่นไหล ทำไงดีล่ะ อย่างแรกคือลองไปเรื่อยๆ แล้วเอาที่หัดทำไปหาคำติชมแก้ไข กับใช้วิธีครูพักลักจำ ลองอ่านตัวอย่างที่ดีเทียบกันทั้งสองภาษา สังเกต เรียนรู้ ไปเรื่อยๆ พอดีตอนนั้นโชคดีมีเวทีวรรณกรรมดอทคอมให้ลองแปล มีบอกอช่วยตรวจ หลายเดือนอยู่กว่าทุกอย่างจะพอเข้าล็อค นี่สำหรับคนที่พอมีต้นทุนแล้วทั้งสองภาษานะ ถ้าต้นทุนยังไม่มีก็คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย แต่ไม่น่าจะพ้นความพยายามไปหรอกน่า เอาใจช่วยนะคะ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 52 22:56:53 จากคุณ : lilymay เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 22:54:22

ความคิดเห็นที่ 15 อ้า เรื่องแปลนะ แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การแปลนิยาย" มันไม่หมูนะ คนที่จะแปลนิยายได้ดีมากๆ มีแค่ทักษะ reading comprehension ก็ยัง "ไปไม่รอด" คุณจะต้องมีความรู้เรื่อง 1. หนังฝรั่ง เพลงสากล หนังสือภาษาอังกฤษหลายๆสมัยรวมกัน 2. จำข่าวต่างประเทศได้หลายๆสมัย 3. เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของตะวันตก เช่นรู้เรื่อง civil war ในอเมริกา  จำได้ว่าบุคคลสำคัญๆเคยพูดอะไรไว้ 4. เคยเรียนรู้เรื่องวรรณกรรมตะวันตก เรียนรู้เรื่อง Myths of Greece and Rome และรู้เรื่อง The Bible มากพอสมควร เพราะเรื่องพวกนี้โผล่มาในนิยายบ่อยๆ 5. มีความรู้รอบตัวเรื่องอื่นๆ พอที่จะคิด keywords เด็ดๆเพื่อค้นข้อมูลจาก google ได้ ถ้าไปเจอประโยคที่เราตีความไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้รอบตัวในบางเรื่อง คนที่จะมีคุณสมบัติครบถ้วนแบบนี้นะ จะต้องดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมาต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปีมากๆ  เรามั่นใจว่าเราเก่ง reading comprehension มากระดับกล้าท้าสอนวิชานี้แข่งกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเก่งๆได้สบายๆเลย แต่เรามีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนที่จะแปลนิยายได้ถึงขั้นเก่งระดับเทพ... เราเลยแปลนิยายแค่พอได้ ดีกว่านักศึกษาเพิ่งจบมาแล้วกำลังหัดแปลหลายเท่า แต่เราก็ยังไม่เก่งนัก...เรากลับกลายเป็นถนัดแปลเอกสารกฎหมายที่มีประโยคซับซ้อนมากๆ ได้ดีกว่า เราผู้ซึ่งเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติโดยไปพำนักอาศัยอยู่ต่างประเทศมานาน 20 ปี พอมาแปลนิยายแข่งกับแฟนเราเองซึ่งเรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทย แต่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้างบนนี้ ที่เขียนไว้ใน 1. - 5. นะ กลายเป็นแฟนเราอ่านนิยายภาษาอังกฤษรู้เรื่องแตกฉานมากกว่าเราหลายเท่า ส่วนทักษะทางด้านภาษาอังกฤษอย่างอื่น หรือทักษะด้านการแปลอย่างอื่นนั้น บางอย่างเราก็ชนะแฟนเราเช่นแปลหนังสือราชการจากไทยเป็นอังกฤษ เป็นต้น  เรื่องการแปลนี้ มันสุดแต่ใครจะถนัดแบบไหนนะ ไม่มีนักแปลคนไหนที่เก่งทุกด้านหรอก อย่างมากก็เก่งหลายๆด้าน แต่เก่งครบหมดทุกสาขา มันหาไม่ค่อยจะมีหรอก... ลองไปอ่านการเปรียบเทียบทักษะการแปล ระหว่างแฟนเรากับตัวเราเอง ที่เราทำให้ดูได้ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8260946/K8260946.html แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 00:02:29 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 52 23:55:44

ความคิดเห็นที่ 16 นิยายสมัยใหม่แปลยากมากกว่า Sherlock Holmes หลายเท่า ....เราเคยต้องแปลนิยายที่ในเนื้อเรื่องมีเทคโนโลยีตั้งแต่สมัยสงครามโลก ไล่มาจนถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่กว่านั้น ปนเรื่องสงคราม เรื่องการปกครอง ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์และการเมือง ไม่รู้ว่าใครรบกับใครเพราะอะไรนะ พออ่านประโยคภาษาอังกฤษก็มืดแปดด้าน ตีความไม่ออกเลยหละ...!!!!!   บางทีเรื่องง่ายๆเช่นชื่อผลิตภัณฑ์ ชื่อสถานที่สำคัญๆ แม้กระทั่งแผนที่หรือถนนหนทางของเมืองบางเมืองในบางประเทศ ถ้าไม่รู้นะ เวลาเขาบรรยายว่าตัวละครขับรถไปทางไหน แค่นี้ ก็แปลแทบไม่ถูกแล้ว (บางที่แปลไปตามเนื้อผ้ามีสิทธิแปลผิดจังๆได้)   ไอ้ชื่อผลิตภัณฑ์น่ะ ตัวแสบเลย บางทีมันไปพ้องกับคำศัพท์อื่น ทำให้นักแปลเขวไปเลยก็มี ถ้าไม่มี google นะ เราว่าขนาดคนที่เก่ง reading comprehension ระดับเทพ อ่านๆนิยายภาษาอังกฤษยากๆโหดๆไปนะ เผลอๆก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง  แล้วพวก metaphors แบบหลุดโลกนะ นักเชียนฝรั่งระดับอัฉริยะ ไม่รู้มันเอา cells สมองส่วนไหนมาคิดผูกประโยคขึ้นมาได้ก็ไม่รู้ "ถ้าจับทางแนวคิดนักเขียนไม่ได้นะ นักแปลหลงทางเข้าป่าแปลผิดบานเบอะเรียบร้อยไปตั้งแต่บทแรกๆแล้วหละ..." โชคดีที่สมัยนี้ ไม่เพียงแต่จะมี google ให้ค้นข้อมูลนะ เวลาเราแปลไม่ได้ แบบจนปัญญาจริงๆ แล้วเรื่องนั้นต้องใช้ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับประเทศอะไร เมืองอะไร สถานที่อะไร ผลิตภัณฑ์อะไรนะ เราก็เข้าไปถามฝรั่งเจ้าของภาษาที่เขาน่าจะมีความรู้รอบตัวเรื่องนี้   นิยายเล่มที่เรากำลังแปลค้างอยู่นี่นะ เราต้องค้นข้อมูลแบบนี้เพียบเลย จนต้องวิ่งแจ้นไปถามฝรั่งตามเวปต่างๆหลายรอบแล้ว  นี่เริ่มแปลมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีที่แล้วนะ จนป่านนี้ ก็ยังแปลไม่เสร้จเลย แถมที่แปลไปแล้วเรายังแปลผิดบานเลยหละ ต้องกลับไปแก้อีกหลายรอบ (หลังจากไปถามฝรั่งตามเวปต่างประเทศเพื่อหาข้อมูลแล้ว) .... ตกลงแปลนิยายน่ะ มันไม่ใช่หาเงินได้ง่ายๆนักหรอกนะ...นักแปลที่แปลแต่นิยาย แล้วไม่ทำงานอื่นเลย  แล้วทำเงินได้มากพออยู่รอดได้นะ มีไม่กี่คนหรอก...นี่เราต้องเอางานอื่นเข้ามาเสริมด้วย เช่นดูดวง เอ้ยแปลเอกสาร ม่ายงั้นหละก้อกินแกลบแน่ๆ ถ้าแปลแต่นิยายอ้ะ... แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 00:31:16 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 00:25:59

ความคิดเห็นที่ 17 หมายเหตุ นักอยากแปลที่มีความรู้ระดับที่ จขกท มี (เท่าที่ จขกท เล่ามานะ) เราค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้ามาให้เราสอนการแปลแบบแก้จุดอ่อนด้านการตีความ source text (ภาษาต้นทาง) และสอนการรื้อ sentence structure แบบพลิกแพลงใน target text (ภาษาปลายทาง) น่ะ และสอนวิธี edit (ตรวจแก้) คำแปลของตัวเองนะ และสอนการค้นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อไปในอนาคตได้ด้วยตนเองนะ...เราเชื่อว่าเราสอนให้ จขกท แปลจนส่งตัวอย่างการแปลให้ สนพ ยอมรับ ได้รวดเร็วกว่าอาจารย์สอนการแปลหลายๆท่านมากๆ  เพราะเราจับทาง และจับแนวคิดในเชิงตรรกะได้ดี เนื่องจากในช่วงหลายปีที่เราทำงานแปลมา เราพยายามศึกษากลไกในความคิดของนักแปล ในรูปแบบที่เราตั้งปริศนาไว้บ่อยครั้งว่า "การเรียนการสอนการแปลที่มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น มันจะต้องทำอย่างไร" แต่นั่นมันก็เป็นแค่ "ศาสตร์การแปล" คือสอน "กลไกในการแปล" นั่นเอง แต่เราไม่สามารถสอน "ศิลปะในการแปล" ให้ใครได้ เพราะว่า ศิลปะในการแปลนั้น นักแปลแต่ละคนจะต้องพัฒนาขึ้นมาเอง ให้ครบถ้วน สมดั่งคำที่ว่า "การแปลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์" และผู้เรียนก็ต้องเอา "ทักษะในการค้นข้อมูล" จากเราไป เพื่อไปต่อยอดในการเรียนรู้ในอนาคต โดยการไปใช้เวลาอีกมากเพื่อเสพย์สื่อในหลายๆรูปแบบเป็นภาษาอังกฤษ กว่าจะเก่งเป็นนักแปลระดับเซียนเหยียบเมฆได้จริงๆสมดั่งความฝัน จริงๆแล้วเรากำลังเขียนตำราการแปลเล่มหนึ่งขึ้นมา  เรากำหนดโครงสร้างและ topics สำคัญๆ เอาไว้หมดแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตะลุยเขียนให้จบๆเล่มสักที  เอาไว้เขียนเสร็จ แล้วได้รับการตีพิมพ์ เมื่อไหร่ แล้วเราจะแจ้งให้ทราบนะ แต่ถ้าไม่มี สนพ รับไปพิมพ์เพราะกลัวขาดทุน เราก็จะมาไล่แจกแถวๆนี้น่ะ...555+++... แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 00:58:30 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 00:57:14 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 00:52:05

ความคิดเห็นที่ 18 จริงๆแล้วนะ ที่เราพูดไว้ตามลำดับว่า การเรียนรู้วิธีการตีความ source text นะ แล้วพอแปลไป ก็มาหาทางรื้อ sentence structure ใน target text น่ะ นั่นมันเวลาแปลข้อความที่ไม่ซ้บซ้อนนัก แต่ในความเป็นจริง เวลาต้องแปลข้อความที่ซับซ้อนม่ากๆนะ เช่น source text มีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อ target text (เอาไว้ถ้าหาเจอกระทู้เก่าๆที่เราเคยปั่นๆไว้จะแปะ link ให้) กว่าจะแปลได้นะ นักแปลจะต้องรู้วิธีรื้อ sentence structure ใน source text ได้อีกด้วย หากมิเช่นนั้นแล้วนะ จะถึงกับคิดคำแปลภาษาไทยไม่ออกเลยหละ เนื่องจากว่า "ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นประโยคด้วยคำศัพท์ตัวไหน" นั่นก็หมายความว่า ถึงแม้จะเป็นการแปลอังกฤษเป็นไทยก็ตาม แต่ถ้า sentence structure ในภาษาอังกฤษ มีความซับซ้อนมากๆ นักแปลจะต้องเก่ง wriiting ในภาษาอังกฤษมากพอสมควร ม่ายงั้น จะรื้อโครงสร้างมันแบบเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้  ซึ่งก็นับว่า "เป็นโชคดีสำหรับนักแปลนิยาย เพราะว่า โครงสร้างยากๆแบบนี้ไม่ค่อยมีในภาษานิยาย (เว้นเสียว่าคุณจะไปแปลหนังสือโบราณๆเข้าจริงๆ)  แต่โครงสร้างที่ซับซ้อนแบบนี้ มักจะเจอบ่อยมากๆในภาษาอังกฤษที่ใช้เขียนเอกสารกฎหมาย ภาษานิยายส่วนใหญ่ยากที่การใช้ถ้อยคำที่แปลข้ามวัฒนธรรมได้ยากมากๆ เช่น metaphors ประหลาดๆในภาษาอังกฤษ ที่พอแปลเป็นไทยออกมา แล้วก็เลยอ่านไม่เป็นภาษาคน...รู้สึกว่าเราจะเคยแปะตัวอย่างในกระทู้เก่าๆนานมาแล้วนะ เอาไว้ถ้าหาเจอจะแปะ links ให้" แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 52 16:48:48 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 05:19:55

ความคิดเห็นที่ 19 เราว่ายากที่จะอ่านให้ "เข้าใจร้อยเปอร์เซนต์" ไม่ต้องภาษาต่างประเทศเลย แค่ภาษาไทยด้วยกันเอง แต่ละคนยังอ่านแล้วเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง หรือถ้าเข้าใจ "ทั้งหมด" ก็ยังได้อรรถรสไม่เท่ากัน อย่างเพื่อนเราชอบคู่กรรมมาก ยังกะจะท่องได้ทุกประโยค เราอ่านแล้วก็ อืมมมม ประมาณ ก็โอเคอ่ะ ทีนี้อารมณ์ที่ได้ก็ต่างกันแล้ว ยัยอังฯพูดประโยคนึง เพื่อนเราอาจจะเข้าใจความรู้สึก แต่เราอ่านแล้วเกลียดเธอจัง แล้วถ้าให้เรากับเพื่อนเลือกคำมาแปล ก็อาจจะใช้คำไม่เหมือนกัน แล้วถ้าจะต้องแปลออกมาเป็นภาษาไทยอีก ก็ต้องมีทักษะในการใช้ภาษาไทยในขั้นดี จากประสบการณ์อ่านหนังสือแปลของเรานะ สมัยก่อนเราก็ว่ามีนักแปลดี ๆ นะ แต่สมัยนี้ไม่รู้ เนื่องจากเราเป็นคนที่ถ้าอ่านหนังสือแปลก่อน เราก็ไม่ไปหาต้นฉบับมาอ่าน ถ้าอ่านต้นฉบับแล้ว เราก็ไม่อ่านหนังสือแปล เพราะฉะนั้น เราไม่เคยเปรียบเทียบว่าผลงานแปลเป็นยังไง เราเห็นด้วยกับคุณหมอดูที่ว่านอกจากอ่านเยอะ ๆ แล้ว นักแปลยังต้องมีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและแนวคิดของฝรั่งด้วย แต่จากที่ดูหนังซับไตเติ้ลภาษาไทยนี่ บางทีถ้าคิดมากก็จะปวดกระโหลกและไม่เป็นอันดูหนังไปเลย จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 52 13:15:59

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านให้แตกฉานยังไม่ยากเท่าแปลให้ดีนะคะ ถ้าอยากอ่านให้แตกฉาน ก็ต้องอ่านเยอะๆ และอย่างที่คนข้างบนแนะนำ ใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษ อย่างตัวเอง อ่านไม่แตกฉานนักหรอกค่ะ แค่พอรู้เรื่อง แต่รู้เลยว่าไม่สามารถแปลได้แน่ๆ เพราะต้องเก่งทั้ง 2 ภาษาค่ะ แปลอย่างไรให้ถูกต้องสละสลวย อ่านรู้เรื่อง (การแปลไม่ใช่เรียบเรียงใหม่ ต้องเคารพต้นฉบับ) ต้องฝึกค่ะ สู้ๆ จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 52 12:09:25