ความคิดเห็นที่ 1 ตอนนั้น (ประมาณ 1870s) อเมริกายังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยครับ เจ้าโลกสมัยนั้นคืออังกฤษ โดยมีรัสเซียพยายามดันตัวเองขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจ อเมริกาพึ่งจะฟื้นจากสงครามกลางเมือง รัสเซียก็พึ่งแพ้สงครามไครเมียไป (สู้กับอังกฤษ+ฝรั่งเศส+ออตโตมัน) ทำให้รู้ว่าอำนาจการรบของตนเองนั้นยังสู้ยุโรปตะวันตกไม่ได้ ก็เลยคิดว่าโอกาสที่จะรักษาดินแดนอลาสกาไว้ตอนที่ต้องรบกับอังกฤษจริงๆจังๆนั้นคงน้อย (อลาสกาอยู่ติดกับดินแดนแคนาดาของอังกฤษ) ก็ขายให้อเมริกาไปดีกว่า อเมริกาเองก็พอมีเงิน และต้องการขยายดินแดนของตนเองจากฝั่งตะวันออกมาจรดฝั่งตะวันตกอยู่แล้วด้วย อเมริกาเองก็ไม่ค่อยไว้ใจอังกฤษเหมือนกัน (เพราะอังกฤษสนับสนุนฝ่ายใต้ตอนสงครามกลางเมือง) เหมือนจะเป็นการเริ่มความสัมพันธ์อันดีต่อกันเผื่อต้องช่วยกันต้านอังกฤษน่ะครับ คนละเรื่องกับสถานการณ์ตอนนี้เลยนะครับ ผ่านไป 100 ปีหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 13:33:40

ความคิดเห็นที่ 2 อ๋อ .....อย่างนี้นี่เอง   ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Dare More เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 15:08:18

ความคิดเห็นที่ 3 อย่างที่ คห.1 พูดไปครับ เสริมอีกนิดครับ เหตุผลที่รัสเซียขายอลาสก้า อีกขอ ก็คือเงิน ครับ ก็เพราะเสียเงิน ไปกับสงครามไครเมีย เยอะมาก อเมริกาเอง จริงๆ ก็ไม่ได้อยากได้อลาสก้าหรอกนะครับ เพราะเอาไป ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรได้ ไม่มีสรรพยากรสำคัญอะไรเลย(ณ ตอนนั้น) แต่ ตอนกู้เอกราช รัสเซีย ก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน อเมริกาเองเลยเกรงใจรัสเซียครับ ซื้อไว้พอเป็นน้ำใจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องในอนาคตอะไรเลย แต่รัสเซีย ถ้าย้อนกลับไป จริงๆ ก็น่าจะเจ็บใจน่าดู ด้วยเหตุผลที่ว่า 1. อลาสก้า ดันมีน้ำมัน 2. อลาสก้า กลายเป็นเมืองหน้าด่าน ที่ต้านโซเวียตไม่ให้เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามา จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 17:16:41

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตเพิ่มเติมครับ ..................................... แน่นอนว่า ขณะนั้นยังไม่มีการค้นพบน้ำมันที่อลาสก้าแต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีทรัพยากรอะไรเลยหรอกนะครับ แต่เดิมอลาสกา ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย(ซึ่งเข้าครอบครองราวต้นคริสตศตวรรษที่18)อัน ถือเป็นแหล่งทรัพยากรขนสัตว์ ป่าไม้ ปลา และแมวน้ำที่สำคัญ อีกทั้งมีความสำคัญเชิงยุทธศษสตร์ในอันที่จะขยายอิทธิพลเข้ามายังอเมริกาเหนืออีกด้วย ความสำคัญทางด้านการเมืองของอลาสก้า ก็เห็นได้จากกรณีที่รัสเซีย พยายามขยายอิทธิพลเข้ามาในอเมริกาเหนือ ราวปี1823 ซึ่งละเมิดอธิปไตยของสหรัฐอเมริกา เหนือดินแดนโอเรกอน ซึ่งขณะนั้นถือครองร่วมกับอังกฤษอยู่ (อันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่กดดันให้สหรัฐอเมริกาต้องประกาศวาทะมอนโร 1823 ในเวลาต่อมา) รัสเซียเสนอขายอลาสกา ด้วยเหตุผลหลักคือ 1. ธุรกิจขนสัตว์ของรัสเซียเสื่อมลง เพราะมีอังกฤษ รัสเซีย และแคนาดา เป็นคู่แข่ง สาเหตุข้อนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนว่า ไม่ใช่ว่าอลาสก้า ไม่มีทรัพยากร แต่มีอยู่มากเสียด้วย เพียงแต่ห่างไกลจากศูนย์อำนาจและตลาดหลักของรัสเซีย คือยุโรปนั่นเอง ในขณะที่หากแหล่งทรัพยากรนี้ตกมาอยู่ในมืออเมริกา ก็จะอำนวยประโยชน์ได้มากกว่า อีกทั้งแหล่งขนสัตว์สำคัญของอเมริกา ก็ทับซ้อนอยู่กับแหล่งขนสัตว์ของอังกฤษและแคนาดา คือบริเวณทะเลสาปทั้งห้า ดังนั้น การเพิ่มแหล่งทรัพยากรนี้ขึ้นมา ก็จะสร้างความได้เปรียบแก่สหรัฐอีกมาก (ธุรกิจการค้าขนสัตว์นั้น สำคัญขนาดที่อังกฤษยังต้องคงฐานทัพในทะเลสาปทั้ง5 เพื่อควบคุมการค้าขนสัตว์ จนเกิดกรณีพิพาทกับสหรัฐหลายครั้ง ก็ยังไม่ยอมถอนออกไปง่ายๆ) 2. อลาสก้าห่างไกลจากศูนย์กลางของรัสเซียมาก หากปล่อยไว้ ก็เสี่ยงต่อการศูนย์เสียไปแก่อังกฤษ จากทางด้านแคนาดาอยู่ดี(ตามคห.1) 3. รัสเซียต้องการเงินจำนวนมากในสงครามไครเมีย (ตามคห.3) ............................................................ ส่วนสหรัฐอเมริกา นั้น มีเหตุผลที่ซื้ออลาสก้าไว้ (อย่าลืมว่ามีหลายครั้งที่ มีผู้เสนอตัว ขอเข้ากับสหรัฐอเมริกา แต่สหรัฐก็ปฏิเสธหลายครั้ง อย่างเท็กซัส หรือ โดมินิกัน ดังนั้น ผมจึงมองว่า สหรัฐคงไม่ยอมซื้ออลาสก้า เพียงเพราะเกรงใจรัสเซียแน่นอนครับ) 1. สหรัฐอเมริกา มีนโยบาย Expansionist Policy อยู่แล้ว และอลาสก้า ก็อุดมด้วยทรัพยากรที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหลายประการดังที่กล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนสัตว์ ป่าไม้ หรือแมวน้ำ 2. เหตุผลทางการเมือง สหรัฐรู้ดีว่า หากปล่อยอลาสก้าไว้ อลาสก้าก็อาจตกเป็นของชาติอื่น อีกทั้งเพื่อให้เป็นไปตามวาทะมอนโร ที่ว่า ภาคพื้นทวีปอเมริกา เป็นของชาวอเมริกัน นับแต่นี้ไปยุโรปชาติใดจะเข้าถือครองดินแดนในทวีปอเมริกาไม่ได้ 3. สหรัฐสนใจ ในเรื่องสิทธิเหนือน่านน้ำ ซึ่งตามสภาพภูมิศาสตร์แล้ว การครอบครองน่านน้ำเช่นนั้น ก็จะได้เปรียบเหนือแคนาดา อีกทั้ง สหรัฐต้องการเป็นมหาอำนาจแปซิฟิก ................................................. สหรัฐซื้ออลาสก้า ในราคา 7.2 ล้านเหรียญ ซึ่งมากอักโขอยู่ (ตอนซื้อสเปนิชหลุยส์เซียน่า ก็ราว 15ล้าน ตอนเสนอของซื้อ สเปนิชฟลอริด้า ก็ขอซื้อราว 9ล้าน) การซื้อครั้งนั้น ประชาชนไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าทรัพยากรทั้งหลายนั้น สหรัฐก็มีแล้ว จะไปเสียเงินทำไมตั้ง 7.2ล้าน ถึงขนาดเรียกอลสก้าแบบเหยียดๆว่า "สวนของหมีโพล่าร์" (คือ เอามาให้หมีเดินเล่นรึไง ประมาณนี แต่นั้นก็เป็นอีกหลักฐานแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรขนสัตว์) แต่ประชาชนทั้งหลายนั้น ไม่คำนึงถึงเหตุผลทางการเมืองดังกล่าวมาแล้ว ในขณะที่รัฐสภา กลับเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงยอมฝืนกระแสของประชาชน เห็นชอบกับการซื้ออลาสก้า ในวันที่ 14 กรกฎาคม 1867 และเข้าครอบครองสมบูรณ์ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน (ทั้งๆที่ โดยปกติ รัฐสภาจะไม่ค่อยสนับสนุนกรณีที่ฝืนต่อกระแสความต้องการของประชาชน จึงไม่มีมีทางยอมฝืนกระแสของประชาชน เพียงเพราะเกรงใจรัสเซียแน่นอน) ...................................................... *เพิ่มเติมครั้งที่1ครับ.... ส่วนที่ว่า ตอนนั้นสหรัฐเป็นเด็กน้อยนั้น ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ขณะนั้น สหรัฐต้องเข้มแข็งและมีอิทธิพลพอควรแล้ว หาไม่แล้ว คงไม่กล้าประกาศวาทะมอนโร หรือต่อให้กล้า ก็คงไม่ส่งผลอะไรต่อนัยยะสำคัญทางการเมืองโลกในขณะนั้นเลย ต้องไม่ลืมนะครับว่า สมัยหลังกฎบัตรแห่งสมาพันธ์นั้น สหรัฐเจียมเนื้อเจียมตัวแค่ไหน ถึงกับประกาศวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด (Strict Neutrality Policy) นั่นล่ะครับ ถือว่าเป็นช่วงเด็กน้อย แต่ช่วงที่ซื้ออลาสก้า ผมว่าสหรัฐกำลังอยู่ในช่วงประกาศศักดิ์ศรีทีเดียวล่ะ ................................................... ขออภัยหาผิดพลาดครับ แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 52 18:18:37 จากคุณ : จะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี (WeeN the Listener) เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 18:13:36

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ ขออนุญาตเพิ่มเติมและแก้ไขรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในรี 4 ครับ เพราะค่อนข้างครบถ้วนแล้ว ปกติการทำสนธิสัญญาระหว่างอเมริกากับต่างประเทศนั้น ฝ่ายบริหารมีอำนาจเต็มในการทำสนธิสัญญา แต่จะต้องผ่านความเห็นชอบโดยเสียงส่วนใหญ่ (50+1) จาก Senate ไม่ใช่ทั้งคองเกรสนะครับ ในกรณีนี้ William Seward ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศภายใต้ประธานาธิบดี Andrew Jackson นั้น เป็นตัวตั้งตัวตีในการซื้ออลาสก้าโดยทำหน้าที่เจรจากับทางรัสเซีย ตัว Seward เองนั้นเป็น expantionist ตัวจริง เพียงแต่อยู่ผิดเวลาเท่านั้น เป็นเพื่อนกับ Charles Sumner ประธานกรรมาธิการต่างประเทศของ Senate ซึ่งเป็นด่านแรกในการพิจารณา ดังนั้นสนธิสัญญาจึงถูกผลักดันออกมาให้ Senate พิจารณาภายใต้การล็อบบี้ของทั้ง Seward และ Sumner สุดท้ายสนธิสัญญานี้ถูกรับรองโดยชนะโหวตเพียงเสียงเดียวเท่านั้น อย่างที่รี 4 กล่าวไว้ครับ ว่าอารมณ์ของคนอเมริกันในยุคนั้นคือไม่สนใจเรื่องขยายดินแดนออกไปนอกประเทศนัก เพราะเป็นการสนับสนุนลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) ซึ่งอเมริกาต่อต้านอย่างมาก แล้วคนอเมริกันเองมองว่าดินแดนที่มีอยู่ก็กว้างมากพอแล้ว ไม่รู้จะหาเพิ่มอีกทำไม แล้วประเทศก็เพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองมาอีก จึงเน้นไปทางการฟื้นฟูประเทศมากกว่า แต่ที่มันเป็นประเด็น คือ สื่อ ที่เป็นตัวจุดกระแสจริงๆ โจมตีการเข้าซื้ออลาสก้าของ Seward สมัยก่อนยังไม่มีจริยธรรมในการเขียนข่าว (yellow journalism) คือ เขียนเพื่อให้คนซื้อหนังสือพิมพ์มากๆเท่านั้น ซึ่งต่อมาจะเป็นตัวการสำคัญที่ปลุกกระแสให้เกิดสงคราม Spanish-American War ในปี 1898 เรื่องขยายอำนาจในแปซิฟิค นี่ยังไม่ถึงเวลานะครับ ตอนนั้นอเมริกาเพียงแค่ต้องการสถานีไว้เติมเชื้อเพลิงเพื่อไปค้าขายกับเอเชียเท่านั้น ซึ่งมีฮาวาย (ตอนนั้นยังเป็นประเทศเอกราชอยู่ แต่มีพ่อค้าอเมริกันอยู่เป็นจำนวนมาก และควบคุมเศรษฐกิจอยู่) เป็นสถานีหลัก ตัว Seward นี่ อย่างที่บอกคือ อยู่ผิดเวลา เพราะต่อมาอารมณ์ของคนอเมริกันเปลี่ยนไป และต้องการให้ขยายอำนาจมากขึ้นหลังจากชนะสงครามกับสเปนและยังมีปัจจัยคุกคามอื่นๆจากยุโรปอีก ทำให้คนอเมริกันมองหาทางเพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ประธานาธิบดี Theodore Roosevelt ยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมอีกด้วย .............................................. สรุป อีกที - ช่วงซื้ออลาสก้า อเมริกา ยังไม่อยากไปยุ่งเรื่องต่างประเทศมากนัก แต่หลังจากปี 1898 อเมริกาเริ่มขยายสู่โลกภายนอกมากขึ้น .............................................. ป.ล. ถามนิดนึงครับ กฎบัตรแห่งสมาพันธ์เป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรครับ จากคุณ : classhopper เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 02:44:49

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าความจำไม่คลาดเคลื่อน น่าจะเป็น The Articles of Confederation ครับผม จากคุณ : จะทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี (WeeN the Listener) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 03:59:58

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าอย่างนั้น ช่วงนั้นอเมริกาก็ยังเป็นวุ้นอยู่จริงๆล่ะครับ วุ่นวายจริงๆ แต่ถึงจะประกาศตัวเป็นกลางยังไง ก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว เพราะไม่มีอำนาจ ไม่มีทหารใดๆทั้งสิ้น แถมยังโดนละเมิดความเป็นกลางอยู่บ่อยๆ แม้ว่าหลังประกาศ Monroe Doctrine ก็ยังต้องพึ่งอังกฤษอยู่ดี จะว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์กับอังกฤษนี่ก็เหมือนพี่น้องนะครับ เดี๋ยวก็ตบตีกัน เดี๋ยวก็หันมาช่วยกัน แล้วยังขัดแข้งขัดขากันบ่อยๆ จากคุณ : classhopper เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 08:16:24

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณทั้งคุณ WeeN the Listener และคุณ classhopper ที่เข้ามาเพิ่มเติมนะครับ ที่ผมบอกว่าอเมริกายังเป็นเด็กน้อย คือยังไม่ได้เข้าสู่เวทีโลกอย่างเต็มตัว เพราะยังต้องรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นก่อนเท่านั้นละครับ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอำนาจเลย นโยบายของอเมริกาตอนนั้นไม่ได้ส่งผลต่อประเทศอื่นๆเท่าไหร่ ส่งผลต่อชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงมากกว่า แล้วก็มีแต่อังกฤษที่ต้อง deal กับอเมริกาอย่างจริงจัง ช่วงปลายๆของศตวรรษซิครับถึงเริ่มเข้าสู่ช่วงขยายอำนาจเข้าสู่เวทีโลกเต็มตัว การเติบโตของอเมริกาก็เป็นไปอย่างเป็นระบบนะครับ ตอนแรกก็ประกาศ Monroe Doctrine ไม่ให้ชาติยุโรปมายุ่งหรือมาตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกาอีกต่อไป ต่อจากนั้นก็เป็น Manifest Destiny ที่อเมริกาจะขยายดินแดนอเมริกาจากชายฝั่งตะวันออกมายังตะวันตก ได้อลาสกาก็ช่วงนี้ เมื่อ consolidate ได้แล้วก็ค่อยก้าวเข้าสู่เวทีโลกตอนรบกับสเปน ตอนประกาศ Monroe Doctrine จริงๆในอเมริกาตอนนั้นดินแดนส่วนมากก็โดนจับจองไปแล้ว เหลือแต่ทางตะวันตกของอเมริกาเหนือเท่านั้นล่ะครับ ซึ่งไม่มีประเทศไหนมาถึงได้หรอก (อาจจะยกเว้นรัสเซีย...แต่รัสเซียมาถึงอลาสกาก็หมดแรงแล้ว) จุดที่น่าเป็นห่วงคืออาณานิคมของสเปนในอเมริกาใต้เริ่มก่อกบฏกัน ก็มีความกังวลว่าอาจมีชาติยุโรปมือที่สามเข้ามายึดอาณานิคมเหล่านี้ไปได้ แล้วตอนนั้นอเมริกาบังคับใช้คำประกาศนี้ไม่ได้หรอกครับ กองทัพเรือก็ยังไม่แข็ง คนที่"จัดการให้"ก็คืออังกฤษ เหมือนกับว่าสิ่งที่อเมริกาคิด...อังกฤษก็คิดไว้เหมือนกัน เพราะถ้าไม่มีประเทศจากโลกเก่ามายึดอาณานิคมในอเมริกาได้เพิ่ม...ก็ไม่มีประเทศใดแข็งแกร่งขึ้นมาต่อกรกับอังกฤษได้ ส่วนอเมริกาถ้าไม่มายุ่งกับแคนาดา...อังกฤษก็ไม่ว่าอะไร จนสุดท้ายก็มีการตกลงกันใช้เส้นรุ้งที่ 54 องศาเหนือในการแบ่งเขตระหว่างอเมริกากับแคนาดา ที่ Monroe Doctrine เป็นเรื่องสำคัญ ผมว่าเพราะเป็น vision ของอเมริกามากกว่า รวมกับ Manisfest Destiny ก็เป็นความตั้งใจที่จะขยายอำนาจและเป็นหนึ่งในภูมิภาคนี้ (Regional Power) จากคุณ : HotChoc เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 52 00:35:32

ความคิดเห็นที่ 9 จขกท ครับ  มันมีภาคนิพนธ์เรื่องนี้ด้วยนะครับ  สนใจติดต่อโครงการรัสเซียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ จากคุณ : nOngOngZ เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 22:06:28

ความคิดเห็นที่ 10 พี่เค้าแน่นเรื่องนี้จริงๆค่ะ จะว่าไป หนูหานิพนธ์ของพี่โบ๊ทในห้องโครงการไม่เจอ :(( จากคุณ : พริ้วปลิวลม เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 52 19:05:22