ความคิดเห็นที่ 2 “รุ่งอรุณแรกในนครปักกิ่ง สายลมพัดแรงเย็นเยือก เมื่อเปิดหน้าต่าง ม่านแพรบางๆสีขาว พลิ้วสะบัดไปตามแรงลม สัญญาณของฤดูหนาวเริ่มแล้ว เพิ่งจะได้สัมผัสกับลมหนาวเมืองจีนคราวนี้เอง กรมอุตุฯ ของนครปักกิ่ง ประกาศว่า อุณหภูมิในตัวเมืองสูงสุด 24 องศาเซนเซียส นอกตัวเมือง 12 องศาเซนเซียส แสงสว่างยังสลัวค่อยๆจางจากความมืดของราตรี ตามกาลเวลาที่ผ่านไป” ช่วงที่ผู้เขียนไปเข้าใจว่าคงประมาณตอนนี้เลยค่ะ ปลายกันยายนเข้าตุลาคม จะเป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิในปักกิ่งลดลงเรื่อยๆตามจังหวะของฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาว โดยส่วนตัวอากาศปักกิ่งค่อนข้างหนาวแห้งค่ะ และไม่ค่อยน่าโสภาเท่าที่ควร ไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดีค่ะ เอาเป็นว่าลองนึกถึงหญ้าใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่รอเวลาจะสูงเสียดแทงขึ้นไปเป็นพงดูนะคะ ยอดหญ้าที่มักจะชี้ตั้งเย้ยฟ้ากลับซุกซบลงบนผืนดินปักกิ่ง ใบที่ควรเขียวชอุ่มค่อนข้างแห้งกรอบออกเหลืองบางต้นด้วยฤทธิ์ของหยดน้ำค้างเวลากลางคืน ยอมจำนนต่ออากาศที่ทารุณ ผิวแก้มของชาวจีนแดงเหมือนลูกมะเขือเทศแปะสองข้าง แต่ไม่ได้แดงแบบขาวอมชมพูตามโฆษณาเมืองไทยนะคะ หากสังเกตดีๆจะมีร่องรอยแตกระแหงเหมือนพื้นดินขาดน้ำน่ะค่ะ “แว่วเสียงแตรรถยนต์สลับเสียงเครื่องยนต์ของรถโดยสารซึ่งมีเส้นทางผ่าน มีทั้งรถใช้ไฟฟ้า ล้อยาง และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล เมื่อเดินออกไปดูที่ถนนใหญ่ มีคนวิ่งยามเช้ามากมาย บางคนใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น บางคนถีบจักรยาน ยิ่งสายจำนวนคนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ บนรถเมล์คนแน่ ได้ความว่ารีบไปทำงาน ส่วนมากคนโดยสารจะซื้อตั๋วเดือนเพราะจะถูกกว่า ทางขึ้นลงของรถเมล์มี 2 ประตู คือ ด้านหัวรถและกลางรถ จะมีคนคอยเปิดปิดประตูโดยกดปุ่มสวิชอัดลม ค่าโดยสารปกติ 6 ป้ายจอดต่อ 10 เฟิ่น (100 เฟิ่น = 1 หยวน) แต่ละป้ายห่างกันประมาณ 500 เมตร รถเมล์ส่วนมากเป็นรถเก่าๆ ทาสีแดงค่อนไปทางสีปูนแห้ง การเก็บค่าโดยสารของกระเป๋ารถเมล์ ไม่เดินเก็บค่าโดยสารแบบเมืองไทย คงเชื่อเกียรติกัน คือ คนโดยสารจะไปชำระค่าโดยสารเองในที่ซึ่งกระเป๋ารถเมล์นั่งอยู่กลางคันรถ กระเป๋ารถเพียงแต่พูดขอให้ชำระค่าโดยสาร คงพูดซ้ำซากมานาน น้ำเสียงจึงเหมือนคนบ่นเป็นครั้งคราว” ในปักกิ่ง 2004 เข้าใจว่ายังคงมีรถเมล์อย่างที่คนเขียนว่าไว้เมื่อสามสิบปีก่อน (แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หน้าตานี้หรือเปล่านะคะ ลองหาดูรูปเก่าๆก็ไม่มีเลยต้องไปจิ๊กมาจากในอินเตอร์เนตค่ะ) เรื่องอัตราค่าโดยสารนี่ไม่แน่ใจนะคะ ถ้ารถเมล์แดงแบบนี้ 1 หยวนตลอดทั้งสายหรือไม่ต้องรอท่านอื่นมาช่วยตอบค่ะ แต่เรื่องการเก็บเงินก็ยังเป็นอยู่ค่ะ เมื่อขึ้นรถเมล์ด้านประตูหน้าแล้วเราหันหน้าไปทางเดียวกับคนขับ มองไปทางขวาเราจะเห็นที่นั่งกิตติมศักดิ์ของคนเก็บเงินค่ะ พื้นที่นั้นถูกกั้นอาณาเขตด้วยเชือกปอหรือป่านหนาทนทาน ผูกขึงตั้งแต่เสาที่ประตูหน้าไปจนเสาด้านประตูกลางรถ โดยมีเก้าอี้อยู่ที่เดียวสำหรับพนักงานเก็บเงินค่ะ มองคร่าวๆพื้นที่น่าจะกว้างเกือบ 1 เมตรยาว 3 เมตร คนเก็บเงินจะมีหน้าที่บอกว่าถึงป้ายไหนแล้ว และเรียกให้ชำระค่าโดยสารค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 13:35:24 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 13:13:18 จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 13:12:14

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนด้านข้างนั่นเป็นรถเมล์ที่พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นค่ะ หารูปไม่ได้อีกเหมือนกันก็ต้องไปจิ๊กชาวบ้านเขาต่อ ไหนๆก็ไหนๆได้ดูป้ายรถเมล์ไปในตัวเลยก็ได้ค่ะ ลักษณะป้ายรถเมล์จะระบุรายละเอียดเลยค่ะว่าสายไหนต้องผ่านป้ายรถเมล์อะไรบ้าง ถ้าเราเป็นคนต่างชาติที่พออ่านภาษาจีนได้บ้าง หลงทางยากค่ะ ไม่เหมือนป้ายรถเมล์ของคนไทยที่จะระบุแค่ตัวเลขสาย ส่วนไปที่ไหนบ้างต้องคอยจ้องดูเอาจากรถเมล์ว่ามันผ่านหรือไม่ ซึ่งทันบ้างไม่ทันบ้าง ทำให้เกิดการเสียเวลาและโอกาสสูงกว่า Credit: http://www.travelchinaguide.com/cityguides/beijing/getting-around.htm จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 13:37:41

ความคิดเห็นที่ 5 จากที่คนเขียนบอกด้านบนว่ามีรถใช้ไฟฟ้า ก็เลยไม่แน่ใจว่าหมายถึงรถชนิดไหนกันแน่ ก็เลยเอารูปรถไฟฟ้ามาให้ดูเล่นๆ ปักกิ่งค่อนข้างกว้างค่ะ ส่วนที่เป็นรถไฟใต้ดินจะอยู่แค่ในเมือง พอออกไปรอบๆจะเป็นลักษณะรถไฟฟ้ามากกว่า หนิงอยู่ชานเมืองถ้าจะไปเที่ยวที่เทียนอันเหมิน เวลาเดินทางก็ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปลงสถานีเชื่อมต่อกับรถไฟใต้ดินเอาค่ะ นี่เป็นภาพสถานีค่ะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 13:50:15

ความคิดเห็นที่ 6 ส่วนนี่เป็นด้านบน เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราไหมคะ (มีโฆษณาหนังด้วย) เดี๋ยวขอตัวไปอู้ก่อนนะคะ ไว้ค่อยมาต่อ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 13:51:10

ความคิดเห็นที่ 7 ดีจังเลยครับน้องหนิง มีการใส่ตัวเอียง และกลับมาสู่คำบรรยายในปัจจุบัน ผู้อ่านค่อยได้รับสัมผัสการเปลี่ยนแปลงได้ครับ ถ้าจะให้ดีนะ มีภาพบรรยายตามนะ แจ่มเลย... บังเอิญพี่มีรูปเก่าเกินกว่าจะเอามาลงในยุค คศ นั้นได้ อิอิ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 14:03:54

ความคิดเห็นที่ 8 ปักกิ่ง ปี 1984 จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 14:07:29

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณที่เข้ามาจอยกันค่ะ ภาพ คห.8 เหมือนยืนบนน้ำแข็งเลยนะคะ สงสัยตอนนั้นฮิตหมวกแบบนี้ หนิงไม่เคยเห็นปักกิ่งตอนฤดูหนาวเลยไม่รู้ว่าปัจจุบันยังใส่หมวกแบบนี้หรือเปล่า หรือออกแบบให้นำสมัยกว่านี้ ============================================== "อาหารเช้านี้ บอกผู้ต้อนรับไว้ว่า ขอเป็นข้าวต้มแบบจีนบนโต๊ะอาหารเช้า จึงมีข้าวต้มชนิดต้มเปื่อย และมีกับข้าว เช่น เต้าหู้ยี้ ปลากระป๋องแห้ง ผักดองเค็ม ฯลฯ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ซาละเปาไม่มีไส้ ซึ่งเป็นอาหารประจำของชาวเหนือในเมืองจีน เรียกว่า หม่านโถ จะมีให้รัรบประทานทุกมื้อแทนข้าว" "เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เตรียมตัวไปชมวังจักรพรรดิ์หรือวังต้องห้ามที่จตุรัสเทียนอันห:-) ก่อนอื่นต้องไปแลกเงินเพื่อใช้จ่ายเสียก่อน การแลกเงินในเมืองจีนจะมีอัตราเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะแลกที่สนามบิน โรงแรม ร้านค้ามิตรภาพหรือที่อื่นใดที่เปิดให้แลกเงินได้ นับว่าสะดวกมาก พวกเราไปแลกเงินที่โรงแรมปักกิ่งเพราะเป็นทางผ่านที่จะไปวังจักรพรรดิ์ ถนนหน้าโรงแรมปักกิ่ง ชื่อ ฉางอาน เป็นชื่อเมืองเก่าของจีนซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นชื่อ ซีอาน ถนนกว้างใหญ่กว่าถนนราชดำเนินกลางของเรา ลักษณะเป็นแบบเดียวกับถนนราชดำเนินนอก แต่กว้างกว่าใหญ่กว่า สองข้างทางปลูกค้นไม้ไว้เต็มเรียงรายเป็นทิวแถว ต้นไม้ที่ปลูกไว้มีชื่อว่าต้นหยาง ปลูกง่าย โตเร็ว ต้นตรงและสูง มีหลายชนิด แต่ชินที่ปลูกบนถนนสายนี้ ใบค่อนข้างกลมสีเขียวเข้ม ด้านหลังของใบเป็นสีเทาอ่อนอมเขียวเกือบเป็นสีเทา ลมพัดใบพริ้วสลับสีสวยงามดูระยิบระยับตลอดเวลา ตลอดถนนมีธงราวหลากสีประดับ คล้ายมีงานเทศกาลหรือต้อนรับแขกเมือง ธงที่ประดับแขวนพาดถนนเป็นช่วงๆพริ้วลม แลดูสวยงาม" ถนนฉางอานในตอนนี้คงไม่เปลี่ยนไปนักค่ะ ยังคงกว้างเหมือนเดิม ความกว้างของถนนนี้อยากจะเปรียบกับถนนวงแหวนรอบนอกจัง แต่ใช้ถนนราชดำเนินนอกเปรียบเทียบน่าจะถูกต้องกว่าเพราะเป็นถนนที่อยู่ในเมืองเหมือนกัน สิ่งที่หนิงคิดว่าเปลี่ยนคงจะเป็นการแต่งตัวของผู้คนละมั้งคะ (นักท่องเที่ยวจะกี่ปีๆก็มีลักษณะเดิมๆแหละค่ะ) ต่อไปจะพูดถึงเกี่ยวกับเทียนอันเหมินค่ะ ซึ่งหน้าตาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากปัจจุบันสักเท่าไรละมั้งคะ "จตุรัสเทียนอันห:-)อยู่ห่างจากโรงแรมปักกิ่งไม่กี่กิโลเมตร พอพวกเราเดินทางไปถึงทุกคนมีความตื่นเต้นระทึกใจกับภาพที่ปรากฎและบริเวณอันกว้างขวางมองเห็นเป็นลานกว้างใหญ่ไพศาลมีเนื้อที่กว่า 245 ไร่ รอบจตุรัสเป็นสถานที่ตั้งหน่วยงานต่างๆของรัฐ และใช้สำหรับเดินขบวนสวนสนามในวันสำคัญของชาติทั้งทางการถือว่า ณ สถานที่แห่งนี้ ได้มีการประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น" "กลางจตุรัสได้สร้างอนุสาวรีย์ปลดแอกขึ้น (เป็นคำแปลของล่าม) โดยรอบอนุสาวรีย์สลักเป็นรูปประชาชน ทุกอาชีพร่วมมือกันปฏิวัติ" "ศาลานุสรณ์เหมาเจ๋อตุงเพิ่งเปิดในปี ค.ศ.1977 (พ.ศ. 2520) วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคารได้นำมาจากที่ต่างๆทั่วประเทศจีนและใช้เวลาสร้างเพียง 10 เดือนเสร็จ ห้องแรกเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์หินอ่อนรูปเหมาเจ๋อตุง ห้องถัดไปเป็นที่เก็บศพของเหมาเจ๋อตุง ซึ่งอยู่ในโลงแก้วผลึก เมื่อเปิดใหม่ๆ ประชาชนทั่วประเทศจีนจะพากันมาเคารพศพอย่างล้นหลามทุกวัน และตามธรรมดาเมื่อแขกเมืองมาเยือนประเทศจีน หลังเหมาเจ๋อตุงถึงแก่อสัญกรรมใหม่ๆ แขกเมืองจะต้องถูกนำไปคำนับศพของเหมาเจ๋อตุงก่อนสิ่งอื่นใด ต่อมาไม่นาน แขกเมืองจะถูกนำไปคำนับศพของเหมาเจ๋อตุงเมื่อจะอำลาจากนครปักกิ่ง ต่อมา ถ้าแขกเมืองถามถึงศพของเหมาเจ๋อตุง จึงจะถูกนำไปคำนับศพ ต่อมาระยะใกล้ๆกัน ถ้าแขกเมืองจะถามถึงศพของเหมาเจ๋อตุง ก็ไม่ถูกนำไปเคารพศพ เว้นแต่จะถูกขอร้อง เดี๋ยวนี้ แม้แขกเมืองจะขอร้อง เพื่อไปคำนับศพของเหมาเจ๋อตุงก็ไม่มีใครพาไป นี่คือวัฏฏะแห่งชีวิตและการเมือง" เขียนมาตลอดจริงๆเพราะว่าชอบประโยคสุดท้ายนี่แหละค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 15:48:28 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 15:46:31 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 15:14:42 จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 15:14:16

ความคิดเห็นที่ 10 น่าเสียดายที่ภาพนี้เห็นถนนฉางอานไม่ชัดเท่าที่ควร คนถ่ายอยู่ฟากตรงข้ามถ่ายไปยังจตุรัสค่ะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 15:55:19

ความคิดเห็นที่ 11 นี่เป็นอนุสาวรีย์ปลดแอก (ตามหนังสือ) หลายคนจะรู้จักในนาม "อนุสาวรีย์วีรชน" ค่ะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 15:56:46

ความคิดเห็นที่ 12 ที่จริงภาพนี้น่าจะถ่ายตอนที่เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม แต่มันได้ความรู้สึกดีก็เลยขอเอามาลงก่อนนะคะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 16:00:18

ความคิดเห็นที่ 13 เอาล่ะ กำลังจะผ่านประตูกำแพงแล้วล่ะค่ะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 16:28:37

ความคิดเห็นที่ 14 พอดีในหนังสือใช้คำว่า เทียนอันหมืง (เป็นสระอึ) มันก็เลยเป็นคำโดนแบนไปเลย ก็เลยขออนุญาตเปลี่ยนให้เป็น เทียนอันเหมิน แทนนะคะ ========================================== ต่อค่ะ "ทางเดินเข้าวังจักรพรรดิ์อยู่หลังพลับพลาเทียนอันเหมินต้องผ่านประตูใหญ่สีแดงสดเรียกว่าประตูอู่เหมิน (แปลว่าเที่ยงวัน) คล้ายผ่านตัวตึกใหญ่สองด้าน วังจักรพรรดิ์นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 (สร้าง ค.ศ.1406 เสร็จ ค.ศ.1420) วันนี้อาจจะเรียกว่าวังพิพิธภัณฑ์หรือวังเก่า เมื่อผ่านประตูอู่เหมินแล้วจะพบลานกว้างใหญ่ไพศาลเป็ฯเนื้อที่ประมาณ 440 ไร่ ถัดจากลานหว้างจะเห็นตำหนักมีรูปลักษณธเหมือนอาคารชั้นเดียวหลังคาแบบเก๋งจีน หรือปั้นหยา สีแดงชาด เป็นหลังๆสลับซับซ้อนสุดสายตา" "ผู้คนมาชมวังกันมากมาย บริเวณวังจักรพรรดิ์อันกว้างขวางจึงเต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวต่างๆกัน ทั้งคนจีนพื้นเมืองและชาวต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนมีชาวจีนจากเมืองไทยไปเที่ยวกันมาก ได้ยินเสียงพูดภาษาไทยสอดแซกมาตามสายลมบางครั้ง การแต่งตัวของชาวจีนในเมืองจีนที่มาชมวัง แสดงว่ามาจากทั่วเมืองไกล นักท่องเที่ยวฝรั่งก็มาก เดินขวักไขว่เหมือนกำลังมีงานประจำปีอะไรสักอย่าง" นี่เป็นภาพของอู่เหมินค่ะ พอดีไปเจอภาพนี้ในอินเตอร์เนตแต่ไม่ทราบว่าถ่ายเมื่อปีอะไร Credit: http://history.cultural-china.com/en/52H3793H10515.html แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 17:03:28 จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 16:44:18

ความคิดเห็นที่ 15 ส่วนนี่คือภาพของปี 2004 ค่ะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 16:45:02

ความคิดเห็นที่ 16 ต่อค่ะ "รอบตำหนักมีอ่างโลหะใหญ่มหึมาหลายใบ (ล่ามชี้แจงว่าเป็นทองสัมฤทธิ์) สำหรับเก็บน้ำวางไว้เป็นระยะ อ่างโลหะทองสัมฤทธิ์ที่วางรอบๆตำหนักนี้ฉาบด้วยทองคำแท้ ส่วนใหญ่จะถูกขูดลอกทองคำออกไปเกือบหมดแล้ว คงเหลือบางใบเท่านั้นที่ยังมีทองคำฉาบหลงเหลืออยู่บ้าง ล่ามอธิบายว่า สมัยราชวงศ์ชิง มหาอำนาจ 8 ประเทศ (กลุ่มประเทศยุโรป) รุมเล่นงานจีน และทหารที่บุกเข้ายึดวังใช้มีดขูดทองรอบอ่างนี้ ร่องรอยการขูดยังมีให้เห็นอยู่บ้าง" เคยได้ยินว่าเป็นอ่างที่ไว้ใช้เผื่อดับไฟค่ะ ก็ตำหนักนี้ทำจากไม้นี่คะ ถ้าไหม้ทีก็สนุกเลย จึงพบอ่างเหล่านี้เป็นระยะๆค่ะ ไม่มีรูปเปรียบเทียบว่าเมื่อก่อนเจ้าอ่างนี้หน้าตาแบบไหน แต่มีรูปของอ่างปีนี้อยู่ค่ะ มีรอยจริงๆด้วยนะคะ จริงๆอยากลองแอบถามดูจังว่ายุงมันบินเข้าไปวางไข่บ้างหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นกู้กงได้ยุงบินว่อนแน่ๆ แต่คิดไปคิดมาแล้วแค่ยุงเจออากาศในปักกิ่งเข้าไปก็คงเฉาตายไปแล้วล่ะค่ะ แต่หน้าร้อนก็ไม่แน่เหมือนกันแฮะ ใครเคยอยู่ปักกิ่งตอนหน้าร้อน มียุงไหมคะ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 16:56:46 จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 16:54:07

ความคิดเห็นที่ 17 ถนนฉางอาน ถนนหลักที่สร้างพร้อมกับพระราชวังกู้กง เอาภาพมุมสูงมาให้ชม ที่เห็นกระเบื้องเหลืองอร่ามนั้น คือ ประตูเมืองเทียน อัน เหมิน  ไกลออกไปเห็นทะเลสาบ จง หนาน ไฮ่ (เคยเป็นทีกักตัวกวงซวี่ฮ่องเต้) ปัจจุบันเป็นที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์ จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 17:02:17

ความคิดเห็นที่ 18 ภายในกู้กงมีหลายตำหนักค่ะ ถ้าดูภาพถ่ายทางอากาศตำหนักหลักๆนั้นจะอยู่ในแนวเส้นตรงของทิศเหนือใต้ หลักๆก็คือ ไท่เหอเตี้ยน สำหรับประกอบพิธีการ จงเหอเตี้ยน สำหรับให้ฮ่องเต้พักก่อนออกงานพิธี และ เป่าเหอเตี้ยน สำหรับสอบจอหงวน และจัดงานเลี้ยง เฉียนชิงเตี้ยนก็ไว้รับรองแขกทูตต่างๆ ขออภัยที่ต้องกล่าวว่าหากใครสนใจเกี่ยวกับตำหนักต่างๆของพระราชวังต้องห้ามนี้ลองหาอ่านรายละเอียดได้ที่เวปอื่นนะคะ ที่ไม่ยกมาจากหนังสือเพราะอย่างที่บอกไปตอนต้นว่าแทบไม่มีส่วนไหนที่แตกต่างกับปัจจุบันเลย นั่นไม่ใช่ประเด็นที่หนิงต้องการจะเขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ค่ะ ไม่อย่างนั้นจะมีรูปแผ่นหิน สิงโต รูปเสรี่ยง ของมีค่าช้อนเงินช้อนทอง เสื้อเกราะ รวมไปถึงภายนอกภายในของตำหนักต่างๆซึ่งเชื่อว่าใช้เวลาหนิงคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะจบกระทู้นี้แน่ๆเลยค่ะ =========================================== ต่อหลังจากที่ออกจากตำหนักต่างๆแล้ว ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตไว้ค่ะ "ข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเช้าชมวังจักรพรรดิ์ต้องเสียเงิน และเก็บหลายชั้นด้วย แต่ราคาไม่แพง เช่น 2 เฟิ่น 5 เฟิ่น 10 เฟิ่น เป็นต้น ในเมืองจีนไม่มีการเข้าชมอะไรที่ไม่ต้องเสียเงิน แม้เข้าสวนสาธารณะก็ต้องเสียเงินแต่ราคาถูกเท่านั้น ลองถามล่ามดูว่า ทำไมการเข้าชมที่สาธารณะจึงต้องเสียเงิน ได้รับคำตอบว่า เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษา และเป็นการยุติธรรมแก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าชม บรรดาพวกที่ไปด้วยเล่าให้ฟังว่า ส้วมที่มีอยู่ในวังยังคงเป็นแบบโบราณ ไม่ใช้ส้วมซึม ฉะนั้นใครที่ต้องเข้าส้วมแบบนี้ในเมืองจีนจึงอึดอัดพอดู โดยเฉพาะสุภาพสตรี อาจถึงขนาดที่ไม่กล้าไปเมืองจีนอีก เพราะกลัวใช้ส้วมเมืองจีนก็ได้" ที่จริงนอกจากการเก็บเงินในราคาไม่แพงมาก บัตรนักเรียนในเมืองจีนมีประโยชน์มากค่ะ เพราะช่วยลดหย่อนค่าเข้าชมได้ครึ่งต่อครึ่งทีเดียว สำหรับตอนที่หนิงไป ค่าเข้ากู้กงน่าจะอยู่ที่ 20 หยวน แต่จำไม่ได้แล้วล่ะว่าเป็นราคาที่ใช้บัตรนักศึกษาลดแล้วหรือยัง ใครอยู่ตอนนี้ ราคาเข้าชมเท่าไรแล้วคะ ส่วนเรื่องส้วม ข้อความเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเมืองไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้วก็พูดถึงส้วมซึมเหมือนกัน ถ้าเป็นสมัยนี้อาจถามหาชักโครกก็ได้นะคะ ส้วมเมื่อปี 2004 เป็นส้วมซึมที่พอลุกแล้วสามารถราดได้อัตโนมัติ แต่ได้ยินมาว่ามีการรีโนเวทอีกทีเพื่อโอลิมปีก 2008 จึงไม่อาจทราบได้ว่าพัฒนาการส้วมของกู้กงเป็นเช่นไร (ว่าแต่ใช้แบบโบราณนี่ ก็ได้อารมณ์ดีพิลึก) ไปกินข้าวกับหาหมอก่อนไว้ค่อยมาต่อค่ะ (ถ้าวันนี้ยังไหวนะ) แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 17:27:17 จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 17:26:30

ความคิดเห็นที่ 19 โอ๊ะ...สวัสดีค่ะ คุณ Fortunism ขอบคุณสำหรับภาพถ่ายฉางอานนะคะ (ใหญ่มั่กๆ) จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 17:28:01

ความคิดเห็นที่ 20 ภาพมุมสูง พระราชวังกู้กง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 19:07:38

ความคิดเห็นที่ 21 คุณpeiNing ครับ... ไม่โดนคุณว่าก็บุญแล้วล่ะครับ   เพราะว่ารูปนั้นจะโพสต์ตอนคุณพูดถึงถนนฉางอาน  ตอน คห 10  ปรากฏว่าเน็ตมันเดี้ยงพอดีเลย  ค้างอย่างนั้น  ที่นี้พอเน็ตต่อติด  ปรากฏว่า คุณไปถึงพระราชวังกู้กงซะแล้ว  รูปมันเลยกระโดดไปหน่อย  ขออภัยด้วย ดูแลตนเองให้มากๆนะครับ  สุขภาพดีวันดีคืนนะครับ  ให้กระต่ายหยกตำยาอายุวัฒนะให้นะครับ   เป็นสาว 2000 ปีเลยนะ +++ คุณหนุ่มรัตนะครับ... ผมชักไม่เชื่อแล้วล่ะว่า คุณนั้นวัยหนุ่มอย่างล็อกอิน  เพราะแต่ละรูปมันต้องขุดมาจากกรุทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะ คห 7 นั่น  สมัยชิงนะนั้น    แก่  เอ๊ย..เก่าจริงๆ   อิอิ รูป 8 นั้น น่าจะเป็นทะเลสาบที่พระราชวังฤดูร้อนของพระนางซูสีไทเฮานะครับ  อากาศเย็นจนน้ำในทะลสาบเป็นน้ำแข็งเลย ++++ จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 22:48:19

ความคิดเห็นที่ 22 รูปใน คห 7 นั้น น่าจะเป็นถนนเฉียนเหมิน   ให้สังเกตุซุ้มประตู แบ่งเป็น 5 ช่อง และสังเกตุตึกโบราณซ้ายมือที่ติดกับซุ้มประตูด้านซ้าย รูปสมัยให่ล่าสุด คศ 2008 จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 23:02:59

ความคิดเห็นที่ 23 ประตูเมืองเฉียนเหมิน (หรือเรียกแบบทางการว่า เจิง หยาง เหมิน) เป็นเชิงเทินที่อยู่ด้านหน้าของซุ้มประตูใน คห ด้านยน ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ช่างภาพถ่ายรูป  โบราณใน คห 7 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 23:09:12 จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 23:08:37

ความคิดเห็นที่ 24 อีกรูปนะครับ ชัดๆ ทั้ง เชิงเทิน กับ ซุ้มประตู บริเวณนี้จะใกล้กับ จตุรัสเทียน อัน เหมิน  ซึ่งจะใกล้กับ กู้กง ใครสนใจซุ้มประตูเฉียนเหมินนี้ คุณหนุ่มรัตนะเคยเล่าไว้ในกระทู้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/05/K7831453/K7831453.html แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 52 23:13:47 จากคุณ : Fortunism เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 52 23:11:31

ความคิดเห็นที่ 25 ตามมาเกาะติดสถานการณ์ด้วยคนครับ... จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 00:03:45

ความคิดเห็นที่ 26 บอกตำแหน่งได้ชัดเจนและถูกต้องเลยนะครับพี่ Fortunism คงจะอยู่ในยุคชิงด้วยกัน..อิอิ ภาพในคห.22-24 เป็นของปลอมทั้งหมดครับ.. . . . . เอ๊ย..เป็นของทำใหม่ทั้งหมดครับ ทำใหม่ทั้งป้อม ทั้งหอยิงธนู และประตู รวมทั้งร้านค้า ก็ล้วนทำใหม่ทั้งสิ้น (ไว้จะลงภาพขณะก่อสร้างให้ชมกันอีก) จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 52 07:17:37

ความคิดเห็นที่ 27 ขอไปต่ออีกกระทู้หนึ่งนะคะ จากคุณ : peiNing เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 52 17:01:34