ความคิดเห็นที่ 1 รู้จักคำว่า ลิงแก้แห ป่ะ.. ยิ่งแก้ ยิ่งพันกันยุ่ง อินุงตุงนัง หนักกว่าเดิมอีก .. เรื่องการศึกษาของไทยแลนด์ รัฐบาลเขาแก้กันมาทุกชาติ จนป่านนี้ก็ยังไม่ไปไหน .. สมัยก่อนโน้นนน .. เอนเข้ามหา'ลัย ปีละครั้ง ใครพลาด พลาดแล้วพลาดเลย ต้องรออีกปี ปัญหายุคนั้นก็คือ เด็กๆที่อยากเรียนมหาวิทยาลัยปิดมีมากมายแต่ที่นั่งไม่พอ ผู้ใหญ่ก็ออกมาบอกว่า เอาล่ะ...เปลี่ยนระบบใหม่ เป็นแบบเอาคะแนน GPA ตอนเรียนมาคำนวนด้วย เพื่อช่วยสร้างโอกาสที่ดีกว่าสำหรับเด็กๆทั่วไป ... เวลาต่อมา สอบปีละ 2 ครั้ง เอาคะแนนครั้งที่ดีที่สุดของแต่ละวิชามาคำนวน เกิดปัญหาอีกแล้ว โรงเรียนปล่อยเกรดกันกระหน่ำ เด็กๆสอบติดมากขึ้นแต่คุณภาพของวัตถุดิบก่อนจะเข้าโรงงานก็พลอยตกต่ำไปด้วย ผู้ใหญ่บอกว่าดีแล้ว เป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย ... เวลาต่อมา แอดมิดชั่น กะ แพะ แกะ เอา GPA มาคำนวนเยอะมาก แถมเรื่องการสอบก็มั่วอินุงตุงนัง ใครจะเข้าวิศวะก็เจอภาษา ใครจะไปภาษาก็เจอคำนวนอะไรแบบนี้ มีเด็กออกมาประท้วงกันยกใหญ่ ส่วนคนที่นั่งในกระทรวงก็บ้าใบ้บอกว่าดีแล้วๆๆๆ เสร็จสรรพ ล้มเหลวเกือบจะสิ้นเชิง เด็กซวยไปตามฟอร์ม ... ส่วนประชาชนนี่ก็ ... ผมไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ใครก็อยากให้ลูกหลานตัวเองได้เรียนมหาวิทยาลัยปิดกันทั้งนั้น ถ้าระบบไหนช่วยลูกหลานให้เข้าไปเรียนได้ง่ายกว่าก็พร้อมที่จะไม่พูดอะไร พวกเขาไม่ได้มองปัญหาแบบที่ จขกท มองหรอกครับ เขามองแค่คนในบ้านของเขาว่าจะสอบติดหรือเปล่าแค่นั้น ส่วนเรื่องประเทศชาติ เรื่องระบบการศึกษาเฮงซวย ฯลฯ เป็นเรื่องรองลงมาเท่านั้น .. ไอ้คนที่มันมีอำนาจแก้ปัญหาเชิงนโยบายต่างหากที่น่าด่าแม่ รู้นะครับพวกนี้ทำไมจะไม่รู้ แต่แก้ไขแล้วก็ยังยุ่ง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เพราะไม่เคยไปนั่งเป็นรัฐมนตรีซะที... จากคุณ : นายอึเหม็น เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 09:44:26

ความคิดเห็นที่ 2 สมัย 60 ปีมาแล้ว ก่อนคนจบ ม.8 (มัธยมปลาย) เขาเก่งกว่าคนจบปริญญาเอกจากมหาลัยเรียนยังไงก็จบ วิธีแก้...คงเป็นแค่ความฝัน...แต่ถ้าทำจริงๆแก้ได้จริงๆ คือ 1. คัดเลือกครูประถมและมัธยมจากคนเรียนเก่ง (ดึงมาเป็นครูแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาไปเป็นหมอหรือวิศวะหมด) แล้วเพิ่มค่าตอบแทนให้ เงินมากจากไหน (จะบอกให้ในวรรคสุดท้าย) 2. ส่งเสริมให้หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน รับสมัครคนเข้าทำงานโดยการทดสอบว่าทำงานได้หรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงวุฒิการศึกษา...ยกเว้นงานระดับที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตมนุษย์เช่นวิศวกรควบคุมงานก่อสร้าง หรือแพทย์ พวกนี้ต้องมีวุฒิการศึกษามาแสดง...แต่งานอย่างเช่น tour guide ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ต้องมีปริญญาตรี...คือเราอยู่เชียงใหม่มา 5 ปี เรารู้จัก tour guides ที่นั่น มีปริญญาตรีมีบัตร tour guide ถูกกฎหมายกันตั้งเป็นร้อยๆคน แต่หาคนพูดอังกฤษไม่เพี้ยนแทบไม่มีเลย ทำไมไม่ให้โอกาสผู้หญิงบาร์บางคนที่พูดอังกฤษไม่เพี้ยนแต่ไม่มีปริญญาบ้างล่ะ หรือทำไมไม่ให้โอกาสคนไทยที่ไปอยู่ต่างแดนทำงานกรรมกร แล้วพูดอังกฤษไม่เพี้ยนแต่ไม่มีปริญญาบ้างล่ะ? "คนไทยไร้วุฒิการศึกษาพวกนี้เอามาฝึกเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้ไวกว่า และดีกว่า เอาคนไทยที่เอ็นเข้ามหาลัยดังๆไม่ติด แล้วอ่อนอังกฤษมากๆ เลยไปเรียนครูสถาบันที่เรียนยังไงก็จบ และผลิตครูสอนภาษาอังกฤษไร้ประสิทธิภาพออกมา ปีละเป็นจำนวนมาก" อีกตัวอย่างคือ งานคอมพิวเตอร์ จับผู้สมัครงานมานั่งหน้าคอมฯ แล้วให้เขาสาธิตให้ดูว่าเขาทำอะไรได้บ้าง  คนเก่งคอมพิวเตอร์ระดับเทพซึ่งเรียนด้วยตัวเอง เดินตัวเปล่าไม่มีวุฒิการศึกษา หางานในอังกฤษหรืออเมริกาได้สบายๆ แต่ในเมืองไทยลำบากมากๆ การทำเช่น 2. จะเป็นการ "ทำลายมหาลัยการค้าที่ผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฏีบัณฑิตที่ไร้คุณภาพ ลงจนสิ้นซาก" 3. เมื่อปราศจากมหาลัยเรียนยังไงก็จบ คนเรียนไม่เก่งก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานไป เพราะเล่นป่าหี่ตบตาผู้คนในสังคมไม่ได้ว่าวุฒิสูงน่าจะเป็นปัญญาชน...ทั้งๆที่สมอง dog ปัญญา baffalo คิดเองไม่เป็น ค้นข้อมูลเองไม่เป็น ใช้เหตุผลเองไม่เป็น...เพราะเรียนมาแบบเรียนยังไงก็ผ่าน ซึ่งระบบการศึกษาแบบนี้มันไม่ได้สอนให้คิด มันแค่สอนให้สอบผ่าน (โดยการจ้างคนเขียนวิทยานิพนธ์หรือดุษฎีนิพนธ์ให้)   เราก็ต้อง "เปิดโอกาสให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เหนือกว่าคนจบสูงๆ เพราะงานหนัก งานสกปรก คนไม่อยากทำ ก็ต้องเอาค่าจ้างแพงๆมาล่อ ซึ่งก็จะกระจายรายได้ไปให้คนทั่วประเทศ ไม่ใช่ให้เจ้าของโรงงานรวยเพราะกดขี่ค่าแรงต่ำๆลูกเดียว" เงินที่จะดำเนินโครงการได้ตาม ข้อ 1. ง่ายนิดเดียวแต่ยากตั้งเยอะ นั่นก็คือ "อุดรูรั่ว" ทุกครั้งที่มีการประมูลจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ให้ประมูลออกทีวี และอนุญาตให้สื่อหรือคนอยากรู้อยากเห็น อยากขัดลาภนักการเมือง อยากขัดลาภข้าราชการที่เซ็นชื่ออนุมัติ ให้เข้าไปนั่งดูและขัดขวางการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่ชอบมาพากลได้ สิ่งเหล่านี้ มันทำไม่ได้ก็เพราะว่าทุกคนกลัวโดนมาเฟียประจำห้องประมูลงานฆ่าตาย แต่ถ้าโหวตผ่าน Internet ทั่วประเทศ แล้วระดมกำลังคนทั่วประเทศมากำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างงานใหญ่ๆกันทุกครั้ง พวกเราชาวไทยก็จะได้เงินเพิ่มอีกหลายๆหมื่นหรือหลายแสนล้าน หรือมากกว่านั้น (ที่นักการเมืองและข้าราชการโกงกินไปโดยการจัดซื้อจัดจ้างงานแพงเกินปกติ)  กลับเข้าระบบการศึกษาและระบบสวัสดิการสังคมให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้ แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 12:52:14 แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 12:47:18 แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 12:28:38 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 12:23:25

ความคิดเห็นที่ 3 คนคิดระบบนี้ เค้าฉลาด หาเงินเข้ากระเป๋า ตัวเองเก่ง แต่ขาดจริยธรรม ไม่คำนึงถึง อนาคตของชาติ ของประเทศเลย เด็กสมัยนี้ ประสิทธิภาพ ถึงด้อยลง ๆๆ ทุกวัน จะเก่ง ก็ต้อง กวดวิชา เหมือนใช้ ยาโด๊ป กวดกันเข้าไป โรงเรียนกวดวิชา  รวยเอาๆๆ  ธุรกิจ กวดวิชา มีเงินสะพัด เป็น พันๆๆ ล้าน  ยิ่ง ระบบ ใหม่ อีก สอบ หลายครั้ง เด็ก ก็ต้องกวด กัน หลายรอบ รับทรัพย์ อื้อ แต่ แล้วเป็นไง เด็กเข้าไปมหาวิทยาลัย แล้ว ก็ ติดโปร  เกรดไม่ถึง อีก ระบบใหม่ เนี่ย ทำให้เด้ก ต้องกวดวิชา กันตลอดชีวิต ยัง นั่งบ่น อยู่เลย เด็กสมัยนี้ ถ้าจะเก่ง ต้อง กวดวิชา แต่สมัยก่อน ใคร ตก ใครเรียนอ่อน ถึงจะต้องโดนกวดวิชา  เด็กสมัยนี้ เค้าถึง ค้นคว้า แก้ปัญหา ด้วยตัวเอง ไม่เป็น ไง จากคุณ : ตระกูลA เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 12:54:22

ความคิดเห็นที่ 4 โจทย์ข้อใหญ่ 1. เวลาแต่งตั้งรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการถือเป็นกระทรวงเกรดสอง 2. การถ่ายนโยบายรัฐลงสู่ภาคปฎิบัติ มีปัญหา ผมเคยคุยกับ ดร.ฉลองภพ สุสังกรกาญจน์ ในงานสัมนาครั้งหนึ่ง เรื่องการผลิตบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก โห... ปัญหานั้นรู้ ว่าภาคอุตสาหกรรมขาดบุคลากรด้านใด แต่เมื่อถ่ายลงสู่ภาคปฎิบัติ มันคนละเรื่องกันเลย 3. เรื่องผลตอบแทนครูอาจารย์ ก็อย่างที่คุณ fortuneteller ว่าไว้ครับ ต้องปรับปรุงโดยด่วน ญาติผมคนหนึ่ง เป็นนักเรียนทุน จบปริญญาโทด้านวิศวกรรมจากเมืองนอก เกียรตินิยมด้วย กลับมาสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยได้ไม่นาน ทนรับเงินเดือนแค่นั้นไม่ไหว ไหนจะต้องเลี้ยงดูครอบครัว ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เลยหาเงินมาใช้ทุนเขาไป แล้วบินไปสอนหนังสือที่เมืองนอก อีกไม่กี่ปีจะเกษียณ แล้วจะกลับเมืองไทย พร้อมด้วยเงินเก็บหลายสิบล้านบาท ... จากอาชีพอาจารย์สอนหนังสือ อย่างนี้มันค่อยน่าสนใจหน่อย ที่จะดึงดูดคนเก่งๆ มาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ กองทัพเดินด้วยท้อง ฉันใดก็ฉันนั้น จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 13:09:13

ความคิดเห็นที่ 5 ชอบความเห็นที่สองมากที่บอกว่า "ทำลายมหาลัยการค้าที่ผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฏีบัณฑิตที่ไร้คุณภาพ ลงจนสิ้นซาก" มันช่างโดนใจอะไรแบบนี้ เพราะที่เรียนอยู่ทุกวันนี้พวกป.โทหรือป.เอกที่ได้ชื่อว่าเป็น "บัณฑิตศึกษา" แทบจะเดินชนกันตายอยู่แล้ว โดยเฉพาะสาขาที่มิใช่การวิจัย เช่นพวกบัญชีหรือทางธุรกิจต่างๆ MBA อะไรต่อมิอะไรที่แทบจะล้นบ้านล้นเมืองอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เกิดมาในยุคที่การศึกษาแข่งขันกันจนกลายเป็นการค้าไปแล้ว คนที่เรียนก็เปรียบเสมือนสินค้าที่พร้อมให้นายจ้างได้เลือกตามความพอใจโดยดูแค่วุฒิการศึกษาเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้การันตีเลยว่าคนนั้นมีความรู้ความสามารถแค่ไหน เลยไม่แปลกใจและสะใจมากที่เกิดปรากฏการณ์ "สมองไหล" ไปทำงานในเมืองนอกกันหมด จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 13:23:08

ความคิดเห็นที่ 6   คิดว่าระบบที่กำลังแก้ไปแก้มาไม่รู้จักจบสิ้นยิ่งทำให้อุดมศึกษาอ่อนแอลงทุกที มหาวิทยาลัยไม่ได้คนที่ต้องการ แล้วที่เปลี่ยนระบบก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรทั้งนั้น - กวดวิชากันมากกว่าเดิม บ้าระห่ำกันกว่าเดิม เพราะสมัยก่อนก็จะกวดกันตอนปีก่อนสอนเอ็นฯ แต่ตอนนี้ ต้องกวดกันตั้งแต่ ม. 4 ต้องทำเกรดให้ดี ห้ามพลาด ทำให้เด็ก ๆ เครียด - มหาวิทยาลัยรับตรงมากขึ้น คนมีเงินคงไม่ลำบาก และทำให้มีโอกาสมากขึ้น แต่คนที่ฐานะไม่ดีลำบากแน่ ค่าสมัครสอบแต่ละแห่ง ค่าเดินทางวิ่งรอกสอบตามสถาบันแต่ละแห่ง ใครอยู่ต่างจังหวัดก็ยิ่งลำบาก ผมว่าระบบเอ็นทรานส์ดีที่สุด ยุติธรรมที่สุด ใช้มา 30-40 ปี ไม่มีปัญหา พวกนักวิชาการหัวนอกบอกว่าระบบเอ็นฯ ทำให้เด็กท่องจำ การศึกษาไม่เจริญ ขอโทษนะพวกท่านเป็นผลผลิตของระบบเอ็นฯ กันหรือเปล่า จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เขาก็ยังใช้ระบบเอ็นทรานส์ ทำไมเขาเจริญก้าวหน้า จากคุณ : กลางคน เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 00:34:59 A:125.25.197.106 X: TicketID:144003

ความคิดเห็นที่ 7 วันนี้สอบ GAT PAT เป็นวันสุดท้ายแล้วครับ ผมอยากให้ผู้ใหญ่ สนใจปัญหาการศึกษากันมาก ๆ เพราะมันคืออนาคตของลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไป และอนาคตของชาติทั้งนั้น ตอนนี้ เด็ก ม.6 ก็เครียด ๆ กันทั้งนั้นเพราะ Admission 2553 และระบบ GAT PAT มันใหม่และยังไม่ลงตัวเลย ป้าอุทุมพรแกก็เปลี่ยนแนวข้อสอบไปเรื่อย ทำให้การสอบครั้ง 1 2 กับ 3 นั้นคนละมาตรฐานกัน ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายไม่รู้จบ เช่น ให้สอบตั้งแต่เด็กยังเรียนไม่จบม.6 ทำให้เด็กต้องมุ่งมั่นให้กับการกวดวิชามากชึ้นไปอีก ต้องกวดกันตั้งแต่ม.4 เสียเงินเสียทองกันไปตั้งมากมายในสามปี ผมแค่อยากระบาย T-T จากคุณ : หลินไห่ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 16:36:53

ความคิดเห็นที่ 8 ระบบ ent. แบบเดิมดีสุด  GPA GAT PAT ONET ไม่ดีเลย.  รร.กวดวิชารวยมาก ๆๆๆๆ    นร.ติดเรียนกวดวิชาจนทำให้เด็กแพทย์ วิศว ยังต้องไปเรียนกวดวิชาอีก  มันอะไรกันนักหนา   เปลี่ยนเถอะ  ถ้ากลัวเสียหน้า ลาออกเถอะ   คุณก็แก่แล้ว  กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ จากคุณ : oti (oti) เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 52 09:27:32