เมื่อคืนถ่ายรูป ไม่นึกว่าจะชัด แต่แกะห่อ แล้วไม่ได้ปิดห่อให้ดีๆ ก็เลยมีพลาสติกรุ่มร่ามหน่อย ...มันวางขายใกล้ๆ miso ยี่ห้อ Ohsawa ....แหะๆๆๆ...ตอนนี้กำลังจน เลยไม่กล้าซื้อ Ohsawa มาเพราะมันตั้ง 500 -600 บาทแน่ะ แต่ยี่ห้อที่แปะรูปให้ดูนี้ รู้สึกว่า น้ำหนักเท่าๆกับ Ohsawa แต่ห่อนี้ราคาแค่ 32 บาทเอง ...
ก็เลยอยากจะส่งจดหมายไปหาบริษัทที่ผลิต miso ห่อละ 32 บาทว่า ในอนาคตอันใกล้ๆนี้ ขอท่านใช้ ถั่วเหลืองปลูกแบบ organic กับข้าวเหนียวข้าวกล้อง กับเกลือสมุทร มาหมักทำ เป็น macrobiotic miso แล้วขายแพงกว่านี้ สัก 2 เท่า คือ 64 บาท จะไหวไหมเอ่ย? แต่จนปัญญาไม่รู้ว่าจะติดต่อกับบริษัทเขาไง เพราะพี่แกแปะแต่ภาษาญึ่ปุ่นที่เราอ่านไม่ออก...ใครอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ จะช่วยเราส่ง จม ไปหาเขาหน่อยก็จะดีนะ ...อิๆๆ...
...............................................................................................
แต่ใน คคห นี้เราจะบอกวิธีใช้ miso ทำอาหาร ตามที่เราเคยไปเข้า course เรียนวิธีทำอาหารแม็กโครไบออติก มานะ...
หลักการสำคัญก็คือ
1. miso จำเป็นต้องโดนความร้อน เพื่อกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างเพื่อให้ enzymes บางอย่าง มัน active ขึ้นมา
2. ห้ามเคี่ยวนานๆ เพราะว่าจะทำลายเชื้อจุลอินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ไปหมด
เรามาลองทำ miso soup หรือซุปเต้าเจี้ยวบด กันดู ...
ส่วนผสม
1. น้ำมันงา
2. ผักอะไรก็ได้ เลือกมาสัก 2-3 อย่าง วันนี้จะลอง broccoli (ขอโทษทีสะกดภาษาไทยไม่ถูกแฮะ) แครอท กับ ฟักทอง ดู
ก่อนอื่นเอาน้ำเปล่าต้มในหม้อ (หมายเหตุเราไม่ใช้น้ำก๊อกเพราะมันมีตะกอนเยอะมากๆ แต่เราใช้น้ำกรอง วันไหนรวยมากๆใช้น้ำแร่มันซะเลย...555+++...) ค่อยๆต้มไปช้าๆก็ได้ ไม่ต้องเร่งไฟมาก เพราะเราจะทำอย่างอื่นไปพลางๆด้วย
ขณะรอน้ำเดือด ก็ล้าง และหั่นผักให้หยินกับหยางกระจายกันออกไป ตามที่แนะนำไว้ใน คคห บนๆนั้น มีผัก 3 อย่าง ก็ต้องมีถ้วย 3 ถ้วย วางผักแยกกันไม่ให้สัมผัสกันจนกว่าจะโดนความร้อน จริงๆ คนที่เคร่งมากๆ จะล้างมีดถูกครั้งที่หั่นผักอย่างหนึ่งเสร็จ ก่อนจะหั่นผักอีกอย่างหนึ่ง
เอา miso ใส่ถ้วย แล้วเอาน้ำร้อนจากหม้อเล็กน้อยมาหยอดลงในถ้วย แล้วเอาตะเกียบคนให้เป็นระเบียบ เช่นหน้าหลังกลับไปกลับมา หรือคนทวนเข็มนาฬิกา หรือคนตามเข็มนาฬิกา อย่าคนมั่วหลายทิศ คนให้ miso มีลักษณะคล้ายครีมข้นๆ อาจต้องเติมน้ำร้อนเพิ่ม ไปเรื่อยๆ ถ้ามือใหม่อาจใช้ suribachi (ครกกับสากของญึ่ปุน)
ไปดูรูป suribachi ได้ที่นี่
http://en.wikipedia.org/wiki/Suribachi
สากของญี่ปุ่นทำด้วยไม้เบาๆ แต่ไม่ต้องออกแรงตำโป้งๆๆๆ เหมือนคนไทยตำน้ำพริก เพราะตัวครกมันทำด้วยดินเผาที่มีรอยบากเฉียงไปเฉียงมา เลยแค่ใช้สากคลึงเอา ก็บดได้ละเอียดแล้ว
แต่มือชั้นเซียน ใช้แค่ตะเกียบคู่เดียวก็พอ miso ที่มีพลังสูงสุด จะต้องกวนจนถั่วเหลืองหรือข้าวที่ยังเห็นเป็นเม็ดเล็กๆกลายเป็นครีมไปให้หมด ม่ายงั้นเวลาทำเป็นซุปแล้วมันจะตกตะกอนได้ง่าย แทนที่จะผสานกลมกลืนไปกับน้ำ Lima Ohsawa ผู้เป็นภรรยาของ George Ohsawa มีชื่อเสียงมากๆในเรื่องการใช้สมาธิคน miso จนเหลวเป็นครีม ได้อย่างระดับเทพ...
นี่เป็นภาพถ่ายของ Lima (อยู่ทางซ้ายในรูป) เมื่ออายุ 88 ปี (ท่านจากโลกนี้ไปเมื่ออายุประมาณ 100 ปี)
http://www.imss.macrobiotic.net/lima.html
คราวนี้ เอากระทะเปล่าๆ ขึ้นตั้งไฟให้ร้อน แล้วเทน้ำมันงาลงไป (ใช้น่ำมันน้อยที่สุดเท่าที่พอจะทำให้ผักสุกได้แค่นั้น คือเราจะเติมน้ำช่วยยังไงล่ะ) แล้วเอาผัก 3 อย่างเทลงไป แล้วคนๆให้เข้ากัน ...
อันที่จริงแล้ว การเอาผักลงผัดนั้น ถ้าผักมีพลังหยินกับหยางต่างกันมากๆ เรามักจะเอาผักที่มีผลังหยินให้โดนความร้อนก่อน จากนั้นจึงเอาผักที่มีพลังหยางใส่ตามลงมา เนื่องจากความร้อนเพิ่มพลังหยางให้แก่อาหาร ดังนั้น การใส่ผักไม่พร้อมกัน จึงเป็นการกระจายพลังหยินกับหยางออกไป นั่นเอง แต่เผอิญผัก 3 อย่างที่เราเลือกนี้ พลังออกไปค่อนข้างหยางคือ แครอท กับ ฟักทอง แต่ broccoli พลังอยู่ที่ปานกลาง ไม่ห่างไกลกันมากนัก ก็เลยใส่พร้อมๆกันได้
คนผักให้เข้ากัน โดยคนหน้าหลังกลับไปกลับมา หรือคนทวนเข็มนาฬิกา หรือคนตามเข็มนาฬิกา อย่าคนมั่ว เติมน้ำเปล่า ลงไปเล็กน้อย คนต่อไป พอผักได้ที่แล้ว ก็เททุกอย่างที่อยู่ในกระทะลงไปในหม้อน้ำร้อน คน แล้วเท miso ที่บดเป็นครีมแล้ว ลงไปในหม้อ แล้วคนหน้าหลังกลับไปกลับมา หรือคนทวนเข็มนาฬิกา หรือคนตามเข็มนาฬิกา อย่าคนมั่ว
พอหยุดคน จะเป็นช่วงที่ต้องระวัง
"เมื่อ miso ลงไปแล้ว อย่าเคี่ยวนาน"
แต่ทิ้งไว้บนไฟอีกแค่ 2-3 นาที ก็พอ แล้วรีบยกลงจากไฟ แล้วเอาฝาปิดหม้อไว้สักพักหนึ่ง ก็เอาไปเปิดตักใส่ถ้วยรับประทานได้....
หมายเหตุ เวลาผัดผักต้องใช้น้ำมันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำให้ผักสุกได้ คือใช้เติมน้ำเปล่าช่วยให้สุกตอนผัดนั่นเอง ส่วนปริมาณของ miso นั้น พูดด้วยปากเปล่าลำบาก ต้องลองบดไว้เยอะๆก่อน แล้วเติมลงซุปแล้วขิมดูว่าเข้มข้นใช้การได้ แต่ไม่เค็มจนเกินไป ตอนทำครั้งแรกๆ อาจเหลือ miso ที่บดแล้วมากหน่อย เพราะกะไม่ถูก แต่คราวต่อๆไป จะกะปริมาณได้แม่นยำกว่า จริงๆแล้ว miso ถ้าเหลือจากการทำซุป จะเอาไปใช้ทำอย่างอื่น ก็ได้...ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง...
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 52 13:33:31
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 52 09:34:13
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 52 09:12:29
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 52 09:05:07