ความคิดเห็นที่ 1 แรงดลใจที่ทำให้เขียนกระทู้นี้ก็มาจากกระทู้นี้คือ เหมือนจะเก่งแล่ว แต่คิดว่ายังไม่เก่งค่ะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8333253/K8333253.html#3 และมาจากกระทู้นี้คือ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษค่ะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8328911/K8328911.html ประกอบกับว่าเมื่อเช้าโดนแฟนโทรมาตัดพ้อต่อว่าดังนี้ "ไม่เคยสนใจพูดจาหวานๆปลอบประโลมใจหรือให้กำลังใจแฟนเลย ได้แต่ตอบกระทู้โอ้อวดความเก่งของตัวเอง...!!!" ก็เลยคิดๆเหมือนที่เคยๆคิดๆไว้ (แต่ยังทำไม่ได้) นั่นก็คือว่าจะเลิกปั่นกระทู้เรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แล้วนำข้อมูลกับวิธีการที่เพิ่งค้นเจอ (แต่ยังไม่ได้บอกใคร) หายเข้าถ้ำฝีกวรยุทธ์ ซุ่มๆสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษ เอาสอนตัวเองต่อไป จะดีกว่า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเล่า developments ไม่ได้หมายถึงการพัฒนา แต่หมายถึงลำดับขั้นตอนของความเป็นมา และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้ฟัง ในเรื่องการตอบหรือเขียนกระทู้เรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา และเจออะไรดีๆบ้าง ก่อนที่จะหายเข้ากลีบเมฆไป (คืออาจไม่ถึงกับหายต๋อมไป แต่คงตอบหรือเขียนกระทู้น้อยลง) จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 12:37:12

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อไรจะเล่า คอยอ่านอยู่เนี่ย จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:26:00

ความคิดเห็นที่ 3 กระทู้ที่พบในห้องเรียนภาษาอังกฤษบ่อยที่ก็คือ "ทำอย่างไรจึงจะเก่งภาษาอังกฤษ" "เรียนที่นั่นที่นี่ดีหรือไม่" "จะสอบข้อสอบนี้ จะเรียนที่ไหน อย่างไร" แต่เคล็ด (ไม่) ลับที่หลายๆคนไม่รู้ แล้วถ้าบอกให้ ก็อาจไม่มีใครเชื่อด้วย นั่นก็คือ "ความสำเร็จในการสอนภาษาอังกฤษนั้น ไม่ใช่อยู่ที่อาจารย์เก่งภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่จะต้องเลือกสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วจะต้องรู้วิธีสร้างสื่อการสอนขึ้นมาได้เองอีกด้วย...!!!" ขอโทษทีอาจปั่นกระทู้นี้ช้าหน่อย เพราะเราทำงานแปลเอกสารกฎหมายไปพร้อมๆกันด้วย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 13:51:48

ความคิดเห็นที่ 4 ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดก็คือว่า ตอนนี้ถ้าใครมาลงสนามทำการตลาดขาย courses ภาษาอังกฤษแข่งกัน ไม่มีใครโฆษณาแข่งกันที่ เขามีสื่อการสอนดีๆคืออะไร และ/หรือมีวิธีการสอนดีๆ แบบไหน ที่เหมาะกับใคร และเพราะอะไร แต่กลับแข่งกันดัวยการโฆษณาว่า "เรียนแพล็บเดียวเก่ง" และข้อมูล (ไม่) ลับ อีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่พยายามดั้นด้นหาที่เรียนภาษาอังกฤษ ไม่รู้ นั่นก็คือว่า "คนที่เก่งภาษาอังกฤษระดับเทพนั้น ถ้าไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกจากมหาลัยชั้นนำแล้ว ส่วนใหญ่จะเรียนด้วยตัวเองกันทั้งนั้น" และข้อมูล (ไม่) ลับอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า คนที่เข้ามาในห้องเรียนภาษามาถามว่า ทำไงจะเก่งอังกฤษน่ะ แท้จริงแล้ว คนที่ถามน่ะ ต่างก็มีพื้นฐานพอที่จะเรียนให้เก่งได้ด้วยตัวเอง เป็นส่วนใหญ่ หากแต่ไม่รู้หนทาง แล้วคลำไปไม่ถูกนั่นเอง   เดี๋ยวก่อนนะ แว่บไปทำงานแปลต่อหน่อย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 14:04:37

ความคิดเห็นที่ 5   มาปู่เสื่อรอแล้วนะครับ จากคุณ : crossroad2008 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:18:25

ความคิดเห็นที่ 6 แลดูน่าสนใจ จากคุณ : a MOMENT to REMEMBER เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:23:16

ความคิดเห็นที่ 7 สิ่งที่เราเรียนรู้ว่าคนเก่งภาษาอังกฤษระดับเทพเขาทำยังไงกันบ้างน่ะ เราเรียนรู้จาก 1. เรียนรู้จากการทำงานแปลเอกสารในบริษัทแปลที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่เก่งๆมากๆ 2. สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาที่เห็นอาจารย์ฝรั่งเก่งๆระดับเทพจริงๆ 3. ตอบกระทู้ในห้องยำภาษา (รวมพลนักแปล) แล้วเจอทั้งมิตรสหายพี่ป้าน้าอาน้องๆหลานๆ และเจอทั้งคู่ปรับที่ทำศึกน้ำลายกันจนเราพอจะหยั่งเชิงได้ว่าคนเก่งๆที่เข้ามาตีหัวเราพวกเนี้ยเก่งมาได้ยังไง 4. พัฒนาการล่าสุดก็คือ google เราใช้ google จนเราหาและสร้างสื่อการสอนภาษาอังกฤษแบบยุคไฮเทคได้ และมีทั้งตำรากับสื่อการสอนมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาดังๆหลายเท่า "แต่เราก็เอาไปใช้สอนใครไม่ได้ นอกจากเก็บไว้สอนตัวเอง" ....พูดให้งง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่าเพราะอะไร? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:32:07

ความคิดเห็นที่ 8 ว่าไปให้เต็มที่เลยครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 15:51:02

ความคิดเห็นที่ 9 เข้ามารออ่านด้วยคน อย่าให้ขาดช่วงสิคะ จากคุณ : Flowery เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:14:48

ความคิดเห็นที่ 10 ทำงานก่อนก็ได้จ้า ไม่ต้องรีบ ของดี ๆ ต้องใจเย็น ๆ จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:19:21

ความคิดเห็นที่ 11 นั่น!   รู้จุดอ่อนอาจารย์หมอดูเลยทีเดียว......กลัวแฟน!!! แล้ว ปลอบไป ปั่นไป ไม่ได้เหรอจารย์ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 52 16:46:34 จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:25:39

ความคิดเห็นที่ 12 ก๊ากกกกกก ทำไมอ่านขาดหยั่งเงี้ย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 16:47:28

ความคิดเห็นที่ 13 ผู้ชายถ้าไม่กลัวแฟนแล้วจะไปกลัวไผที่ไหน ยิ่งแฟนดีดิบแบบนี้ของพ่อหมอฯ ยิ่งต้อง... แล้วไงต่อล่ะ จากคุณ : lilymay เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:02:52

ความคิดเห็นที่ 14 รออยู่นะค้ะ จากคุณ : เดือนฉายของลูก เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 17:05:17

ความคิดเห็นที่ 15 รีบมาต่อด่วนเลย ก่อนที่จะกลายเป็นกระทู้ฮาไป 555++ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:15:45

ความคิดเห็นที่ 16 Take your time BUT hurry up. จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 18:56:02

ความคิดเห็นที่ 17   Today, please! จากคุณ : seakatt เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 19:39:04 A:142.239.254.20 X: TicketID:191410

ความคิดเห็นที่ 18 เอาข้าวโพดคั่วมาขายดีกั่ว จากคุณ : ta/'o-o/' เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 20:42:40

ความคิดเห็นที่ 19 รอๆๆๆๆ ครับผม จากคุณ : anisole เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 21:07:10

ความคิดเห็นที่ 20 พี่หมอดูอ่ะ มายั่วให้อยากแล้วก็จากไป งั้นหนูขอข้าวโพดคั่วถุงนึงนะคะ พี่ ta/'o-o/' :-) จากคุณ : Flowery เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 21:14:50

ความคิดเห็นที่ 21 you're such a tease. you left me hanging... hurry back and finish what you've started pronto!!! จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 21:38:27

ความคิดเห็นที่ 22   รออ่านอยู่เหมือนกันค่ะ เราเป็นคนเขียนกระทู้ขอคำแนะนำการสอนภาษาอังกฤษเองแหละ แล้วก้ออ่านกระทู้ของคุรหมอดูบ่อยมากแล้วก้อชอบด้วย คุณทำให้เรามีกำลังใจในการสอนมากขึ้น ตอนนี้ติวให้เด็กสอบให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวก็ต้องมาเตรียมการสอน หาวิธีให้เด็กอ่านให้ออก เพราะเด็กเราพื้นฐานอ่อนมากจริงๆ ท้อใจเหมือนกัน แต่ถอยไม่ได้แล้ว ยังไงรีบมาเปิดเผยเคล็ดลับหน่อยนะคะ ;p ขอบคุณค่ะ จากคุณ : CHANEL เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 52 22:36:43 A:115.67.203.178 X:

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่เคยต้องรอข้ามวันเลยนี่นา...เป็น'ไร'ป่าว หมอดู...ชักเป็นห่วง จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 00:10:13

ความคิดเห็นที่ 24 Are you recharging the batteries? จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 01:08:00

ความคิดเห็นที่ 25 แฮะๆๆ สงสัยกำลังดีเวรลอบเปรอะกับแฟน แป่ว แวะแซวซื่อๆ ค่ะ แต่เห็นด้วยตรงที่ว่าถ้าอยากเก่งอะไรต้องหาเทคนิคเป็นของตนเอง อย่างเทคนิคการทำสื่อสอนตัวเองให้เก่งภาษาอังกฤษนี่ โดยส่วนตัวอิฉันเป็นพวกภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง แต่พูดจาภาษาถิ่นได้สองสามภาษา (ไม่ได้โม้ ภาษากลาง อิสาน แล้วก็ภาษาวิบัติ ฮาฮา) จากการหัดพูดภาษาถิ่นอื่นที่ไม่ใช่เหนือ(ภาษาแม่ มัมมี้ล่ากวด) อันดับแรกแห่งด่านวิบากก็ภาษาไทยกลาง เนื่องจากคนเหนือพูดช้า ไม่มี ร.เรือ ไม่มีสระเอือ (บางท้องที่) และเสียงเนเซิล เอ้ย เสียงนาสิก ฮาฮา เวลาพูดคำว่า ปุจฉา กับหัวปูด ลำบากมาก มันปู้ด เหมือนกันหมด คะ ค่ะ ค่า ขา นี่ก็ลำบาก เพราะคีย์เสียงต่างกัน ความสั้นของเสียงภาษากลางทำให้คนเหนือออกเสียงผิด หลังจากหัดพูดภาษากลางไปแล้วโตขึ้นหน่อยราวอายุสิบเอ็ดสิบสอง ก็มีอันต้องระเห็จไปหัดเว้าอีสานคักๆ แด้อ้าย แหม อย่างที่บอกอีก ภาษาเหนือจัดว่าเป็นสำเนียงการลากเสียงยาวที่สุด ในประเทศไทยแล้วไม่เชื่อลองไปหาดูก็ได้ว่าชื่อเดิมพะเยาชื่ออะไร ภาษาอีสานนี่สุดยอดม่วนอีหลีเด้ออ้ายเด่อ ชนิดที่เว้าไปพ่วนไปหลาย แก่นแท้อีสานบ้านเฮา สะมะปิที่จะพยายามฝึกออกสำเนียงให้เหมือนเจ้าของภาษา ไม่มี๊ไม่มีค่ะ ทำมาตั้งหลายปีก็ยังจะเหลิ่มจะเกิ่มเหมือนเดิม วิธีที่เนียนหน่อยในการจะพูดให้ใกล้เคียงเจ้าของภาษาก็คือ หัดพูดในภาษามัมมี้ล่ากวด(mother language) ของเรานั่นแหละค่ะ แต่ใช้จังหวะแบบภาษาที่เราต้องการฝึกฝน (อันนี้ถือเป็นเทคนิคส่วนบุคคล) พอจังหวะมันใกล้เคียงก็ไปหัดพูดด้วยเสียงคีย์แปลกๆ ในภาษาถิ่นที่ต้องการ สุดท้ายก็ได้มาพอทำเนา ทำเอาหลอกคนได้เยอะว่าเป็นพวก จปล. แปลว่า จีนปนลาว พูดอีสานก็ไม่ใช่ เหนือก็ไม่เชิง กลางนิดหน่อย แต่หน้าเอ๋อๆ คล้ายๆ ไปทางฝั่งชายแดนท่าขี้เหล็ก คนเขาเลยเดาไม่ถูกว่าอิฉันเป็นคนที่ไหน แค่นี้อิฉันถือว่าการฝึกฝนวิทยายุทธสำเร็จขั้นปรมาจารย์แล้วค่ะ มีที่ไหนพูดอีสานสำเนียงเหนือ พูดกลางสำเนียงอีสาน พูดเหนือสำเนียงกลางปะแล๊ด ที่สำคัญของการฝึกภาษาอิฉันว่าอยู่ที่ความชอบของคนแต่ละคน ถ้าคุณเป็นพวกชอบติ๊ต่างตัวเองเป็นตัวละครคุณจะพูดได้หลายภาษา เพราะคุณจะไม่อายเวลาที่จะพูด พอไม่อายพูดบ่อยๆ มันก็ลื่นไหลเอง อยากเก่งภาษาแต่ว่าไม่เคยปล่อยดอกพิกุลร่วง แหมพอนึกจะพูดออกมา มันอาจจะไม่เป็นภาษาคนเลยก็ได้นี่ค่ะ ฮาฮาฮา ส่วนเทคนิคการเขียน การอ่าน ในภาษาต่างๆ นั้นง่ายนิดเดียวค่ะ ท่องจำเข้าไป การเขียนการอ่านต้องการความจำเป็นเลิศ ส่วนเทคนิคการพูดต้องการเทคนิคการใช้ลิ้น ใช้ลิ้นเก่งก็เก่งภาษา กระดกขึ้นกระดกลงเอียงซ้ายเอียงขวาตวัดแล่บแพล่บๆๆ อ้าว สปอยล์กระทู้เขาไปแล้วว่าแล้วก็แล่นไปเป็นจั๊กแหล่นคือเดิม จากคุณ : สีน้ำน้อย (sugarhut) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 01:21:11

ความคิดเห็นที่ 26 โอ ความรู้มากมาย << จั๊กแหล่น >> ใช้คำนี้ เดาอายุได้เลยนะนี่ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 07:27:28

ความคิดเห็นที่ 27 กระทู้ อ.ถวัลย์ อ.ถวัลย์ (คงไม่ได้นามสกุล ดัชนี แน่) ก็เข้ามาตอบคุณแท่นแล้วนะ จากคุณ : นู๋เองง่ะ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 08:15:39

ความคิดเห็นที่ 28 โอ้ โน ไอ ด๊อน โน จั๊กกะแหล่น (ว๊อท มีนนิ่ง) ไอ โอนลี่ โน จั๊กกะจั่น อคัมสิริ เวรี่ บิวตี้ฟูล จารย์หมอดูไปรายงานตัวกะแฟนอยู่แหงเลย จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 11:37:19

ความคิดเห็นที่ 29 ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ คห. 26 แหมอายุไม่สำคัญเท่าใบหน้าค่ะ หน้าอ่อนกว่าอายุเป็นใช้ได้ คห. 28 อ้ายค้านเอ้กใส่เปิ้นวอดส้าหมีนิ่ง ไอ้ จั๊กแหล่น I can't explain what's a maening a Jakalaen. บัตร โส (นะหน้า) อ้าย โน(ปูด) จั๊กจั่น ทู่ but so I know Jakjan too. ฮ่าฮ่าฮ่า จากคุณ : sugarhut เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 13:30:08

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านกระทู้ของ คุณfortuneteller บ่อยมากๆเลยค่ะ แต่ไม่ค่อยได้เม้น ขอมารออ่าด้วยอีกคนนะคะ จากคุณ : เด็กน้อย (novel...is my life) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 18:43:34

ความคิดเห็นที่ 31 พี่ #29 คือ ลาล่าลูลู่ ปลอ ตัวะ หมะ (ปลอมตัวมา) ถ้าไม่มี subtitle ต้องอ่านของพี่ไม่รู้เรื่องแน่เรย ตกลง จ๊ากกะแหล่น แปลว่าไรคะ  หนูสงสัยเกิดไม่ทัน คือ สงสัยเคล็ดลับของจารย์หมอดูนี่ คงนำไปเป็นนวนิยายได้เลยทีเดียว ใช้เวลาแต่งนานขนาดนี้ ต้องขออภัย จขกท อย่างแรง ถ้าวีซ่าท่านยังไม่ผ่าน กระทู้จะออกโพ้นทะเลเรื่อยๆ จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 22:55:10

ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อไหร่หมอดูจะมา ถ้าไม่พร้อม ก็ยังไม่น่าจะตั้งเลยนะ มาทำให้เรามีความหวังซะงั้น -*- อยากอ่านมากๆ จากคุณ : RaziexQ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:47:56

ความคิดเห็นที่ 33 รออ่านจริง ๆ ครับ.. อยากเก่งภาษาอังกฤษมั่ง ขอขอบพระคุณล่วงหน้าาาาาา... ครับ จากคุณ : sac (Anothertime) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 52 23:53:54

ความคิดเห็นที่ 34 จะมาเป็นผีเฝ้ากระทู้ ... รออ่านทุกวันเลยคะ พี่หมอ (ดู) จากคุณ : monztie เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 00:49:45

ความคิดเห็นที่ 35   ไร้สาระ จากคุณ : ตะปู เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 03:49:49 A:78.20.209.104 X: TicketID:019698

ความคิดเห็นที่ 36 มาปูเสื่อค่ะ ^ ^ จากคุณ : env42_tay เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 11:56:08

ความคิดเห็นที่ 37 นั่งรอด้วยคนค่ะ จากคุณ : witch of secret เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 12:05:04

ความคิดเห็นที่ 38 ลงชื่อมารอฟังด้วยคนค่ะ จากคุณ : Noshka เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 13:33:22

ความคิดเห็นที่ 39 ขออนุญาตเจ้าของกระทู้อีกที #31 จักแหล่น, จั๊กแหล่น [จักกะแหฺล่น, จั๊กกะแหฺล่น] (ปาก) ว. จวนเจียน, เกือบ, หวุดหวิด, เช่น  จักแหล่นจะไม่ทันรถไฟ. อิอิ จากเว็บพจนานุกรม แต่อีกความหมายต้องไปเบิ่งละครจักรๆวงศ์ๆ เมื่อสมัยพู้น จะมีตัวละครชื่อนี้อยู่ตัวหนึ่ง ฮาฮา ไม่บอกว่าชื่อเรื่องอะไร เดี๋ยวเขารู้อายุหมด อู๊ย อุตส่าห์ทำหน้าเด็ก ว่าแต่เจ้าของกระทู้ยังไม่มาเหรอค่ะ เดี๋ยวกระทู้ก็ถูกปลาฉลามงาบหรอก (เพราะเรากำลังออกทะเลหากุ้งหอยปูปลา) จากคุณ : sugarhut เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 13:59:52

ความคิดเห็นที่ 40 จักแหล่น คือ ตัวละครในเกราะเพชรเจ็ดสีหรือเปล่าคะ คุณ sugarhut คุณ fortuneteller กำลังปั่นงานอยู่ค่ะ เดี๋ยวเสร็จแล้วคงมาเขียนต่อ จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 52 21:41:12

ความคิดเห็นที่ 41 จักกะแหฺล่น, จั๊กกะแหฺล่น มีความหมายอีกอย่างว่า รีบ ครับ เช่น จั๊กกะแหล่นไป แต่นี่มันโบราณมาก รุ่นคุณทวดผมเลย กว่าร้อยห้าสิบปีแล้ว พจนานุกรมยังไม่เกิดเลยมั้ง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 52 07:58:37

ความคิดเห็นที่ 42 ตกลง นี่ เป็นกระทู้ จั๊กกะแหล่นไปซะแล้วเหรอเนี่ย 555 จากคุณ : Tiger อู๊ด เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 07:41:41

ความคิดเห็นที่ 43 โอ้ขำจะตายมัวแต่ทำงานแปลเอกสารด่วนๆยุ่งอยู่ จนหาบ้านเลขที่ไม่เจอ (หากระทู้นี้ไม่เจอ) พอทำงานแปลด่วนเสร็จ จะกลับมาเขียนต่อ ดันเจอ "กระทู้จะโดนกดลบเสียแล้ว...555+++..." เผอิญเราเริ่มเขียนกระทู้นี้ ตอนเริ่มรับงานแปลเอกสารกฎหมายขิ้นนั้นมา ด้วยวัตถุประสงค์ก็คือ เพื่อที่จะปลอบใจแฟนเราว่า "ต่อไปนี้เราจะตั้งใจทำงานแปลไวๆให้ได้เงินมากๆ แทนที่จะมาเขียนหรือตอบกระทู้เรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ" เพราะเราโดนแฟนเราต่อว่า หาว่า "เราชอบไปโอ้อวดความรู้เรื่องภาษาอังกฤษ แล้วตบตีกับชาวบ้านในห้องสมุด และแฟนเราบอกด้วยว่า เธอไม่ชอบเข้าห้องสมุด ก็เพราะไม่อยากเจอกระทู้แบบโชว์พาวกัน เธอก็เลยไปเล่นห้องโต๊ะเครื่องแป้งหรือห้องเฉลิมไทยเสีย เพราะว่าถึงเธอเรียนมาด้านภาษาและทำงานด้านภาษา แต่เธอก็สนุกกับการอ่านกระทู้เรื่องเสื้อผ้าเครื่องสำอาง และดูหนังฟังเพลงมากกว่ากระทู้ที่ถกกันเรื่องภาษาน่ะ..."   เราก็เลยมาเขียนกระทู้นี้แบบ "ทิ้งทวน" กะว่าจะไม่เขียนเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอีก แต่อยู่ดีๆไม่รู้ใครดันกดโหวดให้จนขึ้นมาข้างบนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราก็งงๆอ้ะ จะกลับมาเขียนต่อ แต่ก็ไม่กล้าประมาท เพราะเรากลัวทำงานแปลเอกสารกฎหมายชิ้นนั้น ไม่ทัน พอเราทำงานแปลชิ้นนั้นเสร็จแล้วนะ เราจะกลับมาเขียนต่อ แต่เราไม่ได้ขอร้องให้มีคนกดโหวตให้เหมือนใครบางคนนะว่า "น้อยใจถ้าไม่โหวตให้ผมไม่เขียน อะไรทำนองนั้น"  แต่เผอิญเราเห็นมีคนกดจะลบกระทู้นี้ เราก็เลย ชักไม่ค่อยจะแน่ใจว่า "ถ้าเราเขียนต่อไป แล้วจะเสียเวลาเปล่า คือกระทู้จะโดนลบหรือเปล่า?" ก็เลยให้คนอ่านตัดสินเอา ถ้าไม่อยากอ่านต่อ ก็ช่วยๆกันกดลบก็ได้...ไม่ว่ากัน เพราะสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงนะ มันก็เป็นเพียงแค่ concepts ที่เราคิดได้ว่า น่าจะนำไปใช้ทำให้คนเก่งภาษาอังกฤษได้ (ซึ่งเรากำลังใช้สอนตัวเองอยู่ด้วย concepts เหล่านี้) แต่มันคงเอาไปใช้สอนคนอื่นไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ เนื่องด้วยเหตุผลบางประการดังเช่นที่เรากำลังจะพูดเป็น paradoxes ดังนั้น ถึงกระทู้นี้ จะปั่นต่อ หรือจะโดนลบไป มันก็ไม่ได้ช่วยประเทศไทยให้ปรับปรุงการวิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้เลย หากแต่เป็นได้ ก็เพียงแค่การ exercise สมองให้กับคนบางคนที่สงสัยว่าทำไม่เรียนภาษาอังกฤษเท่าไหร่แล้วยังไม่เก่งเสียที และนอกจากนี้แล้วถ้าเขียนต่อไปเรื่อยๆมันก็ยัง "เป็นการสอนจรเข้ให้ว่ายน้ำอีกด้วย นั่นก็คือ มันจะเป็นการสอนให้เด็กรุ่นหลังๆ เรียนภาษาอังกฤษเก่งมากๆยิ่งๆขึ้น จนมาเก่งกว่าเราได้" ตกลงเราให้พวกท่านสมาชิกตัดสินใจกันเองว่า "จะลบกระทู้นี้ ให้เราหยุดปั่น หรือจะปล่อยผ่าน ให้เราปั่นต่อ"... Amen...so be it แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 52 14:48:38 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 14:44:18

ความคิดเห็นที่ 44 แต่จะอย่างไรก็ตามนะ เมื่อเช้านี้เราเพิ่งเข้าไปตอบกระทู้นี้ ลองเข้าไปอ่านดู เราทำ links ไปกระทู้อื่นๆอีกมากมายในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การสอนการแปล" ลองตาม link นี้ไปอ่านดูก่อนที่กระทู้นี้จะโดนลบไปนะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8348554/K8348554.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 14:46:32

ความคิดเห็นที่ 45 ติดตามอยู่ค่ะ จากคุณ : joonzmaz เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 15:43:35

ความคิดเห็นที่ 46 กรี๊ด กระทู้เอมี่สุดา เป็นกระทู้ในแรงบันดาลใจด้วย อิอิ รอชมต่อ ค่ะ จากคุณ : *-.ami_R_sahi.-* เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 16:17:08

ความคิดเห็นที่ 47 ปั่นต่อครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 19:48:55

ความคิดเห็นที่ 48 ^ ^ ด้วยคนเพ่ จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 20:47:49

ความคิดเห็นที่ 49 กระทู้นี้กำลังจะเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผมครับ.. .. วอนขอให้ปั่นต่อ.. เถิดครับ..รออ่านอย่างใจจดใจจ่อ จากคุณ : sac (Anothertime) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 22:15:44

ความคิดเห็นที่ 50 เราฟื้นคืนชีพแล้ว หายจากฤทธิ์เบียร์ปน wine กับอดนอนแปลงาน แล้วกำลังจะมากล่าวคำอำลาว่าจะหยุดปั่นกระทู้นี้แล้ว ในขณะที่เปลี่ยนเป็นดื่ม Soju (เหล้าเกาหลี) แทน...อิๆๆ... แต่เอใครมากดโหวตให้อีกแล้วหว่า? เอ้อ เราก็บ้ายุเสียด้วยดิ...เอ้าปั่นก็ปั่น...แต่เมาๆนี้งงไม่รู้ปั่นอะไร...เดี๋ยวก่อนขอตั้งสติก่อนอ้ะ...ถ้าปั่นผิด "อัน" ละยุ่งแน่ๆเลย...555+++.... ก่อนอื่นต้องขอเตือนคนที่รอคอยว่า "ความลับอยู่ตรงไหน" ...นะ เพราะว่า เราไม่ได้แกล้งเขียนกวนประสาทคุณ แต่ความลับของเรามันอาจเป็นอะไรที่ "หักมุม" เหมือนๆกับอ่านนิยาย O'henry twist ก็ได้นะ ยกตัวอย่างเช่น เราบอกว่าเรามีความลับเรื่องการลดความอ้วน ใครๆก็อยากจะรู้ แต่รู้ไป "มันลดได้จริงๆ แต่คุณทำได้หรือเปล่าล่ะ?"   บางคนบอกว่า อยากลดความอ้วนโดยไม่ต้องนับ calories ไม่ต้องห้ามกินนั่นกินนี่ ทำไง? คำตอบ "ง่ายนิดเดียว" Chew your drink and drink your food. นั่นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มใดๆ (กินได้หมดไม่ห้าม) แต่ทุกๆคำที่คุณใส่ปาก คุณต้องเคี้ยว 300 ครั้งก่อนกลืน คุณก็จะกินนิดเดียว แค่แมวกิน แล้วคุณก็จะไม่เหนื่อย ไม่เพลีย แล้วจะใช้พลังงานจนหมด ไม่มีสะสม แล้วคุณก็จะ "ไม่อ้วน" คุณทำไห้หรือเปล่าล่ะ หิวๆกับกระหายๆมากๆ มานั่งเคี้ยวตั้ง 300 ทีต่อคำ อ้า...พอเกริ่นแบบนี้แล้ว คนอ่านชักสงสัยแล้วดิ ว่าเราจะเล่นตลกนะ เปล่าหรอก อ่านไปเรื่อยๆเดี่ยวรู้เอง จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 23:32:12

ความคิดเห็นที่ 51 เราจะเล่าให้ฟังว่า "เราเคยเฉียดความเป็นเซียน คือเกือบจะเก่งภาษาอังกฤษระดับเทพแล้วนะ แล้วโอกาสนั้นมันหลุดลอยไปได้อย่างไร" จากการอยู่ต่างแดนหลายปี เราไม่เคยสนใจภาษาอังกฤษเลย กินๆ นอนๆ เที่ยวๆ แล้วก็ใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ เราฟังอังกฤษคล่อง พูดอังกฤษคล่อง แต่อ่านภาษาอังกฤษเรื่องยากๆ บางทีก็อ่านไม่รู้เรื่อง ยิ่งเขียนภาษาอังกฤษนะ ยิ่งไม่เอาไหนเลยหละ...555+++... กลับมาเมืองไทยแล้วไปเปิดร้านอาหาร แล้วเจ้งอ้ะ....555++...คราวนี้ไม่มีเงินอ้ะ ทำไงดีหว่า? เราก็เลยลองไปทำงานรับเงินเดือนในโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของโรงเรียนมันเป็น con man (นักตุ๋น) หน้าตาเจ้าของ ไม่เหมือนคนไทย แล้วก็เผอิญพูดไม่มีสำเนียงไทย แต่เขาพยายามหลอกคนไทยว่า "เขาเป็น native speaker"   ซึ่งมันไม่ใช่เลย ตอนเราเข้าห้องน้ำตอนเช้าๆนะ ขำแทบขี้แตกขึ้แตน ไอ้เจ้าของหน้าเหมือนฝรั่ง มันเอาหนังสือพิมพ์ Bangkok Post เข้าไปท่องศัพท์ในห้องน้ำ แล้วมันขีดศัพท์ที่มันไม่รู้ โหเป็นศัพท์เด็ก ม.6 อ้ะ...ก๊ากๆๆๆ... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 23:43:17

ความคิดเห็นที่ 52 เข้ามาลงชื่อว่าตามอ่านอยู่ค่ะ ปล. เพิ่งรู้ว่าคุณfortuneteller เป็นผู้ชายอ่ะ นึกว่าเป็นผู้หญิงมาตลอดเลยค่ะ จากคุณ : papa mama love u เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 52 23:52:50

ความคิดเห็นที่ 53 ณ โรงเรียนแห่งนั้น เราได้เห็นวิธีการต้มตุ๋นนักเรียน จนเรา "บรรลุอรหันต์เรื่องการขาย courses ภาษาอังกฤษ" คนที่คุมโทรศัพท์ เป็นผู้หญิงจีนคนหนึ่งที่สวยมากๆ ตอนนั้นเผอิญเราบ้าเรียนภาษาจีน เธอเลยรับอาสาเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนเรา  แต่ในขณะเดียวกัน เธอเปิดเผยความลับโรงเรียนสอนภาษานั่นให้เราแบบ "น่าตกใจมากๆ" การขาย courses จะกระทำโดยอาศัยหลักการทีว่า   "เอาครูไทยไปก่อน จะได้ชินสำเนียง พอเรียนเก่งแล้วค่อยเอาครูฝรั่งไป" แต่ไอ้ครูฝรั่ง (เจ้าของโรงเรียน) ที่แท้แล้วมันก็เป็นแขกปลอมเป็นฝรั่ง แต่มันไม่ใช่อินเดีย เราคิดว่ามันมาจ่ากประเทศ Bhutan นะ แต่มันอยู่ในไทยนาน เพียงแต่ว่า "มันไม่มีสำเนียงไทย" บางทีมันจะรับโทรศัพท์เอง แล้วพูดไทยชัดมากๆ พอคนไทยบอกว่าอยากเรียนกับฝรั่ง มันก็จะบอกว่า "มันเป็นลูกจ้างฝรั่ง" แล้วมันก็จะ เดินวนๆ สองสามรอบ แล้วพูดอังกฤษ "ว่ามันเป็นฝรั่ง" แล้วคนไทยก็เชื่อมัน บางทีมันไม่ว่างมันก็จะส่งครูผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียนธรรมศาสตร์ไม่จบ  แต่เรียน AUA จบถึงระดับสูงสุด ไปสอน แต่ผู้หญิงคนนั้น "พูดอังกฤษชัดจนหลอกนักเรียนได้ว่าเป็น native speaker" แขกคนนี้รู้วิธี handle ครูที่คิดจะเบี้ยวโดยการแอบไปสอนนักเรียนลับๆ ได้ดีมากๆ โดยการทุกๆสุดสัปดาห์จะมีการประชุมครู และ "เปลี่ยนตารางสอน กลับหัวกลับหางกันหมด จนครูที่ไหนขโมยนักเรียน ก็ไปไม่รอด เพราะตารางสอนโดนย้ายเวลากลับหัวหมด" หลักการ make money ก็คือ "ทำตัว conservative เข้าไว้ แต่งตัวดีๆ แล้วพูดสุภาพ แล้วแจกนามบัตร "แหกตา" ว่า จบ Bachelor of Education จากเมืองนอกมา" แต่แขกคนนี้โชคดีมากๆเลยหละ คือเขา "ใช้เงินประหยัด" เขาเคยบอกผู้หญิงจีนที่คุมโทรศัพท์ว่า "เขาอยากขึ่ Mercedes แล้วเขาก็ทำได้ในที่สุด" นั่นก็เพราะว่า "เขาสอนคุณหญิงคุณนายระดับรวยๆ" ตอนนี้นักตุ๋นคนนี้เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาที่ดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเราจะไม่เอ่ยนาม แล้วก็ไม่ต้องหลังไมค์มาถามเราด้วยว่า เขาเป็นใคร เพราะเราขี้เกียจมีเรื่องกับคนมีอิทธิพล จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 00:02:27

ความคิดเห็นที่ 54 ตอบคุณ papa mama love u คคห 52 เราเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิงแบบปกติมากๆ แต่เราไว้ผมยาวเกือบถึงก้นแล้ว (ทำสีทองๆมี highlight ด้วย) แล้วหน้าตาเราสวยเหมือนผู้หญิงมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน จนบางทีเรากล้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงออกไปนอกบ้านน่ะ แต่แฟนเรา (ที่เป็นผู้หญิงจริงๆ (เมื่อก่อนเคยมีหลายคน แต่ตอนนี้มีแค่คนเดียว)) ก็ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเราทำหน้าที่เหมือนผู้ชายได้...อิๆๆๆ...พูดให้งงเล่นๆ เราเคย chat กับฝรั่งทั่วโลก โดยเราใช้ชื่อผู้หญิงๆของเรา มันคือ "tansy" ยังไงล่ะ ชาว pantip เก่าๆ รู้จักชื่อนี้ดี... แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 00:11:28 จากคุณ : tansy (fortuneteller) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 00:10:04

ความคิดเห็นที่ 55 และแล้ววันหนึ่ง เหมือนที่คิดไว้ เราก็ต้องออกจากโรงเรียนสอนภาษาแห่งนั้น ไม่ออกได้ไงล่ะ ก็ตอนไปสัมภาษณ์งานนะ นี่เป็นบทสนทนา แทนที่มันจะสัมภาษณ๋เรา กลายเป็นเราสัมภาษณ์มันเหอๆ tansy: Where are you from? school owner: Scotland. tansy: Really? Oh, what a pleasant surprise! I once had a Scottish girlfriend.  Would you like to speak English with a Scotish accent with me? It would be fun. school owner: It's not a proper English. It's not allowed here. ....เจ้าของโรงเรียนมันจ้างเราเพราะว่ามัน หาใครไม่ได้ตอนนั้น แต่จริงๆแล้วมันไม่อยากจ้างคนรู้มากแบบเราหรอก หลังจากนั้นอีกไม่นาน อาหมวยจีนคนนั้น ก็รู้ว่าเราตกงาน เธอจึงมาช่วยประคองปีกเราไว้... เรื่องมันตลกมากๆเลย เธอสอนเราทุกอย่างเกี่ยวกับ marketing ว่าจะขาย courses สอนภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์อย่างไร จึงจะได้เงินอย่างรวดเร็ว จนขนาดเรารับโทรศัพท์แค่ 2-3 นาที เราก็รู้แล้วว่า "คนโทรมาเป็นโรงเรียนสอนภาษาด้วยกัน มาสืบราคา หรือว่าเป็นนักเรียนจริงๆ" แล้วถ้าเป็นนักเรียน "ราจะปิดการขายอย่างไรได้โดยเร็วที่สุด" มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้น และท้าทายมากๆ เพราะว่าเรามีเงินมาจากต่างแดนเท่าไหร่ เราก็เที่ยวสำมะเลเทเมาจนเงินเกลี้ยง แต่ หลังจากเรียนวรยุทธ์จาก "อาหมวยแสนสวยกุนซือของเรา แล้วนะ" เราปิดการขายได้วันละ 2-3 ราย แล้ว "หมุนเงินที่ได้จากการสอนภาษาอังกฤษไปเรื่อย" และคราวนี่เราจะมาเข้าเรื่องแล้วนะ ว่าเรา เรียนรู้ศาสตร์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และเกือบจะเป็นผู้รู้ภาษาอังกฤษระดับเทพ แต่ "โอกาสหลุดลอยไปได้อย่างไรกัน?" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 00:29:05

ความคิดเห็นที่ 56 บางคนอ่านแล้วบอกว่า "เฮ้ยมันพล่ามเรื่องอะไรกันหว่า?" แต่เรากำลังจะบอกพวกคุณว่า "เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เรามีศักยภาพที่จะเก่งภาษาอังกฤษระดับเทพ แต่เราปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป และตอนนี้ (ก่อนที่เราจะหายเข้ากลีบเมฆไป) เราจะบอกคุณว่า เรากำลังจะกลับไปฝึกฝนตนเองอย่างไร และคุณจะฝึกตามเราได้อย่างไร?" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 00:32:33

ความคิดเห็นที่ 57 คราวนี้เรามาเช้าประเด็นแล้วนะ ตามที่ Lina (ขืออาหมวย) สุดยอดกุนซือ สอนเราไว้นะ 1. เราต้องเลิกพูดตลก แล้วต้องทำหน้า serious 2. เราต้องแต่งตัว very very conservatively 3. เราต้องโฆษณาตัวเราเองว่า จบมาทางด้าน education หรือ ภาษาศาสตร์น่ะ (อะไรกันนักกันหน่าฟะ?) โห แค่แต่งตัวโดยใช้เสื้อผ้า conservative แบบคนทำงาน bank เนี่ย เราก็แทบจะบ้าตายหะอยู่แล้วนะ แล้วแถมยังจะต้องตัดผมสั้นอีก มันเป็นอะไรที่เรารับไม่ได้มากๆเลยหละ เพราะว่าเราอยู่ต่างแดน เราก็ไว้ผมยาวมาตลอด ก็เลยตอนนั้น Lina พาเราไปซื้อ wig ผมยาว ให้เราแอบเก็บไว้ใส่เล่นๆ ตอนหมดเวลาสอนนักเรียนแล้วน่ะ...555+++.... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 00:43:10

ความคิดเห็นที่ 58 Lina เป็นลูกสาวอาจารย์สอนภาษาจีนที่เก่งที่สุดในประเทศไทย พ่อเธอมาจากผืนแผ่นดินใหญ่จีน เขียนละครจีนออกวิทยุไทย แต่โดนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ banned ไม่ให้ออกละครวิทยุ และโดนปิดโรงเรี่ยนสอนภาษาจีนของพ่อเธอ พ่อเธอเลยอยู่เมืองไทยนะ ใครพูดไทยกับเขา เขาก็ตอบเป็นจีนหมดจนถึงวันที่เขาตายจากโลกนี้ไป Lina ถ่ายทอดเพลงยุทธ์ให้เราจนครบว่า "เราจะเรียนภาษาจีนเองได้โดยไม่มีครูอย่างไร" แต่เรามันไม่เอาถ่าน ก็เลยไม่เคยฝึกฝน เอาไว้รอให้เราปั่นกระทู้นี้ แล้วหายเข้ากลีบเมฆไป แล้วไป "ซุ่มเรียนภาษาอังกฤษแบบยกเครื่องใหม่หมดอีกสัก 6 เดือนหรือ 1 ปี" แล้วเราจะใช้วรยุทธ์ที่ Lina ถ่ายทอดให้เรา เพื่อกลับมาเขียนบทเรียนภาษาจีนกลาง ให้คนในห้องเรียนภาษาจีน เรียนกัน ให้งงกันเล่นๆว่า "เราทำได้อย่างไร" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 00:55:35

ความคิดเห็นที่ 59 วันๆหนึ่งนะ การสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนรวยๆระดับพวกคุณหญิงคุณนายของเรานะ มันไม่มีอะไรไปมากกว่าการ "แต่งตัวเป็นหนุ่มรูปหล่อมารยาทดี ไปคุยสนุกๆ ให้พวกเธอสบายใจ..." มันอะไรกันนักกันหนาหว่า?  ในขณะที่ฉันอยากจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงสวยๆเสียเหลือเกิ้น...ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.......... และแล้ววันหนึ่ง พวกคนรวยๆเหล่านั้น ก็ให้ฉันสอนลูกพวกเธอ ลูกพวกเธอเอาหนังสือเรียนที่น่าเบื่อมากๆ จากโรงเรียน มาให้ฉันสอน ตราวนี้แหละ ฉันก็ต้องคิดให้ปวดหัวนะ ว่า 1. ฉันจะสอนให้น่าสนุกในแนวฉัน แล้วเด็กสอบไม่ผ่าน 2. ฉันจะสอนให้น่าสนุกในแนวฉัน แล้วเด็กสอบผ่านด้วย (เอ ทำไงหว่า?) 3. ฉันจะสอนให้น่าเบื่อในแนวหนังสือเรียนของเด็ก แล้วเด็กสอบผ่าน หรือ 4.  ฉันจะสอนให้น่าเบื่อในแนวหนังสือเรียนของเด็ก แล้วเด็กสอบตกอีกต่างหาก? เอ่อ...มันอะไรกันนักกันหนาฟะ? แล้วฉันก็คิดถึง การ์ตูนอันนี้...อิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 01:04:43

ความคิดเห็นที่ 60 การ์ตูนอันนี้นะ "ตลกสิ้นดีเลยหละ" มันเป็นภาพขอทานข้างถนน เป่าปี่ขอเงินคนเดินผ่านมา แล้วที่หน้าขอทานน่ะ มันมีป้ายปิดไว้ บอกว่า I promise you that every penny you give me shall be spent on my music lesson! ฉันก็เลยฉุกคิดขึ้นได้ว่าที่ฉันได้เงินมากมายจากการสอนภาษาอังกฤษนั้นนะ มันเป็นเพราะฉัน "ไปหลอกชาวบ้านเขา" ตามแบบที่ Lina สอนฉันว่า ไอ้แขกจาก Bhutan น่ะ มันทำยังไงบ้าง ฉันก็เลย "ลงทุน มหาศาล" เพื่อซื้อตำราภาษาอังกฤษ มาสอนตัวเอง ตอนนั้นคิดเป็นแบบ "นักหมากรุก" และ "นักคณิตศาสตร์" แต่ไม่ใช่นักภาษาศาสตร์เพราะฉันไม่รู้วิชาภาษาศาสตร์ และฉันก็เกลียดวิชาภาษาอังกฤษด้วย แต่ "ฉันสอนภาษาอังกฤษ และอยากเก่งเรื่องการสอนภาษาอังกฤษ ก็เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพเท่านั้นเอง" ถ้าอยากรู้ว่านักหมากรุก กับนักคณิตศาสตร์ คิดอย่างไร ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ก็ไปอ่าน คคห 4 ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8348554/K8348554.html แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 01:20:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 01:19:42

ความคิดเห็นที่ 61 คราวนี้มาเข้าประเด็นกันจริงๆแล้วนะ คุณจะเก่งภาษาอังกฤษได้ในระดับเทพน่ะ มันไม่ใช่เพราะคุณเรียนกับ ครู Kate, ดร.วัชรวรรณ(DIY MindMap), หรือ Fast English หรือ อ.ถวัลย์ หรือแม้กระท้ง อ.สงวน วงสุชาติ ซึ่งรายสุดท้ายนี้เป็นติวเตอร์ที่เราซูฮกว่าเก่งที่สุด แล้วก็ไม่ได้เป็นเพราะเรียนที่ outerspace ที่ต้องเสียเงินเดินทางไกลอีกด้วย ไปอ่านกระทู้นี้เรื่องเรียนกับ outerspace http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8298846/K8298846.html แต่มันเป็นเพราะ "คุณเรียนจากฝรั่งเจ้าของภาษาจริงๆ ซึ่งเป็นผู้เชียวชาญทางด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ซึ่งเขาเขียนหนังสือไว้ ทำเทปหรือ CD's หรือ DVD's ไว้" ซึ่งเราจะแนะนำเป็นลำดับขั้นตอนไปเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิดว่า ตำราเล่มไหนสำคัญอย่างไร และสอนอะไรคุณเก่งระดับเทพ ได้บ้าง.... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 01:48:45

ความคิดเห็นที่ 62 จด ๆ จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 07:22:55

ความคิดเห็นที่ 63 ในช่วงนั้น เราซื้อหนังสือสอนภาษาอังกฤษรวมทั้งเทป มาหลายชุดด้วยกัน ตกลงก็เป็นอันว่าเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ เราเรียนมาจาก manuals ในหนังสือพวกนั้นนั่นเอง เล่มที่สอน grammar ด้วยวิธีการธรรมชาติ มันคือ Side by Side กับ Line by Line มันจะมีเทปให้ฟัง แล้วให้ improvise คือเอาประโยคตัวอย่างมา แล้วหัดเปลี่ยน verb เปลี่ยน subject เปลี่ยน object ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็คล้ายๆกับ slot technique ที่เคยกล่าวไว้ในกระทู้เดิมอันหนึ่งนั่นเอง ส่วนอีกชุดหนึ่ง มันคือ Breakthrough มันมี เทปของฝรั่งตั้งหลายสำเนียงอยู่ในนั้น หลักการก็คือ "ไม่ต้องการให้นักเรียนชินกับสำเนียงครู (ถึงแม้ว่าครูจะเป็น native speaker ก็ตาม)" หนังสือกับเทป ชุด Breakthrough สอน communication ครบทุกรูปแบบ ตั้งแต่ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ตอนนี้เขาเลิกผลิตแล้ว เราลงทุนไปกับตำราภาษาอังกฤษค่อนข้างมากๆ...เป็นเงินหลายหมื่น เฉียดๆแสน เพราะสมัยนั้น "มัน download ของฟรีไม่มี" และ แล้วมันก็เป็นการที่เราเฉียดเกือบๆจะเก่งระดับเทพจริงๆ  แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว เนื่องจากว่า ตำราอีกหลายๆเล่มที่จะสอนให้เราเก่ง grammar และเก่ง writing นั้น เรามีบานเบอะ "แต่เราไม่เคยอ่านมันเลย....เพราะเพื่อนชื่อไอ้ตุ้ย มันชอบมาชวนเราไปเที่ยว patpong ตอนเย็นๆเมื่อเราสอนเสร็จแล้ว และควรเป็นเวลาสอนภาษาอังกฤษให้ตัวเองเก่งขึ้น...555+++...." จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 08:28:49

ความคิดเห็นที่ 64 เผอิญการสอนที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเรา และได้เงินมากที่สุดของเรา ก็คือ เอาเงินจากสอนตัวต่อตัวที่ได้จากนักเรียนคุณหญิงคุณนายเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ "มาเช่าห้องแถวติวนักเรียนทำข้อสอบภาษาอังกฤษเพื่อเอ็นเข้ามหาลัย เพราะนั่นเป็นตลาดที่ทำเงินได้มากที่สุดขณะนั้น" ตอนนั้นข้อสอบภาษาอังกฤษมันเพิ่งเปลี่ยนแนวเป็นจากท่องกฎแปลกๆเรื่อง grammar ได้ไม่กี่ข้อก็สอบได้ (ซึ่งสมัยนั้น อ.สงวน วงสุชาติ ดังเรื่องสอนแนวนี้มากๆเพราะเขาเก่ง grammar มากๆ) แต่พอข้อสอบมันเปลี่ยนแนว ในช่วงนั้น "ติวเตอร์ทุกคนหลงทางกันหมด ไม่รู้จะเก็งข้อสอบยังไง ว่าคำศัพท์ตัวไหนมันจะออกสอบ" เราไปซื้อข้อสอบเอ็นเข้ามหาลัยมาหลายชุด แล้วนั่งคิดอยู่หลายเดือนว่า ข้อสอบมันจะออกแนวไหน คือดูๆแล้ว grammar มันต้องรู้พอสมควร แต่ไม่มากโหดเหมือนสมัยก่อน แต่ต้องรู้ศัพท์ค่อนข้างเยอะ แท้จริงแล้วเรามาสรุปได้ว่า "เราสามารถสอนนักเรียน ม. ปลาย ให้สอบเอ็นเข้ามหาลัยได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้ตำราอะไรเลย ใช้แค่หนังสือ Student Weekly เล่มเดียว (ให้นักเรียนซื้อ 1 เล่มทุกๆสัปดาห์) แล้วใช้ร่วมกันกับ esl dictionary (สมัยนั้นเราใช้แค่ Oxford Advanced Learner's Dictionary)  ก็พอกินเหลือเฟือแล้ว" และการสอนจะเป็นในลักษณะที่เรียกว่า cram คือยัดข้อมูลเป็นตัวอย่างประโยคจาก Oxford Advanced Learner's Dictionary มากมายให้นักเรียนจำ เนื่องจากเราไปค้นพบความลับว่า "แท้จริงแล้วคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกือบทั้งหมด มันแปลเป็นกลุ่มคำ มันไม่ได้แปลเป็นคำโดดๆเหมือนภาษาไทยหรือภาษาจีน" การค้นพบ Student Weekly มันทำให้เราค้นพบ defining vocabulary เพราะว่า "หน้าตามันคล้ายกัน" ไปดูหน้าตา defining vocabulary ได้ที่เวปนี้ http://www.cs.utexas.edu/~kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html สมัยก่อนคนที่ทำข้อสอบภาษาอังกฤษเอ็นเช้ามหาลัย (ตอนมันเปลี่ยนจาก grammar ล้วนๆเป็น reading comprehension) 100 ข้อภายในเวลา 3 ชม. ได้ถูกเกือบหมด ก็ต้องถือว่า "เรียนภาษาอังกฤษมาครบตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาของไทย และพร้อมที่จะเรียนภาษาอังกฤษต่อไปได้ด้วยตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเรียนโรงเรียนภาษาที่ไหนเลย" แต่อนิจจา ติวเตอร์นี่แหละตัวแสบ ข้อสอบ 100 ข้อ พอออกสอบเสร็จนะ สถาบันติวชื่อแม็ค (สมัยนั้นอยู่แถวๆกิ่งเพชร) จะพิมพ์ข้อสอบออกขายก่อนหน้าชาวบ้านเขา และติวเตอร์ของเขา "โดนข้อสอบหลอก เพราะเฉลย 100 ข้อ มีเฉลยผิด 20 - 30 ข้อ...!!!" ตอนจบคนที่เฉลยแม่นที่สุดก็คือ "พวกฝรั่งที่ทำงานในหนังสือพิมพ์ The Nation กับ Bangkok Post....ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ตกลงก็เป็นอันว่า "ใครก็ตาม ที่รู้ศัพท์ขนาด Student Weekly หรือรู้ defining vocabulary นะ ก็จะสามารถเปิดประตูไปสู่การเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง...." ทำอย่างไรเดี๋ยวเราจะค่อยๆบอกให้ฟัง แต่ก่อนอื่นขอสารภาพเรื่องอะไรบางอย่าง...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 08:33:42

ความคิดเห็นที่ 65 คำสารภาพของเราก็คือว่า จากการคิดค้นเทคนิกการสอนบ้าๆบอๆขึ้นมาได้ตั้งหลายอย่างน่ะ จากการสอนภาษาอังกฤษมา 5 ปี ให้นักเรียนหลายๆคน มีนักเรียนคนเดียวเท่านั้นที่พูดคล่องและเป็นธรรมช่าติมากที่สุดโดยใช้เวลาสอนเพียงแค่ 6 เดือน มันก็คือ cousin (ลูกสาวอา) ของเราเอง เนื่องจากเธอมาดูแลเราอยู่ตอนเรากลับมาเมืองไทยใหม่ๆเพราะเราไปไหนมาไหนจำถนนหนทางไม่ถูก แล้วเธอก็พูดอังกฤษกับเราทุกวัน "ใช้วิธีสอนแบบที่เราเรียนมาก่อนนั่นก็คือ พูดไปเลย พอพูดผิดก็แก้ให้พูดใหม่" ก็เลยตอนเราไปเปิดโรงเรียนติว เรามีเธอเหมือนๆกับแขกจาก Bhutan มีเด็กธรรมศาสตร์ที่เรียนไม่จบ แต่เรียนอังกฤษจาก AUA แล้วพูดชัดเหมือนฝรั่งมาเชิดหน้าชูตาโรงเรียนได้ cousin เราเป็น born teacher อย่างแท้จริง เธอสอนเด็กประถมทำเงินได้มหาศาล เราอ่านตำราต่างประเทศ แล้วสร้างสื่อการสอนให้เธอ แล้วแนะแนวให้เธอสอน แต่เราไม่ชอบสอนเด็กประถม เพราะไม่ชอบจับปูใส่กระด้ง เราเคยนั่งดูเธอสอน เห็นเธอทำหน้าทำตาหลอกเด็ก จับเด็กเล่นเกม จนเด็กๆชอบ ผลลงเอยประหลาดแฮะ ส่วนใหญ่เด็กๆจะร้องไห้ไม่อยากไปเรียนพิเศษ แต่โรงเรียนเราประหลาด เด็กๆร้องกระจองอแงจะมาเรียนภาษาอังกฤษกับโรงเรียนเรา จนเล่นเอาพ่อแม่สงสัยว่า "พวกเราเอาสารเสพย์ติดอะไรให้เด็กดมหรือกินหรือเปล่า?" ร้อนถึงผู้ปกครองต้องแห่กันมาสำรวจโรงเรียน ว่ามันยังไงกันแน่หว่า? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 08:48:50

ความคิดเห็นที่ 66 จากนั้นก็มีการลองผิดลองถูก ลองไปลองมามีความสำเร็จในการสอน แต่ลองบางทีถึงกับ "สอนไปแล้ว class ล่มอย่างน่าอนาถ" ยกตัวอย่างเช่นช่วงตอนปิดเทอม เราแนะนำวิธีใช้หนังสือ Breakthrough ให้ cousin เรา (หลังจากเราศึกษา teacher's manuals ของมันหลายรอบแล้ว) เธอเอาไปสอนเด็ก ม. 3 - ม.4 จากโรงเรียนเซ็นต์ฟรังค์ ผลปรากฎว่าตอนใกล้ๆจะจบ course เด็กพวกนั้นพูดอังกฤษได้คล่องแบบค่อนข้างดีเลยทีเดียว หลังจากนั่น สิ่งที่ทำให้ cousin เราตกใจสุดขีด นั่นก็คือว่า "เธอเอา Breakthrough ไปสอน class ที่มีแต่คนจบปริญญาตรีกันมาแล้วทั้งนั้น แต่เป็นปริญญาตรีจากมหาลัยที่คนเอ็นเข้ามหาลัยดังๆไม่ติดไปเรียนกันน่ะ แล้ว class มันล่มอย่างน่าอนาถ..." สรุปแล้ว พวกเราได้ข้อคิดว่า แท้จริงแล้วนะ Breakthrough มันทำไว้เก่งมากๆ มันทำไว้สอนคนที่เคยเรียนแต่ grammar  แต่ไม่เคยเรียนฟัง ไม่เคยเรียนพูด ให้ฟังกับพูดได้คล่อง จากนั้นมันจะสอนต่อยอดไปอ่านกับเขียนใน situations ต่างๆที่จะเจอในการทำงาน ท่องเที่ยว เข้าร้านอาหารฯล รับโทรศัพท์ฯ.... และเราประสบความสำเร็จกับนักเรียนเซ็นต์ฟรังค์ก็เพราะว่าเด็กพวกนั้น รู้ grammar มากกว่าคนจบปริญญาตรีจากมหาลัยที่คนเอ็นไม่ติดไปเรียนกัน ซึ่งก็นับว่า "เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างทำให้พวกเราตกใจมากๆ ที่มาล่วงรู้ความลับอันนี้" และนี่เป็นคำตอบว่า ทำไมคนจบ ม.ปลายหลักสูตรไทย น่าจะเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตัวเอง แต่หลายๆคนกลายเป็นต้องไปพึ่งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ คำตอบมันก็คือ "ข้อสอบภาษาอังกฤษสำหรับ Entrance มันเป็นตัวตัดเชือกจริงๆเลยหละ" มันดูเหมือนกับว่าอนาคตเด็กไทยจะโดนตัดสินกันที่การเอ็นเข้ามหาลัยนี้เอง Breakthrough น่าจะมาใช้สอนพิชิตข้อสอบดังๆได้ที่ต้องมีการสอบ listening comprehension กับ writing แต่อนิจจา เขาเลิกผลิตแล้ว "และชุดเดิมที่เรามี รวมทั้งตำราภาษาอังกฤษอีกมากมาย มันโดนยึดไปหมด จนเราเหลือตัวเปล่า ไม่มีตำราภาษาอังกฤษเหลือ ใช้ภาษาอังกฤษต้องมั่วลูกเดียว คล้ายๆกับ civilization ที่โดนอาวุธนิวเคลียร์ถล่มจนราบไปหมด" มันเกิดได้ไง จะเล่าให้ฟัง แล้วเดี๋ยวเราจะหาหนังสือเรียนภาษาอังกฤษชุดใหม่ๆมาแนะนำให้ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 09:09:56

ความคิดเห็นที่ 67 อาขีพการสอนหนังสือ บางคนบอกว่า เป็นอาชีพที่น่านับถือ แต่แท้จริงแล้ว "บางทีมันก็กลายเป็นธุรกิจที่สกปรกได้เหมือนกัน" เราไปเปิดติวตรงจุดยุทธศาสตร์ อยู่ใกล้โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล เซ็นต์ฟรังค์ โยนออฟอาร์ค ราชินี พันธะศึกษา และมีนักเรียนมาจากอีกหลากทิศจากตั้งหลายเส้นทาง แล้วเราก็หาฝรั่งมาช่วยเราสอนได้ง่ายๆอีกด้วย "นั่นก็เพราะว่า เราอยู่ใกล้ ถ. ข้าวสาร ...ฮ่าๆๆๆๆๆ......." ความสกปรก มันก็คือ "การปัดแข้งปัดขากัน" ติวเตอร์แถวๆนั้นหมั่นไส้เรามากๆ ก็เลยโทรไปแจ้งกระทรวงศึกษา ให้เจ้าหน้าที่มาเล่นงานเราว่า "เราเปิดโรงเรียนโดยไม่มีใบอนุญาต" แล้วมันก็ถืงคราวซวยของเราจริงๆ นั่นก็คือว่า รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาซึ่งเคยเป็นเพื่อนนักเรียน (เตรียมธรรมศาสตร์ รุ่น 5) ของพ่อเรานะ โดนยุบสภาแล้วตกกระป๋องไปเสียแล้ว ม่ายงั้นเราคงมีคนช่วยให้เราได้ใบอนุญาตง่ายหน่อย การทำตามกฎกระทรวงให้ถูกต้อง (ตามกฎระเบียบคณะกรรมการการศึกษาเอกชน) มันก็หมายความว่า "โรงเรียนบางโรงเรียนอาจกลายเป็นขาดสภาพคล่องไปเลย เนื่องจากว่า ต้องทำการก่อสร้างห้องเรียนใหม่ ให้ได้มาตรฐานที่ถูกต้อง ต้องทำส้วมเพิ่ม ต้องซื้ออุปกรณ์ soundlab ที่เป็นเหมือนสากกระเบือเข้ามา (จริงๆแล้วเทปธรรมดาๆดีกว่า ยิ่งสมัยนี้ใช้ computer ดีกว่า soundlab เป็นไหนๆ)" โอ้โหค่าทำส้วมเพิ่มเนี่ยมันหนักมากนะ แต่ เจ้าหน้าที่กระทรวงเห็นใจเรา เขาแนะนำงี้ แสนตลกดี "คุณก็แค่กั้นๆห้องเล็กๆ ซื้อที่นั่งส้วมมาแปะไว้บนพื้น แต่ไม่ต้องขุดบ่อ ไม่ต้องทำถังข้างล่างที่มันแพง...แค่นี้ก็ผ่านแล้ว เพราะ เจ้าหน้าที่เขาไม่ไปทดลองนั่งอึ แล้วราดส้วมหรอกน่ะ...555+++...แล้ว soundlab น่ะคุณไปยืมใครหรือเช่ามาแค่ตอนเจ้าหน้าที่ตรวจ หลังจากนั้น ไม่ต้องมีก็ได้...ผมแนะนำคุณแบบเนี้ย คุณจะได้ไม่ต้องเสียเงินมากยังไงล่ะ...นี่ผมก็ไม่อยากจะไปเอาเรื่องคุณหรอกนะ แต่เผอิญมีคนเขาแจ้งมา" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 09:28:22

ความคิดเห็นที่ 68 ในช่วงนั้น เผอิญมีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่อยู่ดีๆอยากสอนคอมพิวเตอร์ และมีโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ที่สอนอังกฤษไม่เป็นแต่อยู่ดีๆอยากสอนอังกฤษ เราจึงไปสมัครทำงานกับโรงเรียนรายที่สอง เสนอขาย knowhow กับ marketing ของเรา โดยการรับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายโรงเรียนสอนภาษาที่นั่น และแล้วเราก็ยิ่งค้นพบจากโรงเรียนแห่งนั้นว่า "แท้จริงแล้วอาชีพการสอนภาษาอังกฤษ พอมันเป็นธุรกิจ ก็มีอะไรไม่ซื่อหลายๆอย่าง" สมัยนั้นร้านหนังสือคำราเรียนภาษาอังกฤษพวก DK หรืออะไรทำนองนี้ พอเห็นหน้าเราก็จะให้ส่วนลดเราค่อนข้างมาก เพราะเราซื้อหนังสือกับเทปเรียนภาษาอังกฤษ ทีละมากๆ เจ้าของโรงเรียนก็ชอบใจ แต่ก็คอยให้น้องชายเขากำกับดูแล "เพื่อที่จะเรียน knowhow จากเรา" และเราโดนเจ้าของโรงเรียนสั่งห้ามสอนที่ห้องแถวเราด้วย ตอนนั้น cousin เรา ไปทำงานที่นั่นด้วย โดยเธอเป็นเลขาส่วนตัวเรา ข่วงนั้นเราอยากเป็นนักแปล จนบ้าขึ้นสมอง อยู่ดีๆเราเลยเก็บข้าวของแล้ว walked out ไปเฉยๆเลย ก็เลยแยกย้ายกับ cousin เราไปกันคนละทิศคนละทาง แล้วเราก็ไปทำงาน full time กับบริษัทแปลเอกสารแห่งหนึ่ง ที่นั่นมี professional journalist ชาวต่างชาติคนหนึ่ง คอย edit (ตรวจแก้) ภาษาอังกฤษ (เวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ) ให้พวกเรา (เขาอานภาษาไทยรู้เรื่อง) และนั่นมันเป็นช่วงที่เรา "ได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงๆจังๆ" เราเก็บข้อความที่ professional journalist เขา edited แล้ว กลับมานั่งอ่านทุกๆวัน แล้วก็เริ่มหัด "ตัดแปะ ตัดแปะ หนังสือพิมพ์ magazines ภาษาอังกฤษทุกอย่างที่ขวางหน้า" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 10:05:55

ความคิดเห็นที่ 69 คือเราไปให้ร้านถ่ายเอกสารเอากระดาษ A4 เย็บเป็นเล่ม แล้วเราก็ตัดแล้วแปะ ตัดแล้วแปะ แต่สมัยนี้เราเปลี่ยนเป็นใช้ software เรียนแล้ว (ซึ่งจะพูดถึงในภายหลัง) เรื่องตลกก็คือว่า เราเริ่มเรียนอังกฤษโดยการท่องประโยคตัวอย่าง ไม่ใช่ท่องคำศัพท์เป็นคำๆโดดๆเหมือนคนไทยทั่วๆไปเรียนกัน เราเปิด Oxford Advanced Learner's Dictionary งมหาตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษมาแปะข้างๆ paragrah ที่เราตัดมาจากหนังสือพิมพ์ หรือ magazines ยากๆ หรือบางทียอมลงทุนฉีกนิยายภาษาอังกฤษทั้งเล่มมาเรียนเลยก็มี แต่เราขี้เกียจเขียนตัวอย่างประโยคจาก Oxford Advanced Learner's Dictionary เราจึงซื้อมันมา 3 เล่ม 2 เล่มแรก ใช้ตัดแล้วแปะ ที่ต้องใช้ 2 เล่มก็เพราะว่า ตัดฝั่งหนึ่งมันไปโดนอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกเล่มเก็บไว้สวยๆเอาไว้เปิดหาศัพท์ เราใช้ Oxford Advanced Learner's Dictionary โหดมากๆ ไม่กี่เดือน (เล่มที่ไม่ตัด) ก็พัง แล้วซื้อใหม่ แล้วซื้อใหม่ ตอนนั้นเรามีเพื่อนร่วมงานที่เก่งมากๆคนหนึ่งในบริษัทแปล ชื่อ "น" ทั้ง "น" กับเรา หันมามอง Oxford Advanced Learner's Dictionary ของกันและกัน แล้วหัวเราะขำ เพราะเปิดท่องตัวอย่างประโยคเพื่อเรียนวิธีเอาคำศัพท์ไปใช้สร้างประโยคให้ถูกต้องกันมากมาย จนดิกของแต่ละคน มันขาดกระจุยกันไปหมด   วันแรกที่เราซื้อ Oxford Advanced Learner's Dictionary เป็น software version แรกได้ (ซื้อของแท้มา) เราโทรไปหา "น" ด้วยความดีใจ ร้องเย้ๆว่า ราคา (สมัยนั้น) เฉียดๆ 2,000 บาท "ดีจริงๆว่ะ ไม่ต้องซื้อหนังสือใหม่ทุกๆ 4- 5 เดือน...เหอๆๆๆ ไม่ต้องตัดปะกระดาษด้วย  แต่ตัดปะเป็น texts ใน files มันง่ายกว่าตั้งหลายเท่า...!!!" แต่สิ่งที่ "น" ทำแต่เราไม่เคยทำ ก็คือ "เขามีตำรา grammar กับ writing กับตำราภาษาอังกฤษอะไรต่อมิอะไรอีกเพียบเลย ที่เขามีบนโต๊ะทำงานเขา และที่บ้านเขา ที่เขาเรียนอย่างหนัก ในขณะที่เรามีที่บ้านเราแต่ไม่เคยเปิดอ่านเลย แค่เห็นก็ซื้อ เห็นก็ซื้อ แต่ก็ขี้เกียจอ่าน" ทำไปทำมาอะนะ "น" เรียนภาษาอังกฤษในไทยนี้แหละ แต่เขากลายเป็นเขียนอังกฤษเก่งกว่าเราที่เคยอยู่เมืองนอกมานาน  นั่นก็เพราะว่า "เขามีตำราภาษาอังกฤษแบบเจาะลึกหลายๆเล่ม ที่เราไม่เคยอ่าน...!!!" .....ตกลงตอนนี้ หลังจากเล่าเรื่องธุรกิจการสอนภาษาอังกฤษ ตอนนี้เราจะมาเข้าประเด็นเรื่อง "การเรียนภาษาอังกฤษแบบเจาะลึกกัน" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 10:12:50

ความคิดเห็นที่ 70 ความลับที่หลายๆคนไม่รู้ก็คือว่า คนบางคนเรียนอังกฤษแบบ อ่านไป แล้วเปิดดิก อ่านไป แล้วเปิดดิก แบบเนี้ย แบบที่เราทำนะ คนที่เรียนจบปริญญาตรีมาแล้ว และทำงานไป ก็เรียนอังกฤษไปด้วยตัวเองแบบเนี้ย อีกเกินกว่า 10 ปี ก็อ่านอังกฤษรู้เรื่องค่อนข้างมาก แต่ก็ยังเขียนไม่เก่ง แล้วเผลอๆนะ พอพูด ก็พูดผิดๆ....อีกต่างหาก...!! ดังที่จะเห็นเป็นสักขีพยาน ก็อีตอนเราโดนบริษัทแปลส่งออกไปเป็นล่ามหลายครั้ง ไปมาหลายบริษัท พอเห็นเอกสารที่บริษัทพวกนั้นทำงานกันเป็นภาษาอังกฤษ (เพราะเป็นบริษัทที่มีคนไทยทำงานร่วมกับต่างชาติน่ะ) เวลาฉายขึ้นจอ ให้ห้องประชุม เราพบว่า "บนเอกสารที่ฉายขึ้นจอเหล่านั้น 'ในทุกหน้า' เราสามารถหาข้อผิดพลาดแบบ non-native speaker's errors  คือเขียนผิดธรรมชาติแบบคนที่ไม่ไช่เจ้าของภาษา มากมาย จนเกือบจะกลายเป็น pidgin English ไปเลย ที่ผิดเยอะที่สุดก็คือ บริษัทที่เจ้าของเป็นญึ่ปุ่นนี่แหละ ตัวผิดเยอะมากๆ" ไม่มีใครเก่งเท่า "น" เพื่อนร่วมงานเก่าเราเลยสักคน นับว่า "น" น่าจะเป็นคนเก่งระดับไม่ธรรมดาเลยในสายตาของเรา "น" จบคุรุศาสตร์บัณฑิตเอกการสอนภาษาอังกฤษจากจุฬา แต่ "น" เก่งเกินไปที่จะยอมไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ  ตอนเขาส่ง essay ให้อาจารย์ที่มหาลัยตรวจ อาจารย์ทำท่าจะไม่ยอมตรวจให้ เพราะหลงคิดว่าเขาไปจ้างฝรั่งเขียน ตอนนี้ "น" ลาออกจากบริษัทแปลเอกสารแล้วไปทำงานเป็น professional journalist ตัวจริงเสียงจริงมาหลายปีแล้ว เราเรียนภาษาอังกฤษมา "แบบมั่วๆ" คือ อ่านแล้วเปิดดิก อ่านแล้วเปิดดิก แต่มันกลายเป็นว่า เราใช้ภาษาอังกฤษ ถูกต้องใกล้เคียงความจริงค่อนช้างมาก ทั้งๆที่เราแทบไม่ได้เปิดหนังสือ grammar อ่านเลย เหตุผลมันก็แค่ง่ายๆนั่นก็คือว่า "เราอยู่ต่างแดนในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษมานาน 20 ปี..." "แต่คุณอยู่เมืองไทยคุณเรียนแบบเราไม่ได้ง่ายๆหรอก คุณต้องเรียนแบบ "น" ต่างหาก จึงจะประสบความสำเร็จ แล้วก็ไม่มีโรงเรียนสอนภาษาที่ไหนจะมาสอนคุณให้เก่งระดับเทพ แบบที่ "น" เก่งเกินธรรดา ได้เลย....!!!" ดังนั้น เชื่อเราเหอะ โปรดเลิกตั้ง กระทู้ถามว่า "เรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาไหน แล้วจะเก่งระดับเทพ" เพราะมันไม่มีหรอก คุณจะเก่งได้คุณจะต้องมี "ต้นทุน"   แล้ว "ค่อยๆต่อยอดไป" เหมือนเล่น building blocks (ตัวที่มันต่อกันเป็นบ้านขึ้นไป ที่ให้เด็กต่อเล่นน่ะ)" แต่คุณต้องมี "ต้นทุน" อะไร "แล้วต่อยอดอย่างไร" เดี๋ยวเราจะค่อยๆบอกให้ตามขั้นตอน ซึ่งเราคิดได้โดยการใช้ logic ของนักหมากรุก กับ logic ของนักคณิตศาสตร์ แต่ไม่ใช่หลักวิชาของนักภาษาศาสตร์นะ เพราะนั่นมันเป็นวิชาที่เราไม่รู้ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 10:41:48 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 10:37:45

ความคิดเห็นที่ 71 สมาชิกคนที่เขียนภาษาอังกฤษเก่งมากๆ ที่เห็นๆก็คือคุณ genf ต่อให้คุณ genf เรียนแบบอ่านหนังสือแล้วเปิดดิก ไปเรื่อยๆ เหมือนที่เราเคยเรียน "แบบมั่วๆ"  เขาเก่งระดับเทพได้ นั่นก็เพราะเขาใช้เวลาอยู่ในต่างแดนในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษมานาน 30 ปี (คงประมาณนั้น) แต่เราเคยเห็นคนไทยอีกคนเรียนภาษาอังกฤษจำนวนปีน้อยกว่าคุณ genf ครึ่งหนึ่ง คือเรียนแค่ 10 กว่าปีแล้ว "เก่งทาบรัศมีคุณ genf ได้เลย" เจอกันที่ในห้องยำภาษา... นั่นก็เพราะว่า "หมอนี่นะ จำนวนตำราภาษาอังกฤษที่มันมี ถ้าหล่นทับหัวมันนะ มันต้องคอหักตาย และร่างแบนแต๊ดแต๋แหงๆเลยหละ....!!...คกลงเจ้าหมอนี้กับเพื่อนเรา "น" น่ะ มันเก่งด้วยวิธีการในแนวเดียวกัน... นั่นก็คือ ... 'อ่านตำราภาษาอังกฤษแบบเจาะลึก หลายๆเล่มมากๆเลยหละ'... แต่ "น" ออกจะเป็นอัฉริยะมากๆเป็นพิเศษ เพราะเขาเรียนแต่ในเมื่องไทย ในขณะที่คนเก่งที่เราเจอในห้องยำภาษาคนนั้นนะ เขาเรียนภาษาอังกฤษมาจากต่างแดน... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 10:55:02

ความคิดเห็นที่ 72 อาจารย์หมอดูคะ  แล้วพี่ น  เนี่ย ท่านเก่งด้าน ฟัง-พูด ด้วยหรือเปล่า อย่างไร ถ้าท่านเก่งด้าน ฟัง-พูด ด้วยนะ ก็ดีเลย จะได้ลอกเลียน technique ของท่านมาใช้มั่งอ่ะ ปล. เราก็รู้สึกเหมือนอาจารย์หมอดู  เราว่าอ.สงวนน่ะเก่ง แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 11:12:30 จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 11:11:29

ความคิดเห็นที่ 73 คนเก่งในห้องยำภาษาคนนั้น เคยทำให้เราประสาทแดรก เพราะพอมีคนเอาประโยคภาษาอังกฤษยากๆมาถามเขานะ เขาจะบอกได้ว่าส่วนนั้นมันผิดตรงนั้น ถูกตรงนี้ และมันมีชื่อแปลกๆเป็น technical terms ในวิชา grammar ว่าอะไรบ้าง ซึ่งตั้งแต่เกิดมา เราก็ไม่เคยได้ยิน technical terms พวกนี้มาก่อนในชีวิตเลย...ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ... มันเล่นเอาเราชักจะประสาทมากๆ ขนาดเมื่อก่อนเราเคยแปลไทยเป็นอังกฤษได้เร็ว 15 หน้าภายในวันเดียว ก็เลยกลายเป็นลดความเร็วลงเหลือวันละ 5 หน้า เพราะพิมพ์ๆไป แล้วเพ่งดูดึๆว่า "เฮ้ย...มันผิดตรงไหนบ้างหว่า...555+++..." เล่นเอาเราปอดแหก ไม่กล้าเขียนภาษาอังกฤษเร็วๆเหมือนชื่อบะหมีไปอีกหลายเดือนเลยหละ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 11:20:40

ความคิดเห็นที่ 74 แต่อยู่ดีๆนะ ในช่วงนั้น เผอิญเราสมัครงานแปลหนังสือกับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งได้ แล้วเราก็ต้องทำสิ่งที่เราไม่เคยชอบ นั่นก็คือ "อ่านนิยาย" เพราะเราไม่ค่อยชอบอ่านนิยาย เราอ่านแต่ non-fiction มาตลอด พอเราเริ่มอ่านนิยาย เพื่อหัดแปลมันเป็นภาษาไทยนะ  เรา "ค้นพบมิติใหม่ๆ มากมาย และปอดแหกเรื่องการเขียนภาษาอังกฤษน้อยลง เพราะเรื่องที่เราคิดว่าอยากจะเขียนแต่กลัวผิดนั้น เราเผอิญเห็นนักเขียนฝรั่งเขาก็เขียนมา" แต่เพื่อความปลอดภัย เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดที่ว่า ไม่เรียน grammar ก็เก่งอังกฤษได้ คราวน้นะ เราคิดถึงตำราภาษาอังกฤษที่เราเคยสะสมมันไว้ แต่ไม่เคยอ่านแบบเจาะลึก (เคยใช้แค่อ้างอิงเรื่องที่ไม่แน่ใจเท่านั้น)  และอยากจะปัดฝุ่นเปิดมันอ่านใหม่ทั้งหมด... "แต่มันก็ไม่มีเหลือเสียแล้ว เพราะมันโดนแฟนเก่าเรายึดไปหมด" เมื่อหลายปีก่อนเราเคยอยู่กินกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งกล่าวหาว่าเรานอกใจเธอทุกๆวัน ทั้งๆที่เราไม่เคยทำเช่นนั้นเลย ในช่วงนั้นเราเคยคิดจะกลับไปสอนภาษาอังกฤษตามบ้าน แต่อนาคตการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษดับวูบลงเพราะแฟนเราคนนี้ เธอขี้หึงขนาดค้นชื่อที่อยู่นักเรียนในสมุดบันทึกเรา แล้วโทรไปบ้านนักเรียนเราทุกคนเพื่อสอบถามว่า "มีเรื่องชู้สาวกับเราหรือเปล่า"   แล้วเผอิญนักเรียนเราทุกคน ก็เป็นผู้หญิงเสียด้วยสิ...   ตอนจบเราทนไม่ไหว จะเลิกกับผู้หญิงคนนี้ เราเลยเดินออกมาตัวเปล่า แล้วโดนยึดเสื้อผ้า ตำราภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ แล้วก็ software ข้าวของส่วนตัว และเงินสดทั้งหมดในธนาคาร เราต้องยกให้เธอหมดเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับอิสรภาพของเรา คราวนี้ ตำราภาษาอังกฤษไม่มีเหลือเลย จะทำไงดีหว่า ซื้อใหม่ก็ใช้เงินตั้งหลายหมื่นแน่ะ .... เราจึงเริ่มหัดเป็น "นักขุด" นั่นก็คือ หัดใช้ google หาของฟรีบนเวปนั่นเอง... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 11:24:45

ความคิดเห็นที่ 75 หลังจากรู้แหล่งหนังสือดีๆ สื่อการเรียนการสอนดีๆ ของฟรีมีมากมาย แต่เราก็ยัง "ไปไม่ถึงดวงดาว เพราะว่าเราพอว่างก็กินเบียร์แล้วหลับ แล้วเล่นกระทู้ ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ เป็นเช่นนั้นมานานอีกถึง 7-8 ปีแน่ะ" และนี่คือเหตุผลที่เราจะเขียนกระทู้นี้ทิ้งทวนก่อนที่จะกลับเข้าถ้าซุ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่หมดแบบยกเครื่องเลย แต่...เผอิญเหตุก่ารณ์พลิกผัน...มันทำให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษได้อีกโดยไม่ได้ตั้งใจ และกลายเป็น "ล่วงรู้ความลับอีกอย่างของ "น" เพื่อนเราด้วยว่า ทำไมเขาจึงเรียน writing ได้รวดเร็วมากขนาดนั้น" เราไปสมัครงานแปลเอกสารกับบริษัทแปลอีกแห่งหนึ่งที่ไม่มีนักแปลนั่งประจำ ดังนั้น งานยากง่ายเขาต้องส่งคนนอกทำหมด เราก็จะได้งานคละกัน ไม่เจอแต่งานหินๆ ในอดีตเราแปลแต่ไทยเป็นอังกฤษ เพราะบริษัทเราส่งงานแปลอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารกฎหมายภาษาอังกฤษ ให้ "น" แปลหมด พอเราไปทำงานบริษัทใหม่ ปรากฎว่านักแปลในบริษัทนั้น เป็นเหมือนเราหมด คือไม่ชอบแปลอังกฤษเป็นไทย เราเลยรับอาสาแปลแต่อังกฤษเป็นไทย แล้วแปลแต่ภาษากฎหมายเหมือนๆกับที่ "น" เคยทำในอดีต... ผลก็คือว่า เราพบความมหัสจรรย์ของภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากฎหมาย นั่นก็คือว่า "ต่อให้คุณรู้ศัพท์ทุกคำ และอ่านมันเข้าใจหมด แต่คุณก็ไม่มีทางที่จะแปลมันได้ เพราะว่า คุณจะงง เรียงลำดับคำศัพท์ เป็นภาษาไทย ไม่ถูก แปลๆไป คนไทยก็อ่านไม่รู้เรื่อง..." เราเลย "นั่งงง"  อยู่กับภาษากฎหมายอยู่ตั้งหลายเดือน จนในที่สุด จากการพย่ายามเรียงลำดับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เป็นไทย แล้วสลับไปสลับมาจนใกล้จะบ้านั้น เรากลายเป็นได้ทักษะ writing แบบนี้ "น" เรียนมา โดยไม่รู้ตัว  นั้นก็เพราะว่า การที่เราจะแปลอังกฤษเป็นไทยได้นั้น เราโดนสถานการณ์บีบบังคับว่า ต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษก่อน แต่เขียนมันโดยเปลี่ยน sentence structure types ให้มันกระจุยกระจายคล้ายๆภาษาไทย แทนที่จะเขียนให้มันกระชับเหมือนภาษาอังกฤษนั่นเอง แล้วเรานึกถึง "น" เพื่อนเราขึ้นมาได้ทันที แล้วร้องอ่อว่า "เขาแปลเอกสารกฎหมายจากอังกฤษเป็นไทย ยากๆ โหดๆ มามากกว่า 10 ปี แล้วแถมยังมีความรู้ grammar แบบเรียนเจาะลึก มิน่าล่ะ เขาถึงมีทักษะ writing ระดับอัฉริยะ เทพจริงๆเลยหละ....!!" นี่ขนาดความรู้เรื่อง grammar เรามีแค่หางอึงนะ เราอ่านๆภาษากฎหมายไปหลายๆปีเข้า ทั้งๆที่เราไม่เคยเรียนเรื่อง clauses นะ เรายัง พอที่จะจับทางได้ว่า วิธีการชำแหละประโยคภาษาอังกฤษ เพื่อเปลี่ยน sentence structrure types ไปเรื่อยๆ ให้มันเขียนพลิกแพลงได้หลายๆ patterns หรือ constructions  ได้แต่โดยให้มันมีความหมายเหมือนๆกัน ได้ และทักษะในการแปรรูป sentence structure types อันนี้ก็ "เป็นอาวุธอันสำคัญสุดยอดของนักแปล" แล้วเราก็นึกถึง John Grisham ว่า "มิน่าล่ะ นักกฎหมายฝรั่งคนนี้ มันถึงกลายเป็นนักเขียนระดับเทพไปได้จริงๆ" นั่นก็คือว่า ภาษากฎหมายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษโดยนักกฎหมายฝรั่งนะ มันรวมสารพัด sentence structure types ที่หลากหลายพลิกแพลง เป็นกระบวนท่าเพลงที่พิศดาร ล้ำเลิศเอามากๆเลย ทีเดียวหละ...!!???... นี่ถ้าเราเรียนพวก syntax แบบเจาะลึกกว่านี้นะ เราคงไปถึงดวงดาวได้แน่ๆเลยทีเดียว จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 12:00:11

ความคิดเห็นที่ 76 "แต่เราก็ยังขี้เกียจอยู่นั่นแหละ แล้วตอนนี้เราเล่นเรียนลัดอ้ะ" เรารู้สึกว่าจะได้ผลสำหรับเรานะ แต่เราแค่เล่าให้ฟังว่าเราทำอย่างไร แต่ไม่แนะนำให้คนที่เพิ่งเรียนในระดับต้นๆ ใช้วิธีเรียนลัดแบบเรานะ เพราะมันไม่เหมาะสำหรับคุณ แต่เดี่ยวเราจะแนะนำวิธีการ ที่มันง่ายกว่านั้น สำหรับคนเรียนระดับต่ำๆกว่านั้นให้ วิธีการที่เราเรียนลัดก็คือ มองหาจุดอ่อนของตัวเอง ว่าอ่อนเรื่องไหน (แต่พูดเหมือนคุณแอ๊ด ปากเกร็ดในอีกกระทู้ว่า ผมอ่อนเรื่องอะไรผมไม่บอกเพราะกลัวคนล้วงตับเอาน่ะ) แล้วเราเริ่มเรียนเฉพาะเรื่องที่เราอ่อนมากๆที่สุดเป็นลำดับแรก จากนั้น เวลาเราอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มยากๆที่เราพยายามจะแปลมันส่งสำนักพิมพ์ เราจะ "แยกธาตุมัน" คือเราจะจับประโยคภาษาอังกฤษที่มีโครงสร้างคล้ายๆกัน เอาไว้ตามหมวดหมูเช่น ใช้ punctuation คล้ายๆกัน ใช้ tenses คล้ายๆกัน แล้วพยายามเก็บรวบรวม collocations กับ similes และ metaphors แปลกๆที่นักเขียนดังๆวาดลวดลายเขียนมา เก็บสะสมเอาไว้ (ใช้ software บางตัวช่วยจัดเก็บ) โดยไม่จดคำแปลเลย เพราะถ้าเจอศัพท์ยากๆเราก็เคาะคอมพิวเตอร์หาใหม่ได้ เนื่องจากเราไม่ใช้ dictionaries เป็นเล่มๆเลย ใช้เป็น software กับ online dictionaries หมดเลย จากการสะสมรูปประโยคพวกนั้นเราก็จะใช้ google หาประโยคที่ฝรั่งเจ้าของภาษาเขียนไว้มาศึกษาอีกด้วย จากการทำเช่นนั้นไป 6 เดือน แล้วเราลองไปรับงานแปลไทยเป็นอังกฤษมาทำให้ พบว่า "เราคิดหาทางหนีทีไล่ในการเขียนประโยคภาษาอังกฤษให้พลิกแพลงได้ไวกว่าเดิมอีกหลายเท่า" ตอนนี้ถึงจะเรียนลัดอย่างไร แต่ก็ยังต้องค่อยๆเรียนเรื่อง grammar ใน topics ที่เรายังมีจุดอ่อนเพื่อแก้ไขมันไปเรื่อยๆ แถมยังจะต้องไปรกสมองปัดฝุ่นตำรา Phonetics and Phonology มาลองกัดฟันเรียนใหม่อีกรอบ เพราะอยากจะเรียนรู้เรื่องอื่นๆนอกจากเขียนด้วย แต่ยอมรับตรงๆว่าเรียนๆไปก็ขี้เกียจเหมือนกัน สู้ไปเคาะสนิมเรียนภาษาจีนกลางใหม่ให้พอใช้สื่อสารเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันได้ มันจะง่ายกว่านี้   การเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งครบทุกทักษะ มันทำได้ยากมากๆ ถ้าคนไม่รักจริงอย่างเรานี้ คือเรียนเพื่อใช้ภาษาไปหาเงินน่ะ "มันเหมือนกลืนยาขมหม้อใหญ่จริงๆเลยหละ" แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 12:21:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 12:14:05

ความคิดเห็นที่ 77   มารอ อ่านครับ (เป็นกำลังใจให้ครับ) ปล. คิดว่า อ.สงวนเก่งมากๆเหมือนคุณหมอดูแหละครับ เคยได้ยินมาว่าแกเล่นไม่หลับไม่นอนหลายเดือนเพื่ออ่าน&พิมพ์ตำราอังกฤษจนเป็นโรคหัวใจจะไม่เก่งได้ไงหละครับ จากคุณ : pataster เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 12:21:44 A:194.94.72.19 X:

ความคิดเห็นที่ 78 ตอบ #72 "น" เพื่อนเรารู้วิชา phonetics พอที่จะอธิบายได้ว่า intonation แบบไหน ทำให้ประโยคภาษาอังกฤษแบบไหนมีความหมายต่างกันออกไปอย่างไร โดนกรองคำ ต้องหยอดทีละช่วง "น" พูดภาษาอังกฤษถูกธรรม:-)ยถึงรูปประโยคถูกต้อง) และสำเนียงดีมากๆ แต่ก็ยังไม่ได้ระดับ native speaker แต่ writing เขาเก่งเกินธรรมดาจริงๆ...แต่นี่เราไม่ได้เจอเขาตั่ง 10 กว่าปีแล้ว ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจพูดชัดกว่าเดิมอีกตั้งหลายเท่า เพราะเขานั่งทำงานกับ journalists ฝรั่งหลายๆคนมานานมากๆ ตั้งแต่เรากับเขาเจอกันครั้งสุดท้าย แล้วเรื่อง ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน vs. อ่าน-เขียน-ฟัง-พูด ทำไมช่วงนี้ หัวข้อนี้เยอะจัง ตามกระทู้นี้นะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8348554/K8348554.html เราจำเป็นที่จะต้องพูดถึงมันเหมือนกัน เพราะว่า เรากำลังจะพูดถึง "ต้นทุน" ที่คุณต้องมีอยู่เดิม และ "วีธีการแสวงหา" ในรูปแบบของ building blocks แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 12:47:04 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 12:45:35

ความคิดเห็นที่ 79 "ต้นทุนต่ำสุด" ที่คุณต้องมี ก่อนที่คุณจะเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมาตั้งกระทู้ ถามว่า เรียนสอบ toefl ที่ไหนดี เรียนฟังที่ไหนดี เรียนพูดที่ไหนดี ก็คือรู้ defining vocabulary ประมาณ 2,000 คำ พอที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ Student Weekly รู้เรื่อง ไปดูหน้าตา defining vocabulary ได้ที่เวปนี้ http://www.cs.utexas.edu/~kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html เพราะถ้าคุณรู้ defining vacabulary ขนาดอ่านหนังสือง่ายๆได้ คุณจะเปิด esl dictionaries ได้ คนไทยที่เรียนอังกฤษติดศัพท์ก็เปิดดิก แล้วเรียนไปเรื่อยๆ แล้วพูดผิดเขียนผิดเยอะๆ มันเป็นเพราะเขาเปิดแต่ดิกอังกฤษเป็นไทย   ถ้าใครใช้ esl dictionaries มากๆ แล้วจำตัวอย่างวิธีการเอาคำศัพท์ไปเขียนประโยคให้ถูกต้อง ภาษาอังกฤษเขาก็จะเริ่มผิดน้อยลงเรื่อยๆ จากการมีต้นทุนต่ำสุดนี้ ถึงคุณฟังไม่เก่ง พูดไม่เก่ง แต่คุณจะอ่านรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ และการที่คุณค่อยๆอ่านบทเรียนของฟรีที่ฝรั่งทำไว้บนเวปไปเรื่อยๆ มันมีทั้งบทเรียนฝึกฟัง และพูด และ grammar ค่อยๆเรียนไปเรื่อยๆมันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 13:15:31

ความคิดเห็นที่ 80 คนที่ชอบเขียน essay ให้คนแก้บนเวป แล้วเขียนมา 2 หน้า แทบไม่มีประโยคไหนเขียนถูกธรรมชาติเลยสักประโยคเดียว น่ะ ที่เราแนะนำบ่อยๆว่า "ให้ไปหาหนังสือเรียนเด็ก ม.1 - ม.4 มาอ่านทบทวนใหม่" ซึ่งบางคนอาจขี้เกียจไปหามา เราก็เลยมองๆดูนะ จากตำราหลายๆเล่มที่เรามี (แต่แทบไม่ได้อ่านมันเลย) สำหรับคนที่อ่านหนังสือง่ายๆหรือเผลอๆอ่านหนังสือเรื่องยากๆรู้เรื่องอีกด้วย  แต่ดันพูดผิดเขียนผิดเพียบเลยนะ เราแนะนำ textbook เล่มนี้ให้มันคือ English Sentence Structure Robert Krohn And the Staff of the English Language Institute Ann Arbor  The University of Michigan Press มันเหมาะสำหรับเอาไปเยียวยา คนที่เรียนภาษาอังกฤษแบบชนิดที่ "อยู่ดีๆท่องศัพท์ภาษาอังกฤษมาท่องเป็นคำๆโดดๆ แล้วเอามาเรียงกันเป็นพืดแบบเรียนภาษาจีน แล้วประโยคภาษาอังกฤษมันผิดเพี้ยนหมด เพราะภาษาอังกฤษมันโครงสร้างไม่คล้ายภาษาไทยมากขนาดภาษาจีน" คนไทยคนไหนที่เรียนอังกฤษแบบเอาคำศัพท์มาเรียงกันมั่วๆ แล้วเขียนเป็น essay ยาวๆมาให้คนแก้ แล้วเทวดาก็แก้ไม่ไหวน่ะ ต้องอ่าน textbook เล่มนี้ที่เราขอแนะนำอย่างแรงเลยหละ เนื่องจากว่า มันมี sentence structure types ครบสูตร มากกว่า slot technique ที่เคยมีคนเอามาแจก และระดับความยากง่ายมัน "เท่ากับ ม.1- ม.4 ของหลักสูตรไทยเลยจริงๆ" เพียงแต่มัน เขียนเป็นภาษาอังกฤษหมดเท่านั้นเอง มันเหมาะสำหรับคนที่อ่านหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ถึงขั้น พอรู้เรื่องดี ถึงขั้นรู้เรื่องมากๆ แต่เขียนอังกฤษผิดเพียบเลย เพราะเคยแต่  learn to understand แต่ไม่เคย learn to compose ใช่ มันเป็นโครงสร้างประโยคง่ายๆ แต่ถ้าคุณเขียนภาษาอังกฤษผิดเพียบ คณต้องอ่านมันทุกหน้า และบางคนดันอ่านหนังสือภาษาอังกฤษยากๆไปตั้งหลายปีแล้ว ใครจะกลับมากัดฟันนั่งอ่านหนังสือง่ายๆเด็กๆแบบนี้ คงต้องมีความอดทนมากๆจริงๆนะ เนื่องจากว่ามันมีจำนวนหน้ามากถึง 720 หน้า กว่าจะเรียนแก้ไขให้เขียนถูกพูดถูกนะ มันไมใช่ fast English หรือ slot technique นะ เจ้า 720 หน้านี่มันต้องออกแรงเรียนกันเป็นปีเลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เรียนจบมาแล้ว และใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารรู้เรื่อง แต่พูดผิดเขียนผิดเพียบ ใครจะกัดฟันกลับไปยอมเรียนหนังสือเด็ก? แต่ถ้ามีความอยากแก้ไขให้พูดถูกเขียนถูกมากกว่าเดิม ก็ต้องกัดฟันเรียนมัน (หนังสือเด็ก) ให้ได้ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 13:23:13

ความคิดเห็นที่ 81 ถ้าคุณมีต้นทุนต่ำสุดคือ รู้ defining vocabulary ประมาณ 2,000 คำ จะเรียนจาก Fast English หรือจ่ากครู Kate หรือ อ.ถวัลย์ก็สุดแล้วแต่คุณนั่นแหละ หรือคุณจะกัดฟันเรียนเองโดยการเปิด dictionary อังกฤษเป็นไทย ไล่จำไปเรื่อยๆให้ครบ 2,000 คำ ก็สุดแล้วแต่คุณ แต่ถ้าคุณไม่รู้ 2,000 คำนี้ คุณก็ไปไหนไม่รอดอยู่ตรงนั้น นั่นแหละ เพราะว่า "ไม่มีทางอ่านตำราภาษาอังกฤษที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเจ้าของภาษาเขียนไว้ได้เลย" การรู้ defining vocabulary 2,000 คำ มันจะเป็น building blocks ตัวสำคัญที่ทำให้คุณต่อยอดไปใช้ esl dictionaries ได้ คือ Cambridge Advanced Learner’s Dictionary http://www.dictionary.cambridge.org/ Longman Dictionary of Contemporary English http://pewebdic2.cw.idm.fr/ Oxford Advanced Learner's Dictionary http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/?cc=th Collins Cobulid Advanced Learner’s English dictionary http://eedic.naver.com/ เพราะนิยามของคำศัพท์ใน esl dictionary แต่ละเล่ม เขาเขียนด้วยคำศัพท์ง่ายๆ ไม่เกิน defining vocabulary 2,000 คำที่ว่านี้ และในตอนแรกๆที่คุณรู้ศัพท์ 2,000 คำ แต่ใช้มันผิดๆ (มันไม่ง่ายเหมือนเรียนภาษาจีนแล้วเอาศัพท์ไปเรียงกันเลยแบบไทยๆ แต่แค่สลับ adjective กับ noun เดาๆไป ยังมีโอกาสเดาถูก แต่ในภาษาอังกฤษเดาๆไป เขียนประโยคผิดเพียบเลย) ดังนั้น เราจึงต้องใช้ esl dictionaries เพราะมันช่วยทำให้เราใช้คำศัพท์เป็นกลุ่มๆ ที่เรียกว่า collocations ได้ถูกต้อง เนื่องจากคำศั่พท์ภาษาอังกฤษเกือบทุกคำ "จะมีพฤติกรรมเฉพาะตัว ที่ถ้าผู้เรียนไม่เคยเห็นเจ้าของภาษาใช้งาน ก็จะไม่มีทางเดาถูกว่ามันใช้เป็น collocations ยังไงได้บ้าง" คนที่ท่องศัพท์จากดิกอังกฤษเป็นไทย ส่วนใหญ่จะสร้างประโยคไม่ถูก จะพูดจะเขียนได้ถูกต้องขยับไปใช้ esl dictionaries ให้ได้ และการอ่านและทำแบบฝึกหัดหนังสือ English Sentence Structure ให้ครบ 720 หน้า คุณจะเริ่มเรียนรู้วิธีสร้างประโยคภาษาอังกฤษ จากประโยคง่ายๆ ไปเรื่อยๆ จนสามารถขยับไปเรียนเขียนประโยคยากๆกว่านี้ จากตำราเล่มอื่นๆที่ยากกว่านี้ ได้ ก่อนที่จะเดินทางไปสู่ความเก่งกาจระดับเทพได้... ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไปคว้าเอาคำศัพท์มาเรียงกันเป็นพืดๆ แล้วแปะบนเวป บอกว่านี้เป็น essay นะคะ ช่วยแก้ให้หน่อยนะคะ แล้วเทวดาก็แก้ไม่ไหว เพราะมันผิดเยอะเหลือเกิน นี่เป็นการเรียนรู้แบบ building blocks คือต่อยอดไปเรื่อยๆ คนที่ค่อยๆเรียนตามลำดับขั้นตอนแบบนี้ จะไม่มาตั้งกระทู้ถามเลยว่า สอบ toefl ต้องเรียนโรงเรียนไหน เพราะจะหาคำตอบได้เอง เพราะอีกหน่อยจะค้นตำรายากๆกว่านี้มาเรียนได้ด้วยตัวเอง... แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 13:49:53 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 13:35:18

ความคิดเห็นที่ 82 ตกลงเท่าที่ปั่นกระทู้มานะ ตอนนี้ "บอกวิธีเยียวยา เรื่องการแก้ไขปัญหาเรื่องการเขียนประโยคภาษาอังกฤษผิดเพียบโดยใช้วิธีการที่เรียกว่า building blocks ไปแล้วนะ" เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าจะไปท่องศัพท์กลุมไหนก่อน และไม่รู้ว่าจะสร้างประโยคง่ายๆได้อย่างไร คุณก็ไปไหนไม่รอด จริงๆแล้วควรเรียนฟัง แล้วพูด แล้วอ่าน แล้วเขียน แต่เผอิญคุณอยู่ในเมืองไทย คุณหาคนมาพูดด้วยยังไม่ค่อยจะได้มากนัก คุณจะเรียนกลับทิศทางโดยการ ตะลุยท่อง defining vocabulary 2,000 คำ แล้วเรียน English Sentence Structure ขณะหัดอ่านหนังสือจากง่ายไปหายาก (สำนักพิมพ์ Penguin น่ะแหละมีหนังสือง่ายๆให้ฝึกอ่านเยอะ) ไปเรื่อยๆ แล้วหัดใช้ esl dictionaries ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยขยับไปเรียนฟัง กับพูดทีหลัง คุณก็ยังมีทางสำเร็จได้ ตอนนี้เผอิญหมดแรงข้าวต้ม ขอไปพักกินเบียร์ก่อน เดี๋ยวจะมาปั่นต่อเรื่อง building blocks สำหรับเรียนฟังกับพูด แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 14:00:21 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 13:57:35

ความคิดเห็นที่ 83 อยากวิ่งไปซื้อเบียร์มาให้จัง จากคุณ : ภาษาที่3 (kikkajack) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 14:16:09

ความคิดเห็นที่ 84 พูดถึง slot technique ลองตามไปอ่านกระทู่นี้ดูน่าสนใจ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8208316/K8208316.html เผอิญในกระทู้ที่ว่านั้น จขกท แนะนำเรื่องที่คล้ายๆกับโรงเรียน Fast English แนะนำว่า ประโยคภาษาอังกฤษมันมีโครงสร้างกี่อย่างที่พอจะสรุปได้ แค่จำไว้แค่ 25 ประโยคหรืออะไรทำนองนั้น แล้วก็เอาไปดัดแปลงพูดเขียนได้...อีกมากมาย.... แต่แท้จริงแล้ว fast English มันไม่ค่อยจะเป็นไปได้ง่ายนัก ในชีวิตจริง เนื่องจาก พอ "คิดในมุมมองของนักคณิตศาสตร์แล้วนะ (ไม่ค้องเป็นนักภาษาศาสตร์ก็คิดได้)"   irregular verbs มีทั้งหมดเกือบ 400 ตัว กว่าจะ conjugate (ผัน) กิริยาให้ครบหมด ทุกรูปแบบ โดยเปลี่ยน pronouns ไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะเรียน subject and verb agreement ในระดับพื้นฐานที่สุดนะ เผลอๆภายในเวลาหนึ่งปีเต็มๆ นะ คนที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤฤษใหม่ๆ ก็ยังจำ sentence structure types พลิกแพลง (เพื่อใช้งานไม่ให้ผิดพลาด) ได้ ยังไม่หมดเลย ...!!! และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมหนังสือ English Sentence Structure ที่เราแนะนำให้คนที่ท่องศัพท์จนอ่าน Bangkok Post รู้เรื่อง แต่เวลาพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษ จะผิดธรรมชาติเพียบเลย ไปเรียนเพื่อทบทวน ภาษาอังกฤษระดับ ม.1 - ม.4 ที่คุณลืมเรียนมา ให้ไปเรียนเล่มนี้แทนก็ได้ ถึงมีเนื้อหา "หนาตั้ง 720 หน้า ยังไงล่ะ" มันไม่ใช่แค่ 25 ประโยค slot technique แล้วจะจบสิ้นกันได้ง่ายๆ เก่งกันได้ง่ายๆ แบบ fast English หรอกน่ะ fast English ไม่มีในโลกนี้อย่างแน่นอน...การเรียนภาษาอังกฤษต้องออกแรงมาก ถึงมากที่สุด...!!! แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 17:32:20 แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 17:19:59 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 17:16:12

ความคิดเห็นที่ 85   ทำไมหนังสือเล่มนี้หายากจังค่ะ??? English Sentence Structure Robert Krohn And the Staff of the English Language Institute Ann Arbor The University of Michigan Press จากคุณ : OrAngE^^ เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 17:22:11 A:210.1.21.132 X:

ความคิดเห็นที่ 86 ^ ^ เราว่าหาไม่ยากนักนะ เรายังหาได้เลย....แต่จะแจกส่งเดชกลัวมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ...................................................................................... เดี๋ยวจะมีตำราดีๆเล่มอื่นๆมาแนะนำอีก เพียบเลย... แต่สิ่งที่เราพล่ามมาก มาทั้งหมดนี้ พอสรุปได้ว่า ธุรกิจการสอนภาษาอังกฤษในเมืองไทย มันชิงดีชิงเด่นกัน ทำทุกอย่างเพื่อให้โรงเรียนทำกำไรมากๆ แต่แท้จริงแล้วไม่มีโรงเรียนสอนภาษาที่ไหนหรอก ที่จะทำให้นักเรียนเก่งระดับเทพขึ้นมาได้โดยตรงกับอีแค่ไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาอย่างเดียวหรอก...คนเก่งระดับเทพ อย่างเช่นเพื่อนเราชื่อ "น" ต้องสรรหาตำราดีๆ จากเมืองนอกมาอ่านกันทั้งนั้น...!!! ครูสอนภาษาอังกฤษหลายๆคนชอบปลอบนักเรียนว่า "ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว" จริงๆแล้วต้องบอกไปตรงๆเลยว่า "ภาษาอังกฤษมันยาก และมันยากตรงไหน และเราจะ handle ความยาก ในทุกๆรูปแบบของมัน ได้อย่างไรต่างหากล่ะ จึงจะ สมเหตุผล" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 19:05:09

ความคิดเห็นที่ 87 คุณแท่นสีมาปั่นกระทู้แล้วพักกินเบียร์ เพื่อเอาแรงมาปั่นกระทู้ต่อหรือขอรับ รีบๆ มาปั่นต่อนะขอรับ ประโยคนี้โดนสุดๆ นะขอรับ "ภาษาอังกฤษมันยาก และมันยากตรงไหน และเราจะ handle ความยาก ในทุกๆรูปแบบของมัน ได้อย่างไรต่างหากล่ะ จึงจะ สมเหตุผล" ------------------------------------------ กรรมจริงๆ ตาถั่วมากๆ เห็นตัวเลขตรงนาทีเป็นโมงไปได้... รีบๆ มาปั่นกระทู้ต่อเร็วๆ นะขอรับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 52 20:38:46 จากคุณ : Canossa เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 20:34:04

ความคิดเห็นที่ 88   คุณพี่หมอดู ชอบดื่มยี่ห้อไหนคะเดี๋ยวหนูวิ่งไปซื้อกับคุณ ภาษาที่3 (kikkajack) มาให้ ช่วยหาร ๆ อิอิ .... จะได้มีอารมณ์กรุ้มกริ่มปั่นกระทู้ต่อ .... ^^^ จากคุณ : Delicious Capsule (Delicious Capsule) เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 52 20:47:34

ความคิดเห็นที่ 89 ยังตามอ่านอยู่เรื่อยๆค่ะ รอ รอ รอ กลับมาเขียนต่อเร็วๆนะคะ จากคุณ : The Starry Night เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 04:28:48

ความคิดเห็นที่ 90 To be good in English... Students need to use English ..24 hours a day...like a camp....and many days at a time....The key is " Practice make the best " The user must think as English not Thai..then translate to English..!. You can watch News...Soap movie.. [ slow and easy words] , Funny movie [ slang words] .By listening every day... will help...by talking every day much better....Thai 's people ..can read well.. listening well....but not speaking clearly... specially..." R " ''L" " Z" " V " "W" "TH " " SH" " CH"... And " Time " that tell..story.. when does it happen ? This is my personal experience..krup. จากคุณ : หอชาย1 เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 09:14:51

ความคิดเห็นที่ 91 เข้ามาตามอ่านครับ มีประโยชน์มากๆเลย จากคุณ : Odengya เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 10:15:05

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณมากๆ ที่จขก.สละเวลามาแบ่งปันประสบการณ์ ตามอ่านมาตั้งแต่เมื่อวานและเข้าไปอ่านกระทู้เก่าๆที่แนะนำให้ไปอ่านด้วย ได้หลักการและข้อคิดในการเรียนภาษาอังกฤษให้ดีมากมาย ได้หลักการเรียนมาแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องออกแรงแล้วค่ะ จากคุณ : Noshka เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 10:52:12

ความคิดเห็นที่ 93   สิ่งที่คุณหมอดูบอกนั้น อาจารย์ผมบอกมานานแล้ว   ล้อเล่นน่ะ ไม่เหมือนกันหรอก การที่ผมเอา รูปประโยคอังกฤษทั้ง 14 มาเล่าให้ฟังนั้น ในความตั้งใจเดิม มันเป็นการเกริ่นให้จับรูปประโยคได้  สำหรับผู้เริ่มต้นหรือยังไม่รู้ทิศทาง มันน่าจะดีที่รู้ไว้ ความจริงมันแค่เริ่มต้น ก่อนการฝึกที่จะตามมา แต่กระทู้นั้นทำให้ผมไม่อยากพูดต่อ.... .... บทสรุป การเรียนให้กับคนที่สนใจ ลองพิจารณาและนำไปใช้ดู ลองคิดเอาเอง ไม่ต้องเชื่อใคร หรือหลักการอะไรหรอก หากเห็นด้วยก็เอาไปใช้ ไม่เห็นด้วยก็ทิ้งเสีย ก็พอ หากผมเขียนผิดพลาด ตกหล่นเนื้อหาสาระไป ขอรับไว้เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับผู้ที่เคยสอนผมมา ------------------------------------------------------------------------- "การฝึกฝน ทำอย่างไรดี? เคร่าๆ  กว้างๆ ในฐานะที่เราไม่ใช่ฝรั่ง และไม่ได้อยู่ในสังคมฝรั่ง จะทำอย่างไร ให้มันได้ผล การฝึกฝนควรอ่านประโยคโต้ตอบ ที่เค้าใช้กันจริงๆ รวมทั้ง Reading** ซึ่งมันจะประกอบด้วย โครงสร้างภาษา และมีศัพท์แล่นอยู่ในนั้น เราจะได้ศึกษามันไปพร้อมกัน ฝึกโดยอ่านโต้ตอบ พูดออกมา ออกเสียง ให้ตัวเองได้ยิน (ตรงนี้เป็นการจำลองการพูดโต้ตอบ)(สำเนียงได้มาจากดูหนังฝรั่งบ่อยๆๆๆ)  อ่านโต้ตอบซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าลัดข้ามขั้น**   แล้วค่อยๆขยายออกไป จนครบทุกโครงสร้างภาษา ผู้ฝึกฝึกนานวันเข้าจะซึมซาบโครงสร้างภาษา จะได้พร้อมกันทั้งหลักภาษา และการใช้ศัพท์ อย่างถูกต้อง ต้องฝึกมากแค่ไหน? ให้ประมาณดูจนได้ศัพท์จากประโยคที่อ่านสัก 5,000-10,000 คำ จะมากกว่านี้ก็ตามใจ ซึ่งจะเห็นว่าประโยคที่อ่านฝึกมันมาก ขนาดไหน มันมากมันใช้เวลาบ้าง แต่อย่าใจร้อน อย่าสักแต่อ่านผ่านๆ พ้นๆไปให้เร็วๆ เพื่อจะให้ได้ผลเร็วๆ  เพราะมันจะพลาด** หากทำตามที่แนะนำ แล้วจะได้อะไร? คุณจะพูดได้ก่อนเป็นอันดับแรก นานวันเข้าจะอ่านรู้เรื่อง  ฟังเข้าใจ และเขียนได้ตามมาในที่สุด " --------------------------------------------------------------------------- คำพูด ไม่หรูวิชาการอะไร เพียงเพื่อ ให้ใครๆก็อ่านรู้เรื่อง เข้าใจง่าย ทำได้ ถ้าต้องการ ไม่ลีลา ท่านที่เคยผ่านมาไม่ว่ามาด้วยแบบไหนวิธีใดก็ตาม ท่านย่อมรู้ว่า อะไรเป็นอะไรอยู่เองแล้ว จากคุณ : Time & Space เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 11:46:12

ความคิดเห็นที่ 94 ตอบ #90 และ#93 เราเคยแนะนำในกระทู้เก่าๆว่า คนที่จะเก่งอังกฤษได้ ต้องเสพย์สื่อภาษาอังกฤษอยู่เรื่อยๆในชีวิตประจำวัน เช่นดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ ยิ่งพ่อแม่ส่งเสริมตั้งแต่เด็กๆ ก็ยิ่งดี..มันทำให้คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษและกล้าใช้มันสื่อสาร แต่จะอย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เรียนอยู่ในเมืองๆไทย ไม่ได้เติบโตมาในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่1 จะพยายามเรียนยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาไหนหรือเรียนด้วยตนเองโดยอาศัยหลักการใดๆจากอาจารย์สอนภาษาท่านใดก็ตาม แต่ผลที่ได้มา ก็มักจะได้สูงสุดแค่ประมาณว่า... "คนไทยส่วนใหญ่ซึ่งทำงานบริษัทที่มีชาวต่างช่าติที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร เป็นจำนวนมาก สื่อสารรู้เรื่องอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังใช้ภาษาอังกฤษผิดๆกันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพูดหรือเขียน" ก็เลยประเด็นหลักที่ได้เพิ่งพูดถึงไปแล้วก็คือ เราเรียนรู้จากการสังเกตการณ์ และสรุปได้ว่า คนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทยได้สำเร็จจนเก่งระดับเทพเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั่วๆไปนั้น "พวกเขาแก้ไขข้อผิดพลาด ให้เหลือน้อยลง หรือไม่เหลือเลย ได้โดยการอ่านตำราภาษาอังกฤษจากต่างประเทศ หลายๆเล่ม" ดังนั้น "ต้นทุนต่ำสุด" ที่ต้องมี ก็คือผู้เรียนจะต้องพยายามอ่านภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องได้ในระดับหนึ่ง (ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นเขาจะยังพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษผิดธรรมชาติก็ตาม)  ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้อ่านตำราภาษาอังกฤษจากต่างประเทศได้ และปรับปรุงตัวเองได้ จนบรรลุระดับสูงสุดได้สมดังความตั้งใจ และไม่ควรหวังพึ่งพาว่า อาจารย์หรือติวเตอร์เก่งๆรายไหนสอนคุณ แล้วคุณจะเก่งสุดยอดได้ ต่อให้เป็นเราสอนคุณ คุณก็ไม่ต้องเชื่อถือว่ามันจะช่วยให้คุณเก่งระดับเทพได้... "ดังนั้น เราจึงไม่ได้มุ่งประเด็นหลักไปวิธีการเรียนการสอนของเรา หากแต่เรามุ่งประเด็นหลักไปที่ แหล่งความรู้ (จากผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเจ้าของภาษา) ว่า มันคืออะไรบ้าง และหาได้จากที่ไหนบ้าง" ตอนนี้จะไปซักผ้าก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วจะมาเขียนต่อ... แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 12:09:21 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 12:00:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 11:52:01

ความคิดเห็นที่ 95   "พวกเขาแก้ไขข้อผิดพลาด ให้เหลือน้อยลง หรือไม่เหลือเลย ได้โดยการอ่านตำราภาษาอังกฤษจากต่างประเทศ หลายๆเล่ม" --------------------------------------------------------------------------- แน่นอนที่สุด แน่นอนอยู่แล้ว ต้องทำแบบนี้สถานเดียว ใคนบ้างที่เอาคนไทยเขียนอังกฤษมาอ่าน โทษนะน้าหมอ  ผมไม่ได้กวน ไปล่ะครับ ป.ล. กระทู้ดีน่าอ่านมากครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 12:16:26 จากคุณ : Time & Space เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 12:10:08

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณ จขกท ที่นำเกร็ดความรู้ดีๆมาเล่าสู่กันฟัง "ภาษาอังกฤษมันยาก และมันยากตรงไหน และเราจะ handle ความยาก ในทุกๆรูปแบบของมัน ได้อย่างไรต่างหากล่ะ จึงจะ สมเหตุผล" ชอบประโยคนี้มากๆ ปล. rep 85 ลองหาในแหล่งเวปอัพโหลดดังๆของต่างประเทศดูนะ ไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ของเถื่อน ถ้าอ่านแล้วโดน อ่านแล้วเข้าใจ อ่านแล้วนี่แหละคัมภีร์ฝึกตนของฉัน ก็เจียดเงินซื้อของจริงมาเก็บไว้ใช้งานมันจะสะดวกกว่าอ่าน Ebook เยอะ จากคุณ : zars เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 12:11:07

ความคิดเห็นที่ 97 เมื่อวานอยากจะไปซื้อเบียร์แทน วันนี้อยากจะไปซักผ้าให้จริงๆค่ะ กระทู้นี้มีประโยคมากๆค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : ภาษาที่3 (kikkajack) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 13:14:55

ความคิดเห็นที่ 98 คาดว่าอีกหน่อยคุณเจ้าของกระทู้จะมีเวลาปั่นกระทู้ดี ๆ มีประโยชน์มาให้อ่านกันได้มากขึ้น ในเมื่อไม่ต้องเสียเวลาปลอบคนใกล้ตัวอีกต่อไป จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 14:32:10

ความคิดเห็นที่ 99 ^ ^ ^ อ้าววว... คุณแท่นไม่ได้ซักผ้าให้คนใกล้ตัวหรอกหรือขอรับ ฮิฮิฮิ /me เผ่นอย่างรวดเร็ว จากคุณ : Canossa เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 15:12:38

ความคิดเห็นที่ 100 ~~~ แอร่ ~~~ จากคุณ : Guga เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 15:20:46

ความคิดเห็นที่ 101 ว้า..ก่อนจะปั่นกระทู้ ต้องปั่นผ้าก่อนซะงั้น จากคุณ : Classic (พระเอกละครหลังข่าว) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 17:47:04

ความคิดเห็นที่ 102 มารอค่ะ กระทู้ดีๆแบบนี้ หามานานแล้ว จากคุณ : ryuzaki เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 20:38:33

ความคิดเห็นที่ 103 ทดสอบ AdSense จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 23:00:38

ความคิดเห็นที่ 104 ^ ^ ทดสอบดู ไม่รู้ว่า pantip จะ ban คำนี้หรือเปล่า? แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 23:03:01 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 23:02:20

ความคิดเห็นที่ 105 ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เราใช้เวลาไปกับการหาสื่อการสอนภาษาอังกฤษเพราะเราอยากจะกลับไปสอนภาษาอังกฤษใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เรามีสื่อการสอนภาษาอังกฤษมากกว่าที่โรงเรียนสอนภาษาดังๆตั้งหลายแห่งมี เราหาได้มาทั้ง ebooks, mp3, video clips และ url's ของ websites ต่างๆมากมาย รวมทั้ง software หลายตัวที่จะช่วยทุ่นแรงได้ ซึ่งเราใช้เวลาทดสอบมันอยู่อย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นที่เรียกว่า "เรามี knowhow พอที่จะทำโครงการ computer assisted language learning" แต่มันก็คงเป็นแค่ค้นคว้าเล่นลับสมองสนุกๆ เหมือนๆกับการเล่นหมากรุกหรือเกมอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันคงจะเอา knowhow ที่ได้มา ออกไปเปิดโรงเรียนสอนภาษาได้ลำบากมากๆ ตราบเท่าที่ยังมีผู้คนเป็นจำนวนมากเชื่อโฆษณาว่า "ภาษาอังกฤษเรียนไวๆแพล็บเดียวก็เก่ง" ไอ้เราจะไปแข่งกับโรงเรียนสอนภาษาดังๆ ก็เห็นทีจะลำบากเพราะต้องใช้เงินทุนมหาศาล ทั้งสถานที่ เครื่องมือเครื่องใช้ ค่าโฆษณาชวนเชื่อ จะมีทางทำได้ก็แต่สอน online โดยใช้เทคโนโลยีระดับสูงๆ และมีโฆษณา AdSense ให้คนช่วยๆกันกดให้เราได้เงิน หรือไปหา sponsors รายอื่นๆมาอีกด้วย ถ้าได้เงินจากค่าโฆษณาเพียงพอ เราน่าจะมีเงินไปจ้างฝรั่งเจ้าของภาษามา chat กับนักเรียนทั่วประเทศไทย ผ่าน msn หรือ skype ได้สบายๆ มันน่าจะทำให้โรงเรียนสอนภาษาที่โฆษณาชวนเชื่อค่อยๆเจ้งไปทีละโรงเรียนจนหายไปหมดในที่สุด แต่มันก็คงเป็นเพียงแค่ความฝัน...เพราะการที่เรามาแบใต๋ว่า "ภาษาอังกฤษมันยากตรงไหน แล้วเราจะ handle ความยากมันได้ยังไง" แล้วพอเราคำนวณเวลาในการเรียนทักษะแต่ละอย่างนั้น ใครๆเห็นแล้วก็ชักจะเบ้หน้า แล้วก็หวังว่า มันจะมีวิธีการเรียนรู้ที่เร็วกว่านี้ แล้วทุกคนก็จะโบยบินไปหาโรงเรียนสอนภาษาที่โฆษณาว่า สอน 30 ชม พูดได้ หรือเมื่อเร็วๆนี้มีมั่นใจขนาดโฆษณาว่า สอน 2 ชั่วโมงพูดเหมือนฝรั่งเจ้าของภาษา" มันก็เลยเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เพราะ "ใครๆก็อยากจะเชื่อว่า fast English มีจริง และเป็นความฝันสูงสุดของพวกเขา" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 00:37:13

ความคิดเห็นที่ 106 ประเด็นสำคัญที่พูดถึงไปแล้ว ก็คือ "วิธีการแก้ไขเยียวยาคนที่เรียนภาษาอังกฤษผิดๆมาโดยการท่องศัพท์เป็นคำโดดๆ แล้วพอสร้างประโยค มันผิดเพียนไปหมด" ซึ่งในเรื่องที่แนะนำไปแล้ว ถ้าเจาะลึกลงไป มันก็จะนำไปสู่วิธีการต่างๆอีกมากมายที่เราได้คิดค้นขึ้นมาสอน reading comprehension ในหลายๆระดับเพื่อต่อยอดออกไปเป็นสอน writing แล้วก็จะเป็นเทคนิคการใช้ computer (software) กับ Internet เข้าช่วย ซึ่งถ้าจะเขียนออกมาให้ครบทุกกระบวนท่าเพลง เราคงต้องอดตายอยู่ตรงนี้ เพราะว่า บทความของเรา ถึงจะช่วยให้คนมองเห็นทางหนีทีไล่ได้ดี เพราะจับประเด็นที่ต้นตอของปัญญาเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่มันก็ไม่น่าจะมีคนทั่วประเทศจ่ายเงินให้เรา มากเท่ากับจ่ายเงินซื้อหนังสือเรียนภาษาอังกฤษของครูเคท เนื่องจากหนังสือของครูเคท ทำการตลาดได้ยอดเยี่ยมในระดับอัฉริยะ  โดยการสร้างความหวังให้คนไทยที่ไม่เก่งภาษา ให้หวังมากๆว่า การเรียนภาษาอังกฤษ ให้เก่งนั้น มันอยู่แค่เอื้อมมือเอง ในขณะที่บทความของเราเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะว่า เราบ่งบอกกระบวนการเรียนรู้ ที่พอใช้วิชาคณิตศาสตร์คำนวณความน่าจะเป็นไปได้ออกมา  มันกลายเป็นว่า "ภาษาอังกฤษ มันยาก แต่เราจะ handle จุดที่ยากๆของมัน แตคุณจะสำเร็จได้ คุณต้องออกแรงเยอะ แล้วก็ใช้เวลาเรียนนาน" ดังนั้น บทความของเรา ถ้าเขียนออกมา แล้วรวมเล่มตีพิมพ์ จะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนกล้าตีพิมพ์หนังสือเรา...เพราะมันไม่มีจุดขาย จุดขายหนังสือเรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทยคือ ... "ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว หนังสือเล่มนี้บอกเคล็ดลับหมด อ่านแล้วเก่งอังกฤษทันควัน" ดังนั้น เราจึงจะไม่ลงลึกในรายละเอียด แต่จะรีบ touch on (พูดสั้นๆ) เกี่ยวกับการหาทางหนีที่ไล่อื่นๆ เพื่อให้ผู้เรียน ได้มาซึ่งทักษะอื่นๆ แล้วรีบๆปิดกระทู้นี้เพื่อไปเรียนศาสตร์แห่งการดูดวงต่อไป เพื่อจะได้รีบๆออกไปทำงานเป็นหมอดูให้ได้ก่อนที่เงินในมือเราจะหมดลงในขณะปั่นกระทู้นี้ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 00:58:44

ความคิดเห็นที่ 107 คราวนี้เราจะกระโดดไปพูดถึง ทักษะการฟัง และพูด และประเด็นหลักที่ผู้เรียนต้องให้ความสนใจ ก่อนอื่นเรามาดูความยากของมัน ประเด็นแรกที่จะพูดถึง 1. เวลาคุณเจอคำศัพท์ภาษาอังกฤษตัวใหม่ อย่าได้ฝันไปเลย ว่าคุณจะผสมพยัญชนะและสระแล้วออกเสียงได้ในเชิงตรรกะแบบของไทย แล้วออกเสียงมันได้ถูกต้อง จริงๆแล้วตัวอักษร 26 ตัวในภาษาอังกฤษ ผสมกัน แล้วออกเสียงบ้ามากๆ ถึงบ้าที่สุด ยกตัวอย่างเช่น คำที่ลงท้ายด้วย -ough อย่างเช่น rough รัฟ though โด (ขอโทษทีแทนเสียง th ด้วยอักษรไทยไม่ได้) through ทรู (ขอโทษทีแทนเสียง th ด้วยอักษรไทยไม่ได้) cough คอฟ -age sabotage พยางค์สุดท้ายออกเสียงเป็น "-อาจ" village พยางค์สุดท้ายออกเสียงเป็น "-อิจ" อันนี้ก็แปลก for ฟอร์ rest เรสท์ พอมารวมกันเป็น forest อ่าน ฟอริสท์ ก็ได้ อ่าน ฟอเริสท์ ก็ได้ เผอิญพิมพ์ภาษาไทยมันออกเสียงไม่ได้ชัด 100% ก็แค่เอาพอเฉียดๆก็แล้วกัน แต่อาจจะเฉียดผิดไกลก็ได้...555+++...แต่จะแก้ไขได้อย่างไร เดี๋ยวจะบอกวิธีให้ นอกจากนี้แล้วมันยังมี stress เน้นเสียง มันไม่ราบแบนเหมือนภาษาไทย อย่างเช่น คำว่า casino ตอนเรียนภาษาอังกฤษใหม่ๆ เราพูดเสียงราบๆเป็น "คาสิโน" แบบไทยๆ พูดไป 5 ที  ฝรั่งก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง หรือ คำว่า garage หรือคำว่า laboratory คนอังกฤษกับคนอเมริกันก็ใส่ stress กันคนละที่ แบบไปกันคนละเรื่องเลย นอกจากนี้แล้ว เวลาฝรั่งเจ้าของภาษา พูดเป็นประโยคช้าๆ กับพูดเร็วๆ เสียงมันไม่เหมือนกัน แต่มันก็มีหลักการที่ค่อนข้างแน่นอนว่า เวลาพยาค์ที่ติดกันมัน link กัน มันจะมีเสียงไหนหายไป และจะมีเสียงไหนเปลี่ยนไป 2. ถ้าเราออกเสียงผิด แล้วเพี้ยนมากๆ เราก็ฟังฝรั่งเจ้าของภาษาพูดไม่รู้เรื่องอีกด้วย เพราะเราจะคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงอื่น ซึ่งมันไม่ใช่ ดังนั้น เราจะแนะนำวิธีแก้ไขเยียวยา "ความยาก" ในจุดนี้ โดยแก้ไขในระดับพื้นฐานมากๆที่สุด โดยจะไม่พูดถึงศัพท์เทคนิกให้เวียนหัว และเราจะแนะนำแหล่งเรียนรู้ จากง่ายไปหายากให้ แหล่งเรียนรู้แห่งแรกก็คือ.... ง่วงนอน ไปนอนก่อน...พอตื่นแล้วจะมาปั่นใหม่... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 01:24:05

ความคิดเห็นที่ 108 Heineken อ่านว่าอย่างไร...ในตู้เย็นมีเต็มไปหมด จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 01:43:39