ความคิดเห็นที่ 1 เพราะหวงวิชา     ความรู้มันก็เลยไม่ต่อยอด... จากคุณ : ole (trufa) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 04:15:10

ความคิดเห็นที่ 2 จีน และส่วนอื่นๆ ของโลก ไม่มีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (เหมือนที่ยุโรปทำในสมัยเรเนซองส์) ครับ จีนเลยออกไปแนวปรัชญา ระบบราชการและการปกครอง วรรณคดี อะไรแบบนั้นไปหมด ในขณะที่ยุโรป พอหมดยุคมืด นักคิดนักเขียนก็พัฒนาระบบแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ (การทดลอง การตีพิมพ์ การวิพากษ์งานที่ตีพิมพ์ การต่อยอดและอ้างอิงงานเก่า) ขึ้นมา และความรู้วิทยาศาสตร์ดั้งเดิม (และจากจีนกับอินเดีย) ก็ไม่ได้หายไปไหนในช่วงยุคมืด เพราะฝั่งมุสลิมอาหรับ เก็บบันทึกไว้ให้หมด สังเกตสิครับ พอจากยุคนี้ ความเจริญ เทคโนโลยี และองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของโลกคริสเตียนตะวันตกเจริญแบบก้าวกระโดดเลย ซึ่งเมื่อก่อนหน้านั้นยังล้าหลังจีน อินเดีย และอาหรับอยู่เลย จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 05:57:37

ความคิดเห็นที่ 3 จีน นี่ ต้องเรียกว่า พัฒนา มาเรื่อยๆ ด้วยสปีด เท่าเดิม แต่ทางตะวันตก นี่ เรียกว่า พัฒนาแบบก้าวกระโดด เนื่องจาก สงคราม การแย่งชิงดินแดน การค้า และ การกำเนิดของลัทธิทุนนิยมครับ จากคุณ : เหล่าฟาง เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 09:14:48

ความคิดเห็นที่ 4 คำถามที่ จขกท ถามนี้ Joseph Needham ถามตัวเขาเองเมื่อประมาณ 60 ปีมาแล้ว (หรืออาจก่อนหน้านั้นเสียอีก) จนเขาเริ่มต้นทำการศึกษาเพื่อหาคำตอบให้แก่คำถามเดียวกันกับที่ จขกท ถามน่ะ และต่อมาก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาชั้นนำของโลกเป็นจำนวนมาก เข้ามาผนึกกำลังกันช่วย Joseph Needham ค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้  จนกลายเป็นผลงานทางด้านวิชาการอันยิ่งใหญ่คือ Science and Civilisation in China ตอนนี้ทำไปได้ 27 volumes แล้ว และถึงแม้ว่า Joseph Needham จะจากโลกนี้ไปเมื่อ ปี 1995 ตอนเขาอายุได้ 94ปี ก็ตาม แต่ก็ยังมีคนสานต่อโครงการนี้ Joseph Needham เป็น biochemist และ Professor of Sinology... ไปดูข้อมูลเรื่อง Science and Civilisation in China ได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Science_and_Civilisation_in_China เมื่อเราอ่านผลงานของ Joseph Needham แล้ว คัวเราเองเชื่อว่าเขาต้องเป็นนักพรตเต๋ากลับชาติมาเกิดเป็นคนอังกฤษ...อย่างแน่นอน... ไปอ่านประวัติ Joseph Needham ได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Joseph_Needham ตามข้อความข้างล่างนี้ พอจะสรุปได้ว่า Joseph Needham คิดว่า "ลัทธิเต๋าช่วยส่งเสริมวิทยาศาสตร์ในขณะที่ลัทธิขงจื้อถ่วงความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์" Needham wrote in his Human & his Position that "in fact Daoism was the major contributor in the science development in ancient and the mid-century China. As Fou Youlan said, it is the only mysterious system ever seen in the world that is not counter-science." In Needham's opinion, philosophical and religious Daoism are both part of the natural mysticism. "In a certain period in the world history, it is the denial of mysticism, not the rationalism that help the development of experimental science. " Daoism holds a series of complicated and delicate conceptions that are the basis for all China's subsequent scientific thought. For a long time Needham had been using a simple formula to indicate his research results. That is: Daoism promotes science, whereas Confucianism hinders it. มาจากเวปนี้ http://eng.taoism.org.hk/daoist-world-today/academic-research-on-daoism/pg6-4-8-10.htm แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 11:22:56 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 10:58:06 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 10:55:07

ความคิดเห็นที่ 5 อีกอย่างคือเทคโนโลยีการตีพิมพ์ของยุโรป ทำให้รากหญ้าทั่วไปสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้น(กว่าเดิม) ในขณะที่ จีนและอารยธรรมอื่น ๆ หนังสือยังเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยราคาแพง จากคุณ : Roh_Z เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 12:04:17

ความคิดเห็นที่ 6 จีนมีการพิมพ์ก่อนยุโรปหลายร้อยปี แต่กลับจำกัดในวงแคบ โดยรวมแล้ว ระบบการรักษาอำนาจ กดหัวประชาชน คือปัจจัยอีกอย่างที่ถ่วงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 12:18:16

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเข้าใจเอาเองว่า เกิดจากวัฒนธรรมการแบ่งปันความรู้ครับ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ความรู้ไม่เหมือนอย่างอื่น ยิ่งแบ่งปันกัน แต่ล่ะคนยิ่งมีเพิ่มขึ้น คือทางตะวันตก เวลามีความรู้อะไรใหม่ขึ้นมา ก็จะเปิดโรงเรียน พิมพ์หนังสือเผยแพร่ จะได้มีการวิจารณ์ พัฒนากันอย่างกว้างขวาง ส่วนทางตะวันออกที่ทำแบบนี้ ผมนึกถึงญี่ปุ่น ประเทศเดียว วัฒนธรรมอีกอย่างที่สำคัญคือ ความไม่กลัวจะล้มเหลว คนอย่าง Edison, Steve Jobs + Wozniak, Akio Morita, Frederick W. Smith ฯลฯ คนที่มีแรงใจที่จะทำตามความเชื่อของตัวเอง โดยสามารถรับการดูถูกของคนรอบข้างได้ ทางตะวันออกยังมีจำนวนน้อยอยู่น่ะครับ คิกๆ แค่แมวคิด... จากคุณ : แมวมึน (tutorcat) เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 13:02:05

ความคิดเห็นที่ 8 ความเป็นปึกแผ่นและขนาดที่ใหญ่ของจีนทำให้ไม่มีคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน ทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน ---> ไม่พัฒนา ประกอบกับความเชื่อที่ว่าจีนเป็นศูนย์กลางของโลก นอกแผ่นดินจีนล้วนป่าเถื่อนทั้งสิ้น เมื่อเชื่อว่าตัวเองดีอยู่แล้วก็เลยไม่รู้จะพัฒนาตัวเองไปเพื่ออะไร ในขณะที่ยุโรปมีรัฐเล็กรัฐน้อยมาก แข่งขันกันสูง เพื่อความอยู่รอดทำให้ต้องพัฒนาตนเอง ใครล้าหลังก็ถูกกลืนเหลือแต่รัฐที่เข้มแข็งที่รู้จักเอาวิชาความรู้มาใช้ประโยชน์ จากคุณ : Lowfailer เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 13:03:00

ความคิดเห็นที่ 9 ทุกอย่าง มีข้อดีข้อเสียในตัวครับ อย่างจีน เจริญช้ากว่า แต่ก็สร้างปัญหาให้น้อยกว่าเหมือนกัน หรือ ยุโรป เจริญเร็ว แต่ก็สร้างปัญหาไว้กับโลกใบนี้ไว้ไม่น้อย จริงไหมครับท่าน จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 18:08:05

ความคิดเห็นที่ 10 ปรัชญาของจีน เป็นแนว "ปรัชญาสังคม และการเมือง" ปรัชญาของอินเดีย เป็นแนว "ปรัชญาปัจเจคชน" ส่วนปรัชญาของตะวันตก เป็นแนว "ปรัชญาวัตถุนิยม" สังเกตุไหมล่ะครับ แนวคิดการเมืองในสมัยจีนโบราณ อย่างแนวคิดเรื่อง นิติธรรม ของ สำนักฟาเจี่ย ยังเกิดก่อนสำนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองของตะวันตกร่วมศตวรรษ ส่วนปรัชญาแนวศาสนา ก็เกิดแถวใกล้ๆ อินเดีย เป็นส่วนใหญ่ ส่วนยุโรปมีการพัฒนาแนวคิดวัตถุนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากอำนาจของคริสตจักร ก็ว่าได้ครับ แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 21:39:29 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 21:38:57

ความคิดเห็นที่ 11 คห. 5 เข้าใจผิดแล้วครับ "สมัยราชวงศ์ซ้อง" กระดาษเป็นของหาง่าย และอัตราการอ่านออกเขียนได้ของคนจีนในสมัยนั้น ก็มากกว่าประชาชาติ ในสังคมอื่นครับ แต่เนื่องจากลักษณะสังคมของจีน เป็นแบบที่บอกกล่าวไปแล้ว ใน คห.10 จะไม่ให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง แย่งอำนาจกันแทบจะ 10-20 ปีครั้งได้มั้ง สังคมจีนเป็นสังคมที่มีความต่างกันสูงมาก ตั้งแต่เหนือสุดไปใต้สุด จากตะวันออกถึงตะวันตกของดินแดน ความต่างกันของลักษณะสังคม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของสังคมอยู่เสมอๆ นักปรัชญา นักคิดชาวจีน ส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นไปที่การเมือง และสังคมเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้น ก็มีนักคิดบางท่านที่ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ หลายอย่าง ที่เป็นแบบปรัชญาวัตถุนิยมเอาไว้ด้วย อย่างเช่น เข็มทิศ, กระดาษ ฯลฯ ซึ่งเข็มทิศเองนั้น ก็ได้นำพากองเรือของเจิ้งเหอ บุกตะลุย(เกือบ)รอบโลกมาแล้ว แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 21:48:40 แก้ไขเมื่อ 24 ก.ย. 52 21:45:23 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 21:43:30

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ ตามที่ข้างบนว่าแหละครับ หลักปรัชญาขงจื๊อและแนวคิดแบบตะวันออกมันมีผล ซึ่งอันที่จริงแนวคิดขงจื๊อไม่ได้ให้อนุรักษ์นิยม แต่ถูกฝ่ายปกครองปรับใช้เพื่อหวังรักษาอำนาจขงตนได้ อีกื้งลักษณะการสืบต่อวิชาความรู้ของชาวตะวันออกนั้นจะไปทางการเก็บงำวิชาด้วย ในขณะเดียวกันปรัชญาของพวกตะวันตกนั้นมีการต่อยอดมาจากแนวคิดของพวกกรีซโบราณซึ่งหนักไปในทางการพัฒนาต่อยอดความรู้เดิม ตรงจุดนี้มีผลพอสมควรด้วย แต่ทั้งนี้ การที่จีนล้าหลังไปนั้น มีผลมาจากนโยบายของราชวงศ์ชิง ซึ่งความจริงแล้วในสมัยหมิง จีนมีความแข็งแกร่งสูงมากทั้งการทหาร และวิทยาการ กองทัพเรือของเจิ้งเหอถ้าไปชนกับทัพเรือตะวันตกตอนนั้น เชื่อแน่ว่าฝ่ายตะวันตกไม่อาจสู้ได้แน่ แต่เมื่อเข้ายุคชิง พวกแมนจูต้องการรักษาอำนาจและรวบอำนาจไว้จึงทำให้หลายๆอย่างไม่กระเตื้องนัก โดยเฉพาะในยุคหลังของฮ่องเต้เฉียนหลงมา จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 21:46:18

ความคิดเห็นที่ 13 ฝรั่งมาก้าวกระโดดจริงๆ คือ ตอนที่มี "การปฎิวัติอุตสาหกรรม" มากกว่าครับ และตอนนั้น ทำให้เกิดกำลังการผลิตที่มหาศาล มากจนขนาดทำให้ "มังกร" ยังต้องสยบเลยล่ะครับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 52 21:58:22

ความคิดเห็นที่ 14 ผมเคยสงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน..... ผมขอให้ความเห็นจากการดูหนังหลายๆเรื่องก็แล้วกันนะครับ.. เท่าที่สังเกตดูจากหนังฝรั่ง   จะมีการบันทึกอะไรหลายๆอย่างไว้ เพื่อให้ลุกศิษย์ได้ศึกษาและค้นคว้าต่อ..   ส่วนทางหนังจีน  อาจารย์จะไม่ค่อยบอกอะไรลูกศิษย์มากนัก เก็บงำวิชาไว้  คงกลัว ลูกศิษย์คิดล้างครูมั้ง!!  อะไรๆก็เลยไม่ค่อย....   อีกมุมมองนึงครับ...อย่าว่ากันเน้ออออ.... .. จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 01:41:53

ความคิดเห็นที่ 15 ชาวตะวันตกก็งกวิชาครับ มีสมาคมต่างๆที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ทำอาชีพเดียวกัน เพื่อเก็บรักษาและปกปิดวิชาการช่างของอาชีพนี้ไว้ คนที่ไม่เข้ามาเป็นสมาชิกสมาคมก็อย่าได้หวังจะได้เรียน สมาคมเหล่านี้เรียกว่า Guilds บางสมาคมก็พัฒนาไปเป็นสมาคมกึ่งลับเลยก็มี เช่น Freemasons (ที่แดนบราวน์นำมาเขียนนิยายเล่มใหม่) ก็เป็นสมาคมช่างก่ออิฐมาก่อน ผมคิดเหมือนคุณ Lowfailer ที่ว่าตะวันตกพัฒนาได้เร็วเพราะมีการแข่งขันกันสูง จีนนั้นรวมประเทศได้เร็วมาก และไม่มีคู่แข่งที่เด่นชัด ก็เลยเชื่องช้าในการพัฒนา (stagnate) ความคิดของขงจื้อก็มีส่วน เพราะสนับสนุนให้คนทำตามหน้าที่ของตนที่ถูกกำหนดมาแล้ว คนก็ไม่ขวนขวายหรือไม่เสี่ยงเท่าไหร่ ในทางตะวันตกมีรัฐเล็กรัฐน้อยเยอะมาก ถ้าเจ้ารัฐนี้ไม่สนใจเทคโนโลยีใด ผู้คิดก็ไปหาเจ้ารัฐอื่นได้ ดูง่ายๆว่าโคลัมบัสตอนจะเดินทะเลไปทางตะวันตกก็ต้องเร่ขายแนวคิดของตนอยู่นาน แมกเจลเลนก็เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็มีคนสนับสนุน เทียบกับเจิ้งเหอซึ่งพอฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่สนับสนุนการเดินทะเลต่อก็จบกันทันที แนวคิดเรื่องลำดับขั้นตามธรรมชาติ (Natural Order) ก็มีผลมากครับ ทำให้คนไม่พยายามพัฒนา เพราะถูกสอนมาว่าที่ๆเราอยู่นี่แหละเหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว ทางยุโรปเขาก็เป็นเหมือนกันตอนยุคมืดที่ศาสนจักรครอบงำทางความคิด แต่ตอนที่เขาพัฒนาขึ้นมาก็เพราะคนเริ่มละทิ้งแนวคิดนี้ พยายามสร้างสรรค์ปรับเปลี่ยนสถานะของตน มีการคิดต่างทำในสิ่งที่แตกต่าง กระทบกระทั่งกับศาสนจักรตั้งเยอะในช่วงนี้ แนวคิดเรื่อง natural order มันทำให้ friction ในสังคมมันลดลง ปกครองง่าย แต่การจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าสังคมมันก็ต้องมี friction บ้าง จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 52 02:54:31

ความคิดเห็นที่ 16 จากเรื่องสามก๊ก หมอฮัวโต๋ (ใช่ป่าวคะ) ที่พบว่าโจโฉมีเนื้องอกในสมอง และเสนอจะผ่าให้ แต่โจโฉโกรธมากเลยสั่งประหาร และให้เผาตำราทั้งหมด (ซึงคาดว่าสุดยอดวิชาทั้งนั้น) มีคนแอบเขี่ยออกมาจากกองไฟได้เล่มนึง คือ ตำราตอนหมู อ่ะค่ะ แอบไร้สาระ จากคุณ : superkoy เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 15:01:40