|
ความคิดเห็นที่ 14 |
(๖)
เมื่อวันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงทำพิธีเปิดโรงพยาบาล "ศิริราชพยาบาล" กรรมการเชิญผู้คนไปมาก พอเห็นว่าตั้งโรงพยาบาลสำเร็จก็พากันเลื่อมใส เพราะการบรรเทาทุกข์เพื่อนมนุษย์ย่อมถือว่าเป็นกุศลกรรมทุกศาสนา แต่นั้นมาคนทั้งหลายไม่เลือกว่าชาติใดหรือถือศาสนาใด ก็มีแก่ใจช่วยโรงพยาบาลด้วยประการต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๗ (พ.ศ. ๒๔๓๐) มีการฉลองรัชกาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียครบ ๕๐ ปี พวกอังกฤษที่อยู่ในกรุงเทพฯประสงค์จะสร้างสิ่งอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติ เขาปรึกษากันเห็นว่าควรจะช่วยสร้างโรงพยาบาลที่รัฐบาลตั้งขึ้นใหม่ จึงเรียรายเข้าทุนกันส่งเงินมายังกรมพยาบาล ขอให้สร้างตึกรับคนไข้ขึ้นในโรงพยาบาลหลังหนึ่ง จึงได้สร้างตึก "วิกตอเรีย" เป็นตึกหลังแรกในโรงพยาบาลนั้น
ต่อมาในปีนั้นเอง เจ้าภาพงานศพพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ ทรงศรัทธาบริจาคทรัพย์ช่วยสร้างตึกรับคนไข้ขึ้นอีกหลังหนึ่ง ขนานนามว่า "ตึกเสาวภาคนารีรัตน์" เรียกโยย่อว่า "ตึกเสาวภาค" เริ่มีตึกขึ้นเป็น ๒ หลัง และยังมีผู้บริจาคทรัพย์พอสร้างเรือนไม้สำหรับคนไข้ได้อีกหลายหลัง ผู้ที่เกื้อกูลในการอื่นก็ยังมีต่อมาเนืองนิจ เลยเกิดเป็นประเพณีถือกันว่าโรงพยาบาลเป็นที่ทำบุญแห่งหนึ่ง
เมื่อพระองค์ศรีฯทรงเห็นว่าโรงพยาบาลศิริราชจะเจริญต่อไปได้มั่นคงแล้ว ก็ทรงพระดำริขยายการกรมพยาบาลต่อออกไป การที่จัดต่างกันเป็น ๓ อย่าง คือ ปลูกฝีดาษให้เป็นทานแก่ประชาชนอย่างหนึ่ง ตั้งโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นที่อื่นอย่างหนึ่ง ตั้งโรงเรียนสอนวิชาแพทย์อย่างหนึ่ง ดั้งพรรณนาเป็นอย่างๆต่อไป
(๗)
การปลูกฝีดาษนั้น มีเรื่องตำนานปรากฎมาแต่ก่อนว่า ดอกเตอร์ บรัดเล มิชชั่นนารีอเมริกัน เป็นนำวิชาปลูกฝีเข้ามาสู่เมืองไทยในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๓ เดิมสั่งพันธุ์หนองฝีที่สำหรับปลูกมาแต่ประเทศอเมริกา ก็ในสมัยนั้นการคมนาคมระหว่างประเทศยังใช้เรือใบไปมา กว่าจะถึงกันนานหลายวัน เมื่อได้พันธุ์หนองมาไม่แน่ใจว่ายังจะใช้ได้หรือไม่
กล่าวกันว่าหมอบรัดเลลองปลูกฝีลูกของตนเองก่อน เมื่อฝีขึ้นได้ดังประสงค์จึงเอาหนองฝีจากแผลลูกปลูกที่คนอื่นต่อๆกันไป แต่ปลูกเพียงฤดูหนาวซึ่งอากาศเย็นหมาะแก่การปลูกฝียิ่งกว่าฤดูอื่น แล้วต้องรอพันธุ์หนองฝีที่จะมาจากอเมริกาคราวหน้าต่อไป แต่การที่หมอบรัดเลปลูกฝีดาษมีคนเชื่อถือมาแต่แรก แม้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็ทรงพระราชดำริเห็นว่าเป็นประโยชน์ ถึงโปรดให้หมอหลวงไปหัดปลูกฝีต่อหมอบรัดเลแลพระราชทานเงินหมอบรัดเลเป็นเงิน ๕ ชั่ง โปรดฯใหพิมพ์หมายประกาศเป็นใบปลิว ๑๐,๐๐๐ ฉบับ แจกจ่ายชวนชาวพระนครให้ปลูกฝี หมอบรัดเลเขียนไว้ในจดหมายเหตุว่า รัฐบาลไทยใช้การพิมพ์หนังเป็นทีแรกในครั้งนั้น
กรมพยาบาลปลูกฝีก็ยังใช้วิธีเก่าเช่นพรรณนามา คือ สั่งพันธุ์หนองสำหรับปลูกฝีมาแต่ยุโรป ส่งมาทางไปรษณีย์มาถึงเมืองไทยได้ในราว ๒ เดือน เร็วกว่ามาจากอเมริกา ใช้โรงพยาบาลศิริราชเป็นสถานปลูกฝี เมื่อปลูกขึ้นแล้ว เลือกดูเด็กที่มีกำลังแข็งแรง จ้างแม่ให้เลี้ยงเด็กคนนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลจนกว่าแผลจะแห้ง คราวละสองสามคน เอาหนองฝีที่แผลเด็กเป็นพันธุ์ปลูกให้คนอื่นต่อไปจนสิ้นฤดูปลูกฝี
แต่ผู้ใดจะให้หมอโรงพยาบาลไปปลูกฝีที่บ้านเรือนของตนเอง ด้วยพันธุ์หนองต่างประเทศก็รับปลูก แต่เรียกค่าปลูกเช่นหมอเชลยศักดิ์อื่นๆ ตั้งแต่กรมพยาบาลรับปลูกฝีก็มีคนนิยมมากมาแต่แรก เพราะราษฎรจะไปปลูกฝีได้โดยง่าย ผู้มีทรัพย์ก็ชอบให้โรงพยาบาลไปปลูกฝี เพราะเห็นเป็นผู้ชำนาญและเชื่อว่าได้หนองฝีที่ดีไว้ใจได้
(๘)
เรื่องตั้งโรงพยาบาลที่อื่นออกไปนั้น ก็อยู่ในวงความคิดของกรรมการมาแต่เดิม แต่เมื่อตั้งกรมพยาบาลแล้วมีเหตุอย่างหนึ่ง เตือนให้รีบจัดด้วยมีผู้ขอส่งคนเสียจริตให้โรงพยาบาลรักษาเนื่องๆ จะรับรักษาในโรงพยาบาลศิริราชก็ไม่ได้ จะบอกปิดไม่รับรักษาคนเสียจริตก็เห็นขัดกับหน้าที่กรมพยาบาล จึงคิดตั้งโรงพยาบาลต่อออกไปที่อื่นพร้อมกับตั้งโรงพยาบาลรักษาคนเสียจริต การตั้งโรงพยาบาลเพิ่มเติม ไม่ยากเหมือนเมื่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช เพราะได้ตั้งแบบแผนในโรงพยาบาลแล้ว หมอและพนักงานก็มีอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชพอที่จะแบ่งไปประจำอยู่โรงพยาบาลอื่นได้
ความลำบากมีอยู่แต่เงินทุนไม่พอที่จะปลูกสร้างเป็นโรงพยาบาลขึ้นใหม่ จึงกราบทูลขอบ้านที่เป็นของหลวง เช่น บ้านเจ้าภาษีนายอากรตีใช้หนี้หลวง เป็นต้น มาแก้ไขเป็นโรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ตั้งเพิ่มขึ้นครั้งนั้น ๔ แห่ง คือ
- ได้ตึกบ้านพระยาภักดภัทรากร(เจ้าสัวเกงซัว)ที่ปากคลองสาน ตั้งเป็นโรงพยาบาลคนเสียจริตแห่งหนึ่ง
- ได้ตึกบ้านอากรดา ที่ริมคลองคูพระนครตรงหน้าวังบูรพาภิรมย์ ตั้งเป็นโรงพยาบาลสามัญ เรียกว่า "โรงพยาบาลบูรพา" แห่งหนึ่ง
- ได้บ้านหลวงที่ปากถนนสีลมติดกับถนนเจริญกรุงซึ่งหมอเฮส์ได้รับอนัญาตใช้เป็นที่รักษาพยาบาลฝรั่งอย่าง Nursing Home โอนมาเป็นของกรมพยาบาลแห่งหนึ่ง
- สร้างโรงพยาบาลใหม่ที่ปากถนนหลวง ตรงกับวักเทพศิรินทราวาส ด้วยเรือนไม้สองชั้นของพระราชทานครั้งงานพระเมรุสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์เป็นที่ว่าการ และปลูกเรือนไม้รับคนไข้เช่นเดียวกับโรงพยาบาลศิริราชแห่งหนึ่ง เรียกว่า "โรงพยาบาลเทพศิรินทร์" แห่งหนึ่ง
ถึงตอนนี้ คนทั้งหลายเห็นคุณของโรงพยาบาลแล้ว พอเปิดโรงพยาบาลที่ไหน ก็มีคนไข้ไปให้รักษาไม่ต้องขวนขวายหาคนไข้เหมือนแต่แรก
(๙)
การตั้งโรงเรียนสอนวิชาแพทย์นั้น เดิมมีความประสงค์สองอย่างคือ จะหาหมอสำหรับประจำโรงพยาบาลต่อไป มิให้ต้องลำบาดกเหมือนเมื่อแรกตั้งโรงพยาบาลดังพรรณนามาแล้วอย่างหนึ่ง ด้วยเห็นว่าหมอไทยแต่ก่อนมาเรียนรักษาโรคแต่ด้วยวิธีใช้ยา ไม่ได้เรียนวิธีรักษาด้วยตัดผ่า(Surgery) จะเพิ่มวิชานั้นให้แก่หมอไทย จึงให้สร้างตึกตั้งโรงเรียนขึ้นที่ริมแม่น้ำหน้าโรงพยาบาลศิริราช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ รับนักเรียนที่สมัครจะเรียนวิชาแพทย์ ให้เรียนวิชารักษาไข้และใช้ยาไทยที่ในโรงพยาบาลศิริราช ให้ดอกเตอร์ ยอช แมกฟาแลนด์ หมออเมริกัน(ภายหลังได้เป็นที่พระอาจวิทยาคม)ซึ่งสามารถสอนด้วยภาษาไทยได้เป็นครูสอนวิธีตัดผ่าและยาฝรั่ง แต่โรงเรียนนั้นยังไม่เป็นผลในสมัยพระองค์ศรีฯและสมัยเมื่อฉันรับราชการต่อมา
จน พ.ศ. ๒๔๓๖ ในสมัยเมื่อกรมพยาบาลขึ้นอยู่ในเจ้าพระภาสกรวงศ์ นักเรียนจึงมีความรู้จบหลัสูตรสอบวิชาได้ประกาศนียบัตร เรียกกันว่า "หมอประกาศนียบัตร" เป็นครั้งแรก มี ๙ คน บางคนกรมพยาบาลให้เป็นหมอประจำโรงพยาบาล นอกจากนั้นไปเที่ยวรับรักษาไข้เจ็บเป็นหมอเชลยศักดิ์โดยลำพังตน
แต่ผลของโรงเรียนวิชาแพทย์ในชั้นแรก ไม่เป็นประโยชน์ได้ดังหวัง เพราะคนทั้งหลายยังเชื่อถือหมอที่เป็นลูกศิษย์ของหมอที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างเดิม หมอประกาศนียบัตรเที่ยวรักษาไข้เจ็บหาผลประโยชน์ไม่พอเลี้ยงชีพ ต้องไปหาการอื่นทำช่วยเลี้ยงตัว บางคนถึงทิ้งวิชาแพทย์ไปหาเลี้ยงชีพด้วยการอย่างอื่นก็มี เลยเป็นผลร้ายไปถึงโรงเรียนด้วยมีคนสมัครเป็นนักเรียนแพทย์น้องลงกว่าแต่ก่อน
โรงเรียนแพทย์มาพ้นความลำบากได้ เมื่อกระทรวงมหาดไทยมีเหตุดังจะเล่าในนิทานเรื่องอนามัย เลือกเอาแต่หมอประกาศนียบัตร ตั้งเป็นแพทย์ประจำหัวเมือง และต่อมาเมื่อกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ทรงจัดการทหารบก ก็เลือกเอาแต่หมอประกาศนียบัตรตั้งเป็นแพทย์ทหาร เพราะรู้วิชาตัดผ่ารักษาแผลอาวุธ แต่นั้นคยก็สมัครเรียนวิชาแพทย์มากขึ้น โรงเรียนแพทย์จึงกลับรุ่งเรือเป็นลำดับมา จนกลายเป็น แพทยาลัย
จากคุณ |
:
หนุ่มรัตนะ
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.ย. 52 18:37:34
|
|
|
|
|