ความคิดเห็นที่ 1   มองแบบนี้แล้วคิดถึงป๋ามาร์กซขึ้นมาเลยนะครับ หุหุหุ คำตอบคือคนใช้แรงงานที่หนักมากสมควรได้ค่าแรงมาก ใช้สมองถ้าใช้มากเพื่อทำให้คนใช้แรงงานทำงานเบาลงอันนั้นก็ใช่ครับ คำตอบของผมจะดูรับทั้งสองฝ่ายนะครับ ยังไงซะผมอยากเห็นแรงงานได้เงินเดือนเยอะกว่าวิศวกรซัก1เท่าตัว ถ้าทั้งสองสิ่งมารวมกันได้ก็จะเป็นเทพเลยครับ ออกนอก กทม นิดนึง ตอนเสด็จท่าน หู จิ่น เทา ประธานาธิบดีของจีนจะมานั่งคล่อมตำแหน่งนี้ได้ เขาเคยเป็นวิศวะกรโยธามาก่อนพอเป็นแล้วก็ไม่ได้นั่งเขียนแบบอย่างเดียว แกถูกบังคับไปเป็นกรรมกรสร้างเขื่อนด้วย คิดไปทำไป ด้วยความดีตรงนี้ เลยถูกป๋า เติ้งนำขึ้นสู่เก้าอี้นี้ได้ ความหล่อและความซื่อสัตย์ไม่พอแถมยังมักน้อยอีก คุณรู้หมว่าเงินเดือนของ ปธ.จีนได้เพียงเดือนละ 3000 กว่าๆเอง เอาไปเทียบกับ ปธ.เกาหลีใต้ที่ได้กันเป็นแสนๆ นิ ฟ้ากับเหวเลยนะครับ ก็อย่างว่านะครับคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้เป็นปีศาจอย่างที่อเมริกาเข้าใจ วิศวะกร+กรรมกร = วิศวกรรมกร (เอ้อดูดี) รักสะบายงานเบามาเป็นวิศวะกร แต่เงินน้อย รักเงินมากมาเป็น กรรมกร เนี่ยสังคมในฝันของชาวปรัชญารึเปล่าครับ แต่ที่แน่ตรงกันข้ามกับสังคมไทยในปัจจุบัน จากคุณ : 1234 เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 06:58:56 A:125.26.146.204 X: TicketID:226796

ความคิดเห็นที่ 2 ..ถึงได้ผลตอบแทนไม่เท่าเทียมกัน ^ ^ ก็นั่นนะซิ ทำไมผลตอบแทนไม่เท่าเทียมกัน หมายถึง  น่าจะ หรือ ควร จะเท่าเทียมกันหรือ อย่างน้อยใกล้เคียงกัน เพราะ หยดเหงื่อ น่าจะมีค่ามากกว่า การคิด หรือมิใช่? มองความเป็นจริง.... แต่ละสังคมแตกต่างกัน  โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ตะวันตกก็เคยมีระบอบชนชั้น  ตะวันออกมีระบอบชนชั้นที่ล้าหลังกว่า ทั้งนี้เพราะ ชัยชนะของวิทยาศาสตร์ได้เกิดขึ้นที่ฟากฝั่งโน้นก่อน และทุนนิยมได้รับการสถาปนา เติบโตพัฒนา รุกรานกระจายไปเขตแดนอื่นๆ ทุนิยมใกล้ตาย อย่างที่มาร์กซ์เห็นหรือทำนายไว้  แต่... มันกลับฟื้นชีพและต่ออายุเรื่อยมาได้  ด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีมายกระดับการเปลี่ยนแปลง สะท้อนไปที่โลกาภิวัฒน์ที่อาศัยการสื่อสารเป็นหัวหอก ก่อเกิดธุรกิจเพื่ออนาคต ณ ตลาดหุ้น ที่อาการโป่งพองอันเป็นมายาทางเศรษฐกิจค่อยๆเผยโฉม  มูลค่าส่วนเกินตรงนี้ที่มาร์กซ์ไม่อาจ เห็นหรือรับรู้ได้...มันคือ การเอาเปรียบโดยจำเป็นของภาคแรงงานสมอง ที่ทิ้งห่างภาคแรงงานปรกติไปอย่างอักโข! แต่นี่ คือ ความเป็นจริงของกระแสหลักการเปลี่ยนแปลง..ของโลก กรณีของจีน  ได้ผ่านความเจ็บปวดจนสามารถสถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้น กลายเป็นสังคมแนวระนาบ  ที่เน้นการกระจายโภคทรัพย์ถ้วนทั่วให้มากที่สุด แต่พบว่า จีนก็ยอมรับในระบบทุนนิยมมากขึ้นแบบ ค่อยเป็นค่อยไป..อย่างเหมาะสม นั่นหมายความว่า นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของศิลปะการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงสังคม ไปสู่สังคมที่ตอบโจทย์.."ถึงได้ผลตอบแทนไม่เท่าเทียมกัน"..นั้นได้ ปัจจัยที่มีผลต่อ การเปลี่ยนผ่านคือ  การศึกษา(เพื่อความเป็นไท)ของปชช. การรักษารากที่เป็นจิตวิญญาณของสังคม(และละทิ้งซากในระบบจารีตประเพณี) รวมถึงทุนนิยมแบบผูกขาด(สุดโต่ง)..(ที่ทำลายระบบหรือองค์รวมของสังคมไปพร้อมกัน) *ไม่ได้พูดถึงสังคมไทย เพราะจะยาว.. จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:34:24

ความคิดเห็นที่ 3   แปลกนะครับ คนพยายามถีบตัวเองให้สูงขึ้น ด้วยการศึกษา เพื่อที่จะได้ทำงานให้น้อยลง แต่ได้เงินมากขึ้น แทนที่เมื่อเราศึกษามากขึ้น เราน่าจะมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้เยอะขึ้น อย่างน้อยก็ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา สมมุติว่าสังคมมีงานเท่าเดิมที่ต้องทำ(จริงๆมันควรจะมากขึ้นด้วยซ้ำ) แต่มีคนที่พร้อมจะสบายมากขึ้นๆ พร้อมที่จะทำงานน้อยลงกันมากขึ้นๆ แล้วปริมาณงานส่วนที่เหลือมันจะไปตกอยู่ที่ใคร ไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่าการศึกษามันจะวิวัฒน์องค์ความรู้ให้สังคม ให้ใช้แรงงานเหนื่อยน้อยกว่าเดิม แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น ถึงผลิตมากขึ้น แต่แดกกันมากขึ้นยิ่งกว่า ทำให้ไอ้ส่วนที่เพิ่มมาจริงๆมันไม่ได้เพิ่มแต่มันลด ผู้ที่กล่าวอ้างว่ามีความรู้(จริงๆมีรึเปล่า มีแค่ไหน ก็ไม่รู้ บางทีอาจมีแต่ดีกรี) สมควรทำงานที่เป็นประโยชน์มากกว่าใช้แรงงาน เอาเข้าจริงๆถ้านับผลผลิตที่ได้จากพวกนี้เทียบกับปริมาณสิ่งที่พวกนี้บริโภค(แดก) จะเป็นผลบวกสักกี่คน(อยากให้มองลึกกว่าแค่ตัวเงินตัวเลข) มีอาชีพมากมายที่คนอยากจะทำ แย่งกันจะเป็นจะตาย ทั้งที่โดยเนื้อหาของมันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้สังคม ไม่ได้สร้างผลผลิต แต่มันเป็นงานที่สบาย ได้เงินง่าย และมีหน้ามีตา กับอีกกลุ่มอาชีพที่ต่อให้ได้เงินเยอะยังไม่มีคนอยากจะทำ ทำไม่ได้ หรือรับไม่ได้ที่จะทำ ทั้งที่มันสร้างประโยชน์ให้สังคมแบบเป็นรูปธรรม และกลุ่มคนที่ต้องมาทำกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิเลือก ด้วยค่าแรงแค่กันตาย จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:10:43 A:203.156.26.232 X: TicketID:097973

ความคิดเห็นที่ 4 พวกที่มีมันสมอง มีความสามารถหยิบฉวยทรัพยากรและโอกาสมากกว่าผู้ใช้แรงงาน มนุษย์มีพัฒนาการเชิงสังคม มักสร้างกฏกติกา ระเบียบวินัย กฏหมาย อันรวมถึงรํฐธรรมนูญ ขึ้นมา เพื่อให้คนทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้ ตรงนี้เป็นเจตนาอันบริสุทธิ์ของส่วนรวมหรือสาธารณะ แล้วก็สร้างออกแบบองค์กรที่หลากหลายหน้าที่ขึ้นมารองรับนโยบาย หรือภารกิจของสังคม ในนามว่ารัฐชาติและรัฐบาล  องค์กรภาคเอกชน และองค์กรอื่นอีกมากมาย (ขอไม่อธิบายขยายความในที่นี้) องค์กรทุกชนิดย่อมมีลักษณะเป็นการปกครอง เป้นการบริหารจัดการมนุษย์และภารกิจในรูปสามเหลี่ยมยอดแหลมเสมอ ไม่มากก็น้อย ผู้มีสมองดีและเหตุปัจจัยอื่นๆ อันเหมาะแก่ความโชคดีอะไรสักอย่าง(ขยายความตามถนัดเลยครับ) มักจะได้รับโอกาสได้รับการสนับสนุนให้ไปอยู่ข้างบนของสามเหลี่ยม ที่ได้รับอำนาจปกครองผู้คนที่อยู่ต่ำลงมา หรือปกครองคนหมู่มากข้างล่างนั่นเอง และในสังคมที่มีคนไม่อยู่ในองค์กร หรือคนนอกองค์กร เช่นชาวไร่ชาวนา เกษตรกรทั้งหลายจำนวนหลายสิบล้านคน คนเหล่านั้นถูกรวบให้อยู่ในรัฐแต่ไม่มีสิทธิประโยชน์ในผลประโยชน์ที่องค์กรตราหรือบัญญัติไว้ ผู้คนนอกองค์กรจำนวนมากมายดังกล่าว มักต้องใช้แรงานทำมาหากินในภาคที่พึ่งพาธรรมชาติ หรืออยู่ในองค์กรโรงงาน ก็ถูกใช้ให้ทำการผลิตชิ้นส่วนที่ไม่ต้องใช้สมองมากมาย และเป็นงานซ้ำซาก ถือใครๆก็ทำได้ กลับมาที่คนชั้นบน คนชนชั้นปกครอง มีอำนาจ(Power) มีคติทางรัฐศาสตร์วลีหนึ่งที่คลาสสิคมาก กล่าวไว้นานแล้วว่า... "Power tends to corrupt, absolute power corrupts absolutely(Lord Acton)" มันเป็นธรรมชาติด้านบวกเชิงปัจเจก(ไม่แน่ใจ) หรือเป็นด้านลบเชิงสังคม ของส่วนลึกในจิตวิญญาณมนุษย์ พอมีอำนาจมากก็ฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์มาก แถมยังรวมหมู่อุปถัมภ์ค้ำชู ออกกฏระเบียบหรือกฏหมายเอื้อกันเอง รวมถึงสมสู่กันเองในวงศ์ตระกูล แล้วก็กลายเป็นการกีดกันเอาเปรียบคนชั้นล่างในองค์กร และคนที่อยู่นอกองค์กร คือชาวไร่ชาวนาชาวสวน และกรรมกรผู้ใช้แรงงานไปโดย กาลเวลาที่ผ่านไป(หรือผ่านมา?) ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด และจะเป็นไปอย่างนี้ตลอดหรือเปล่าล่ะ? ทำอย่างไรให้ช่องว่างแห่งโอกาส ผลตอบแทน และการเข้าถึงทรัพยากรที่มีจำกัด ระหว่างชนชั้นปกครอง คนมีสมอง ผู้ใช้แรงงาน แคบลงได้ล่ะ? แก้ข้อความตกหล่นครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 15:10:53 แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 15:07:39 จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:05:57

ความคิดเห็นที่ 5   รวมกันสร้างเค๊กกันทั้งหมด แต่โดนบางกลุ่มปาดหน้าเค๊กไปกิน หมู ไก่ วัว มีหน้าที่เกิดมาตายเป็นผลตอบแทน แต่คนปาดหน้าเค๊กไปกิน ทรัพยากรโลกมากมาย ไม่พอสนองกิเลสมนุษยชาติ จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 19:23:05 A:58.64.63.10 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 6 ผมขอนั่งรับฟังความคิดเห็นของทุกท่านนะครับ ^_^ แต่ที่หมายถึง "ผลตอบแทนเท่าเทียมกัน" ผมไม่ได้หมายถึง "ผลตอบแทนเท่ากัน" นะครับ ขอให้เข้าใจตรงนี้ตามทุกท่านข้างบนที่เข้าใจกันแล้ว ^_^ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 19:44:24

ความคิดเห็นที่ 7   ตามความคิดของเรานะ การใช้แรงงานกับการใช้สมองทำงาน มันต่างกัน สิ่งที่ต่างกันย่อมต่างกัน ลักษณะการทำงานต่างกัน ผลตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมไม่เท่าเทียมกัน แต่เราว่าการแบ่งลักษณะงานแบบที่คุณกระบี่เก้าเดียวดาย จขกท ตั้งมันไม่ชัดเจน จริงๆ มันควรแบ่งเป็น ๑.งานที่ใช้พรสวรรค์หรือความสามารถเฉพาะตัว กับ ๒.งานที่ใช้ทักษะนั่นก็คือการทำซ้ำจนเกิดความเชี่ยวชาญ เสียมากกว่า ซึ่งงานประเภทแรก มันได้ผลตอบแทนสูงกว่าประเภทหลังเสมอ ที่มันไม่ชัดก็เพราะว่า งานที่ใช้สมองทำงาน ถ้าหมายถึงพวกที่อยู่กับปากกา หรือเอกสาร นั่งคิดที่โต๊ะทำงาน มีอำนาจตัดสินใจ สั่งงานให้คนอื่นไปทำได้ เราว่างานอย่างนั้น เป็นงานที่ต้องใช้พรสวรรค์นะ เพราะคนที่จะอ่านสถานการณ์ต่างๆจากข้อความกระดาษ หรืออ่านจากแบบในกระดาษ จินตนาการสิ่งต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมได้ ก็ต้องมีเซนต์ในทางนั้นๆ บางอย่างฝึกทั้งชีวิตก็ยังไม่ได้ แต่ถ้าเป็นงานที่นั่งโต๊ะ ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ เป็นแรงงานที่ใช้สมองหรือเปล่า นั่งโต๊ะก็จริง แต่เหมือนใช้แรงงานทางกายมากกว่าสมอง งานประเภทนี้ ไปดูเถอะ ค่าตอบแทนก็ไม่เยอะเหมือนกันนั่นแหละ ส่วนงานที่ใช้แรงงาน ถ้าเป็นช่างเทคนิคต่างๆ ก็ใช้แรงงานกายด้วย หรืออย่างนักกีฬาอาชีพ นักร้อง ศิลปิน ค่าตอบแทนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย มหาศาล อีกอย่างอยากจะเสริมว่า ต้องขึ้นอยู่กับสังคมนั้นๆ ด้วย ถ้าสังคมนั้นมีแต่คนทำงานใช้สมอง แรงงานสมองย่อมล้น แรงงานแรงคนย่อมขาด ผลตอบแทนของผู้ใช้แรงกายย่อมสูงขึ้น ยกตัวอย่าง ช่างซ่อมรถ ช่างซ่อมบ้านจิปาถะ พนักงานเสิร์ฟ คนดูแลเด็กซึ่งเราถือว่าเป็นงานประเภทที่ใช้ทักษะน่ะ ถ้าทำที่เมืองไทย ค่าตอบแทนจะน้อยมาก แต่ถ้าไปทำที่อเมริกา รวยนะ งานเนี่ยมีไม่ขาดเลย เป็นที่ต้องการมาก ค่าตอบแทนก็สูงด้วยค่ะ จากคุณ : ชอบแอลกับเจ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 21:26:00 A:24.252.117.83 X: TicketID:177170

ความคิดเห็นที่ 8 Sample Far away from Davos and back at the epicentre of the global financial meltdown, US President Barack Obama has described bonuses paid to Wall Street bankers as "shameful" and the "height of irresponsibility". Mr Obama's attack came after confirmation that Wall Street firms paid more than $20-billion in bonuses last year as the US economy sank into recession. It is a matter of changing a culture of greed on Wall Street. จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 22:33:16

ความคิดเห็นที่ 9 ทำอย่างไรให้ช่องว่างแห่งโอกาส ผลตอบแทน และการเข้าถึงทรัพยากรที่มีจำกัด ระหว่างชนชั้นปกครอง คนมีสมอง ผู้ใช้แรงงาน แคบลงได้ล่ะ?..#4 ตอบ............... 1การศึกษาเพื่อชีวิต ให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และสถาปนาจิตสำนึก 2สร้างระบบตรวจสอบ  เพื่อ คานอำนาจกลไกอำนาจ แล้วมีระบบตรวจสอบย่อยเพื่อตรวจสอบอีกชั้น เพื่อกันการซื้อขายคนที่ทำหน้าที่ตรงนี้ 3สร้างหรือกระจายกลุ่มย่อย เพื่อ สร้างพลังต่อรอง (ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่) 4สร้างหรือมีเวทีสาธารณะ เพื่อ การแสดงความคิดเห็น  อำนาจต้องไม่มาปิดกั้นเสรีภาพตรงนี้ กฏกติกาต้องให้หลักประกันเสมือนเป็นสิทธิอันชอบธรรม  .. 5สร้างค่านิยมแนวระนาบให้เกิดขึ้น มีมากขึ้น เช่น  การเคารพในความแตกต่าง  การเข้ามีส่วนร่วม ไม่ยกย่องคนโกง(เพราะ ไม่เคารพกติกา ใช้คนอื่นเป็นเครืองมือ ทำให้สััังคมอ่อนแอ) *คำตอบ ภายใต้ระบบโครงสร้างทุนนิยม ครับ แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 00:45:22 จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 00:41:22

ความคิดเห็นที่ 10 ผมโปรมาร์กซ์ เห็นด้วยว่า เท่ากัน ไม่เท่ากับ เท่าเทียม จากคุณ : ปฤษณะ เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 02:12:14

ความคิดเห็นที่ 11 ในประเทศอังกฤษสมัยช่วงที่ Harold Wilson (Labour Party) กับ Edward Heath (Conservative Party) แย่งชิงกันเป็นนายก และผลัดกันเป็นนายกอังกฤษกัน ในช่วงที Edward Heath ได้เป็นนายก พวกผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศอังกฤษระดมกำลังกันนัดหยุดงาน เพื่อเรียกร้องค่าแรงเพื่อให้มีรายได้ทัดเทียมกับคนที่ใช้สมองทำงาน คนที่มาระดมกำลังกันนัดหยุดงานมีตั้งแต่คนงานเหมืองถ่านหิน คนเก็บขยะ คนขับรถไฟ พนักงานไปรษณีย์ คนงานในโรงงาน และผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในสายงานอื่นอีกมากมาย จนเป็นเรื่องราวเหมือนกับยึดประเทศทั้งประเทศไว้เรียกค่าไถ่ และพวกเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการ ถึงแม้ว่าในบางสมัย Conservative Party จะได้เข้ามาปกครองประเทศก็ตาม แต่ผู้ใช้แรงงานก็ยังมีรายได้ไม่แพ้คนเรียนจบสูงๆ ยกตัวอย่างเช่น เศรษฐีอังกฤษหลายคน ถ้าไม่ได้สืบทอดมาจากตระกูลรวยๆ แต่เป็นพวกเศรษฐีใหม่ ส่วนใหญ่จะมาจากการทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างมาก่อน เท่าที่เราจำได้นะ อัตราค่าแรงกรรมกรก่อสร้างในกรุงลอนดอนในยุคปี 1987 อยู่ที่ประมาณวันละ 100 ปอนด์ (สมัยนั้น 1 ปอนด์มันประมาณ 50 บาท) คิดเป็นเงินไทยตกประมาณ 5,000 บาทต่อวัน  ซึ่งคนจบปริญญาตรีมาแล้วทำงานในระดับผู้จัดการในบริษัทย่อมๆ ก็ยังได้เงินไม่มากขนาดนี้  นี่มันตั้งหลายปีมาแล้ว ตอนนี้ค่าแรงกรรมกรก่อสร้างในอังกฤษคงจะยิ่งสูงกว่านี้อีกหลายเท่า   ตอนเราอยู่เชียงใหม่ เคยเจอฝรั่งคนอังกฤษคนหนึ่งเป็นกรรมกรก่อสร้างในลอนดอน เขาแต่งงานกับผู้หญิงไทยมีลูกด้วยกัน เขาบินกลับไปกลับระหว่างลอนดอนกับเชียงใหม่ และโดยอาศัยความแตกต่างกันระหว่างค่าครองชีพในอังกฤษกับในไทย แค่ปี สอง ปี เขาก็เก็บเงินซื้อบ้านหลังงามๆในเชืยงใหม่ได้แล้ว ในประเทศไทยจริงๆแล้วเคยมีผู้ใช้แรงงานทำการเรียกร้องแบบในประเทศอังกฤษ แต่มันไปได้ไม่ไกลเท่าในอังกฤษ เนื่องจากนายทุน เช่นเจ้าของโรงงานที่ร่ำรวยได้ด้วยการกดขี่แรงงานจะกลายเป็นผู้เสียหาย เพราะถ้าค่าแรงสูงขึ้น ก็จะไม่สามารถผลิตสินค้าส่งออกไปทำกำไรในตลาดโลกได้  ดังนั้น นายทุนจึงใช้อิทธิพลทางด้านการเงินซึ่งเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ที่มีเอี่ยวกับเผด็จการทหาร ผลที่ตามมาก็คือ "มีการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ใช้แรงงานที่นัดหยุดงาน โดยการยัดข้อหาก่อการจลาจล ผู้นำผู้ใช้แรงงานหนีไปอยู่ต่างแดน หรือหายสาปสูญไป  ทีแรกมีข่าวลือว่า โดนอุ้มฆ๋า แต่ต่อมามีข่าวลือหักมุมว่า พวกนายทุนเอาเงินซื้อตัวให้เลิกเป็นแกนนำประท้วงจนเขามีเงินพอที่จะหนีไปเสวยสุขอยู่ต่างแดน แล้วทอดทิ้งผู้ที่มาร่วมตายกับเขา ให้ตายฟรี" แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 09:49:40 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 09:39:42

ความคิดเห็นที่ 12 ถึงแม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงจากเผด็จการทหารไปเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เนื่องจ่ากรัฐบาลจะอยู่ได้ก็ต้องมี บิ๊กทหารสนับสนุนอยู่ดี ม่ายงั้นก็โดนปฏิวัติ  ดังนั้น ถ้าผู้ใช้แรงงานไทยจะระดมกำลังกันปฏิวัติสังคมแบบที่ผู้ใช้แรงงานในอังกฤษกระทำ มันก็คงไม่ประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ เพราะจะต้องโดนกำลังทหารเข้าปราบอย่างแน่นอน   ถึงแม้การชุมนุมกันโดยสันติจะกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ตาม  แต่นักการเมืองไทยไม่โปร่งใสมากเหมือนนักการเมืองอังกฤษ  นักการเมืองไทยจะส่งมือที่ 3 เข้าแทรกแซง และยัดข้อหาก่อการจลาจลให้กับผู้ประท้วง และจะใช้กำลังทหารเข้าสลาย mob ได้ในที่สุด ดังนั้น การกดขี่ผู้ใช้แรงงานในไทยก็จะมีต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากรายได้ไทย (จริงๆแล้วต้องพูดว่ารายได้นายทุน) ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก และการส่งออกต้องอาศัยแรงงานราคาต่ำๆ  และนายทุนจะมีเอี่ยวกับนักการเมืองมาโดยตลอด ดังนั้น ผู้ใช้แรงงานจึงไม่สามารถปลดแอกตนเองได้ ผลที่ตามมาก็คือ "ไม่มีใครอยากเป็นผู้ใช้แรงงาน" การศึกษาจีงเป็นธุรกิจใหญ่  มีสถาบันการศึกษาที่เรียนยังไงก็ได้ปริญญาผุดขึ้นเป็นดอกเห็นในไทย เพื่อเป็นอัศวินม้าขาวมาช่วยคนเรียนหนังสือไม่เก่ง ให้รอดพ้นจากการเป็นผู้ใช้แรงงาน  ส่งผลให้มีคนจบปริญญาตรี โท เอกจากสถาบันเรียนยังไงก็จบ ออกมาทำงานในหน่วยงานต่างๆมากมายเกลื่อนกลาด เพื่อช่วยสร้างประเทศไทย ให้เจริญลงมากยิ่งๆขึ้น  ตัวอย่างอย่างก็คือผู้คนเป็นจำนวนมากที่เรียนไม่เก่งก็มักจะเลีอกที่จะไปเรียนครูกันในสถาบันที่เข้าไปเรียนได้ง่ายและจบง่ายๆ ประเทศไทยก็เลยมีครูไม่เก่งมากกว่าครูที่เก่งๆ การเล่นปาหี่ (เล่นละครตบตากัน) ในสังคมไทย แท้จริงแล้วเป็นการทำร้ายประเทศไทย ซึ่งมันเป็น "ผลกรรมที่มาจากการกดขี่ผู้ใช้แรงงาน" แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 09:58:03 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 09:57:14 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 09:50:03

ความคิดเห็นที่ 13   fortuneteller เห็นด้วยกับคุณใน คห11นะครับ ประเทศศิวิไลซ์คุณภาพแรงงานเขาดีมากเลยนะครับ ได้ค่าตอบแทนสูง ฝีมือเขาก็พัฒนาขึ้นด้วย เพราะมารยาทดีนะครับอิงริดนิ เขาไม่มีการกดขี่ขูดรีดแน่ครับ นายทุนมันรบกับค่าแรงอยู่แล้วครับ ในไทยไม่อยากเพิ่มมีแต่จะลดครับ กำไรไม่เข้าใครออกใครหรอก นะครับ โมเดลนี้พวกเราต้องร่วมกันฆ่านายทุนเลวสถาปณานายทุนที่ดี ทุกอย่างก็จบครับ พัฒนาทุกมิติ จากคุณ : 1234 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 10:17:17 A:125.26.152.215 X: TicketID:226796

ความคิดเห็นที่ 14   ที่ถูกมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น .. (ในโลกในนี้มี บิล เกต เพียงแค่คนเดียวก็พอที่ฉลาด) ที่ผิดเพราะมันต่างกันเกินไป .. (ในโลกใบนี้มี บิล เกต เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฉลาด) แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 10:57:36 จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 10:57:02

ความคิดเห็นที่ 15 #13 ไม่ใช่ฆ่านายทุนอย่างเดียวหรอกครับ ต้องฆ่าด็อกเตอร์ต่างหาก นักการเมืองเลวๆด้วย คนมีสมองระดับด็อกเตอร์น่ะ ประเทศเรากีดกันกันเอง ค่าเล่าเรียนแพงม๊ากกกก  และไม่ร่วมมือกันทำงาน ในขณะที่ตัวเองก็ไม่มีนวัตกรรมอะไรให้กับประเทศชาติ จึงไม่มีผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์แนวสร้างสรรค์ออกตลาดโลก มีแต่งานวิจัยขึ้นหิ้งบูชา เพราะงานนวัตกรรมต้องร่วมมือกันทั้งกระบวน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ท้ายน้ำ ตั้งแต่การวิจัยตลาด การวิจัยผลิตภัณฑ์ การวิจัยกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ การวิจัยแรงจูงใจพนักงานในองค์กรโรงงาน ระบบเศรษฐศาสตร์ที่พึ่งพาธรรมชาติมากเกินไป ทุกวันนี้อาศัยผลผลิตภาคแรงงานอุตสาหกรรมและผลผลิตภาคเกษตรเลี้ยงประเทศ ซึ่งมีมูลค่าต่ำ ขายด้วยปริมาณมาก เน่าเปื่อยหมดอายุง่าย พึ่งพาดินน้ำลมไฟจากธรรมชาติ ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางปีฝนแล้ง บางที่น้ำท่วม เอาแน่นอนอะไรกับธรรมชาติ เขาหลอกเราด้วยวลีหวานๆ ให้เราเป็นครัวโลก...ทุเรศจริงๆ ส่งผักสดไปขาย... ประเทศที่ฉลาดเขาปล่อยให้เราอยู่เกษตรและธรรมชาติ Agriculture Economy อย่างดีทุกวันนี้ก็เพียงแค่ สินค้าSMEs ผลิตภัณฑ์หัตถกรรม, หัตถอุตสาหกรรม Handcrafts Economy ที่พากันเจ๊งแทบทั้งประเทศ เขามีเศรษฐกิจภายใต้หลังคากันฝนกันแดดได้ คุมอากาศได้ ผลิตสินค้าไม่เน่าเปื่อย Industrial Economy ผลิตไปอีกขั้น คือผลิตระดับ Knowledge Economy ยุโรปร่วมมือกันผลิตอุสาหกรรม ฟุตบอลล์ มาขายทางทีวีแพงมาก คนทั้งโลกคลั่งไคล้ไหลหลง มองทลุกันหรือเปล่าครับตรงนี้ นี่แหละเศรษฐศาสตร์ความรู้/ข่าวสาร/บันเทิง....ยังมีอีกหลายรูปแบบครับ เศรษฐศาสตร์ความรู้ สรุปว่าเราขายของถูก บริโภคของแพง เงินไหลออกประเทศตลอดเวลา ประเทศจนลงๆๆไม่รู้ตัว ผลของความต่างทางระบบเศรษฐศาสตร์ มูลค่าของมัน ทำให้เราต้อง ทำงานหนัก แต่เงินเดือนน้อย (ฝรั่งบอกผมเอง)ไม่มีรายได้พอ จึงต้องคอร์รัปชั่นไงล่ะ เมื่อต้นรัตนโกสินทร์คนจีนนอกนับแสนคน(อ่านประว้ติศาสตร์)มาช่วยไทยทำการค้า ช่างและแรงงาน  ขยันขันแข็ง รวยแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อให้สังคม ลูกเต้าแต่งงานกับคนท้องถิ่น กลายเป็นลูกครึ่งไปมาก คนในตลาดในที่เจริญเมืองในทุกอำเภอทุกจังหวัด จับจองโฉนดที่ทางไว้หมด ล้วนเชื้อสายจีน....จริงหรือไม่จริง? คนท้องถิ่นแท้มีสักกี่ราย นอกจากสมบัติขุนนาง ที่ได้รับมาจากระบบศักดินาโบราณ บางทียังเป็นเชื้อสายขุนนางอากรบ่อนเบี้ยเสียด้วยซ้ำไป มาปัจจุบันเราทั้งหมดก็สู้ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีนใหญ่ จีนเล็กที่ไต้หวัน และสิงคโปร์ไม่ได้แล้ว เกาะสิงคโปร์ไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับไทย นี่เขาสามารถมาซื้อทรายหาดทรายพังงาเป็นล้านๆคิว เอาไปถมทะเลบ้านเขาได้ เพื่อขยายแผ่นดินให้ประชาชนเขาอยู่กัน ผมไปดูงานสิงคโปร์ด้านการเคหะฯเมื่อ๓ปีก่อน เขาบอกผมว่า เขาจะมาซื้อทรายทางใต้ของไทยไปถมทะเล เขาวางแผนจะขยายประชากรจาก๔-๕ล้านคน ไปอีก เป็น๘ล้านคน ตามแผนกลยุทธ์ในอนาคต ตอนเริ่มกระทู้ เรื่องฆ่าคน นายทุน ด้อกเตอร์ ผมก็ยุคุณ1234 ไปอย่างนั้นเอง ไม่ควรทำหรอก หันหน้ามาสมานฉันท์ เลิกคอร์รัปชั่นกันเสียที นวัตกรรมทุกระบบ ช่วยลดคอร์รัปชั่นได้ทางหนึ่งครับ จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 13:24:46

ความคิดเห็นที่ 16 #11  #12.....คุณ  fortuneteller V สรุปความเห็นของคุณ... คุณยกตัวอย่างในอังกฤษ ที่ภาคแรงงานประสบผลสำเร็จต่อการเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม(ปลดแอก) ขนาดเป็นเศรษฐีใหม่ได้ หรือมีรายได้เทียบเท่าผู้จบการศึกษาสูงๆ กรณีเมืองไทย คุณว่า ไม่อาจทำได้เช่นอังกฤษ เพราะ ตัวแปรทหารร่วมกับนายทุน ได้ทำการสลายม๊อบแรงงานโดยข้ออ้างก่อการจลาจล หรือแม้ยุคปชต.ก็ไม่ต่าง เพราะ ข้อหาก่อการจลาจลจะถูกใช้ โดยมีมือที่สามแทรกก่อเหตุ แล้วทหารจะออกมาปราบในที่สุด ดูเหมือนคุณจะสรุปว่า แรงงานในไทยไม่สามารถปลดแอกตนเองได้ เพราะ ถูกกดขี่ จากเศรษฐกิจภาคส่งออก ซึ่งต้องใช้แรงงานราคาถูกๆเพื่อลดต้นทุน จากนั้นคุณก็มาโยงที่ การศึกษาที่ด้อยคุณภาพ  เช่น  มีครูที่ไม่เก่ง เพราะเรียนจบง่ายๆ จากธุรกิจการศึกษา(ขนาดใหญ่) ที่หากินกับคนที "ไม่อยากเป็นผู้ใช้แรงงาน" ทั้งหมด คุณสรุปว่า  เป็นการเล่นปาหี่ ที่ทำร้ายประเทศไทย ซึ่งเป็น"ผลกรรมที่มาจากการกดขี่ผู้ใช้แรงงาน" ^ ^ วิพากษ์.......... ภาพรวม สะท้อน การเมืองไทย และการศึกษา(ที่คุณมองว่าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่) ดูเหมือนว่า ไม่มีใครอยากเป็นผู้ใช้แรงงาน(ในสังคมไทย) ไม่ใช่้เพราะมีการกดขี่แรงงานล้วนๆ แต่เพราะ สังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ เป็นเครือข่ายแนวดิ่งมากกว่าแนวระนาบ ความสัมพันธ์แบบ ช่วยเหลือและเป็นหนี้บุญคุณต่อกัน ประกอบกับ เป้าหมายการศึกษาแต่เริ่มแรก ก็ผลิตคนขึ้นมาเพื่อ รับใช้ชนชั้นสูง มาทำงานในระบบราชการเป็นหลัก ค่านิยมแบบเีรียนไว้สูงๆเพื่อจะได้เป็นเจ้าคนนายคน (แค่นี้ ก็เริ่มปลูกฝังหรือ ปฏิเสธงานใช้แรงงานแล้ว)  เท่ากับว่า ถนนทุกสายของคนรุ่นใหม่ จะมุ่งสู่ ภาคงานสบาย เข้าหาศูนย์กลางอำนาจ แล้วทิ้งรากฐานภาคแรงงานอยู่แล้วโดยปริยาย (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร) คุณมองการเมืองไทยว่า  มีการทำรัฐประหารบ่อย เพื่อ ปราบจลาจลม๊อบ แต่ในกระแสหลักที่มองกัน ก็มองว่า มันคือ การแย่งชิงอำนาจหรือเปลี่ยนถ่ายอำนาจระหว่างกัน ในชนชั้นขุนนาง ระยะหลังก็ร่วมกับนายทุนและนักการเมืองธุรกิจ  และทหารยังคงเป็นตัวแปรชี้ขาด การพลิกผันเกมนี้มาโดยตลอด ผมว่า คุณให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่มากว่า.. มันได้สร้างคนที่ด้อยคุณภาพขึ้นมา ทั้งที่ดีกรีสูงๆมากมาย คำถามคือ แล้วทำไม ประเทศถึงไม่พัฒนาเท่าที่ควร  ผมไม่อยากโทษว่า การศึกษาไทย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำร้ายสังคม ด้วยการสร้างคนแบบง่ายๆ  ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีจิตสำนึก  เพียงเพื่อตอบรับค่านิยมเรือง ปริญญาบัตร..(ซึ่งซ่อนอคติต่อหยาดเหงื่อของชนชั้นแรงงานไว้) ผมเห็นด้วยว่า  เพราะอยากได้ปริญญากัน คือ อยากจบเพื่อเอาไปเป็นใบเบิกทางต่องานสบาย คือ ค่านิยมหนีห่างงานใช้แรงงานกันถ้วนทั่วทั้งสังคม  อีกทั้งครูเก่งๆ ก็หายาก เพราะ เรียนไม่เก่งมาก่อน ที่จะมาเรียนมาจบสายอาชีพครู  ซึ่งคงต่างกับหลายประเทศที่เจริญแล้ว ที่อาชีพครู  มักมีรายได้สูง และเป็นคนที่เก่ง   ถึงจะมาเรียนมาจบมาสอนมาสร้างคนได้ การแก้ปัญหากดขี่แรงงาน  คงต้องมองหรือทำหลายด้าน ภายใต้ขีดจำกัดของระบบทุนนิยม(ไทย) ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก  อย่างมากก็แค่ดีขึ้นหน่อยแบบต่อลมหายใจ   เพราะ ปัญหาที่แท้จริงมันอาจอยู่ที่..ตัวระบบ.. แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 18:12:08 จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 18:07:06

ความคิดเห็นที่ 17 ในประเทศอังกฤษสมัยที่ Margaret Thatcher (Conservative Party) เป็นนายก ผู้ใช้แรงงานก็ผนึกกำลังนัดหยุดงานกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียกร้องค่าแรงเพิ่มขึ้น โดยมีเงื่อนไขเหมือนเดิมว่า "ถ้าไม่ให้ค่าแรงเพิ่ม ก็จะพยายามขับไล่รัฐบาลซึ่งมาจาก Conservative Party ออกไปให้ได้" ... ซึ่งก็นับว่าเป็นขบวนการโดยฝ่ายฝักใฝ่ระบบสังคมนิยม ที่ดำเนินการยึดประเทศเพื่อเรียกค่าไถ่เหมือนที่เคยทำในสมัย Edward Heath (Conservative Party) เป็นนายก ซึ่งก็กลายเป็นฉากเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะคราวนี้แรงงานนัดหยุดงานกันมากมายล้นหลามทั่วประเทศเหลือเกิน และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ขยะที่สุมกันเป็นกองพะเนินเทินทึกในนครลอนดอนส่งกลิ่นเหม็นวายร้าย มีทั้งหนู ทั้งหนอน ทั้งแมงสาป แพร่พันธ์กันไปทั่ว เพราะคนเก็บขยะไม่ยอมเก็บขยะมาหลายเดือนแล้ว แต่ Margaret Thatcher ไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือน Edward Heath ผู้นำจาก Concervative Party สมัยก่อนหน้านั้น ดังนั้น Margaret Thatcher จึงแก้ปัญหาโดยการออกคำสั่งให้ทหารออกมาเก็บขยะ ส่งผลให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านเลิกคิ้วโวยวายกันยกใหญ่ หาว่า "เฮ้ยเล่นผิดกตินะเฟ้ย...!!!" ....เอะอะอะไรก็จะใช้ทหารกันหรือไง? ... เราอ่านหนังสือพิมพ์กับดูข่าวทีวีอังกฤษ แล้วหัวเราะขำจะกลิ้งตาย บอกว่า "โหทำไมไม่ไปดู Thailand ล่ะ...ฮาๆๆๆๆๆๆๆ" แต่ในขณะนั้นประชาชนชาวอังกฤษตาดำๆธรรมดาๆ ถึงแม้ว่าหลายคนจะสนับสนุนผู้ใช้แรงงานก็ตาม แต่ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะขยะมันเหม็นทนไม่ไหวจริงๆน่ะ...ก็เลยไม่รู้ว่าจะถือหางใครเรื่องส่งทหารมาเก็บขยะ เพราะถ้าฝ่ายค้านยอมให้ล้ำเส้นได้แบบนี้ อีกหน่อยนายกก็จะสั่งให้ทหารถือปืนกลกับขี่รถถังออกมามาสลาย mob ซึ่ง mob ไม่ได้ไปทำลายข้าวของ แต่แค่ไป picket คือไปปิดกั้นสถานที่ทำงาน ไม่ให้แรงงานคนอื่นๆเข้าไปทำงานได้.... ก็เลยพอฝ่ายค้านกับประชาชนที่สนับสนุนฝ่ายค้านช่วยกันเดินขบวนคัดค้านกันอย่างรุนแรง แล้วก็ลงเอยเป็นอันว่า "เจ้ากันไป" คือ "ขยะเก็บไปแล้วก็จบเรื่องกัน แต่ห้ามรัฐบาลส่งทหารออกมายุ่งเกี่ยวด้วยอีกนะเฟ้ย...ซึ่ง Margaret Thatcher ก็ยอมหยุดอยู่แค่นั้น" เราจะเห็นได้ว่าจารีตประเพณีบ้านเรากับบ้านเขา มันไม่เหมือนกัน เมืองไทยเอะอะไรก็รถถังออกมาวิ่งเพ่นพ่านแล้ว และกรณีประท้วงใหญ่ระดับประเทศของไทย ส่วนใหญ่ก็มักจะจ้างให้มาประท้วงกัน แล้วก็จะมี มือที่ 3 เข้ามาก่อเหตุการณ์วุ่นวายด้วยเสมอไป เพื่อให้รัฐบาล "ตั้งข้อหาก่อการจลาจลกับผู้ประท้วงได้" โดยไม่ได้มีการใช้วิถีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้น ประชาธิปไตยของไทย มันก็ได้แค่นี้ นั่นแหละ...คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี...หรือเป็นร้อยปี? (หวังว่าคงไม่นานขนาดนั้นนะ)...กว่าจะมีประชาธิปไตย 100 % เต็ม ให้พวกชนชั้นระดับรากหญ้าลืมตาอ้าปากได้บ้าง... แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 18:49:55 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 18:42:42 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 52 18:34:56 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 18:20:45

ความคิดเห็นที่ 18 โดยไม่ได้มีการใช้วิถีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้น ประชาธิปไตยของไทย มันก็ได้แค่นี้..#17 ^ ^ ผมเห็นด้วยนะ มันก็ได้แค่นี้จริงๆ คำตอบ  ผมว่ามันน่าจะอยู่ที่หลุมดำแห่งอำนาจ  .. ที่ เกษียร เตชะพีระ เรียกว่า ชนชั้นนำ "เพราะประชาธิปไตยแบบที่เราเคยมีและมีอยู่เป็นประชาธิปไตยที่ถูกทำให้เชื่องต่อชนชั้นนำ มิฉะนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร ที่มีประชาธิปไตยมาหลายสิบปี แต่บ้านเมืองกลับขาดความเป็นธรรมขั้นพื้นฐาน ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ทรัพย์สินในหมู่คนไทยนับวันยิ่งขยายตัวมหาศาล ภาษีที่ดินเพื่อกระจายที่ดินและภาษีมรดกเพื่อกระจายความมั่งคั่งไม่เคยผ่านสภาออกมาได้ ทั้งที่คนส่วนใหญ่ขาดแคลนที่ทำกินและซุกหัวนอน ไม่มีมรดกทรัพย์สินมหาศาลอะไรจะยกตกทอดให้ลูกหลาน ไหนล่ะที่บอกว่าอำนาจย่อมอยู่ในมือคนส่วนใหญ่ในระบอบประชาธิปไตย?!? ในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภาที่เชื่องต่อชนชั้นนำ้" http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2009q3/2009september04p5.htm จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 15:15:57

ความคิดเห็นที่ 19   เมื่อมองคนเป็นเพียงสินค้า ไม่ได้มองว่าทุกคนก็มีหัวใจ เกิดความไม่เท่าเทียมอย่างรุนแรง ทำให้ไม่มีใครอยากเป็นผู้ใช้แรงงาน สอนให้ทุกคน รักสบาย กลัวลำบาก แบบอ้อมๆ ชนชั้นแรงงาน ที่เหลืออยู่ คือผู้ที่ถูกบังคับทางอ้อม โดยจำยอมเพราะไม่มีทางเลือก งานที่ได้จากคนกลุ่มนี้จึงไม่มีคุณภาพอย่างรุนแรงเช่นกัน เพราะไม่ได้ทำด้วยใจรักไม่ได้เห็นคุณค่าของงานที่ทำอยู่ ไม่เห็นแม้แต่คุณค่าของตัวเองในความเป็นชนชั้นแรงงานด้วยซ้ำ แม้แต่ชนชั้นอำนาจก็ไม่ได้ทำงานที่มีคุณภาพ(ไม่ใช่ทุกคน แต่มากกว่าครึ่ง) สมกับที่กล่าวอ้างว่าตัวเองมีคุณภาพมากกว่า สมควรได้อภิสิทธิในการไม่ต้องใช้แรงงาน และสมควรได้ค่าตอบแทนสูงกว่า เหมือนกับว่าที่ตั้งใจเรียนมา ก็แค่อยากสบายเท่านั้น ดังนั้นการทำยังไงก็ได้ให้ ตัวเองสบาย ก็พอแล้ว หมายเหตุ การทำเงินได้เยอะๆ หาเงินเก่ง ไม่ได้บ่งบอกว่าคุณเป็นคนมีคุณภาพเสมอไป จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 00:22:05 A:203.156.27.81 X: TicketID:097973

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นข้อสอบอยู่รำไร(พึ่งอ่านมาเมื่อคืน ประเด็นนี้เลย) วิสัชนา ว่า ทุกอาชีพควรได้รับผลตอบแทน หักต้นทุนเชิงเศรษฐศาสตร์ แล้วเท่ากัน เหตุที่ผลตอบแทนขั้นต้นไม่เท่ากันเพราะ 1. ต้นทุนความเสี่ยง/รับผิดชอบแต่ละอาชีพไม่เท่ากัน 2. ความยากง่ายในการเข้าสู่แต่ละอาชีพไม่เท่ากัน 3. ความต้องการ/ปริมาณคนในแต่ละอาชีพไม่เท่ากัน อย่างไรก็ดี ถ้าตลาดมีข้อมูลสมบูรณ์ ปริมาณคนในแต่ละอาชีพ ในแต่ละพื้นที่ควรปรับเข้าสู่จุดสมดุลในที่สุด ผู้ที่ใช้แรงงานน้อย ทำงานคุ้มค่าแรงหรือไม่? วิสัชนาว่าในสังคมทุนนิยม นายทุนมีแนวโน้ม "จ่ายน้อยให้ได้กำไรสูงสุด" นายทุนยอมจ่ายสูงๆ เพื่อบุคลากรในวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง ย่อมสะท้อนคุณค่าของบุคลากรผู้นั้นไปในตัวอยู่แล้ว นักบินมีเงินเดือนสูงมาก ในขณะที่ภาระงานไม่ได้สูงมากนัก เพราะบุคลากรที่สามารถทำงานนี้ได้มีจำกัด แม้อุตสาหกรรมจะลงทุนถึงขนาดให้ทุนเรียนต่อแก่ผู้สอบผ่านแล้วก็ตาม ผู้มีศักยภาพก็ยังมีจำนวนน้อย วิศวกรชั้นดี เป็นที่ต้องการของบริษัทโดยนัยเดียวกัน นอกจากนี้ วิศวกรเป็นผู้ช่วยลดต้นทุนและประสิทธิภาพให้กระบวนการผลิต ปริมาณของเสียที่น้อยลง ทำให้ใช้แรงงานลดลง และ มีคุณภาพที่ดีขึ้น ในกรณีทั่วไป ส่วนต่างที่ประหยัดได้จากความคิดนี้ สูงกว่าค่าแรงงานอย่างมาก(ถ้าประหยัดได้น้อยกว่า ตามทุนนิยมแล้ว วิศวกรคนนี้จะโดนไล่ออก) เหตุใด แรงงานไทยจึงมีค่าแรงต่ำ? ตอบย้อนทางว่า เพราะเราขาดนวัตกรรม และความสามารถทางการแข่งขันในระดับประเทศ เมื่อไม่สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ สินค้าทั้งหลายจึงขายได้ด้วยการกดค่าแรงงานเพียงอย่างเดียว ** เหตุใด คนไม่อยากทำงานแรงงาน? กำปั้นทุบดินว่า เพราะรายได้มันต่ำ และมันก็ต่ำเพราะเราขาดนวัตกรรมนั่นแหละ *** ปัญหานวัตกรรม/รายได้แรงงาน เป็นปัญหาวงเวียน นายทุนไม่มีแรงจูงใจที่จะเพิ่มประสิทธิภาพตราบเท่าที่แรงงานยังถูก และการขาดนวัตกรรมก็กลายเป็นตัวกดค่าแรงในอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนทางแก้ นึกไม่ออกเหมือนกัน.. #15 เขาหลอกเรา หรือเราหลอกกันเองครับ? ครัวโลกเนี่ย? ตราบเท่าที่ยังติดวาทกรรม เกษตรกรรม เป็นกระดูกสันหลังของชาติ มันก็ตกหล่มอยู่ตรงนี้แหละ จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 14:42:04