 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
reading comprehension มันไม่ยากโหดเท่า writing กับ translation หรอกน่ะ
แต่ถ้าคนที่เรียน reading comprehension โดยการอ่านไป เปิด dictionaries ไป หรือได้รับการสอนมาให้ทำเป็นแค่นี้ กว่าจะอ่านให้แตกฉายได้จริงๆ มันก็ใช้เวลานานเป็นสิบๆปี
แต่คนที่เรียนมาหรือถูกสอนมาด้วย "วิธีการอันทรงพลัง (ซึ่งมีท่าเพลงลึกล้ำเกินกว่าจะเขียนในกระทู้สั้นๆได้)" แบบนักแปลมืออาชีพที่ชำนาญมองเห็นทางหนีทีไล่ เหมือนคนเล่นหมากรุกมองเห็นตาโปร่ง ที่จะขยับตัวหมากรุกเดินไปทางไหนก็ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ กรณีหลังนี้ ผู้เรียนจะพัฒนาทักษะการอ่านไปได้ไวกว่ากันแบบทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยหละ...!!!
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจำนวนคำศัพท์ที่เด็ก ม.6 น่าจะรู้ตามหลักสูตรกระทรวงมีอยู่ประมาณ 2,500 คำ หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่เด็ก ม.6 คนนั้น รู้ศัพท์แค่ 1,800 คำ แต่เขาตั้งเป้าว่าจะเพื่อให้รู้ศัพท์ 5,000 คำ (ซึ่งจะเปิดประตูให้เขาไปอ่านภาษาอังกฤษที่ยากปานกลางได้ และเริ้มที่จะอ่านยากไปกว่านั้นได้) แล้วก็ไปแสวงหาติวเตอร์
ถ้าติวเตอร์คนนั้น รู้วิธีสอนเพียงแค่ อ่านแล้วเปิดดิก อ่านแล้วเปิดดิก แต่ไม่มี "ท่าเพลงลับๆ" แบบที่นักแปลเก่งๆเขารู้กันนะ ต่อให้สอนไป 5 ปี นักเรียนก็ไม่รู้ศัพท์ 5,000 ตำ หรือถึงรู้ ก็รู้แค่เป็นคำๆโดดๆ แต่พอไปเจอ sentence structure types ที่พิศดาร ที่ต้องตีความโดยอาศัย grammar บริบท ความรู้รอบตัว ตรรกะฯลฯ นักเรียนก็จะอ่านไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ
แต่ในทางกลับกันนะ ถ้าติวเตอร์รู้ "ท่าเพลงลึกลับเหล่านี้" เขาอาจสอนให้นักเรียนคนนั้นบรรลุเป้าหมายได้ภายในเวลาเพียงแค่ 18 เดือนเอง ...!!!
ทำได้ไง? ตอบ เพราะเขาจะสอนให้นักเรียน
คิดเองเป็น ค้นข้อมูลเองเป็น ใช้เหตุผลเองเป็น และคิดวิธีการอันแยบยลขึ้นมาได้ด้วยตนเองว่าจะจดจำข้อมูลเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วได้ยังไง
อันนี้ฟังดูเหลือเชื่อ แต่ก็ยังไม่โม้มากเท่าโฆษณาว่าเรียน mind map 6 วันแล้วจะพูดอังกฤษได้นะ...555+++...
...แก้คำผิด...
แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 52 16:16:04
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 52 18:02:36
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 52 18:01:07
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.ย. 52 17:57:32
|
|
|
|
 |