ความคิดเห็นที่ 1 1.อ่านหนังสือทุกชนิด ตั้งแต่ นวนิยาย สารคดี บทความวิชาการ นิตยสาร ฯลฯ คงไม่ต้องบอกต่อนะว่าอ่านหนังสือแล้วได้ประโยชน์อะไร 2.เขียนเอกสารมาแล้วเกือบทุกชนิด จดหมาย อีเมล์ หนังสือวิชาการ ฯลฯ 3.ฟังข้อความภาษาอังกฤษมาแล้วทุกชนิด หนัง เพลง บรรยายวิชาการและไม่วิชาการ ฟังเขาสนทนากัน ฟังเขาทะเลาะกัน ฟังคนพูดภาษาอังกฤษมาแล้วจากเกือบทั่วโลก 4.พูดภาษาอังกฤษมาแล้วตั้งแต่ขอข้าวเขากิน ถามทาง ซื้อตั๋วเรือบินรถไฟล์ ไปจนยันบรรยายในที่ประชุมระดับนานาชาติมาแล้วหลายครั้งจนจำไม่หวาดไม่ไหว ตลอดจนใช้เจรจาความเมืองมาแล้วหลายที 5.แปลหนังสือทั้งจากไทยไปอังกฤษและอังกฤษมาไทย แปลมาแล้วเยอะจนจำไม่ได้ แปลเล่นสนุกๆก็มี แปลช่วยเขาโดยไม่ได้สตังค์ก็เยอะ แปลแล้วได้สตังค์ก็เยอะ อยากดูแซมเปิลการแปลสนุกๆก็ไปดู http://wizard-cottage.pantown.com แต่ว่าตอนนี้ยังโพสท์เพิ่มไม่ได้ ยังไม่ได้ไปจ่ายต้งค์เขา พรรคพวกสวดจมเลย ขออภัยๆ จะรีบไปเสียสตางค์พรุ่งนี้ พอแล้วมั้ง ประโยชน์บางประการต้องขอสงวนเนื่องจากเป็นเรื่องลับเฉพาะ แหะ แหะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 19:51:38

ความคิดเห็นที่ 2 จริงๆแล้วเราไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ แต่โดนสถานการณ์บีบบังคับให้เรียน จนกลายเป็นได้ประโยชน์จากมันมากมาย  ดังจะเขียนตามลำดับความสำคัญ 1.  ใช้ค้นข้อมูลมารักษาอาการป่วยของตนเอง  เราเคยป่วยเป็น ocd (โรคย้ำคิดย้ำทำ) จนถึงขั้นเรียนหนังสือหรือทำงานไม่ได้  คอนนั้นเรารับเงิน social security สำหรับคนตกงานอยู่ใน London เราว่างมากๆ จึงวันๆได้แต่เดินไปร้านหนังสือทั้งๆที่อ่านก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง (ตอนนั้นเราฟังกับพูดอังกฤษคล่องแล้ว แต่อ่านหนังสือยากๆยังไม่ค่อยแตกฉาน)  แล้วเห็นหนังสือเกี่ยวกับ alternative medicine ในหลายๆแนว แต่เราไม่มีเงินซื้อ เราเลยเดินเข้าไปในห้องสมุด แล้วกรอกข้อความลงแบบฟอร์มขอให้ห้องสมุดไปซื้อหนังสือพวกนั้นมาให้เรายืมอ่าน (ขอทีละเล่ม ไปเรื่อยๆ) ดีมากๆนะ ระบบนี้ น่าจะมีในเมืองไทย แต่เท่าที่รู้นะ ห้องสมุดของ British Council ในเมืองไทย ก็ให้บริการแบบนี้ ซึ่งคนไทยหลายๆคนไม่รู้ แม้กระทั่งบรรณารักษ์ที่นั่น สมัยหนึ่งก็ไม่รู้ แล้วเคยมาทะเลาะกับเราตอนเราขอให้เขาไปซื้อหนังสือมาให้เรายืม ข้อความออกมาประมาณเนี้ย   fortuneteller--ขอแบบฟอร์มกรอก จะให้ห้องสมุดไปซื้อหนังสือมาให้ยืม บรรณารักษ์-- ไม่มีบริการนี้ค่ะ fortuneteller--มีสิ ที่อังกฤษยังมีนี่ บรรณารักษ์-- แต่ที่นี่เป็นประเทศไทยนะคะ fortuneteller--ประเทศไทยแต่รัฐบาลอังกฤษให้เงินสนับสนุน และกฎระเบียบของห้องสมุดนี้ก็ต้องเหมือนในประเทศอังกฤษ ถ้าไม่เชื่อคุณลองโทรไปถามฝรั่งผู้บริหารสิ บรรณารักษ์--(อึกอัก) พอโทรไปปรากฎว่า เราพูดถูก และนี่เป็นข้อมูลเผื่อใครอยากอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แล้วมันแพง ก็ลองวิธีนี้ดูนะ   ประโยชน์ข้อต่อไป จะค่อยๆเขียนต่อ ไปทีละนิด แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 52 21:41:23 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 21:01:40

ความคิดเห็นที่ 3 1) อ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่อยากอ่าน และที่ไม่อยากอ่าน (ได้แก่ตำรา) 2) เรียนในมหาวิทยาลัยด้วยภาษาอังกฤษ (อยู่จุฬาฯอินเตอร์ฮับ) 3) โดนใช้ให้ติดต่อสารพัดเป็นอังกฤษ (เหนื่อยขีวิต) 4) ผจญภัยในต่างแดน (แต่ใช้น้อยมากๆเลย เพราะไปญี่ปุ่น อินโด ลาว ใช้มากหน่อยก็สิงคโปร์มั้งแต่ใช้สลับกับจีน) เราคิดว่า มันก็เหมือนเราใช้ภาษาไทยนั่นแหละ ภาษาไทยทำอะไรได้ ก็ใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาไหนๆได้หมือนกันค่ะ จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 21:07:20

ความคิดเห็นที่ 4 2. กลับมาเมืองไทยนะ วิชาที่ตัวเองเรียนไว้ (วิทยาการคอมพิวเตอร์ยุคพระเจ้าเหา) ซึ่งตัวเองไม่เคยใช้ทำงานเลย มันก็ล้าสมัยแล้ว(แถมยังคืนอาจารย์ไปหมดแล้วด้วย)  ก็เลยไม่มีงานทำ   เราเลยไปสอน conversation ตามบ้านกับสำนักงานของนักเรียนน่ะ สมัยนั้นนะ สนุกดี ได้เข้าสังคมเจอนักเรียนระดับคุณหญิง (เคยสอนคุณหญิงคนหนึ่งจริงๆ) คุณนายเจ้าของกิจการใหญ่   ที่ทำได้ เพราะสมัยก่อนเราแต่งตัว conservative มากๆ เรียบร้อยยังกับคนทำงานธนาคารแน่ะ คิดๆแล้วขำตัวเองม๊ากๆ เอิ๊กๆๆๆ...ทั้งๆที่ตอนเราอยู่เมืองนอกนะ เราแต่งตัวแบบ hippie  แต่ตอนนี้คงไปสอนใครไม่ได้เพราะเราไว้ผมยาวเกือบจะถึงเอวอยู่แล้ว แถมยังชอบแต่งตัวแปลกๆน่ะ จนทำให้เราหน้าตาเราเหมือน rock singer เสียมากกว่าที่จะเป็นอาจารย์...555+++...นักเรียนเห็นละวิ่งหนีหมดเลยหละ...เราเลยกะจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดูในเร็วๆวันนี้น่ะแหละ ในช่วงที่ตระเวณสอน conversation กับติวภาษาอังกฤษแนวอื่นตามบ้านหรือสำนักงานนักเรียนน่ะ เราเสียเงินซื้อหนังสือเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง มาจากต่างประเทศมากมาย เพื่อค้นคว้าหาวิธีการใหม่ๆ ในการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ก็เลยรู้ทางหนีที่ไล่ในการสอนภาษาอังกฤษไม่แพ้คนที่เรียนครูมา 3. ได้ทำงานเป็นนักแปลในบริษัทแปล ส่วนใหญ่จะแปลเอกสารราชการจากไทยเป็นอังกฤษ เป็นงานหลัก ที่ได้งานนี้เพราะ "โชคดีเป็นของเราที่คนไทยหลายๆคนซึ่งเรียนสูงๆมากๆ พอที่จะแย่งงานเราไปได้หมด เผอิญหลายๆคนเขียนภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะเป็นภาษาคน (คนที่เก่งๆก็มี แต่สมัยนั้นหายาก) เลยคู่แข่งไม่ค่อยจะมี เราก็เลยได้งานไปทำสบายๆ" 4. สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเรียนคอมพิวเตอร์ยุคไฮเทค ก็ความรู้ภาษาอังกฤษนี่แหละที่ทำให้เราเรียนคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วมากๆ คราวนี้นะ พอมาเล่นกระทู้ตอบปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ ใน pantip ก็รู้สึกตกใจว่ามีเด็กๆรุ่นหลังๆที่รักภาษาอังกฤษจริงๆ และไปเรียนต่างแดนจนรู้ภาษาอังกฤษมากจนน่ากลัว  มันทำให้เรา ซึ่งเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ต้องบังคับตัวเองให้กลับมาเรียนภาษาอังกฤษแบบยกเครื่องใหม่หมดเลย ม่ายงั้นเราจะเป็นเต่าล้านปี ตามเด็กๆรุ่นหลังๆไม่ทัน หลังจ่ากเราประกอบอาชีพโดยการเขียนภาษาอังกฤษ (ในการแปลไทยเป็นอังกฤษ) มาหลายปีนะ เราเพิ่งมาเปิด textbooks เรียน grammar กับ writing แบบเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...ตอนนี้กำลังจะลองเรียนจากสื่อแบบเป็น video clips ที่เราหามาได้น่ะ เผื่อมันจะง่วงนอนน้อยหน่อย...555+++.... แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 52 21:22:24 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 21:17:42

ความคิดเห็นที่ 5 ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้นะ ขณะพยายามค้นสื่อการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ เราหัดใช้ google พลิกแพลง และหัดทดสอบ software เพื่อช่วยทุ่นแรงในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และในการช่วยจัดระบบการทำงานแปลของเราบน computer อะนะ ยิ่งค้นก็ยิ่งสนุก ทั้งๆที่เราก็ยังขยาดๆ กลัวๆความยาก และความลึกลับของภาษาอังกฤษ (ลึกลับเพราะมีเรื่องแปลกๆอีกเพียบที่เราไม่รู้) แต่การพยายามคิดค้นวิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยอาศัย IT ช่วยทุนแรง หรือที่เรียกว่า computer assisted language learning มันกลายเป็นการเล่น games ลับสมองที่สนุก และท้าทาย มากๆ สำหรับเรา แต่เราไปสมัครเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษนะ พอคนเห็นผมยาวๆและการแต่งตัวแบบแปลกๆของเรา ละก็จะตกใจนึกว่าเราจะมาสูบกัญชา...555+++...ก็เลยเรื่องสมัครงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษนะ ตัดออกไปได้เลยหละ เราก็เลยอยากหาเงินทุนที่จะไปเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษนะ ทีแรกบอกอยากได้แม่ยก มาออกทุนให้ แล้วคุณแม่ค้าลูกชิ้นปิ้ง (หรือลูกชิ้นนึ่งหว่า?) บอกว่า "อยากได้แม่ยกก็ต้องไปเล่นลิเก" ตอนนี้เราก็เลยพยายามหัดรำลิเกอ้ะ...เอิ้กๆๆๆ.... ลิเกนี่รำไปรำมา เหนื่อยแฮะ ไม่เหมือนรำมวยจีน เลยตอนนี้คิดค้นวิธีการเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆอะไรมาได้ ก็เก็บไว้สอนตัวเองไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน จะดีกว่าน่ะ...555+++... หมายเหตุ ส่วนใหญ่เราจะหาหรือสร้างสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ตัวเอง... แล้วเราก็จะเรียนดูดวงต่อไป จะได้เปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดูแม่นๆ จะเข้าท่ากว่า เพราะมีแค่ notebook เครื่องเดียว (หมอดูคอมพิวเตอร์) หาทำเลเหมาะๆบริเวณย่านนักท่องเที่ยวก็น่าจะหาเงินได้นะ ซึ่งอาชีพนี้ก็น่าจะเป็นอาชีพหลักสุดท้ายของเราก่อนจากโลกนี้ไปนะ เอ่อภาษาอังกฤษก็จะใช้ประโยชน์ได้อีกตอนดูดวงให้นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักๆ ยังไงล่ะ...555+++... แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 52 21:40:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 21:36:21

ความคิดเห็นที่ 6 อ้าพิมพ์ไวไหม? แพล็บเดียวเอง ไปแล้ว เผ่นไปทำงานต่อจะดีกว่า จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 21:42:08

ความคิดเห็นที่ 7 1. แปลข่าวตอนเช้าจากไทยเป็นอังกฤษเลยได้รู้เรื่องการเมืองและเศรษฐกิจที่เราไม่เคยรู้ แปลเสร็จตอนเจ็ดโมงก็ออกไปสอนหนังสือ 2. สอนหนังสือก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นวิชาสังคมฯ ก็ต้องแปลเอกสารภาษาไทยเป็นอังกฤษ แล้วต้องพยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ (แต่เด็กมักทำหน้างง ^_^) ถ้าเป็นวิชาภาษาอังกฤษต้องทำเนียนว่าเป็นต่างชาติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี่แหละ แต่ตอนนี้เด็ก ๆ เริ่มสงสัยแล้ว เอิ้ก ๆ 3. เรียนการแปล ก็เลยได้แปลทั้งไทยเป็นอังกฤษ อังกฤษเป็นไทยในหลายสาขาแต่ที่แปลเยอะสุดคือวรรณคดี 4. ทำสารนิพนธ์การแปลอยู่ แต่เลือกแปลวิทยาศาสตร์ เลยต้องบากหน้าไปขอให้ชาวหว้ากอช่วยอยู่ ^_^ 5. รับงานแปลเอกสารบ้างเป็นครั้งคราวตามแต่จะมีคนป้อนงานให้ ส่วนใหญ่เป็นงานแปลไทยเป็นอังกฤษ แต่เงินน้อยจังไม่พอยาไส้เท่าที่ควร แฮะ ๆ 6. อ่านพวกนิยาย งานวิชาการ ทฤษฎีการแปล (แต่ไม่เข้าหัวเลย) 7. ในโรงเรียนมีฝรั่งเยอะ ก็เลยได้ฝึกการสนทนา ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่สื่อสารได้รู้เรื่อง เสียว่าเวลาฝรั่งเล่นมุขแล้วไม่เก็ทสักที เออ ตอนเรียนม.ปลาย ผมได้เกรดหนึ่งหรือสองวิชาภาษาอังกฤษหลักนี่แหละ ตอนนั้นไม่คิดว่าจะได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย แต่ตอนนี้ผมต้องใช้ภาษาอังกฤษหากินซะงั้นทั้งที่ไม่ได้เก่งเลิศ เวลาเด็กถามว่าไปฝึกอังกฤษจากไหนก็ไม่รู้ตอบว่าไง เพราะรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้ขยันอะไรมากมาย ผมว่าคนขยันจริง ๆ ต้องเก่งภาษาอังกฤษขึ้นแน่นอนครับ จากคุณ : Mr.Learning เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 21:50:55

ความคิดเห็นที่ 8 1) ทำงานบริษัทต่างชาติสาขาประเทศไทยคนน้อย อะไร ๆ ก็ต้องติดต่อสาขาอื่นก็เลยต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการทำงาน 2) ค้นคว้าข้อมูลในการทำทีสิสทั้งในเนตและหนังสือ 3) อ่านนิยาย 4) อ่านหนังสือพิมพ์ 5) ฟังเพลง 6) ดูยูทูบ 7) เล่นเฟซบุ๊ค 8) เม๊าท์กับคนที่ทำงาน 9) ดูหนัง 10) หาข้อมูลในอากู๋ etc. จากคุณ : La Parima เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 52 22:10:22

ความคิดเห็นที่ 9   สอนภาษาศาสตร์ภาษาอังกฤษ ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมด เลยใช้เป็นอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังใช้ค้นคว้า อ่านงานวิจัยคนอื่น เขียนวิจัยตัวเอง ซื้อของ ทำฟัน ไปติดต่อธุระ ฯลฯ ภาษาไทยใช้ตอนเวลาอ่านข่าว ฟังเพลง ดูละคร อ่านนิยาย และคุยกับคนที่บ้านและเพื่อนๆครับ... จากคุณ : texasprofessor เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 00:59:43 A:67.159.44.103 X: TicketID:231709

ความคิดเห็นที่ 10 เหมือนพี่แอ็ดครับ แต่ผมมากกว่าหน่อยตรงที่ทำงานทุกวันต้องใช้ภาษาอังกฤษอ่านเขียนครับ ไม่ใช้ภาษาไทย ยกเว้นค้นอากู๋เพื่อยืนยันข้อมูล ถ้าไม่เก่งอังกฤษก็คงไม่ได้งานที่ทำในปัจจุบันหรอกครับ งานเบา แต่เงินเดือนดีกว่าการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทย จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 04:28:48

ความคิดเห็นที่ 11   ใช้เขียนอีเมลคุยกับเพื่อนใน mailing list สมัย ม.ปลาย และ ป.ตรี ซึ่งล้วนแต่เป็นคนไทยทั้งนั้น แต่ใช้ ภาษาอังกฤษ เป็น lingua franca ในการติดต่อกันทางอีเมลล์ครับ จากคุณ : pokemon trainer เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 08:49:27 A:61.7.167.81 X: TicketID:000119

ความคิดเห็นที่ 12 เหมือน คห.ที่ 8 ค่ะ หรือก็คือใช้ภาษาอังกฤษในกิจกรรมประจำวัน เหมือนๆกับที่คุณใช้ภาษาไทยนั่นแหละค่ะ มันช่วยเปิดโลกทรรศ์ของเราให้กว้างขึ้นนะคะ เพราะบทความ ข้อมูลบางอย่างมันไม่มีในภาษาไทยค่ะ หรือการค้นหาข้อมูลใน Google หากค้นหาด้วยคำภาษาอังกฤษ จะได้ข้อมูลเยอะกว่าเยอะเลยค่ะ เรียกได้ว่าเรารู้ของเราเอง ฟัง อ่าน ทั้งเพื่อความบันเทิง และการทำงานได้โดยไม่ต้องรอง้อให้ใครมาแปลให้เลย จากคุณ : Queen of Paranoia เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 13:51:58

ความคิดเห็นที่ 13 เหมือนความเห็น 9 อะครับ สอนเป็นภาษาอังกฤษ เรียนเป็นภาษาอังกฤษ ติดต่อธุระเป็นภาษาอังกฤษ เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษ นอกนั้นไทยโลดดดดดดดดดดดดดด อิอิ ดูหนัง ฟังเพลง ดูละคร อ่านเว็บ ข่าววงการไทยไม่พลาด อิอิ จากคุณ : เมื่อลมแรง...ใบไม้ก็ร่วง เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 15:42:11

ความคิดเห็นที่ 14 เอาไว้อ่านนิยาย เนื่องจากใจร้อน รอให้สำนักพิมพ์ออกเล่มแปลไม่ไหว มันอยากรู้ใจจะขาด ------------------------------------------------------------------------------------------------- เฮียหมอดู เคยได้ยินลิเกร้องอย่างนี้ไหม when the birds sit on the chair, I don't care monkey ตึ่ง ตึ่ง โป๊ะ (หมายเหตุ มิได้เช็คอายุแต่ประการใด ฮ่า ฮ่า ฮ่า) จากคุณ : แม่ค้าลูกชิ้นนึ่ง เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 52 21:59:09

ความคิดเห็นที่ 15 ในอนาคต หน้าที่การงานของผมจะต้องเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆแน่ๆครับ เพราะต้องติดต่อ สื่อสารกับคนต่างชาติ ทั้ง เจ้านาย ลูกค้า แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานก็เถอะ ผมเรียน พาณิชยนาวีครับ ต้องเดินเรือสินค้าออกทะเลไกลมากแน่ๆ ทั้งต่างประเทศ ในประเทศ เพราะงั้นตอนนี้ก็ฟิตเรียนอย่างเดียวเลยครับ จากคุณ : Navyblue1990 เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 09:44:57

ความคิดเห็นที่ 16   พูดคุยครับ เพราะคุยภาษาอื่นไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา จริง ๆ ก็เบื่อนะ คุยได้แต่อังกฤษ จากคุณ : พลายแป้ง เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 52 22:58:23 A:128.178.255.247 X: TicketID:120371

ความคิดเห็นที่ 17 ทำงานโรงแรม มา 10 ปีแล้ว ใช้ภาษาอังกฤตทุกวันเลยครับ ไม่ใช่กับลูกค้าเท่านั้นนะ กับพนักงานด้วย (ต่างชาติ) จากคุณ : eak_hi เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 52 20:31:16