ความคิดเห็นที่ 1 เพราะ ดร.ซุน ท่านเห็นว่า ระบบแนวคิดแบบขงจื้อ (ประยุกต์) ที่ยึดถือกันในจีนนั้น เป็นแนวอนุรักษ์นิยมรุนแรง และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เอื้อต่อการให้ประชาชนถูกปกครองโดยชนชั้นปกครองยุคเก่าโดยง่าย และถ่วงในการพัฒนาแนวคิดหรือเรียนรู้แบบตะวันตกหน่ะครับ คล้ายๆกับที่หงซิ่วฉวนต่อต้านการบูชาภูติผีเทพยดาฟ้าดินแบบเก่าของจีนหล่ะครับ อย่างไรก็ตาม ด้วยแก่นของขงจื้อแล้ว ส่วนตัวผมก็ว่าเน้นการศึกษาหาความรู้ จริยธรรม จารีต และการให้ความเคารพต่อหน้าที่และบทบาทของบุคคลในสังคมได้ดี ซึ่งอาจจะเหมาะกับระบบการปกครองในยุคของขงจื้อและจักรวรรดิโบราณ หากนำมาปรับใช้งานดีๆก็สามารถไปกันได้กับระบบแนวคิดแบบสมัยนิยม ปัญหาไม่ใช่ลัทธิหรือแนวคิดแบบขงจื้อ แต่เป็นความเหลวแหลกของชนชั้นปกครองตลอด 2 พันปีของจีน ที่นำเอาแนวคิดแบบขงจื้อมาเปลี่ยนสีแปรธาตุ ทำให้มันง่ายต่อการเอามาใช้ปกครองประชาชนมากเข้า ซูซุนทงสมัยฮั่น และจูซีสมัยซ่ง เป็นตัวอย่างที่ดีครับ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 52 19:55:58

ความคิดเห็นที่ 2   ปัญญาชนจีนรุ่นใหม่ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิขงจื้อ แต่พอมาถึงปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับฟื้นฟูขงจื้อขนานใหญ่ จากคุณ : ชาวจีนศึกษา ณ TU เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 52 22:09:47

ความคิดเห็นที่ 3   ความคิดเรื่องของลัทธิขงจื๊อเป็นความคิดที่ทำให้คนในสังคมยอมรับถึงคนที่มาปกครองและยอมอยู่ภายใต้อำนาจอย่างไม่มีข้อสงสัยและยังทำให้คนไม่กล้าคิดออกนอกกรอบเพราะว่าจะถูกมองว่าเป็นความผิดที่รุนแรง เพราะว่าคำสอนของขงจื๊อสอนว่า "ห้ามคิดพูดนอกเหนือจากที่ครูสอนและครูอาจารย์ที่สอนจะต้องสอนห้ามเกินขอบเขตของขงจื๊อ" จากคุณ : ซัน เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 52 14:33:56 A:unknown X:113.53.150.24

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะขงจื้อเกิดในยุคสมัยที่บ้านเมืองแตกแยก ระส่ำระสาย จึงต้องการรื้อฟื้นความสงบ ระบบ จารีต และระเบียบในสังคม แล้วต่อมาลัทธิขงจื้อจึงถูกใช้ปกครองโดยชนชั้นปกครองจีนตลอดมา จนเมื่อเผชิญกับความระส่ำระสายใหม่ที่มาจากภายนอก แรงเฉื่อยของวัฒนธรรมเดิมในชื่อลัทธิขงจื้อกลับเป็นตัวหน่วงสังคมจีน และเป็นสิ่งเบียดบังคนในชาติด้วยกันเอง จะเปลี่ยนสังคมใหม่จึงต้อง หักล้างลัทธิเก่า กลับมาในโลกยุคนี้กระแสความรักชาติที่ใช้รากฐานประวัติศาตร์และ วัฒนธรรมอันยาวนานเป็นตัวแสดงความเป็นชาติกลับมาอีกครั้ง ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของขงจื้อจึงถูกนำมาตีความ รื้อฟื้นใหม่อีกครั้ง ขงจื้อ ลัทธิขงจื้อ ภูมิปัญญาจากขงจื้อ เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้โดยชนชั้น ปกครอง ต่างกรรมต่างวาระ จะว่าลึกซื้งก็ได้ จะว่าคร่ำครึก็ได้ แล้วแต่จะใช้ แต่จีน หลีกไม้พ้นลัทธิขงจื้อแน่นอน ไม่สนับสนุน ก็ ต่อต้าน แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 52 14:51:47 จากคุณ : Ngo No.5 (Ngo No.5) เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 52 14:49:50

ความคิดเห็นที่ 5 ผมไม่ทราบสภาพสังคม วัฒนธรรมในสมัยนั้นว่าทำไมต้องต่อต้านพวกศาสนาต่างๆ แต่ก็เห็นใจชาวจีนในยุคนั้นด้วยว่า โดยสภาพสังคมตอนนั้น การแยกแยะแก่นกับเปลือกของศาสนา ในแง่ของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ปัญญาชน อาจจะแยกไม่ออก ลองดูตอนนี้ ผลของการไม่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อเทียบกับชาวจีนโพ้นทะเลที่ยังคงสืบทอดวัฒนธรรมขงจื้อต่อเนื่องมา (แม้จะโดยไม่รู้ตัว) ดูจากสินค้าจีน ไอ้ประเภทใช้ไม่ทนก็น่าตำหนิอยู่แล้ว แต่พวกนมผสมเมลามีน ไข่ปลอม นี่สุดๆ ในฐานะชาวพุทธแบบไทยๆที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมขงจื้อมาด้วย มันเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ เลวสุดๆ ผมไม่แปลกใจ และเห็นด้วยถ้ารัฐบาลจีนจะกลับมาสนับสนุนเรื่องศาสนาต่างๆ เพียงแต่ลักษณะการยึดติดแบบโบราณของคนจีนยุคก่อน น่าจะไม่มีแล้ว ปัจจุบันต้องใช้ปัญญานำหน้า ไม่ใช่ศรัทธางมงาย จากคุณ : ภูผาฟ้าทะเล เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 52 23:37:29

ความคิดเห็นที่ 6 ขอต่อประเด็นจากความเห็น 5 นะครับ เท่าที่ผมสัมผัสได้ตอนนี้ รัฐบาลจีน ไม่ได้มีนโยบาย สนับสนุนการนับถือศาสนาแต่อย่างใด คนจีนเกือบทุกคนที่ผมเจอ สามารถชูคอยืดอกเมื่อตอบว่า เค้าไม่ได้นับถือศาสนาอะไร หลายคนที่นับถือศาสนากลับตอบเลี่ยงๆอายๆซะอีก ว่า นับถือศาสนานั้นศาสนานี้ เค้ามักตอบว่าเค้าเชื่อตัวเองครับ ในสายตาผม กระแสขงจื้อที่กลับมาโดยรัฐจีน ก็ไม่ได้มี นัยยะที่จะเพิ่มความศรัทธาในคุณความงามความดีเป็นหลัก อันที่จริงแทบไม่มีอะไรมากไปกว่าการปลุกจิตสำนึกรักชาติ และพยายามปลุกให้ลูกหลานจีนที่แตกกระสานซ่านเซ็นไปยัง ชาติต่างๆ ได้หันกลับมามองความ(กำลัง)ยิ่งใหญ่ ของจีน โดยใช้ประวัติศาสตร์ชาติ กับขงจื้อ เป็นตัวชูโรง ถ้าจะไม่มีไข่ปลอม หรือเมลามีน คงฝากความหวังไว้ที่ศาสนา และลัทธิขงจื้อยากครับ ลัทธิขงจื้อในแง่ร้าย คงอ่านคร่าวๆได้จากคำตอบบนๆ ลัทธิขงจื้อในแง่ดี(ที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ซึ่งจริงๆขงจื้อไม่ใช่ศาสนา) พี่ผมว่าชัดเจนก็คือ ทำให้คนศรัทธาในคน เคารพในคน...ที่มีคุณธรรม ประเทศจีนถึงมีบุคคลเหล่านี้กลายร่างเป็นรูปเคารพทั่วไปครับ จากคุณ : Ngo No.5 (Ngo No.5) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 52 00:51:23