ความคิดเห็นที่ 1 อ่านเยอะๆ เขียนเยอะๆ ฟังเยอะๆ พูดเยอะๆ แล้วก็เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ แล้วก็ไม่มีเวลาพัก คิดเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 00:15:23

ความคิดเห็นที่ 2 อยากรู้ก็ต้องตั้งใจ อย่างน้อยเรียน ปีสอง ก็น่าจะมีวิชาที่ต้องอ่าน text หลายๆวิชาอยู่ ยกเว้นเรียน major ภาษาไทย   ก็ฝึกอ่าน ฝึกฟัง ฝึกเขียน จากคุณ : oakemon เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 00:29:13

ความคิดเห็นที่ 3 ปีสอง ยังมีเวลา... ดูเราสิ  ปีสุดท้าย มานั่งท่องยิกๆๆๆ ท่องจนกระทั่งเก็บไปฝัน พูดเป็นภาษาอังกฤษเลย เพ้อไปใหญ่แล้วช่วงนี้อ่า.. -*- แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 00:39:08 จากคุณ : Antonymer เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 00:38:42

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ใช่ใช้บ่อยๆจนชินแล้วเก่งเอง ต้องชินกับการใช้ภาษาที่ถูกต้องด้วย อย่างคนไทยที่มาทำร้านอาหารในต่างประเทศ ใช้ภาษาอังกฤษทุกวันแต่ใช้ผิดๆในแบบอย่างที่คิดเอาเอง กลายเป็นใช้ผิดจนชินแก้ยากเข้าไปใหญ่ การสร้างพื้นฐานภาษาอังกฤษควรเริ่มจากการอ่าน เพราะถ้าคุณพูดหรือเขียนโดยไม่มีพื้นฐานที่ดีการใช้ภาษามักจะผิด ทำผิดบ่อยๆกลายเป็นสร้างความเคยชินผิดๆ ส่วนการอ่านคุณสามารถเลือกอ่านจากผู้เขียนที่ใช้ภาษาถูกต้องได้ไม่ยาก ดังนั้นคุณจะสร้างความเคยชินกับการใช้ภาษาที่ถูกต้อง เมื่อชินแล้วจึงเริ่มหัดพูดหรือเขียนเพื่อนำความเคยชินนี้ไปใช้ แนะนำให้รับหนังสือพิมพ์ Bangkok Post มาอ่านทั้งเล่มทุกวัน ถ้าอ่านได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายรับรองเก่งภายในเวลาไม่เกินสองปี หนังสือพิมพ์ดีเพราะว่าภาษาได้รับการตรวจจาก Editor มาแล้วว่าใช้ถูกต้อง อีกทั้งแต่ละ column เขียนโดยนักเขียนคนละคนจึงมีความหลายหลากของ style การเขียนและคำศัพย์สำนวน ทำให้คุณใช้ภาษาได้กว้างขึ้น เรื่องเขียนเอาไว้ที่หลังเพราะถ้าคุณอ่านจนชินกับสำนวนและคำต่างๆ instinct ในการเขียนมันจะมาเองโดยไม่รู้ตัวโดยทั้งการใช้ grammar และการแต่งเนื้อเรื่องด้วย ที่สำคัญคือคุณจะเขียนหรือแปลได้เร็วมากเพราะคุณเขียนขึ้นมาจากความเคยชินไม่ต้องไปเปิด dictionary หรือนึกหลัก grammar ให้เสียเวลา นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียนเลย การเขียนเร็วจะทำให้ความคิดมันต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกขัดจังหวะกับการต้องไปเปิดตำรา เมื่อคุณอ่านเขียนได้ดี คำศัพย์และสำนวนคล่อง การฝึกพูดและฟังจะง่ายขึ้นมากเพราะคุณจะเดาได้ง่ายขึ้นว่าเค้าควรจะพูดอะไร การใช้ภาษาได้เร็วและต่อเนื่องจะทำให้คุณจีบแอร์ได้ง่ายขึ้นเพราะคุณจะได้ใช้สมองทั้งหมดในการหาข้อแก้ตัวแทนที่จะต้องมากังวลเรื่องภาษา ทำให้เราลื่นได้เหมือนปลาไหล แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 05:03:41 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 03:51:23 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 03:39:36 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 03:37:51 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 03:24:53 จากคุณ : Tisco fan เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 03:09:30

ความคิดเห็นที่ 5 ต้องเริ่มจากเป็นแฟนนักบินก่อนครับ อิอิ จากคุณ : นายอึเหม็น เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 08:08:22

ความคิดเห็นที่ 6 ~TuTiniE~ ถ้าสมมติยังไม่ไหวกับ Bangkokpost ทุกวันวันละ 1 ฉบับ ตามที่คุณ Tisco fan (เดี๋ยวตาลายไปก่อน) อาจเป็น 2 ฉบับต่อ 1 สัปดาห์ก็ได้นะครับ หากว่าพื้นฐานไม่แน่น http://www.voanews.com/specialenglish website นี้เลยครับได้ทั้งอ่าน และฟังไปด้วย (รวมถึงสำนวนการเขียน และพูดด้วย) ค่อยๆฝึกครับ เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆได้เองเช่นกัน จากคุณ : Me (Mewchan) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 08:12:03

ความคิดเห็นที่ 7   หาเพื่อนที่เป็นต่างชาติ  หรือทักทายคนต่างชาติตามท้องถนนก็ได้ จากคุณ : IKITAI เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 10:09:31

ความคิดเห็นที่ 8 การหัดอ่านไม่จำเป็นจะต้องอ่านเข้าใจทุกคำ และไม่ต้องเปิด dictionary ให้เสียเวลา อ่านตอนแรกๆรับรองว่าอ่านไม่รู้เรื่องเพราะว่าไม่รู้คำศัพย์หลายตัวมาก หน้าหนึ่งเป็นร้อยๆตัว แต่อ่านเพื่อให้ประโยคและคำต่างๆผ่านเข้าไปในหัว เมื่ออ่านบ่อยๆ จะเริ่มเห็นคำเดิมๆในรูปประโยคที่ต่างๆกัน แล้วจะเริ่มเข้าใจความหมายของแต่ละคำจากรูปประโยคที่ใช้ ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องจริงๆให้รับหนังสือพิมพ์ไทยมาอ่านก่อนให้รู้เนื้อเรื่องแล้วค่อยไปอ่านภาษาอังกฤษจะทำให้เดาความหมายของคำได้ง่ายขึ้น การเรียนรู้ศัพย์จากการใช้จริงตามรูปประโยคจะทำให้เข้าใจความหมายได้ลึกซึ้ง เพราะความหมายของคำมักจะแปลผันไปได้ตามรูปประโยค อีกทั้งคุณจะได้รับมาครบยวง คือจะรู้สำนวน และ preposition ที่สามารถนำมาใช้คู่กับคำนั้นๆ รวมทั้งรู้ว่าข้อความลักษณะไหนจึงจะขุดคำพวกนี้มาใช้ได้อย่างเหมาะสม การเรียนความหมายจากรูปประโยคเป็นวิธีเดียวกับเด็กๆเจ้าของภาษาเค้าเรียนกัน คือฟังพ่อแม่พูดคำซ้ำๆกันบ่อยๆจนเข้าใจความหมายขึ้นมาเอง ไม่เคยต้องเปิด dictionary เพียงแต่คนไทยมักไม่มีพ่อแม่มาพูดภาษาอังกฤษให้ฟัง จึงต้องอาศัยเริ่มจากการอ่านก่อนการฟังแทน หลายคนไม่ประสพความสำเร็จด้วยวิธีนี้ เพราะอ่านไปสองสามสัปดาห์แล้วก็ยังไม่รู้เรื่องเลยเลิกอ่าน จริงๆต้องดันทุรังอ่านอย่างน้อยสักสามเดือนถึงจะอ่านเริ่มรู้เรื่อง ช่วงแรกต้องถือว่าเป็นการเก็บคำเข้าไปในหัวเฉยๆ แต่พอเริ่มรู้เรื่องและเริ่มชินกับคำต่างๆ การเข้าใจจะเริ่มเร็วขึ้น ถ้าไม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์อ่านเลือกอ่านในสิ่งที่ตัวเองชอบแต่ต้องมาจากแหล่งที่ได้รับการตรวจทานว่าใช้ภาษาได้ถูกต้อง ไม่ใช่ไป chat ตาม internet ซึ่งจะใช้ภาษามั่วๆกันซะเป็นส่วนใหญ่ และควรจะเขียนโดยผู้เขียนต่างๆกันไป การเรียนควรจะสนุกไม่ใช่ทรมาณ จากคุณ : Tisco fan เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 10:27:30

ความคิดเห็นที่ 9 น่าสนใจจัง แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 10:55:46 จากคุณ : หนูมอมแมม เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 10:54:44

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ Tisco fan ผมว่าเป็นวิธีที่ดูดี น่าสนใจมากๆเลยทีเดียวครับ แต่ผมสงสัยคือ ในช่วงแรกที่อ่านเนี่ย คืออ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเปิด dic อย่างบางที่ไม่รู้ศัพท์นี้จริงๆ ก็อ่านไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆทำความเข้าใจไป ใช้ความเคยชิน อ่านบ่อยๆ แล้วตัวเราจะค่อยๆปรับสภาพให้เข้าใจไปเองหรอครับ จากคุณ : ~TuTiniE~ เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 11:18:07

ความคิดเห็นที่ 11 นอกจากภาษาดีแล้ว น้องต้องฝึกบุคลิกให้ดูดีด้วยนะคะ เพื่อนพี่เคยเจอมาแล้ว สอบ toeic ได้ 900 กว่า แต่ตกสัมภาษณ์เพราะเดินหลังค่อม จากคุณ : grippy (grippy) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 15:58:58

ความคิดเห็นที่ 12 ตอบคหที่ 10 ถ้าอยากรู้จริงๆก็เปิด dictionary ได้ครับ แต่ปัญหาคือถ้าเปิดบ่อยๆคุณจะอ่านได้ช้า วันหนึ่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าเดียวก็หมดเวลา ทำให้สร้างความเคยชินกับรูปประโยคไม่ได้เพราะอ่านน้อยไป แนะนำให้อ่านไปทั้งๆไม่รู้เรื่องนั่นละครับให้สำนวนและรูปประโยคหลายๆแบบมันผ่านเข้าไปในหัวก่อน จนถึงจุดที่เริ่มจำได้ว่าเออสำนวนแบบนี้มันคุ้นๆตานะแล้วความเข้าใจความหมายมันถึงจะเริ่ม อีกอย่างคือต่อให้เปิด dictionary ทุกคำแล้วเอาความหมายมาเรียงต่อกันคุณก็อาจจะแปลไม่ออกอยู่ดี เหมือนใช้ google แปล เพราะคำบางคำผันความหมายได้ต่างๆนาๆตามรูปประโยค ไม่มี dictionary เล่มไหนที่ลงความหมายได้ครบหมด ต่อให้ลงครบลิสออกมายี่สิบความหมายแล้วเราจะไปรู้ได้ไงว่าจะเลือกความหมายไหนมันถึงจะเหมาะสมกับประโยคเรา ผมถึงบอกว่าเราควรเรียนความหมายจากรูปประโยคโดยตรงถึงจะอ่านรู้เรื่องจริง ต้องเตือนไว้ก่อนว่าวิธีนี้มันจะเริ่มต้นช้าแต่จะไปเร็วในช่วงปลาย เพราะช่วงแรกสมมุติว่าคุณเข้าใจข้อความ 0 % การตีความหมายจะยากเพราะคุณไม่มีข้อมูลประกอบ พอทำไปเริ่มเข้าใจข้อความ 50% คุณก็นำข้อมูลครึ่งที่คุณเข้าใจมาช่วยตีความข้อมูลอีกครึ่งที่ไม่เข้าใจ ช่วงปลายสมมุติคุณเข้าใจ 90% การตีความหมายของคำ 10% ที่เหลือจะง่ายเพราะข้อมูลรอบข้างคำนั้นจะมีเยอะ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 22:08:13 แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 52 20:49:46 จากคุณ : Tisco fan เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 52 20:49:30

ความคิดเห็นที่ 13   เห็นด้วยกับ ความคิดเห็นที่ 11 อาชีพนี้บุคลิกสำคัญมากพอ ๆ กับความรู้ อย่าว่าแต่ สจ๊วดเลย แค่จะสมัครเป็นเซลล์ เขายังคัดหน้าตาดี ๆ เลย จากคุณ : กิ๊ฟท์ศรี เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 52 07:31:50

ความคิดเห็นที่ 14 "การใช้ภาษาได้เร็วและต่อเนื่องจะทำให้คุณจีบแอร์ได้ง่ายขึ้น..." ต้องโหวตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต..... .. จากคุณ : ไข่ต้มกะนมอุ่น เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 52 11:03:43

ความคิดเห็นที่ 15 กระทู้แนะนำสิจ๊ะ.. จากคุณ : need-dee1 เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 52 12:31:04

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณทุกๆคนมากๆครับ ที่ให้คำแนะนำ ผมจะพยายาม ทำความฝันให้เป็นจริง ------------------------------------------------------ แหมมมมม ผมก็ไม่อยากจะพูดไป เรื่องบุคลิก หน้าไม่ต้องห่วงครับ ผ่านฉลุย 55 ผมประกวดมารยาทงามได้ที่1 ตลอด ตั้งแต่อนุบาล - ป.6  (มีแววแต่เด็ก) งิงิ ผมเป็นคนจะเดินหลังไม่ค่อมนะ เพราะเป้นคนค่อนข้างมั่นใจ ถ้าถ้าจะสมัครสจ๊วต คงต้องพยายามอีกเยอะเลยครับ เพราะส่วนสูงผ่าน แต่น้ำหนัก ต้องเพิ่มอีก 30 กก เพราะตามเกณฑ์เค้า คือ เอาส่วนสูง - 100  จะได้น้ำหนักที่เค้าต้องการ ผมสูง 178 เพราะฉะนั้นผมต้องหนัก 78  (เยอะเกินนนนนนน) แต่ตอนนี้ หนัก 49 เองครับ ต้องหัดว่ายน้ำ เพราะว่ายไม่เป้น คิคิ ภาษาอังกฤษอีกเยอะเลย   เรียกว่าได้คงต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไงผมจะลองสู้ดูครับ สู้ตาย ^^ จากคุณ : ~TuTiniE~ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 01:18:28

ความคิดเห็นที่ 17   ผมก็เริ่มฝึกพูดภาษาอังกฤษตอน ปี2 เช่นกัน... ด้วยสาเหตุที่ว่า ได้คุยกับสาวสิงคโปร์สุดสวย แถมเธอสอนภาษาอังกฤษใน Msn ด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มแรกที่เริ่มพูดอังกฤษ และคิดประโยคคำถาม-ตอบใหม่ ในหัว ถาม-ตอบเพื่อนเป็นอังกฤษบ่อยๆ พร่ำเพ้อพูดอังกฤษอยู่เรื่อยๆ ตอนนี้ก็ดีขึ้นบ้างละ แต่ไม่ถึงขั้นทำเรียงความอังกฤษได้ เพราะรูปประโยคและ Grammar ยังไม่ได้เรื่องอยู่ เหอๆ สุดๆครับ จากคุณ : LILBAZZO เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 52 21:27:09