ความคิดเห็นที่ 1 เท่าที่ทราบมานะครับ (ไม่แน่ว่าจะถูกต้อง) อินเดีย-ยุโรป (Indo-European) สาย อินเดีย-อิหร่าน (Indo-Iranian) ในสมัยโบราณอยู่รวมด้วยกัน แถวเอเชียกลาง ต่อมาได้แยกไปทางอิหร่าน (Iran ก็คืออารยันในภาษาเปอร์เชีย) ด้านหนึ่ง  ไปอินเดีย (Indo-Aryan) ด้านหนึ่ง ภาษาในคัมภีร์อเวสตะ ของเปอร์เชียโบราณ ใกล้ชิดกับภาษาในคัมภีร์พระเวท มากกว่าภาษาในดินแดนอินเดีย-อิหร่าน ยุคหลัง ๆ เสียอีก Ahura Mazda นั้น Ahura ตรงกับ Asura (อสุร (อสูร)) เพราะฝ่ายเปอร์เชียนั้นนับถือฝ่ายอสูร และถือว่า ฝ่ายเทวะ เป็นฝ่ายไม่ดี (เทวะ ของอินเดีย ไม่แน่ในว่าเปอร์เชียว่าอย่างไร) เทว (Deva) ถ้าจำไม่ผิด มาจากรากศัพท์ ทิว (Diva) แปลว่า แสงสว่าง แต่เนื่องจากเปอร์เชียว่า เทวะ เป็นฝ่ายมาร เมื่อคำนี้แพร่ไปทางตะวันตก ในหมู่ชนที่ใช้ภาษาอินเดีย-ยุโรป จึงเป็นคำเรียกฝ่ายมารไป เช่น Devil ส่วนอินเดียนับถือฝ่ายเทวะ อันมี อินฺทร (Indra) เป็นหัวหน้า และถือว่า อสูร เป็นฝ่ายมาร เคยอ่านมาว่า อินฺทร อาจเป็นวีรบุรุษที่พาชาว อินเดีย-อารยัน บุกเข้าครอบครองดินแดน (ไม่แน่ใจว่าดินแดนอนุทวีปอินเดียหรือไม่) ส่วนเปอร์เชียเป็นอสูรหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อสูร คือ อัสซีเรีย (พระเจ้า Assurbanipal (อสูรบานิปาล!?!?!?)) ซึ่งสมัยหนึ่งมีเมืองหลวงชื่อว่า Assur (อสูร???) ดูเพิ่ม : http://en.wikipedia.org/wiki/Neo-Assyrian_Empire หากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ วอนท่านผู้เชี่ยวชาญ โปรดช่วยแก้ไขด้วยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 14:07:32

ความคิดเห็นที่ 2 โอ๊ะ ผมก็เข้าใจว่าเป็นอัสสิเรียนนะ แล้วอาชูร่าของญี่ปุ่นนี่มันก็อสูรหรือเปล่าครับ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 15:06:14

ความคิดเห็นที่ 3 ได้เิปิดหูเปิดตามากมาย ขอบพระคุณทุกๆท่านมากๆครับผม จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 16:48:01

ความคิดเห็นที่ 4 เคยได้ยินว่าเทพเจ้า  Assur   ของอัสซีเรีย เป็นต้นแบบของคำว่า "อสูร" เช่นกัน  เทพเจ้า Assur หรือ Ashur  นี้ได้รับการยอมรับมากในสมัยอัสซีเรีย ซึ่งเป็นชนเผ่าที่มีความเจริญรุ่งเรืองในยุค เมโสโปเตเมีย  ประมาณ 1000- 600 ปีก่อนคริสตกาล  ก่อนที่ บาบิโลนจะเข้าไปรุกรานและยึดครองอัสซีเรียได้     เมืองหลวงของเขา แต่ละเมืองจะมีเทพเจ้าประจำอยู่  และเมือง Assur นี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไทกริส ปัจจุบันอยู่ในเขตของประเทศอิรัก   เทพเจ้าสูงสุดของ ชาวอัสซิเรีย คือ  เทพเจ้า Assurเป็นเทพประจำเมือง       กษัตริย์ผู้ปกครองของเผ่าอัสซีเรียหลายพระองค์ได้นำพระนามของเทพเจ้ามาเป็นพระนามแห่งตน    เช่น กษัตริย์ Assur-dugul   กษัตริย์ Assur-apal-ili   กษัตริย์Assur-Sirpal    กษัตริย์ Assur-nirari  และ กษัตริย์ Assur-banipal     กษัตริย์ที่เราจะได้ยินพระนามบ่อยที่สุดในสมัยของอัสซีเรีย ก็คือ กษัตริย์ Assur-banipal (ประมาณ 669-627ปีก่อนคริสตกาล)   เพราะยุคสมัยของพระองค์ได้รับการบันทึกว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดากษัตริย์ของอัสซีเรียด้วยกัน   เมื่อสิ้่นรัชสมัยของพระองค์ อัสซีเรียก็เริ่มเสื่อมโทรมลงตามลำดับ   นอกจากความสามารถในการสู้รบที่เป็นเอกลักษณ์ของกษัตริย์ในยุคนั้น   พระองค์ได้รับการจารึกว่า เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ได้เรียน เขียนและอ่าน หนังสือ    เมืองหลวงของพระองค์คือ Nineveh  จึงได้รับการก่อสร้างหอสมุดที่ทำจากดินเหนียว จำนวน 25,000 แผ่น วางเรียงรายไว้เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมของสรรพวิทยาการ ดาราศาสตร์ ศาสนา คาถา เวทย์มนต์ การรักษาโรค วรรณกรรม     จนปัจจุบันก็ยังไม่มีการอ่านบันทึกในห้องสมุดของพระองค์ได้หมดสิ้น เนื่องมาจากปัญหาทางการเมืองของ อิรัก    นิทานปรัมปรา ที่ไม่ได้รับการบันทึกในไบเบิล แต่ถือเป็นตำนานเก่าแก่เห่งเมโสโปเตเมีย ชื่อว่า Gilgamesh  ก็ได้รับการแปลออกมาจากหนึ่งใน 25,000 แผ่นดินเหนียวของห้องสมุดของพระองค์ นี่เอง   พระองค์ได้รับการจารึกว่าเป็นกษัตริย์ี่เกรียงไกรที่สุดพระองค์หนึ่งในยุคสมัย ก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนจะไปไกล  เพระาเล่าถึงกษัตริย์พระองค์นี้แล้ว มีอะไรให้พูดถึงมากมาย  แต่จะไปไกลเกินกว่าหัวข้อกระทู้      ก็ขอกลับมาถึงเทพเจ้า  Ahura Mazda   อันหมายถึงพระนามของเทพเจ้าในศาสนาโซโรแอสเตอร์   ที่ได้รับความนับถือในช่วงราชวงศ์ Achaemenian อาคาเมนิด  ของเปอร์เซีย สมัย 550-330 ปีก่อนคริสตกาล  ตั้งแต่สมัยของพระเจ้า Cyrus The Great  เป็นต้นมา ก็ทรงนับถือเทพเจ้า Ahura Mazda  และศาสนาโซโรแอสเตอร์  นี้เป็นอย่างมาก   ตอนที่ค้นหาข้อมูลเมื่อสองสามปีที่แล้ว   ก็ยังไม่เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่าง เทพเจ้า Assur ของ อัสซีเรีย และ เทพเจ้า Ahura Mazda  แต่ระหว่างสองอารยธรรม อัสซีเรียและ เปอร์เซีย  แต่เข้าใจว่าทั้งสอง ล้วนเป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นบนดินแดน ที่เรียกว่า เอเชียกลาง  คือสองลุ่มน้ำของ ไทกรีส ยูเฟรีตีส       ว่ากันว่า   ความเชื่อ และการนับถือของคนที่ อยู่ใกล้ชิดกันและระยะเวลา่ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยปี อาจจะมีการส่งมอบสืบต่อความเชื่อถึงกันอยู่บ้างก็เป็นได้     และนามแห่ง เทพเจ้า Assur  อาจจะเป็นที่มาของชื่อทวีป Asia  เสียด้วย     ส่วนคำว่า อสูร อาจจะเป็นการนำเอาตำนาน และคัมภีร์ของชาวชมพูทวีป มาขยายความต่อ   เพราะ...เขาก็ว่ากันว่า (ย้อนกลับไปที่อัสซีเรีย)   ชนเผ่าอัสซีเรีย ที่นับถือเทพเจ้า Assur  นั้นเป็นเผ่าที่มีเวทย์มนต์คาถา และมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้สงครามเป็นอย่างมาก   ดังนั้นลักษณะเด่นของอัสซีเรีย ที่มักจะถูกกล่าวถึงก็คือ  ความเหี้ยมโหด และทารุณของศัตรูคู่ศึก    เมื่อได้รับชัยชนะในการศึกสงครามแต่ละครั้ง  การนำทหารและทาสบริวารของฝ่ายตรงข้าม มาเสียบคอปักไว้เต็มทุ่งหญ้า นับพันนับหมื่นศพ จึงเป็นเรื่องปกติ   และเรื่องราวของการ ฆ่าเพื่อบูชายัญ   อันเป็นลักษณะความเชื่อทั่วไปของผู้คนที่เกิดขึ้นก่อนยุคที่พระศาสนาต่างๆในโลกจะบังเกิดขึ้นมา    ความดุดัน และ เหี้ยมโหดของอัสซีเรียอาจจะเป็นที่หวาดกลัวของชนเผ่าต่างๆที่อยู่ในบริเวณเอเชียกลาง ไปจรด แอฟริกาตอนเหนือ และแถบเอเชียตะวันออกบางส่วน  และทำให้พระนามของพระองค์ได้รับการขนานนามต่อมา ในแง่ของความทารุณโหดร้าย ในความหมายของคำว่า "อสูร" ก็เป็นได้   ก็ว่า เยอะแล้วนะคะ  ออกทะเลไปบ้างบางส่วนขออภัย ...เอาเป็นว่าที่ว่ามาทั้งหมดนี่  ก็ตามความเข้าใจตัวเองคนเดียว    คงต้องขอคำแนะนำสำหรับผู้รู้ ท่านอื่นๆต่อไปอีกเช่นกันค่ะ จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 20:21:55

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณทุกท่านครับ สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน จากคุณ : กุมารสยาม เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 21:07:28

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องของพวกอัสซีเรียนอันนี้ไม่ทราบนะครับ ขอพูดแต่เรื่องอสูรในความเข้าใจของผมนะครับ เรื่องของอสูรในคัมภีร์พราหมณ์ ก็อย่างที่คุณ เจ้าคุณแม่ทัพ คหที่ 1 ว่าไว้นะครับ การทำสงครามในสมัยก่อน การจะลดความฮึกเหิมของศัตรูและ้เัพิื่่มขวัญกำลังใจให้กับฝ่ายตัวเอง คือการทำ propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ครับ Ahura (เทพเปอร์เซีย) --> Ashura (อสูรพราหมณ์) รวมถึง Ashura ของญี่ปุ่นที่รับอิืทธิพลของพุทธศาสนา ที่ส่งต่อผ่านความเชื่อของพราหมณ์มาอีกที Ahura ในภาษาอะเวสะ ของเปอร์เซีย หมายถึง "กลุ่มเทวฑูต" โดยมี Ahura Mazda ที่เป็นดัวราชันย์ในหมู่เทวฑูตอีกที Ahura Mazda เ้ป็นเทพสูงสุดแล้วยังเป็นเทพแห่งแสงสว่างและไฟ ตามความเชื่อของเปอร์เซียโบราณ ที่นับถือไฟ (โซโรแอสเตรียน) (อ่อ ... อย่าสับสันกับรถยนต์ Mazda ของญี่ปุ่นนะครับ อันนั้นมาจากชื่อคนก่อตั้งคือ นายมัตสึดะ (Matsuda)และเพี้ยนเป็น มาสด้า เพื่อความอินเตอร์) มีที่คล้ายๆกันในการออกเสียง คือเทพปกรณัมของ Norse คือ Aesir (แอซิร์) ไม่รู้ว่าได้ัรับอิทธิำพลอะไรจาก Ahura ไปบ้างหรืิอเปล่า ส่วน Daeva (มารร้่่่่ายของเปอร์เซีย) --> Deva (เทวะ หรือเทพของอินเดีย) จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:51:05

ความคิดเห็นที่ 7 เคยอ่านหนังสือมาเล่มหนึ่งครับ เค้าว่า อสูร เป็น กลุ่มเทพดั่งเดิมที่เคยครองสวรรค์มาก่อน แต่เพราะ ดื่มสุรา หรือเหล่ามากไป ก็เลยถูก เทพ กลุ่มใหม่ซึ่งนำโดยพระอิททร์ บุกรุกสวรรค์ และจับเอา เหล่า อสูร ทั้งหลาย ส่งลงมาใต้โลก ซึ่งเมืองอสูร มีบรรยายไว้ดังนี้ หนังสือ "โลกบัญญัติ" ที่หอสมุดแห่งชาติ ตรวจชำระเรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาบาลีและ กรมศิลปากรได้จัดพิมพ์เผยแพร่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้กล่าวถึง "อสูร" ไว้ใน "อสุรชาติวิภาค กัณฑ์ที่ ๔" ไว้เพียงย่อ ๆ ดังนี้      "ต่อไปนี้ กล่าวถึงวิภาคของกำเนิดอสูร ณ ประเทศอันเป็นรากฐานภายใต้ของภูเขาหลวงสิเนรุ ก็แลจากประเทศอันเป็นรากฐานภายใต้จนถึงภายนอก ของเมืองอสูรทั้ง ๔ โดยรอบทางฝั่งนี้ของทะเลร่วมใน แต่ละส่วน ๆ มีพาหา (ไหล่) ๑๒๔,๐๐๐ โยชน์ โดยรอบพาหาทั้ง ๔ ของแดนอสูร ๔๙๐,๐๐๐ โยชน์ ณ ประเทศท่ามกลางของพาหาทั้ง ๔ มีเมืองอสูร ๔ เมือง ล้อมด้วยกำแพงทอง มีประตู ๑,๐๐๐ ช่อง ด้านนอกมีคูล้อมรอบด้วยแถวต้นตาล ในระหว่าง ๆ มีสระโบกขรณี เหนือ คูมีหมู่อสูรและอสูรกัญญาพากันเล่นสนุก เปล่งเสียงรื่นรมย์ด้วยลีลาอันสวยงาม ประหนึ่งจะพึงกล่าวได้ว่าเป็นวนะอันเป็นแดนแห่งความสนุกสนาน ด้านนอกของสระโบกขรณีเหล่านั้น มีอุทยาน ๔ แห่ง ในสถานที่ ๔ ตำบล สมบูรณ์ด้วยไม้ดอกไม้ผล เป็นสถานอันน่ารื่นรมย์ ในภายในคูสระ และอุทยานมีนครอสูร ภายนอกนครเหล่านั้น ในทิศทั้ง ๔ มีหมู่บ้านอสูร นิคมอสูร ชนบทอสูร น้ำของ มหาสมุทรอันเป็นร่วมใน ย่อมไม่ไหลล่วงฝั่งในแดนอสูรจากภายนอกของชนบทเหล่านี้ ในราหุสูตร ฉันใด ในแดนอสูรทั้งปวงก็ฉันนั้น ในท่ามกลางของเมือง อสูรทั้ง ๔ แห่ง มีต้นไม้ชื่อจิตตปาตลี ที่ใกล้โคนต้นจิตตปาฏลีนั้น มีแผ่นศิลา ๔ แผ่น ประมาณ ๓๐ โยชน์ จอมอสูรทั้ง ๔ ย่อมอยู่ประจำ ณ ที่นั้น ที่ประชุม ปราสาท วิมาน กุฏาคาร ที่พำนัก ร้านตลาด และถนนย่อมแผ่กว้างไปในประตูทั้งหลาย เหมือนสิ่งอุปโภคของเทพยดาชาวดาวดึงส์ แต่แผ่ไปเป็น หย่อม ๆ ทรามกว่า      "เมืองอสูรทางปุรัตถิมทิศ จอมอสูรชื่อ เวปจิตติ ยุวราช ชื่อ สุจิตติ ทั้งสองเป็น จอมอสูร ครองความเป็นราชา มีอิศราธิปัตย์ของอสูรผู้มเหศักดิ์ทั้งหมด ตลอดถึงหมู่อสูรที่ชื่อว่า กาลกัญจิกา อันเป็นพวกที่ทรามกว่าอสูรทั้งปวง ที่มีรูปร่างต่าง ๆ มีริมฝีปากแบะ และมีริมฝีปากแคบ มีเล็บยาว บางพวกมีเท้าคด มีเล็บกุด มีผิวเหลืองซีดเหมือนใบไม้เหลือง และมีเส้นเอ็นสะพรั่งทั่วตัว มีดวงตากลมโปนออกมา มีจมูกและเท้ายาว หัวคด พวกอสูรที่มีรูปร่างต่าง ๆ อย่างนี้ เป็นพวกอสูรที่อยู่ในทวีปปุพพวิเทหะ ตลอดไปถึงแดนทวีปกุรุ (ล้วนอยู่ในปกครองของจอมอสูรทั้งสอง) จอมอสูรทั้งสองเพียบพร้อมด้วยด้วยจตุรงคินีเสนา พลช้าง พลม้า พลรถ และพลราบ ย่อมบุกรุกขึ้นไปเพื่อต้องการจะรบกับเทวดาชาวดาวดึงส์      เมืองอสูรที่ ๒ ทางทิศทักษิณ ในเมืองนั้นมี จอมอสูร ชื่อ สํปรี เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องที่ดียิ่ง ยุวราช ชื่อ นมุจิ ทั้งสองเป็นจอมอสูร ครองความเป็นราชา มีอิศราธิปัตย์ของหมู่อสูรทั้งปวง และหมู่อสูรที่อยู่ในชมพูทวีป ตามเรื่องที่พรรณนาถึงพวกอสูรในก่อน จอมอสูรทั้งสองนั้นเพียบพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา บุกรุกขึ้นไปเพื่อต้องการจะรบกับเทวดาชาวดาวดึงส์      เมืองอสูรที่ ๓ ทางทิศปัจฉิม ในเมืองนั้นมีจอมอสูร ชื่อ พหินะ มียุวราชชื่อ อสุระ ทั้งสองเป็นจอมอสูร ครองความเป็นราชา มีอิศราธิปัตย์ของพวกอสูรทั้งปวง และของพวกอสูรที่อยู่ในทวีปอมรโคยาน ตามที่พรรณนาเรื่อง อสูรในก่อน ฯลฯ      เมืองอสูรที่ ๔ ทางทิศอุดร มีจอมอสูรชื่อ ปหาราทะ มียุวราช ทั้งสองเป็นจอมอสูรครองความเป็นราชา มีอิศราธิปัตย์ของพวกอสูรทั้งปวง และพวกอสูรที่อยู่ในทวีปอุตตรกุรุ ตามที่พรรณนาถึงอสูรไว้ใน (คัดลอกจาก  http://www.tpschamnong.iirt.net/article/basa_5nt071.html จำนงค์   ทองประเสริฐ ) การที่เทพ ชุดเดิม (อสูร) ต้องถูกเนรเทศลงมานั้น เพราะ เหล้า สุรา จึงทำให้ เทพเหล่านี้ ปฏิญาณว่าจะไม่ดืมสุราอีก จึงได้ชื่อว่า อ + สุร(า) คือ อสุร นั่นเอง จากคุณ : ศิวโมกษ (ศิวโมกษ) เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 14:16:52

ความคิดเห็นที่ 8 เปอร์เซียก็เป้นอารยันสายหนึ่ง      ในเมื่ออารยันเข้ามาขับไล่ดราวิเดียน     ก็จะไปตรงกับเทวตำนานที่เทพมาขับไล่อสูรที่ดื่มสุราเมามาย   โดยใช้คำแทนพวกดราวิเดียนว่าอสูร   และอารยันเป็นเทพ       ถ้าเป็นตามทฤษฎีนี้   ทำไมอารยันที่มาใหม่จึงไม่เรียกตัวเองว่าอสูรล่ะครับ   ตามภาษาเปอร์เซีย    แต่เรียกตนเองว่าเทพที่ภาษาเปอร์เซียใช้เรียกปีศาจ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 22:57:03

ความคิดเห็นที่ 9 นั่นสิขอรับ เริ่มสงสัยหนักเข้าไปอีกตาม คห.8 (- -*) จากคุณ : จขกท. (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 01:22:34

ความคิดเห็นที่ 10 น่าจะคล้ายกับของฝั่งยุโรปครับ ก่อนมีสงครามครูเสด เวลาชาวยุโรปจะเดินทางไปค้าขายที่อินเดียก็จะถูกชาวเปอร์เซียทั้งกองโจร และกองทัพดักปล้นชิงและฆ่าอย่างโหดเหี้ยมอยู่เสมอ จนต้องมีการค้นหาเส้นทางทะเลเพื่อไปซื้อเครื่องเทศ จากคุณ : Dodoro เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 04:37:20

ความคิดเห็นที่ 11 อารยัน (พวกเทพ) ไม่ได้เรียกทราวิฑว่าอสูรนะ จะใช้คำว่า ยักษ์ หรือ รากษส แทน ตำนานอารยันรบยักษ์ที่รู้จักกันดีก็รามายณะนะเแหละ ส่วนตำนานพระอินทร์ไล่อสูรนั้น สะท้อนถึงพวกภารตะ (เทพ) สู้กับอสูร (เปอร์เซีย) ซึ่งเปนอารยันด้วยกันทังสองฝ่าย เปนเรื่องก่อนที่จะปะทะกับพวกทราวิฑ จากคุณ : นู๋เองง่ะ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 14:21:44

ความคิดเห็นที่ 12 ตามคห.11    มันก็ยังสงสัยอยู่ล่ะครับ    ว่าตอนหลังพวกอารยันสามารถเข้าปกครองอินเดียได้     แต่ทำไมจึงเรียกเทพเจ้าของตน(อาทิพระอินทร์)ว่าเทพล่ะ    ไม่เรียกว่าอสูร    ผุ้ชนะกลับเรียกตนเองในความหมายว่ามาร จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 17:30:29

ความคิดเห็นที่ 13 แสดงว่าทั้งสองกลุ่มอาจจะเป็นศัตรูกันมาก่อนหรือเปล่าขอรับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 18:17:30

ความคิดเห็นที่ 14 อะ อธิบายใหม่ พวกอารยัน สองกลุ่มย่อย อสูร (เปอร์เซีย) กับ เทวา (ภารต) รบกัน ต่างฝ่ายต่างยกตัวเปนเทพ และกดอีกฝ่ายเปนปีศาจ หลังจากที่ทังสองกลุ่มแยกกันแล้ว (ตำนานอินเดียบอกว่าเทวาเปนฝ่ายเตะอสูรตกสวรรค์ไป แต่ถ้าดูจากเส้นทางอพยพ ฝ่ายเทวานะแหละ ที่พ่ายหนี) ฝ่ายเทวา (ภารต) ไปเจอกับพวกยักษ์ (ทราวิฑ) แล้วก็สร้างตำนานรบยักษ์ขึ้นมาอีก ที่มาก็ฉันนี้แล จากคุณ : นู๋เองง่ะ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 18:36:29

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าดูจากที่คุณนู๋เองง่ะว่า    ก็จะหมายความว่า   อารยันแถวนั้นมี2เผ่า    ซึ่งใช้ภาษาที่ความหมายต่างกัน     คือเผ่าเปอร์เซียใช้เทพ=มาร/อสูร=เทวา           กับอีกเผ่าที่มาไล่ดราวิเดียนใช้เทพ=เทวา/อสูร=มาร ทีนี้พอเผ่าที่มาไล่ดราวิเดียนทำได้สำเร็จและ อพยพมาอยู่ในอินเดีย   อินเดียก็เลยรับคำว่าเทพกับอสูรมาใช้ตามเผ่าที่ไล่ดราวิเดียนสำเร็จ     และเกิดตำนานอสูร(ดราวิเดียน)เมาเหล้าและถูกเทพ(อารยัน)ขับไล่ไป     แต่ถ้าตำนานนี้ไม่ได้หมายถึงดราวิเดียนและอารยัน   แต่หมายถึงอารยัน2เผ่า      ก้เท่ากับตำนานนี้เล่ากันตามที่ผู้ปกครองต้องการจะเล่า(เล่าให้ฝ่ายตัวเองชนะ) แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 19:51:06 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 19:48:20 แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 19:43:09 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 19:37:59

ความคิดเห็นที่ 16 ตามความเห็นผม คำว่า อสูร ไม่ได้หมายถึงชื่อที่ใช้เรียกชาวเปอร์เซีย หรือ อัสซีเรีย และไม่ได้มาจากคำว่า ไม่ดื่มสุรา แต่น่าจะมาจาก คำว่า อสุราลัย ซึ่งแปลว่าผู้ไม่ได้อยู่บนสวรรค์มากกว่า อสูร ต่างจาก มาร   มาร เป็นเทวดาที่อยู่บนสวรรค์แต่หลงผิด แต่อสูรไม่ได้อยู่บนสวรรค์เลย จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 23:12:12

ความคิดเห็นที่ 17 พึ่งมารู้สึกแปลกๆ     ถ้าเป็นไปตามที่ผมสรุป   มันก็จะสรุปไม่ได้อีกนั่นแหละว่าคำว่าอสูรมาจาก Ahura    เพราะคำว่าAhuraคือพระเจ้าของโซโรอัสเตอร์(เทวะ)     แต่ทำไมอารยันส่วนหนึ่งจึงเอาไปใช้เรียกมาร    เพราะเท่าที่จำได้แถบเปอร์เซียในอดีตก็นับถือโซโรอัสเตอร์กันทั้งนั้น     นอกจากว่าอารยันที่อพยพมาอินเดียจะไม่ได้นับถือโซโรอัสเตอร์    เลยเอาชื่อAhuraมาใช้เรียกมาร      พวกที่นับถือโซโรอัสเตอร์ยังคงอยู่ที่เปอร์เซียกัน     และยังคงความหมายของAhuraว่าเทวะ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 52 04:24:50

ความคิดเห็นที่ 18 สาราธูษตรา (โซโรอัสเตอร์) รวมทั้งคัมภีร์อเวสตะ และ พระเวท เกิดในสมัยหลังครับ ก่อนหน้านั้น ชาวอารยัน สาย อินเดีย-อิหร่าน (Indo-Iranian) อยู่ร่วมกันในเอเชียกลาง เดาว่ามีการนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่สองกลุ่ม คือ อสูร ( Ahura (อิหร่าน) - Asura (อินเดีย) ) และ เทวะ ( Daeva (อิหร่าน) - Deva (อินเดีย) ) ต่อมาชนเผ่าอารยัน อินเดีย-อิหร่าน ได้เกิดความขัดแย้งกัน ฝ่ายที่นับถือ อสูร ก็ไปอยู่อิหร่าน พัฒนาจนเกิดศาสนาโซโรอัสเตอร์ และตั้งอาณาจักร มิเดีย และเปอร์เชีย ฝ่ายที่นับถือ เทวะ บุกเข้าไปในอนุทวีปอินเดีย ดังที่ทราบ สันนิษฐานกันว่า การอพยพของชาวอารยันในครั้งนั้น เป็นแบบค่อย ๆ ไป อาจจะทีละเผ่า ไม่ได้ไปกันรวดเดียวหมด น่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสื่อมสลายลงของอารยธรรม ฮารัปปา-โมเฮนโจดาโร (นอกเหนือจากสายน้ำเปลี่ยนเส้นทาง ทุพพิกขภัย) อีกเรื่อง มาร ทั้ง ๕ อันได้แก่ อภิสังขารมาร ขันธมาร กิเลสมาร มัจจุมาร และ เทวปุตตมาร นั้น ผมว่า นอกจาก เทวปุตตมาร ในชั้น ปรนิมฺมิตวสวตฺตี ( ที่แบ่งเป็นฝ่ายเทพ ฝ่ายมาร แล้ว ) และ บรรดา เทวะ ชั้นต่าง ๆ ที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ ขัดขวางการทำกุศลกรรมของผู้อื่น แล้ว บรรดา ผู้ทรงศักดิ์แลสิทธิ์ ผู้ทรงมหิทธิฤทธีเดชานุภาพ ทั้งหลาย เช่น พรหม สมมติเทพ (พระมหากษัตริย์) รวมถึง อสูร น่าจะเข้าข่าย เทวปุตตมาร ตามนัยของ "มาร ทั้ง ๕" (ที่เป็นอุปสรรคในการทำความดี) หาก อสูร เหล่านั้นเป็น มิจฉาทิฏฐิ ก็อาจเป็นมารได้ อีกทั้ง บรรดา อสุรา (ในทางพุทธ) ก็เป็น เนวาสิก (เทพหมู่หนึ่ง) ที่ได้ครองสวรรค์บนยอดเขาพระสุเมรุ (สิเนรุ) มาก่อน ก่อนจะเมา สุรา จนเสียทีให้ มฆมาณพ (ท้าวสักกเทวราช-พระอินทร์) และ สหายทั้ง ๓๒ จนถูกโยนลงมาอยู่ตีนเขาพระสุเมรุ แต่ด้วยผลบุญที่ยังมี จึงเกิดเมืองขึ้นให้เหล่าเนวาสิกได้ครอบครอง  เนวาสิกทั้งนั้น จึงปฏิญาณไม่เสพ สุรา อีก จึงได้ชื่อว่า อสุรา อสูร ในทางพุทธ อาจนับเป็น เทวปุตตมารได้ (ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ) หากผิดพลาดอันใด ต้องขออภัยอย่างสูงครับ ด้วยความเคารพ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 10:54:35

ความคิดเห็นที่ 19 แต่ในทางประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ อสูร อาจมาจากชื่อเทพ Assur ของอัสสิเรีย ก็เป็นได้ เพราะเทพ Assur นั้น เท่าที่ทราบ มีมาก่อน ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ดูเพิ่มเติม http://en.wikipedia.org/wiki/Assyria http://en.wikipedia.org/wiki/Assur http://en.wikipedia.org/wiki/Assur_(god) แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 52 11:24:34 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 11:23:14

ความคิดเห็นที่ 20 Assur  น่าจะตรงกับคำว่า ไอศูรย์ มากกว่า ซึ่งแปลว่า เจ้าผู้เป็นใหญ่ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ที่มาของคำว่า "อสูร"  อาจจะมาจากคำว่า  "อสุภ" ที่แปลว่า น่าเกลียด เราอาจเรียกพวกปีศาจน่าเกลียดว่า อสุภกาย แล้วเพี้ยนเป็น อสุรกาย ก่อนจะกลายเป็น อสูร จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 22:42:56

ความคิดเห็นที่ 21 มีข้อสังเกตอีกนิดหน่อย คำว่า "อสุภ" ถ้าเส้นขีดบนหัว "ภ" เลือนหายไป จะได้ "ร" กับสระ อา กลายเป็นคำว่า "อสุรา" ไป หรือคำว่า "อสุรา"  เขียน ร กับ สระอา ติดกันก็กลายเป็น "อสุภ" จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 23:32:13

ความคิดเห็นที่ 22 ใครพอทำเส้นทางเดินทางของพวกเปอร์เซียได้ไหมขอรับ ? จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 52 23:37:22

ความคิดเห็นที่ 23 ยิ่งอ่านไปยิ่งสรุปว่า    คำว่าอสูรไม่ได้มาจาก Ahura    แต่ทั้งคำว่าอสูรกับAhura  มีที่มาจากรากศัพท์ที่ใกล้เคียงกัน          คือมาจากกลุ่มอารยัน2เผ่าที่ใช้ความหมายไม่ตรงกัน              ดังนั้นคงจะสรุปได้ว่าคำว่าAhuraกับอสูรเป็นศัพท์เครือญาติที่มีที่มาจากรากศัพท์ที่ใกล้ชิดกัน จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 02:52:11

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ นอนดูดาว คคห.๒๑ "อสุรา" ไม่น่าจะมาจาก "อสุภ" นะครับ เพราะสองคำนี้เป็นบาลี มีมาก่อนอักษรไทยแบบปัจจุบันนานนัก อีกทั้ง อักษรไทย เพิ่งจะมาใช้จารจารึกบาลีอย่างเป็นทางการเมื่อ ร.๕ นี้เอง โดยก่อนหน้านั้นเราใช้อักษร ขอม(ไทย) และก่อนหน้านั้นชาวพุทธก็ใช้ พราหมี ฯลฯ ถ้า "อสุรกาย" มาจาก "อสุภกาย" ก็น่าจะด้วยเหตุผลอื่น ด้วยความเคารพ ป.ล. อสูรหน้าตาดีก็น่าจะมีนะครับ เพราะท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์ - มฆมาณพ) ก็เป็นลูกเขย (โดยการชิงตัวลูกสาว) ท้าวเวปจิตติ ผู้เมืองอสูรทางปุรัตถิมทิศ นางสุชาดา ธิดา ท้าวเวปจิตติ นั้น ในอดีตชาติ คือ ๑ ใน ๔ ภริยา ของ มฆมาณพ นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 11:28:27 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 11:26:32 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 10:56:45

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ กระบี่เก้าเดียวดาย คคห.๒๒ ลองอ่านลิ้งค์เหล่านี้ดูครับ แม้จะเป็นวิกิฯ แต่ผมว่ามีสาระ มีหลักฐานน้ำหนักดีทีเดียว http://en.wikipedia.org/wiki/Indo-Iranians http://en.wikipedia.org/wiki/Indo-Iranian_languages http://en.wikipedia.org/wiki/Indo-Aryan_migration http://en.wikipedia.org/wiki/Out_of_India_Theory แนบแผนที่ (ตัวเลข คือ ปีก่อนคริสตกาล โดยประมาณ) แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 11:09:20 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 11:08:24

ความคิดเห็นที่ 26 อสูรน่าตาดีนี่ หมายถึง "อสูรที่เป็นเพศหญิง" หรือ "อสุรี" หรือเปล่าขอรับ? ถ้าเป็นเพศชายจะห้าวหาญและมีหน้าตาดุร้ายน่าเกลียดกลัว (น่ายำเกรงแบบนักรบ) อันนี้คือเท่าที่จำได้ ตรงนี้จะคล้ายๆ กับพวกยักษิณี (ที่สวยบ้างไม่สวยบ้าง ดังนั้นจึงไม่เหมือนกันเสียทีเดียว) ตรงนี้คือไม่ทราบจำมาจากที่ใดเช่นเดียวกันนะขอรับ แสดงว่า "พวกอสูรในนิยายอิงพงศาวดารนี้เป็นพวกชาติพันธุ์ประเภทนักรบ" และเพศหญิงมีความสวยงามแปลกตา (แบบปนตะวันตก? หรือเราเรียกว่าพวกที่มีเชื้อแขก (แบบ Pinky) ?) ทุกท่านคิดว่าน่าจะใกล้เคียงชาติพันธุ์ใดขอรับ ข้าน้อยว่าใกล้เคียงชาติพัีนธุ์ Indo-Iranian ไม่น้อยเลยนะขอรับ ^ ^ ปล. หากโยงเรื่องนี้ ไปที่เนื้อหาของเทพตำนานกรีกที่กล่าวถึง พวกไททันส์ด้วยนี่ คิดว่า ใกล้เคียงหรือเปล่าขอรับ ? แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 19:23:49 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 19:22:38 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:18:38

ความคิดเห็นที่ 27 ดาวดึงส์สวรรค์ แต่เดิมไม่มีชื่อเรียกขาน และเป็นที่อยู่ของเทพเหล่าหนึ่ง มีชื่อว่า เนวาสิกเทพ ซึ่งต่อมาภายหลังเกิดลุ่มหลงมัวเมาในน้ำคันธบาน หรือ สุราทิพย์ (น้ำเหล้าบนโลกมนุษย์ เรียกว่า สุราบาน) จึงทำให้ทิพยสมบัติต่าง ๆ บนสวรรค์ชั้นนี้ค่อย ๆ เสื่อมทรามลงเรื่อย ๆ เมื่อมาณพทั้ง ๓๓ คนมาอุบัติยังที่อยู่ของตน ท้าวไพจิตราเทพบุตร ซึ่งเป็นใหญ่แห่งเทพทั้งหลายในขณะนั้น เห็นว่าบรรดาเทพที่มาอุบัติใหม่ ล้วนมีรัศมีกายแจ่มใส มากล้นด้วยบุญบารมี โดยเฉพาะมฆเทพบุตรนั้น รัศมีกายของท่านเจิดจรัสรุ่งเรืองยิ่งกว่าเทพองค์ใด เมื่อรู้ว่าตนมีบุญวาสนาด้อยกว่าที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป จึงเสนอยกดินแดนสวรรค์ที่ตนปกครองอยู่ ให้มฆเทพบุตรปกครองเทพบริวารของตนกึ่งหนึ่ง แต่มฆเทพบุตรได้ปฏิเสธข้อเสนอนั้น เนวาสิกเทพเหล่านี้ได้จัดการต้อนรับเลี้ยงน้ำสุราทิพย์แก่เทพผู้มาใหม่ เพื่อหวังมอมเมาให้ลุ่มหลง แต่มฆมาณพเทพบุตร ได้นัดแนะกับเทพบริวารว่า ให้ทำทีเป็นแกล้งดื่ม พอพวกเนวาสิกเทพเผลอ ค่อยแอบเททิ้ง ทำให้มฆเทพและเทพบริวาร ไม่มีผู้ใดเมามายขาดสติแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับฝ่ายเนวาสิกเทพ เมื่อเทพเหล่านั้นดื่มจนเมามายหลับใหลไร้สติ มฆมาณพเทพบุตรพร้อมด้วยเทพบริวารจึงช่วยกันจับเนวาสิกเทพเหล่านั้น โยนจาก เขาสิเนรุมาศ อันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นนี้ลงไปยังมหาสมุทร อันมีนามว่า มหานทีสีทันดร ด้วยอานุภาพกุศลกรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตยังหลงเหลืออยู่ จึงดลบันดาลให้เกิดวิมานอันกว้างใหญ่ และต้นไม้ ชื่อจิตตปาลิ (ต้นแคฝอย) เกิดขึ้นใต้เขาสิเนรุมาศ เพื่อเป็นที่อยู่ของเทพเหล่านั้น เรียกว่า นครอสูรใต้พิภพ และ เพราะเหตุที่ดื่มสุราทิพย์เมามายขาดสติจนถูกโยนลงจากสวรรค์นี่เอง ทำให้เทพเหล่านั้นปฏิญาณว่าจะไม่ดื่มสุราอีก โดยได้เรียกขานชื่อของพวกตนเองเสียใหม่ เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจว่า ?อสุรา? (ผู้ไม่ดื่มสุรา) หรือ อสูร และทุก ๆ ปีเมื่อดอกแคฝอย เบ่งบานก็จะระลึกถึงสวรรค์ที่อยู่เดิม ก็จะยกพลขึ้นไปทำศึกกับเทวดาบนดาวดึงส์ แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง ด้วยบุญบารมีที่สร้างสมเอาไว้ต่างกันมากนั่นเอง เมื่อเหล่าอสูรไปอยู่ ณ อสูรพิภพ ใต้เขาสิเนรุ แล้วทิพยวิมานที่อยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นของคู่บุญก็สูญไป เกิดมหาเทพนครอันกว้างใหญ่ ยาวหมื่นโยชน์ขึ้นแทน โดยขนานนามพระนครนั้นใหม่ว่า "ดาวดึงส์" แปลว่า "ถิ่นที่อยู่ของเทพ ๓๓ พระองค์" ในท่ามกลางมหาเทพนครนั้นมีปราสาทอันงดงาม นามว่า เวชยันต์ สูง ๗๐๐ โยชน์ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดับด้วยธงทั้งหลายสูง ๓๐๐ โยชน์ ผุดขึ้นด้วยอานิสงฆ์แห่งการสร้างศาลา โดยมฆมาณพเทพบุตรได้เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลาย และมฆเทพบุตร ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตั้งแต่บัดนั้นเป็น ต้นมา จนกระทั่งทุกวันนี้ ทรงเฉลิมพระนามใหม่ว่า "สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า" หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า พระอินทร์ อ้างอิง : รวบรวมจากไหนบ้างมิทราบขอรับ (- -*) ข้อสงสัยคือ พวกหัวหน้าทั้ง 33 คนนี้ เป็นพวกที่รวมหัวกันต่อต้านพวกเผ่า Iranian โดยใช้แผนหลอกล่อพวกเผ่า Iranian จนถูกตีแตก แล้วถอยร่นมายังดินแดนเปอร์เซียหรือเปล่าหนอ ? แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 19:32:25 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:31:57

ความคิดเห็นที่ 28 หรืออาจจะเป็นพวกอารยัน รวมหัวกันหลายเผ่าเพื่อตีอาณาจักรอัสสิเรีย แล้วจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางหรือเปล่าขอรับ แต่ถ้ากล่าวแบบนั้น ตำนานเทพเจ้ากรีก ทำไมถึงลักษณะคล้ายกับเรื่องนี้ล่ะขอรับ ? จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:42:46

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องกรีกนี่ไม่สันทัดนัก แต่อย่างไรก็ตาม กรีก ก็เป็น อารยัน (อินเดีย-ยุโรป) สายหนึ่ง เขาโอลิมปอส ก็น่าจะเทียบได้กับ เขาสิเนรุ (ผาหลวง) หรือ เขาไกลาส (ผาเผือก) ไททันครองอำนาจมาก่อน แต่เสียทีให้แก่ เทพโอลิมเปียน เนวาสิก ก็เสียทีให้แก่ เทพ ตาวติํส (ดาวดึงส์ - ๓๓) ซุส ใช้ สายฟ้า อินฺทร ก็ใช้ สายฟ้า (วชิราวุธ - วชิระ (สายฟ้า) + อาวุธ) คิดเล่น ๆ ว่า พวกกรีก อาจเป็นอารยันสายที่นับถือเทวะก็ได้ เพราะตำนานไปในทางเดียวกัน อีกทั้งคำว่าเทพของกรีก คือ Theoi กับ Deva ของ ภารตะ มันก็ดูไปในทางเดียวกันนะ (รึเปล่า) อิอิ อันนี้ "เดา" เอาเองนะครับ เพราะไม่มีภูมิทางนี้เลย จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:47:21

ความคิดเห็นที่ 30 เทพของกรีกนี่ถูกยึดอำนาจจริง   แต่ไม่ใช่คนมาใหม่นะครับ    เป็นทายาท(ลูก)ของมหาเทพเดิมยึดอำนาจ และยังมีมหาภารตะ  ที่น่าจะเป้นตำนานการต่อสู้กันของอารยัน2เผ่าอีก    เดาว่า 1 ปาณฑพ(อารยันIran)รบชนะเการพ(อารยันIndia)     2 ขับไล่ให้อารยันIndiaต้องอพยพมาอยู่อินเดีย     3 แล้วอารยันIndia(เทพ-พระราม-ลิง)ก็ขับไล่ดราวิเดียน(ยักษ์-รากษส-อสูร)ไปอีกที    เพื่อแย่งชิงสีดา(รอยไถ-พื้นที่เกษตรกรรม)     4 กลายเป้นรามายณะต่อ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 23:53:19

ความคิดเห็นที่ 31 มหาภารตะ ? น่าจะไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์ที่น่าบันทึกเลยนะขอรับ ถ้าหากพวกอารยันอินเดียรบแพ้แบบนี้ เลยเกิดความสงสัยนะขอรับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:18:21

ความคิดเห็นที่ 32 อาหุรา มัสดา คำนี้มีความหมายว่า "เจ้าแห่งปัญญา" อาหุรา มัสดา เป็นเทพเจ้าที่สำคัญองค์หนึ่งในตำนานเทพเจ้าของเปอร์เซียโบราณ ก่อนจะกลายมาเป็นศาสนาเมื่อโซโรอัสเตอร์ได้รวบรวมและเรียบเรียงตำนานเก่าแก่ของเปอร์เซียโบราณเข้าไว้ด้วยกัน ในราว 600 ปี ก่อน ค.ศ และอหุรา มัสดาก็ได้กลายมาเป็นเทพเจ้าสูงสุดของศาสนานี้ ชาวเปอร์เซียโบราณเชื่อว่า อหุรา มัสดานั้นเป็นผู้สร้างโลก สร้างสวรรค์ และเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง ภายหลังศาสนิกชนโซโรอัสเตอร์ต่างเรียกขานพระองค์ว่า โอห์รมฺมัสดฺ อหุรา มัสดาปรากฎตัวครั้งแรกในงานศิลปะและวรรณคดีของเปอร์เซีย ในลักษณะของชายไว้เครายาว สวมใส่เสื้อที่ปรากฎเป็นหมู่ดวงดาวล้อมรอบตัว และพำนักอยู่บนสรวงสวรรค์ อหุรา มัสดามีดวงตาข้างหนึ่งเป็นพระอาทิตย์ ในศาสนาโซโรอัสเตอร์ อหุรา มัสดานั้นเป็นเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับแสงสว่างและไฟ เป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้อง ดีงาม และปัญญา อหุรา มัสดาสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก (เทวทูต) เพื่อช่วยผดุงความถูกต้องดีงาม และปกครองจักรวาล เทวทูตที่สำคัญ เช่น อหซา วาหิชตา ตัวแทนแห่งไฟและวิญญาณแห่งความเที่ยงธรรม, โวหุ มานาห ตัวแทนแห่งความรัก และปัญญาแห่งธรรมะ ผู้นำพาดวงวิญญาณขึ้นสูงสรวงสวรรค์ ในระหว่างที่จัดตั้งโลกใบนี้นั้น ตัวแทนแห่งความเลวทั้งปวง อังกรา มาอินยา ที่ถือกำเนิดจากวิญญาณชั่วร้าย (เป็นวิญญาณแฝดกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์) ได้นำพาเหล่าปีศาจ (daevas) เข้าโจมตีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ อหุรา มัสดา คุ้มครองอยู่ เทพและมนุษย์ทั้งปวงหันเหไปศรัทธาต่อวิญญาณชั่วร้ายเป็นจำนวนมาก อหุรา มัสดาได้ประทานปัญญาแก่โซโรอัสเตอร์เพื่อเป็นพลังขับไล่ความชั่วร้ายออกไป อังกรา มาอินยา พ่ายแพ้จนร่างแตกแยกออกเป็น อหฺริมัน และสเปนตา มาอินยา (วิญญาณชั่วร้าย) และได้กลับเข้ามารวมกับอหุรา มัสดาอีกครั้ง ส่วนอหฺริมันนั้นพ่ายแพ้กลับไปยังยมโลก เมื่อโลกใกล้จะถึงกาลปาวสาน อหุรา มัสดา และ อหฺริมันจะกลับคืนมาต่อสู้กันอีกครา เมื่ออหุรา มัสดาชนะครั้งใหญ่ครั้งนี้ อหุรา มัสดาจะดูดกลืนเอาพลังของอหฺริมันเข้ามาเป็นของตัวเอง และย่อยสลายจักรวาลกลับเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง รวบรวมจาก: - http://www.themystica.com/mythical-folk/articles/ahriman.html - http://www.mythencyclopedia.com/A-Am/Ahriman.html - ฯลฯ (จดจำบ่ไหว) จากที่ได้ลองอ่านมา เหมือนจะบอกกล่าวว่า พวกเปอร์เซียเคยพ่ายแพ้ต่อชนเผ่าหนึ่ง ชื่อว่า อหฺริมัน, Ahriman (ไม่เกี่ยวกับนักร้องชื่อ อริสมัน) แต่ไม่อธิบายแบบชัดเจน (แน่ล่ะ ใครจะอธิบายตอนแพ้ฟ้ะ - -*) .... แต่พอมาถึงช่วงที่ อหุรา มัสดา ได้ประทานพรแก่โซโรอัสเตอร์ กลับอธิบายการชนะซะละเอียดยิบ (- -*) เดาว่า ครั้งแรกที่อยู่รวมกลุ่มกันในทุ่งราบในเขตเอเชียกลางนั้น, กลุ่มที่หนึ่งเป็นพวกเดวะ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกัน ระหว่างพวกอารยันอินเดียกับพวกอารยันเผ่าอื่นทางยุโรป เช่น บรรพบุรุษของกรีก (เผ่าซูสมั้ง?)----และซึ่งต่างฝ่ายต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้า, ต่อมาเกิดความขัดแ้ย้งกับพวกเผ่าอหุระ นำไปสู่การรบพุ่งซึ่งกันและกันเองในภายหลัง โดยฝ่ายเดวะใช้กลอุบายจนฝ่ายอหุระพ่ายแพ้ครั้งแรก และได้ครอบครองเขตทุ่งราบ (สวรรค์?) ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะถูกฝ่ายอหุระรวมหัวกับเผ่าอื่นๆ ในเขตเดียวกัน (เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ) ขับไล่พวกเดวะแตกกระจายไปคนละทิศละทาง ฝ่ายเผ่าซูสหนีไปตั้งรกรากที่เชิงเขาโอลิมปุส เรียกตัวเองว่า "พวกเฮเลนิส" กับอีกฝ่ายหนึ่งที่หนีเข้ามาทางอินเดียเรียกตัวเองว่า "พวกภารต" หลังจากช่วงนี้ ผมไม่แน่ใจว่าพวกอหุราดั่งเดิมนั้น อพยพลงมาเอง หรือว่าพวกภารตที่ได้ครอบครองดินแดนมั่นคั่งอย่างโมเฮนโจดาโร กับฮารัปปะจะย้อนขึ้นไปตีพวกอหุราจนแตก (ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะเป็นการรวมหัวกันอีกรอบ โดยรอบนี้เผ่าภารต-รวมพลกับเผ่าภารตะอื่นๆ อีก 32 เผ่า เพื่อไปถล่มล้างตากับพวกอหุรา) พอพวกอหุราอพยพลงมายังดินแดนเปอร์เซียก็เกิดการกระทบกระทั่งกับพวกภารตะที่อยู่อินเดีย จนเลยเถิดไปถึงขั้นมีสงครามเย็นทางศาสนา (แบบเดียวกับที่พุทธโจมตีพรหฺมี และพราหฺมีก็โจมตีพวกพุทธ) Discredit ฝ่ายตรงข้ามลง โดยใช้กุโลบายทางวรรณคดีกล่าวอ้างฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายชั่วร้าย (พวกอหุรา อาจเรียกพวกภารต-ว่า "เทวะ" พวกภารตะเองก็เรียกพวกอหุราว่า "อสูร") หลังจากที่อาณาจักรเปอร์เซียเกรียงไกรก็ยกทัพไปล้างแค้นกับพวกเฮเลนิส จนกลายมาเป็นสงครามเปอร์เซีย-กรีก ภายหลังพวกกรีกแพ้ต่อโรมัน และพวกเปอร์เซียแพ้ต่อพวกอาหรับ ทั้งสองกลุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้กันอยู่ดี จนเลยเถิดไปถึงขั้นเป็นสงครามครูเสด พูดง่ายๆ คือ พวกนี้ตีกันมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนสมัยประวัติศาสตร์แล้วก็ยังไม่เลิกตีกัน ทั้งหมด เดานะขอรับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 14:53:51

ความคิดเห็นที่ 33 กำเนิดของนางสุชาดาในภพอสูรเท่าที่ปรากฎในชาดก ยังมีข้อสงสัยครับว่า นางสุชาดาอาจจะไม่ได้เกิดในครรภ์ของนางอสูร  ไม่ปรากฎว่ามารดาของนางสุชาดาคือใคร   นางสุชาดาอาจจะเป็นแค่ลูกเลี้ยงของท้าวเวปจิตติก็เป็นได้  คือ นางสุชาดาไม่ใช่อสูร แต่มีฐานะเป็นธิดาอสูร อสูร กับ อสุภ น่าจะแยกคำกันมาตั้งแต่ก่อนที่ภาษาบาลีจะเข้ามาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าต้นตอทั้งสองคำอาจจะเป็นคำเดียวกัน ความเห็นที่ว่า อสูร มาจาก ไม่ดื่มสุรา  เป็นของท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์ครับ แต่ตรงนี้ผมมองว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ยังไม่ใช่คำตอบที่กระจ่างแจ้ง  เพราะยังมีจุดสงสัยหลายจุด เช่น ทำไมไม่เรียกอสูรว่า อคันธบาล  แล้วนอกจากนี้ พุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดย่อมจะถูกเรียกว่า อสูร ได้ เพราะชาวพุทธถือศีล 5 ไม่ดื่มสุรา ถ้าจะโยงอสูรกับเปอร์เซีย คุณกระบี่เก้าเดียวดายรู้สึกจะข้ามเหตุการณ์ ตอนพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช บุกเปอร์เซีย   พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ อาจจะเป็นมัฆมานพก็ได้ เพราะ อเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ตอนอายุได้ 33 ปี ซึ่งเท่ากับจำนวนเนวาสิกเทพพอดี จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 22:46:05

ความคิดเห็นที่ 34 น่าคิดครับ ไป ๆ มา ๆ ผมชักเชื่อแล้วว่า อสูร ไม่ได้มาจาก อ+สุรา บางทีอาจจะเป็น อ+สุร ( ไม่+กล้า หรือ ไม่+เทพ ) ตรงข้ามกลับ สุร ( กล้า, เทพ ) ส่วนนาง สุชาตา (สุชาดา) ผมว่าน่าจะเป็นธิดาแท้ ๆ ของ ท้าวเวปจิตติ นะครับ เพราะอสูร ก็น่าจะเป็นโอปปาติกะ เช่นเดียวกับเทวดา คือเกิดมาโตเป็นหนุ่ม ( ๒๐ หรือ ๒๕ ??? ) เป็นสาว (๑๖) เลยทีเดียว อาการเกิดของเทวดา ถ้าได้เคยสร้างบุญกุศลไว้มากกพอ ก็ไปอุบัติในวิมานของตนเองพร้อมกับมีบริวาร ไม่ต้องเป็นบุตรธิดาหรือเทวดารับใช้ของผู้ใด   กล่าวไว้ในอรรถกถาบางแห่งเป็นพิเศษ  เทวบุตร คือ บุรุษ ที่อุบัติบนตักของเทวดา,  เทวธิดา คือ สตรี ที่อุบัติบนตักของเทวดา   เทวนารี ถ้าอุบัติ ในที่นอน จัดเป็น บริจาริกา (นางบำเรอ)  ถ้าอุบัติข้างที่นอน จัดเป็น พนักงานเครื่องสำอาง   ถ้าอุบัติ กลางวิมาน จัดเป็น บริวาร แต่หากอุบัติบริเวณรอยต่อของเขตวิมาน  เทวราชา (เช่น พระอินทร์) จะทรงเป็นผู้ตัดสิน อีกทั้ง  อสูร มีหลายจำพวก ทั้งพวกที่น่าเกลียดน่ากลัว  จำพวกที่คล้ายเปรต ก็มี  แต่พวกที่เหมือน เทวดา ก็มี ดังนี้ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=37&A=11711&Z=11750&pagebreak=0 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๔ กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๘ ฉคติกถา [๑๑๙๓] สกวาที คติมี ๖ หรือ?             ปรวาที ถูกแล้ว             ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคติไว้ ๕ คือ นรก กำเนิดดิรัจฉาน ปิตติวิสัย มนุษย์ เทวดา มิใช่หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. หากว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคติไว้ ๕ คือ นรก กำเนิดดิรัจฉาน ปิตติวิสัย (เปรต-เจ้าคุณแม่ทัพ) มนุษย์ เทวดา ก็ต้องไม่กล่าวว่า คติมี ๖             [๑๑๙๔] ส. คติมี ๖ หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. อสูรพวกกาลกัญชิกา มีรูปร่างเหมือนกัน มีการเสวยอารมณ์อย่างเดียวกันมีอาหารอย่างเดียวกัน อายุเท่ากัน กับพวกเปรต ทำอาวาหะวิวาหะกับ ด้วยเปรต มิใช่หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. หากว่า อสูรพวกการกัญชิกา มีรูปร่างเหมือนกัน มีการเสวยอารมณ์อย่างเดียวกัน มีอาหารอย่างเดียวกัน มีอายุเท่ากันกับเปรตทำอาวาหะ วิวาหะกับด้วยพวกเปรต ก็ต้องไม่กล่าวว่า คติมี ๖             [๑๑๙๕] ส. คติมี ๖ หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. พวกอสูรบริษัทท้าวเวปจิตติ มีรูปร่างเหมือนกัน มีการเสวยอารมณ์อย่างเดียวกัน มีอาหารอย่างเดียวกัน มีอายุเท่ากัน กับพวกเทวดา ทำอาวาหะวิวาหะกับด้วยพวกเทวดา มิใช่หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. หากว่า พวกอสูรบริษัทท้าวเวปจิตติ มีรูปร่างเหมือนกัน มีการเสวยอารมณ์อย่างเดียวกัน มีอาหารอย่างเดียวกัน มีอายุเท่ากันกับพวกเทวดา ทำอาวาหะวิวาหะกับด้วยพวกเทวดา ก็ต้องไม่กล่าวว่า คติมี ๖             [๑๑๙๖] ส. คติมี ๖ หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. พวกอสูรบริษัทท้าวเวปจิตติ เคยเป็นเทวดา มิใช่หรือ?             ป. ถูกแล้ว             ส. หากว่า พวกอสูรบริษัทท้าวเวปจิตติ เคยเป็นเทวดาก็ต้องไม่กล่าวว่า คติมี ๖             [๑๑๙๗] ป. ไม่พึงกล่าวว่า คติมี ๖ หรือ?             ส. ถูกแล้ว             ป. มีอสุรกาย มิใช่หรือ?             ส. ถูกแล้ว             ป. หากว่ามีอสุรกาย ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า คติมี ๖ ฉคติกถา จบ จะเห็นว่า (บริเวณที่ทำตัวหนา)  ท้าวเวปจิตติและอสูรบริษัท เหมือนกับเทวดา (น่าจะ) ทุกประการ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 00:01:34

ความคิดเห็นที่ 35 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ ที่ยกมานั้น คือ กถาวัตถุ คัมภีร์ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนาครั้งที่ ๓ เรียบเรียงขึ้น เพื่อแก้ความเห็นผิดของนิกายต่างๆ ในพระพุทธศาสนาครั้งนั้น ซึ่งได้แตกแยกกันออกแล้วถึง ๑๘ นิกาย เช่นความเห็นว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตตผลได้ เป็นพระอรหันต์พร้อมกับการเกิดได้ ทุกอย่างเกิดจากกรรมเป็นต้น ประพันธ์เป็นคำปุจฉาวิสัชนา มีทั้งหมด ๒๑๙ กถา จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 00:08:28

ความคิดเห็นที่ 36 เช่นนั้น แสดงได้ในระดับหนึ่งว่า ทั้งสอง น่าจะเป็นเผ่าเดียวกันนะขอรับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 01:16:52

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ^ มีเหตุผลครับ เพราะก็มีเรียก อสูร ว่า เทวาสุร ( เทว + อสุรา คือ เทวอสูร ) แสดงว่าน่าจะมีการถือว่า อสูร ก็เป็นพวกเดียวกะ เทวา (รึเปล่า) " ...พวกอสูรบริษัทท้าวเวปจิตติ มีรูปร่างเหมือนกัน มีการเสวยอารมณ์อย่างเดียวกัน มีอาหารอย่างเดียวกัน มีอายุเท่ากันกับพวกเทวดา ทำอาวาหะวิวาหะกับด้วยพวกเทวดา... " จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 11:48:19

ความคิดเห็นที่ 38 แต่นี่เป็นตำนานฝ่ายพุทธ ฝ่ายพราหมณ์ ก็คงเป็นอีกแบบหนึ่ง ??? จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 14:35:31

ความคิดเห็นที่ 40 รูปร่างของ เทวอสูร คงจะเหมือนเทวดาตามหลักฐานที่พระไตรปิฎกกล่าวอ้าง แต่คิดว่าหน้าตาคงจะไม่เหมือนกันซักทีเดียวนัก พวกเทวอสุรกายคงจะมีหน้าตาที่เหี้ยมโหดกว่า เพราะมัวแต่คิดแค้นพวกเทวดา จนกลายเป็นหน้าคล้ายยักษ์ไป เวลาวาดถึงพวกเทวอสูรจึงมักใส่หน้ายักษ์ นอกจากนี้ที่เหมือนกันของอสูรและเทวดาอย่างหนึ่ง คือ เมืองหลวงของอสูร และ เทวดา ต่างก็มีชื่อเหมือนกัน คือ อยุธยปุระ ตาม กุลาวกชาดก http://bodhisattva.name/Hutsadok/Sadok1/kuravaka.html "แม้นครทั้งสอง คือ เทพนคร และอสูรนครก็ชื่อว่า อยุทธปุระ เพราะใคร ๆ ไม่อาจยึดได้ด้วยการรบ เพราะว่า ในกาลใด พวกอสูรมีกำลัง ในกาลนั้นเมื่อพวกเทวดาหนีเข้าเทพนครแล้วปิดประตูไว้แม้พวกอสูรตั้งแสนก็ ไม่อาจทำอะไรได้ ในกาลใดพวกเทวดามีกำลัง ในกาลนั้น เมื่อพวกอสูรหนี ไปปิดประตูอสูรนครเสีย พวกเทวดาแม้ตั้งแสนก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้น นครทั้งสองนี้จึงชื่อว่า อยุชฌปุระ เมืองที่ใคร ๆ รบไม่ได้"  คิดว่า อยุทธปุระ หรือ อยุชฌปุระ ก็คือ อยุธยา นั่นเอง นอกจากจะเป็นชื่อของเทพนครแล้ว ยังเป็นชื่อของอสูรนคร ด้วย ทีนี้ก็ต้องดูว่า ในอดีตมีเมืองไหนที่ชื่อว่า อยุธยา บ้าง อาจจะได้คลี่คลายความเป็นมาของอสูรว่าเป็นชนเผ่าไหน จากคุณ : นอนดูดาว (นอนดูดาว) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:19:48

ความคิดเห็นที่ 42 อย่างไรก็ตาม  ยักษ์  นาค  ครุฑ  คนธรรพ์  กุมภัณฑ์ (มีทั้ง ทานพ และ รากษส) จัดเป็น เทวดา ชั้น จตุมหาราชิกา (ชั้นที่ ๑) อยู่ใต้การปกครองของ ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ นะครับ แต่แบ่งเป็น ชั้นสูง กลาง ต่ำ  ชั้นสูงก็มีฤทธิ์เฉกเทวดา  ชั้นกลางก็ฤทธิ์น้อยลง  ชั้นล่างก็อาจเป็นคล้ายเดรัจฉาน  หรือเป็นปิศาจ เป็นแทตย์ เป็น ภูติ ก็มี มีทั้งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และ มิจฉาทิฏฐิ ขอแนะนำข้อมูลจากลิ้งค์นี้ครับ ( รวบรวมไว้ได้ดีมากจริง ๆ ) http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=83.0 http://www.samyaek.com/pratripidok/index.php?topic=812.0 เสริม http://www.samyaek.com/mambo/index.php?option=com_content&task=view&id=63&Itemid=41 ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง พวก  ยักษ์  นาค  ครุฑ  คนธรรพ์  กุมภัณฑ์  อาจเป็นพวก ทราวิฑ หรือ ชนเผ่าพื้นเมือง (มิลักขะ)  ต่าง ๆ เช่น  นาค (Naga) ซึ่งมีรากศัพท์เดียวกับ Naked (เปลือย) งูเป็น นาค เพราะงูเปลือย ไม่มีขน เผ่าคนเปลือยจะถูกพวกอารยันเรียกว่า นาค เช่น เผ่านาคา ทางตะวันออกของอินเดีย (รัฐนาคาแลนด์ แถว ๆ รัฐอัสสัม ใกล้กับ พม่า ในหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร ก็มีบทบาท) ผู้คนในสุวรรณภูมิก็ถูกเรียกว่า นาค (ประเพณีบวชนาคก็ไม่มีในอินเดีย) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 00:30:02

ความคิดเห็นที่ 43 จากลิ้งใน คคห.ข้างบน เอาเรื่องอสูร มาเสริม อสูรกายแบ่งได้ ๓ ประเภท เทวอสุรา เปตติอสุรา นิรยอสุรา เทวอสุราแบ่งเป็น ๖ จำพวก เวปจิตติอสุรา สุพลิอสุรา ราหุอสุรา ปหารอสุรา สัมพรตีอสุรา วินิปาติกอสุรา เทวอสุรา ๕ จำพวกแรกนี้ คือพวกที่เป็นศัตรูกับเทวดาชั้น ดาวดึงส์ วินิปาติกอสุรา จัดเป็นเทวดาอีกประเภทหนึ่ง มีรูปร่างกายเล็กกว่า มีบารมีน้อยกว่า อาศัยอยู่กับมนุษยโลก ตามป่า ต้นไม้ ภูเขา ศาลาร้าง และเป็นเหล่าบริวารของ ภุมมัฏฐเทวดา เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา เปรตอสุรกาย เปตติอสุรา แบ่งเป็น ๓ จำพวก เปรตมีบุญน้อย ชีวิตดำรงอยู่ด้วยความลำบากกว่า เทวอสุรา กาลกัญจิกเปรตอสุรา เปรตที่มีความหิวน้ำตลอดเวลาเห็นน้ำแต่ก็กินไม่ได้ ด้วยผลของกรรม เวมานิกเปรตอสุรา เปรตที่เสวยสุขเวลากลางวัน เสวยทุกข์เวลากลางคืน อาวุธิกเปรตอสุรา เปรตที่เฝ้าแต่ฆ่าฟันกันด้วยอาวุธต่างๆตลอดเวลา เปรตจำพวกนี้มีร่างกายใหญ่โต และมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เสวยผลกรรมของตนนานแสนนาน นิรยอสุรา เปรต จำพวกนี้ อาศัยอยู่ในโลกันตนรก มีรูปร่างใหญ่โตมาก มีชีวิตอยู่ในความมืดมิดบนยอดเขาจักรวาลดำรงชีวิตคล้ายค้างคาว คือ ใช้เท้าเกาะ หน้าผาเอาไว้ เอาห้อยหัวลงมา มีความโหยหิวมาก พยายามหาอาหารด้วยการคลืบคลานไปตามทิศต่างๆ แต่เนื่องจากโลกันตนรกกว้างใหญ่มากจึงเท่าใจว่า ตนอยู่เพียงตนเดียว มีบางครั้งที่ได้สัมผัสกันและกัน เข้าใจว่าเป็นอาหารจึงต่อสู้กันกินกันและกันเป็นอาหาร บางที่ก็ตกลงจากภูเขาลงไปสู่ ทะเลน้ำกรดเย็น ร่างกายอันใหญ่โตก็ละลายไปในพริบตา แล้วจึงเกิดใหม่ริมชายทะเลน้ำกรด ด้วยความเย็นสุดขั้วใจ จึงต้องพยุงร่างกายปีนขึ้นมาบนภูเขาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้จนหมดกรรม แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 52 00:40:07 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 52 00:39:14 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 00:38:02

ความคิดเห็นที่ 44 ว่าแต่พอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับชื่อเมืองหลวงของแต่ละอาณาจักรหรือไม่ขอรับ แต่เท่าที่ทราบคือ พวกภารตะจะมีการแบ่งกันปกครองตามตระกูลต่างๆ อาจจะมีชื่อเมืองที่มีชื่อในความหมายทำนองเดียวกัน (แต่อาจจะมีชื่อเมืองไม่เหมือนกัน เนื่องจากภาษาที่ต่างกัน) จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 03:38:50

ความคิดเห็นที่ 45 #33 คุณนอนดูดาวขอรับ ข้าน้อยเดาว่า น่าจะเป็นช่วงเวลาที่นานกว่าช่วงเวลาของอเล็กซานเด้อ (ชอบจริงๆ เขียนแบบนี้ อิอิ) นะขอรับ อาจจะก่อนที่อาณาจักรอัสซิเรียนจะล่มสลายเสียอีก ดังนั้นเลยอาจจะข้ามฉากไปบ้าง ซึ่งต้องขออภัยเป็นอย่างมากขอรับ ปล. หมายเลข คห. = อายุของอเล็กซานเด้อ เลยนะขอรับ อิอิ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 03:44:44

ความคิดเห็นที่ 46 หาข้อมูลมาเสริมครับ ที่มา : http://www.mfuzone.com/nboard/lofiversion/index.php?t2291.html ความคิดเห็นของคุณ ~ l a่ J หู ช J ~ ตามความหมายของพจนานุกรมราชบัณทิตฯ อสูรหมายถึง 1.คำ : อสูร เสียง : อะ-สูน คำตั้ง : อสูร ชนิด : น. ที่ใช้ : ที่มา : (ป. อสุร) นิยาม : ยักษ์, อสุรี ก็ว่า. ภาพ : อ้างอิง : ปรับปรุง : 98/4/2 อสูรเป็นคำที่มาจากภาษาบาลี แต่เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจาก คำว่า อสุรา ซึ่งแปลว่า "ผู้ไม่ดื่มสุรา" เรามาลองดูตำนานกันบ้างนะครับ "ดาวดึงส์สวรรค์ แต่เดิมไม่มีชื่อเรียกขาน และเป็นที่อยู่ของเทพเหล่าหนึ่ง มีชื่อว่า เนวาสิกเทพ ซึ่งต่อมาภายหลังเกิดลุ่มหลงมัวเมาในน้ำคันธบาน หรือ สุราทิพย์ (น้ำเหล้าบนโลกมนุษย์ เรียกว่า สุราบาน) จึงทำให้ทิพยสมบัติต่าง ๆ บนสวรรค์ชั้นนี้ค่อย ๆ เสื่อมทรามลงเรื่อย ๆ เมื่อมาณพทั้ง ๓๓ คนมาอุบัติยังที่อยู่ของตน ท้าวไพจิตราเทพบุตร ซึ่งเป็นใหญ่แห่งเทพทั้งหลายในขณะนั้น เห็นว่าบรรดาเทพที่มาอุบัติใหม่ ล้วนมีรัศมีกายแจ่มใส มากล้นด้วยบุญบารมี โดยเฉพาะมฆเทพบุตรนั้น รัศมีกายของท่านเจิดจรัสรุ่งเรืองยิ่งกว่าเทพองค์ใด เมื่อรู้ว่าตนมีบุญวาสนาด้อยกว่าที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป จึงเสนอยกดินแดนสวรรค์ที่ตนปกครองอยู่ ให้มฆเทพบุตรปกครองเทพบริวารของตนกึ่งหนึ่ง แต่มฆเทพบุตรได้ปฏิเสธข้อเสนอนั้น เนวาสิกเทพเหล่านี้ได้จัดการต้อนรับเลี้ยงน้ำสุราทิพย์แก่เทพผู้มาใหม่ เพื่อหวังมอมเมาให้ลุ่มหลง แต่มฆมาณพเทพบุตร ได้นัดแนะกับเทพบริวารว่า ให้ทำทีเป็นแกล้งดื่ม พอพวกเนวาสิกเทพเผลอ ค่อยแอบเททิ้ง ทำให้มฆเทพและเทพบริวาร ไม่มีผู้ใดเมามายขาดสติแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับฝ่ายเนวาสิกเทพ เมื่อเทพเหล่านั้นดื่มจนเมามายหลับใหลไร้สติ มฆมาณพเทพบุตรพร้อมด้วยเทพบริวารจึงช่วยกันจับเนวาสิกเทพเหล่านั้น โยนจาก เขาสิเนรุมาศ อันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นนี้ลงไปยังมหาสมุทร อันมีนามว่า มหานทีสีทันดร ด้วยอานุภาพกุศลกรรมที่เคยสร้างไว้ในอดีตยังหลงเหลืออยู่ จึงดลบันดาลให้เกิดวิมานอันกว้างใหญ่ และต้นไม้ ชื่อจิตตปาลิ (ต้นแคฝอย) เกิดขึ้นใต้เขาสิเนรุมาศ เพื่อเป็นที่อยู่ของเทพเหล่านั้น เรียกว่า นครอสูรใต้พิภพ และ เพราะเหตุที่ดื่มสุราทิพย์เมามายขาดสติจนถูกโยนลงจากสวรรค์นี่เอง ทำให้เทพเหล่านั้นปฏิญาณว่าจะไม่ดื่มสุราอีก โดยได้เรียกขานชื่อของพวกตนเองเสียใหม่ เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจว่า ?อสุรา? (ผู้ไม่ดื่มสุรา) หรือ อสูร และทุก ๆ ปีเมื่อดอกแคฝอย เบ่งบานก็จะระลึกถึงสวรรค์ที่อยู่เดิม ก็จะยกพลขึ้นไปทำศึกกับเทวดาบนดาวดึงส์ แต่ก็พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้ง ด้วยบุญบารมีที่สร้างสมเอาไว้ต่างกันมากนั่นเอง เมื่อเหล่าอสูรไปอยู่ ณ อสูรพิภพ ใต้เขาสิเนรุ แล้วทิพยวิมานที่อยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นของคู่บุญก็สูญไป เกิดมหาเทพนครอันกว้างใหญ่ ยาวหมื่นโยชน์ขึ้นแทน โดยขนานนามพระนครนั้นใหม่ว่า ?ดาวดึงส์? แปลว่า ?ถิ่นที่อยู่ของเทพ ๓๓ พระองค์? ในท่ามกลางมหาเทพนครนั้นมีปราสาทอันงดงาม นามว่า เวชยันต์ สูง ๗๐๐ โยชน์ ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ประดับด้วยธงทั้งหลายสูง ๓๐๐ โยชน์ ผุดขึ้นด้วยอานิสงฆ์แห่งการสร้างศาลา โดยมฆมาณพเทพบุตรได้เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งหลาย และมฆเทพบุตร ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งทุกวันนี้ ทรงเฉลิมพระนามใหม่ว่า ?สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า? หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า พระอินทร์ " ตำนานข้างต้นเป็นเพียงเรื่องที่พวกพราหม์แต่งขึ้น ฝ่ายเดียว ดังนั้นเราจะยึดมั่นไม่ค่อยจะได้เท่ารั่ย ลองอ่านเว็บนึงหน่อยนะครับ "พลิกตามประวัติดูทราบว่าชนชาวอริยกะได้แพร่ขยายแหล่งอยู่อาศัยออกไปทั่วทุกทิศ แต่ราวหนึ่งพันปีก่อนพุทธศักราช มีกลุ่มอริยกะที่อยู่ด้านทิศตะวันออก ได้แยกลงมาอยู่ภาคตะวันตกของประเทศตุรกี และต่อมาได้ขยายเคลื่อนย้ายไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าอิหร่านปัจจุบันบ้าง หรือมาอยู่แถวๆเขาฮินดูกูษ และแม้น้ำกุภา(กาบูล)บ้าง พวกที่ลงมาทางแม่น้ำกุภานี้ประเมินว่ามาราวๆ 650 ปีก่อนพุทธศักราช พวกนี้ยังขยายพื้นที่อยู่อาศัยลงมาสู่บริเวณแม่น้ำสินธุตอนบน ตลอดจนเขตปัจจาปลาชปุต์ตฐาน การขยายพื้นที่นี้ ต้องรุกไล่คนพื้นเมืองเดิม(ทัสยู)ที่มีอยู่ทั่วไปแล้วด้วย ตามประวัติศาสตร์สากลนั้นยอมรับกันว่า พวกทัสยูหรือคนพื้นเมืองนั้นแท้จริงแล้วก็มีอารยะธรรมของตนเอง ไม่ใช่คนป่าเมืองเถื่อน เพียงแต่ความรุ่งเรืองที่มีอยู่หาเทียบได้กับชนชาอริยกะไม่ ผลสุดท้ายเจ้าถิ่นเดิมก็ต้องอยู่ปะปนหรือถอยร่นลงมาทางตอนใต้ของประเทศอินเดียปัจจุบัน หรืออยู่ในบริเวณที่เรียกว่าคาบสมุทรเดกข่านและเกาะลังกา ทั้งนี้ตามประวัติศาสตร์อินเดียกล่าวว่า บรรพบุรุษของชนชาวอินเดียก็คือ ชนชาวอริยกะนั่นเอง อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าบรรพบุรุษของชาวอินเดียก็คือชาวอริยกะ ดังนั้นการสร้างความรุ่งเรืองหรืออารยะธรรมบนพื้นที่แห่งใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก ทำให้ต่อมาประเทศอินเดียจึงอุดมด้วยอารยะธรรมสูงส่ง มีความเจริญงอกงามด้านภาษาและวัฒนธรรม และก่อกำเนิดศาสนาสำคัญๆของโลกขึ้นมา ซึ่งรากเหง้าที่สำคัญมาจากคัมภีร์โบราณที่ชาวพราหมณ์เรียกว่า คัมภีร์พระเวท หรือคัมภีร์ต้นกำเนิดของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง คัมภีร์พระเวทบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพกับอสูร โดยเหล่าเทพจะมีพระอินทร์เป็นบดีหรือเป็นหัวหน้า เหล่าเทพจะต่อสู้กับอสูรเสมอมา ทั้งๆที่ตามท้องเรื่องแล้ว เทพกับอสูรเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันแต่ต่างมารดา คือ เป็นเหล่ากอพระกัศยปประชาบดี เหล่าเทพเกิดจากนางอทิติจึงได้ชื่อว่าอาทิตย์ ส่วนเหล่าอสูรเกิดจากนางทนะจึงได้ชื่อว่าแทตย์(ลักษณะหน้าตาดุร้าย) ตามที่บอกเล่าในตำนานนั้น เหล่าเทพจะเป็นพวกใจดีแต่มีนิสัยชอบเสวยน้ำเมาที่เรียกว่าโสม ในขณะที่เหล่าอสูรซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ดุร้ายใจหยาบช้ากลับไม่ดื่มน้ำโสม ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ผู้ศรัทธาในเหล่าเทพมักจะประกอบพิธีถวายน้ำโสมแด่พระอินทร์เป็นพิเศษเสมอ ซึ่งเรียกกันว่าพิธีโสมยัชญ หรือแม้แต่ทุกวันนี้ การเซ่นไหวตามแนวพิธีพราหมณ์มักจะนิยมถวายเมรัยเป็นเครื่องประกอบด้วยเสมอ อีกข้อสังเกตประการหนึ่ง คำว่า อสูร มาจากคำว่า อ-สุ-ระ หรือ อสุรา นั่นเอง ทางด้านลุ่มแม่น้ำสินธุมีคำภีร์พระเวท ณ อาณาจักรอิหร่านก็มีคำภีร์เช่นเดียวกันเรียกว่า คัมภีร์เซนอะเวสตะ และดูจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เนื้อหาของสองคัมภีร์นี้ ท้องเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพและอสูรเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบทสรุปของสองคัมภีร์กลับแตกต่างไปคนละขั้ว ในภัมภีร์เซนอะเวสตะเรียกเหล่าผู้ใจดีในท้องเรื่องพระคัมภีร์ว่าอสุระ และเรียกเหล่าใจบาปหยาบช้าว่าเทวะ อีกทั้งยังเล่าด้วยว่า บรรดาเหล่าเทวะนี้ชอบที่จะดื่มน้ำโสมคราวละมากๆ อีกทั้งชอบโอ้อวดเกะกะระรานอีกด้วย มีข้อสังเกตว่า ชื่อที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวทกับคัมภีร์เซนอะเวสตะ จะมีชื่อเทพหรือเทวะที่นับถือกันมาตั้งแต่กาลดึกดำบรรพ์ที่ใกล้เคียงกัน อาทิ คัมภีร์พระเวทเรียกว่า"อรรยมัน มิตระ โสม" ในคัมภีร์เซนอะเวสตะเรียกว่า"อะหริมัน มิถระ โหม" และมักจะมีคำที่คล้ายๆกัน เช่น"สินธู"กับ"หินดู"(ฮินดู) หรือ "อสัม"กับ"อหม" ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมแต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ในคัมภีร์ฝ่ายคริสต์เรียกมนุษย์คู่แรกของโลกว่า อีฟและอาดัม ขณะที่อิสลามเรียกว่า อีวาและอาดัม,คริสต์เรียกว่าโมเสต อิสลามเรียกว่ามูซา แต่มาถึงลำดับจีซัส ไครสต์หรือเยซูคริสต์กลับเรียกแตกต่างไปจนจับความไม่ได้ คือ อิสลามมีศาสดาองค์หนึ่งเรียกว่าอีซา,คนในพระคัมภีร์ที่มีชื่อพอจะจับใจความได้ไม่ต่างกัน อาทิ ชาวตะวันตกเรียกโจเซฟ โลกอาหรับเรียกยูซูป เป็นต้น กลับมาเรื่องเดิม มีนิยายเก่าแก่เรื่องหนึ่งชื่อว่า เทวาสุระสงคราม ความในเนื้อเรื่องจะกล่าวถึงสวรรค์ดาวดึงส์ และบอกว่าสวรรค์แห่งนี้เป็นที่สถิตย์ของเหล่าอสูรมาก่อน ต่อมาท้าวสักกะหรือพระอินทร์เห็นว่า สวรรค์ดาวดึงส ควรเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวะมากกว่า จึงอุบายมอมเหล้าเหล่าอสูรจนมึนเมา แล้วช่วยกันจับอสูรพุ่งลงสู่ท้องมหาสมุทร จนกระทั่งศีรษะอสูรปักลงบาดาลใต้เขาพระสุเมร(ต่อมา ณ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งสถิตย์ของเหล่าอสูร) และเมื่อสร่างเมาฟื้นคืนสติขึ้นมา อสูรถึงได้เห็นโทษของการดื่มสุรา จึงประกาศไม่ดื่มสุราอีกต่อไป แล้วก็กลับไปชิงสวรรค์กลับมาคืนอยู่เนืองๆ ทำให้เทพกับอสูรจึงต้องรบกันแบบไม่เลิกรา" ประวัติศาสตร์อินเดียไม่ค่อยได้จดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนของจีนนะครับ ดังนั้น จึงสมมติฐานล้วนๆ โดยส่วนตัวของผมแล้ว อสุรา หรือ อสูร น่าจะเป็นพวกอริยกะเดิมที่อยู่ใน ประเทศอิหร่าน ส่วนเทวะ หรือเทพ นั้นเป็นพวกอินเดียนั่นเอง เป็นการเขียนประวัติศาสตร์บิดเบือนให้แก่พวกตัวเองเพื่ออ้างความชอบธรรมนั่นเอง ส่วนชาวอริยัน หรือ อารยัน นั้นมาจากไหน กันแน่ อันนี้ต้องดูที่ ชื่อตามศัพท์ครับ มนุษย์แบ่งออกเป็น 3 จำพวกใช่ไหมครับ คือ 1 มองโกลอยด์ 2 คอเคซอยด์ 3 นิโกรอยด์ พวกอารยันเป็นต้นกำเนิดของพวกฝรั่งและอินเดีย หากดูตามแผนที่แล้ว ตามความเห็นของผม พวก คอเคซอยด์ น่าจะมีต้นกำเนิดมาจาก เทือกเขาคอเคเซีย ที่อยู่ใน ดินแดน จอร์เจีย(มั่ง ถ้าจำไม่พลาดนะ) ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศอิหร่านปัจจุบัน จากที่อ่านไป นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งนะครับ ที่น่าจะเรียกว่า การบิดเบือนตำนานเพื่อสร้างความชอบธรรม ดังจะเห็นได้จาก โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ในนิยายสามก๊ก เล่าปี่ อ้างชื่อตัวเองเป้นพระเจ้าอา เพื่อความชอบธรรม ส่วนสองคนที่เหลือ ก้อบอกว่าเพื่อจะฟื้นฟูฮั่น ........  " จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:18:24

ความคิดเห็นที่ 47 ^ ^ ^ ที่ทำตัวหนาไว้ คือ กำเนิดอสูรฝ่ายพราหมณ์ครับ ขอยกมาให้อ่านง่าย ๆ " ...เทพกับอสูรเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันแต่ต่างมารดา คือ เป็นเหล่ากอพระกัศยปประชาบดี เหล่าเทพเกิดจากนางอทิติจึงได้ชื่อว่าอาทิตย์ ส่วนเหล่าอสูรเกิดจากนางทนะจึงได้ชื่อว่าแทตย์(ลักษณะหน้าตาดุร้าย) ... " จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:20:14

ความคิดเห็นที่ 48 ขอเสริมอีกนิด นอกจาก อีฟ คือ อีวา อดัม คือ อาดัม โมเสส คือ มูซา เยซู คือ อิซา โยเซฟ คือ ยูซุป ดังที่คุณ ~ l a่ J หู ช J ~ กล่าวไว้ใน คคห.ตามลิ้งค์ที่ผมอ้างมานั้น ยังมี ดาวิด คือ ดาวุด โซโลมอน คือ สุไลมาน เท่าที่นึกออกได้แค่นี้ครับ อิอิ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:24:26

ความคิดเห็นที่ 49 เสริม คคห.๔๗ อีกนิด (แหะ ๆ) เหล่าเทพเกิดจากนางอทิติจึงได้ชื่อว่าอาทิตย์ (ลงท้ายด้วยคำว่า อาทิตย์) คือ ๑.วรุณาทิตย์ (พระวรุณ) ๒.มิตราทิตย์ ๓.อริยมนาทิตย์ ๔.ภคาทิตย์ ๕.องศาทิตย์ ๖.อินทราทิตย์ (พระอินทร์) ๗.ธาตราทิตย์ ๘.สุริยาทิตย์ (สุริยะ คือ พระอาทิตย์) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:32:23

ความคิดเห็นที่ 50 ตำนานฝ่ายพราหมณ์ ก็ตรงกับฝ่ายพุทธ ในเรื่อง อสูร ไม่กินเหล้า (พราหมณ์-น้ำโสม พุทธ-คันธบาน???) แต่เทพ ร่ำสุรา จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 11:50:03

ความคิดเห็นที่ 51 แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครัย ว่าข้อมูลที่อ้างมาถูกต้องฤๅไม่ แหะ ๆ อ้อ ขอเสริมอีกนิดนะครับ เคยอ่านเจอมาที่นึงว่า สุรา กินแล้วเมา ใจ "กล้า" หน้าด้าน อสุรา ไม่กินเหล้า เลยไม่เมา จึง "ไม่กล้า" เขาบอกว่า สุรา เป็นที่มาของคำว่า สุระ (หรือ สุระ จะเป็นที่มาของ สุรา หว่า !?) สุระ - เทวะ, กล้าหาญ อสุระ - ไม่ใช่เทวะ (อสูร), ไม่กล้า อันนี้ฟังหูไว้หูนะครับ ไม่ยืนยัน (และนั่งยัน อิอิ) แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 52 13:22:46 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 20:13:16

ความคิดเห็นที่ 52 # คุณเจ้าคุณแม่ทัพ นั่นการสันนิษฐานช่วงก่อนของข้าน้อยขอรับ รู้สึกจะรวบรวมข้อมูลจากหลายเว็บทีเดียว ข้อมูลจากช่วงแรกและ ช่วงที่สอง (ไม่ใช่ความเห็นของข้าน้อย) ตรงนั้นลืมว่าอ้างอิงมาจากเว็บใดบ้าง ตอนแรก "ดาวดึงส์สวรรค์ แต่เดิมไม่มีชื่อเรียกขาน และเป็นที่อยู่ของเทพเหล่าหนึ่ง มีชื่อว่า เนวาสิกเทพ..." (อ้างอิงจากเว็บหนึ่ง) ตอนสอง "พลิกตามประวัติดูทราบว่าชนชาวอริยกะได้แพร่ขยายแหล่งอยู่อาศัยออกไปทั่วทุกทิศ ....." (อ้างอิงจากอีกเว็บ ล่มแล้วกระมัง? หาไม่เจอขอรับ) ปล. นั่นชื่อในอีกเว็บของข้าน้อยขอรับ เขียนเมื่อสักประมาณปีกว่าๆ ได้กระมัง (- -*) แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 10:07:15 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:58:47

ความคิดเห็นที่ 53 เจอข้อมูลเก่าของตัวเอง ทับกับข้อมูลใหม่ของตัวเอง แล้วรู้สึกแปลกๆ ขอรับ ข้อมูลที่คุณเจ้าคุณแม่ทัำพเอามานั่น ข้าน้อยเอาไว้อธิบายเล่นๆ ให้รุ่นน้องในมหาลัยอ่านเล่นขอรับ ไม่คิดจริงจังว่าข้อคิดเห็นของข้าน้อยมันจะถูกต้องเลย แต่รอบนี้ที่เอากลับมาถามอีกรอบ เพราะต้องการความถูกต้องมากกว่าเดิมขอรับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 10:04:24 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 10:02:20 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:01:43

ความคิดเห็นที่ 54 #46 ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านนะขอรับ ข้อความที่ไม่มีลงเครื่องหมายคำพูด "..." หมายความว่า นั่นคือข้อคิดเห็นของข้าน้อยต่อเรื่องนี้ ส่วนข้อความที่ปรากฎในเครื่องหมายคำพูด "..." หมายความว่า นั่นคือข้อมูลจากเว็บอื่น (ซึ่งตอนทำตอนนั้น ลืมทำข้อมูลอ้างอิง ตอนนี้เลยไม่รู้แหล่งที่มาซะงั้น 55) จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:06:32

ความคิดเห็นที่ 55 แหะ ๆ  ขออภัยครับ   แต่เอามาไว้ที่กระทู้นี้ด้วยกันก็ดีนะครับ จะได้เป็นข้อมูลเพิ่มขึ้น ป.ล. เสริมและถามอีกนิด เทวะ เป็นเป็นลูกนางอทิติ จึงเรียกว่า อาทิตย   อสุระ เป็นลูกนางทนะ น่าจะเป็น "ทานวะ (ทานพ)" มากกว่า "ไทตยะ (แทตย์)" รึเหล่าครับ แต่คงเป็น แทตย์ ละมั้งครับ เพราะ ทานพ และ รากษส น่าจะเป็นพวก กุมภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในการปกครองของ มหาราช ทั้ง ๔ (จตุมหาราชิกา) ถามเอง ตอบเอง งงเอง ๕๕๕ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 13:45:17 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 10:24:32 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 10:17:08

ความคิดเห็นที่ 56 #55 มิต้องขออภัยก็ได้พี่ท่าน ข้าน้อยแค่อ่านแล้ว ตลกตัวเองตอนนั้นเท่านั้นขอรับ ย่อหน้าท้าย ... พาข้าน้อย งง ไปด้วยนะขอรับ (- -*) จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 15:59:44

ความคิดเห็นที่ 57 อทิติ --> อาทิตย ( aditi --> Aditaya ) ??? ทน --> ทานว (ทานพ)  ( dana --> dAnava ) ??? ??? ทน --> ไทตย (แทตย์)  ( dana --> daitaya ) ??? ไทตย (แทตย์)  ~  อาทิตย  ( Aditaya  ~  daitaya ) บังเอิญไม่เก่งสันสกฤต (และไม่เก่งภาษาใด ๆ เลย อิอิ) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 16:53:59

ความคิดเห็นที่ 58 สืบได้มาแล้วครับ ตามลัทธิพราหมณ์ พระกัศยปประชาบดี มีชายาหลายองค์ นางอทิติ ลูกคือ พระอาทิตย์ (อาทิตย) (๑.วรุณาทิตย์ (พระวรุณ) ๒.มิตราทิตย์ ๓.อริยมนาทิตย์ ๔.ภคาทิตย์ ๕.องศาทิตย์ ๖.อินทราทิตย์ (พระอินทร์) ๗.ธาตราทิตย์ ๘.สุริยาทิตย์ (สุริยะ คือ พระอาทิตย์)) นางทิติ (เป็นน้องสาวนางอทิติ) ลูกคือ แทตย์ (ไทตย) คือพวกอสูร (อสุร) นางทนุ ลูกคือ ทานพ (ทานว) พรามณ์ว่าเป็นพวกอสูรเช่นกัน พระกัศยปซึ่งได้รับฉายาว่าเป็นเทพบิดร เพราะนอกจากจะเป็นบิดาของทั้งเทพเจ้าองค์สำคัญแล้ว ยังเป็นบิดาของครุฑ นาค แทตย์ ทานพ รากษส และปิศาจ อันเกิดจากชายาองค์ต่างๆ อีกด้วย ซึ่งเหล่าแทตย์ (โอรสนางทิติ) ทานพ (โอรสนางทนุ) และรากษส สามเหล่านี้ รวมเรียกว่า "อสูร" ซึ่งเป็นศัตรูของเหล่าเทพนั่นเอง อันนี้ตามลัทธิพราหมณ์นะครับ  ไม่เหมือกับพุทธศาสนา พระอินทร์พุทธ (ท้าวสักกเทวราช) ก็มีตำนานต่างจากพระอินทร์พราหมณ์ (บางท่านไม่เรียกท้าวสักกะ ในพุทธศาสนาว่าพระอินทร์ด้วยซ้ำ) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 21:35:52

ความคิดเห็นที่ 59 ปรับปรุงจาก http://www.mythland.org/v2/archiver/tid-362.html Yui กระทู้เมื่อ 14-7-2009 22:37 เทวกำเนิด อารยัน หมายถึงมนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์พวกหนึ่ง ที่เข้าไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในอินเดีย ที่ปัจจุบันคือพวกแขกฮินดู และพวกแขกฮินดูนี่แหล่ะที่ได้สร้างเทวดาขึ้นมากราบไหว้นับถือ จากการค้นคว้าหลักภาษาและวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดีย ซึ่งคือคัมภีร์ พระเวท (Vedas) ทำให้ค้นพบว่าภาษาที่ใช้กันอยู่ในยุโรปส่วนมาก มีที่มาเดียวกับภาษาเปอร์เซีย และภาษาสันสกฤต คือมีรากฐานมาจากภาษาของชนดึกดำบรรพ์ ที่เรียกว่าภาษาอริยกะ ต่อมาเปลี่ยนเป็นภาษาอินเดีย-ยุโรป (Indo-European) ชนชาติอินเดีย-ยุโรปก๊กหนึ่ง ได้ชื่อแยกโดยเฉพาะในทางภาษาและประวัติศาสตร์ว่า อินเดีย-อิหร่าน (Indo-Iranian) ได้อพยพจากถิ่นเดิมสู่ดินแดนเหนือประเทศเปอร์เซีย แล้วแตกออกเป็นสองสาขา ส่วนหนึ่งแยกไปอยู่แดนเปอร์เซีย หรืออิหร่าน อีกส่วนแยกไปอยู่ในแดนตะวันตกเฉียงเหนือแห่งอินเดีย ได้แก่ชาวอริยกะ หรือฮินดู ซึ่งการแยกย้ายกันไปคนละทางมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวทของชาวอริยกะ และคัมภีร์ อเวสตะ (Avesta) ของอิหร่าน ซึ่งมีส่วนคล้ายคลึงกัน แต่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกัน คัมภีร์พระเวท ว่า พวกเทพมีพระอินทร์เป็นหัวหน้า และว่าเทพกับอสูรเป็นพี่น้องต่างมารดากัน พวกเทพเกิดจากนางอทิติ จึงได้ชื่ออาทิตย์ ส่วนพวกอสูรเกิดจากนางทิติ และนางทนุ จึงได้ชื่อว่าแทตย์และทานพ ในคัมภีร์พระเวทได้แบ่งพวกเทพไว้ 3 พวก พวกละ 11 องค์ เรียกว่า ไตรทศเทพ พวกอาทิตยเทพสถิตแดนสวรรค์ มีพระวรุณเป็นหัวหน้า พวกรุทรเทพสถิตแดนอากาศระหว่างสวรรค์กับพื้นดิน เรียกว่าแดนอันตริกษะ เป็นที่อยู่ของอัปสร วิทยาธร และคนธรรพ์ มีพระวายุเป็นหัวหน้า พวกวสุเทพสถิตแดนพื้นดิน มีพระเพลิงเป็นหัวหน้า คัมภีร์พระเวทกล่าวว่าพวกเทพเป็นผู้มีจิตใจดี แต่ชอบเสวยน้ำเมาที่ทำจากเถาไม้ เรียกว่าโสม และกล่าวว่าพวกอสูรมีใจบาปหยาบช้า แต่ว่าไม่กินน้ำโสม ต่อมาโสมนี้ได้กลายเป็นเทวะขึ้นอีกองค์หนึ่ง คือพระจันทร์ เป็นเทพพวกที่ 3 คัมภีร์อเวสตะ ของชาวอิหร่าน กลับมีความตรงกันข้าม ในคัมภีร์อเวสตะ เรียกพวกที่ใจดี มีลักษณะสูง ว่า อสุระ และเรียกพวกใจบาปหยาบช้าว่าเทวะ ซึ่งพวกเทวะมีหัวหน้าชื่อพระอินทร์ เป็นนักเลงขี้เมา เพราะไม่โปรดอะไรมากไปกว่าน้ำโสม จนถึงกับมีพิธีถวายน้ำโสมแด่พระอินทร์ เรียกว่า โสมยัชญ์   ซึ่งน่าจะสรุปได้ว่าชาวอริยะและชาวอิหร่าน แต่เดิมเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่สาเหตุที่ต้องแยกกันไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดจาก พวกอสูรซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวอิหร่านไม่ชอบนิสัยขี้เมาของพวกเทพ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกอริยกะ จึงเกิดสู้รบกันขึ้น ปรากฏในเทพนิยายว่า เทวาสุรสงคราม บางส่วนของหนังสือเทวกำเนิด จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 21:53:21

ความคิดเห็นที่ 60 ผมเองก็มีหนังสือเทวกำเนิด เคยอ่านตอนเด็ก ๆ เดี๋ยวต้องไปรื้อมาอ่านใหม่ซะหน่อย เสริม ในยุคหลัง ที่พราหมณ์ กลายเป็น ฮินดู รุทรเทพ ก็พัฒนากลายเป็นพระศิวะ พระอินทร์ ก็ถูกลดระดับลง ป.ล. ของพราหมณ์ เทวดามี ๓ พวก พวกละ ๑๑ ก็เป็น ๓๓ เท่ากับเทวดาดาวดึงส์ ของฝ่ายพุทธ เลยนะครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Thirty-three_gods ป.ล. แต่ละตำราจะนับเทพอาทิตย์ไว้ไม่เท่ากัน มีทั้ง ๗+๑, ๑๑ และ ๑๒ http://en.wikipedia.org/wiki/%C4%80dityas แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 13:40:54 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 13:39:29 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 21:57:32

ความคิดเห็นที่ 61 ^ ^ ^ ดังนั้นอาจเป็นได้หรือไม่ว่า อารยัน ฝ่ายที่นับถือเทวะ มี ๓ พวกใหญ่ ๓๓ เผ่าย่อย ส่วนฝ่าย อสุระ มี ๒ พวกใหญ่ (แทตย์ ทานพ) และอีกหลายเผ่าย่อย ไปอ่านความหมายของ asura ใน The Pali Text Society's Pali-English dictionary http://dsal.uchicago.edu/cgi-bin/philologic/getobject.pl?c.0:1:2463.pali เขาเรียก เทวะ ว่า god และเรียก อสุระ ว่า titan และว่า asura เชื่อมโยงกับชื่อ ahurō Lord ในคัมภีร์อเวสตะ เช่น ahurō mazdā˚ รวมทั้ง anhuš ในอเวสตะ และ erus master ของละติน (โรมัน) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 09:58:27

ความคิดเห็นที่ 62 รวบรวมอารยันสายที่สันนิษฐานว่านับถือ เทวะ เทพผู้ใช้สายฟ้า พระอินทร์, Thor (ของพวก Norse ), Perun (ของพวกสลาฟ), and Zeus (ของพวกกรีก) อาณาจักร Mitanni (บริเวณตุรกีในปัจจุบัน) ผู้ปกครองเป็นชาวอารยัน และนับถือเทพชื่อว่า   Mitra (พระมิตรา), Varuna (พระวรุณ), Indra (พระอินทร์), and Nasatya (Ashvins พระอัศวิน)   ๓ องค์แรก เป็น "อาทิตย" ทั้งสิ้น น่าคิดว่า ถ้าไม่นับ อารยัน-อิหร่าน ในเปอร์เชีย ที่นัถือ อหุระ (อสุระ)  แล้ว   อารยันกลุ่มอื่นจะเป็นสาย เทวะ นะครับ แสดงว่า อิหร่าน เป็นพวกกระแสรอง ๕๕๕๕๕+ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:35:13

ความคิดเห็นที่ 63 สงสัยเป็นอย่างที่พี่ท่านว่า พวกอิหร่านน่าจะเป็นพวกกระแสรองขอรับ ดูจากทิศทางการอพยพ น่าจะเป็นพวกรกะแสหลักหนีเองนะขอรับ 555+ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:57:52

ความคิดเห็นที่ 64 แต่ถึงแม้บรรพบุรุษอารยัน-อิหร่าน จะพิชิตพวก Elam ในที่ราบสูงอิหร่านได้ แต่ชาวอารยัน-อิหร่าน ก็ตกตกอยู่ใต้อำนาจของอสูร คือ พวกอัสสิเรีย ตั้งประมาณ ๑๕๐ ปีนะครับ ในขณะที่อารยันเผ่าอื่น มักจะได้เป็นผู้ปกครองเผ่าเดิมมากกว่า เช่น กรีก ทั้ง ๓ เผ่า ( เอเคียน ดอเรียน ไอโอเนียน(โยนก) ) ก็ปกครองพวกไมโนอัน (อารยธรรมเกาะครีต) อินเดีย-อารยัน ก็ปกครองชนพื้นเมืองทั้งหลาย ฮิตไทต์ ก็ตั้งอาณาจักรบนคาบสมุทรอนาโตเลีย มิตานี ก็มีผู้ปกครองเป็นอารยัน แต่สุดท้าย เปอร์เชีย ครองโลก (ยุคโบราณ) ๕๕๕๕๕+ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 15:10:41

ความคิดเห็นที่ 65 ในพระเวท ยุคต้น ๆ ที่พระอินทร์ ยังไม่สูญเสียความยิ่งใหญ่ให้ ตรีมูรติ พระอินทร์ มีพระวรกาย พระเกศา พระทนต์ ฯลฯ เป็นสีทอง (เหลืองทอง) ทั้งหมด และยังมีกล่าวถึงอีกแห่งด้วยว่า มีพระเกศาสีเหลือง เป็นไปได้หรือไม่ว่า อารยันในยุคแรก ๆ ที่บุกมายังอนุทวีปอินเดีย ยังมีผมสีทองอยู่ ก่อนผสมกับชนพื้นเมืองทั้งหลาย ทั้งในแถบเมโสโปเตเมียถึงอินเดีย ทำให้เชื้อสายอารยันต่อมาผมดำ และผิวคล้ำขึ้น (เพราะผมดำ และตาสีน้ำตาลเข้ม เป็นยีนส์เด่น (ใช่รึเปล่านะ เรียนมานานเกิน!?) ) อันนี้ก็ "เดา" ล้วน ๆ อีกครั้งนะครับ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 09:59:14 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 52 09:52:51 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 09:52:21

ความคิดเห็นที่ 66 สุดท้าย และน่าจะท้ายสุด พวกสลาฟโบราณเรียกเมืองฟ้าว่า svarga ตรงกับ svarga ( สวรฺค (สวรรคะ = สวรรค์) ) ของอินเดีย-อารยัน จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:52:45

ความคิดเห็นที่ 67 ถ้าข้าน้อยจำไม่ผิด ผมดำ ตาสีน้ำตาลเข้ม น่าจะเป็นยีนส์เด่นของพวกพื้นเมือง(พวกทมิฬ)นะขอรับ ส่วนตาสีฟ้า (และสารพัดสีอ่อนๆ ทั้งหลาย) รวมกับผมสีอ่อนทั้งหลายเป็นยีนส์เด่นของพวกอารยันน่ะขอรับ ส่วนยีนส์ฺด้อยของพวกชนพื้นเมืองเป็นยีนส์เด่นของพวกอารยัน (สลับกัน) ดังนั้นเมื่อมีการผสมผสานเกิดขึ้น ยีนส์เด่นที่เหมาะกับธรรมชาติของภูมิประเทศแถบนั้นจะปรากฎออกมาแทนที่ยีนส์เด่นที่ไม่เหมาะกับธรรมชาติของภูมิประเทศ อันนี้ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นทฤษฎีบทของชาร์ล ดาร์วินขอรับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 17:32:33

ความคิดเห็นที่ 68 #66 เป็นไปได้ที่ำบรรพบุรุษของพวกสลาฟ น่าจะเป็นหนึ่งในเผ่าฝ่ายเดวะ ขอรับ ปล. คิดไปคิดมา เอาพล็อตไปทำนิยายขายน่าจะเข้าท่าขอรับ อิอิ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 17:36:36

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณคุณกระบี่เก้าเดียวดาย มากครับ ที่ร่วมสนทนากันมาโดยตลอด จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 23:02:40

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบพระคุณคุณเจ้าคุณแม่ทัพ ที่เข้ามาร่วมเสวนาด้วยมากขอรับ ได้ความรู้มากทีเดียว แม้จะไม่ได้ข้อสรุปอะไรมาก แต่ก็เข้าเค้ามากทีเดียว (อาจจะเพราะข้อมูลเก่ามากเกินไป จนแสวงหาข้อมูลอะไรมากไม่ได้ก็ได้ขอรับ) แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 14:52:56 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 14:52:00

ความคิดเห็นที่ 71 ไม่ได้เข้ามาดูหลายวัน   นึกว่าจบไปแล้วซะอีก     เห็นพูดถึงเรื่องอริยกะกัน     บังเอิญผมเปิดไปเจอพระราชนิพนธ์ของร.6     มีพูดถึงพระอินทร์ส่วนหนึ่ง             [ในพระไตรเพทมีบทสรรเสริญพระอินทร์เป็นอันมาก     เพราะชนอริยกะถือกันว่าพระอินทร์เป็นเทพารักษ์ของพวกตน   โดยเฉพาะเป็นผู้นำพวกอริยกะรบกับพวกทัสยุ    ซึ่งอยู่ในแดนมัธยมประเทศก่อนที่พวกอริยกะได้อพยพเข้าไป]          นอกจากนี้ก็มีรายละเอียดที่น่าสนใจเล็กๆน้อยๆ   เช่น 1 พระอินทร์มีบิดามารดา   ที่ว่าเป็นโอรสแห่งเทยาส(ฟ้า) กับปฤถวี(ดิน)   และเป็นเชษฐาแห่งอัคนีก็มี 2 พระอินทร์นัยๆว่าผิวเป็นสีแสดรึสีทอง  (เหตุไรมาถึงเราจึงกลายเป็นเขียวไปก็หาทราบชัดไม่    แต่ข้าพเจ้าได้พยายามตรวจค้นดูเห็นรูปที่เขียนมาจากอินเดียก็ทาเขียว   เพราะฉะนั้นไม่ใช่มาเปลี่ยนสีในเมืองเรา    คงเปลี่ยนมาแต่ถิ่นเดิมเอง    ว.ป.ร.) 3 พระอินทร์มีกล่าวว่าแขนยาวมาก    /ผมคิดว่าอาจเป็นลักษณะของอารยัน\ 4 พระอินทร์โปรดเสวยน้ำโสม  ซึ่งทำให้มีความกล้าหาญในการสงคราม 5 พระอินทร์ในชั้นหลังๆนี้    บอกรูปกันว่าเป็นคนผิวนวล 6 คำว่าอทิติ  มีความหมายว่า  ไม่มีสิ้นสุด 7 มหาภารตะ   ปาณฑพทำสงครามกับเการพที่ทุ่ง กุรุเกษตร      /ไม่รู้ว่าระหว่างอิหร่านถึงอินเดียมีทุ่งชื่อคล้ายๆกันมั้ย\  ข้อมูลยกมาจากหนังสือ    เทพเจ้าและสิ่งที่น่ารู้    พระราชนิพนธ์ร.6 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 52 00:50:21 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 00:49:32

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบพระคุณมากครับ คุณ zodiac28 ยินดีครับ ที่มีคนเข้ามาสนทนาเพิ่ม อิอิ " พระอินทร์มีบิดามารดา   ที่ว่าเป็นโอรสแห่งเทยาส(ฟ้า) กับปฤถวี(ดิน) " อันนี้กรีกก็มี กายา (บ้างว่า ไกอา Gaia) พระแม่ธรณี มีลูกกับ อูรานอส (ยูเรนัส) คือ ฟ้า ลูกได้แก่ เทพไททัน และอื่น ๆ พวกอารยันนั้น ถือลัทธิพ่อเป็นใหญ่ ในขณะที่ชนพื้นเมืองส่วนใหญ่ ถือลัทธิแม่เป็นใหญ่ กายา น่าจะเป็นพระแม่พื้นเมือง ที่ต้องสูญเสียอำนาจให้แก่ ลัทธิพ่อเป็นใหญ่ ของพวกอารยัน (ในแง่ประนีประนอม และรับความเชื่อของกันและกันด้วย) ( สังคมมนุษย์เกือบทุกแห่ง เริ่มจากแม่เป็นใหญ่ (maternalism) ก่อนพัฒนาไปสู่ พ่อเป็นใหญ่ (paternalism) ในอุษาคเนย์เองเมื่อก่อนก็ถือแม่เป็นใหญ่ (ยังปรากฏร่องรอยอยูในสังคมไทย เช่น การเรียกคนแปลกหน้าว่า ตา ยาย น้า มากกว่า ปู่ ย่า อา การแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ฯลฯ) ตำนานพราหมณ์อินเดีย (พ่อ) ชนะ นางนาค (แม่) สะท้อนการปะทะกันของสองลัทธินี้ ในจีนยุคบรรพกาล ก็ปรากฏร่องรอยลัทธิแม่เป็นใหญ่ ) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 10:32:15

ความคิดเห็นที่ 73 จากข้อ2-3-5     น่าจะเป็นลักษณะของอารยันแท้นะครับ      คือคล้ายๆฝรั่ง ส่วนข้อ4นี่เป็นการยืนยันว่าเทพของอารยันนี่นิยมดื่มเหล้า     ดื่มแล้วก็ทำให้กล้าหาญ ส่วนที่ว่าพระอินทร์เป็นผู้นำในการรบกับพวกทัสยุ     เข้าใจว่าน่าจะหมายถึงหัวหน้าเผ่าของอารยัน      ไม่รู้ว่าตำแหน่งหัวหน้าเผ่ามีคำว่าอินทร์อยู่รึเปล่า     เพราะตำแหน่งพระอินทร์นั้นไม่ตายตัว     มีกำหนดครบวาระต้องออจากตำแหน่งไป จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 13:14:03

ความคิดเห็นที่ 74 ไกอารึกายา     อ่านไปแล้วเสียงก็จะไปคล้ายกับ กศป-กัศย์ป-กัศยป นะครับ      ตามตำนานว่าเป็นชนกแห่งพระอาทิตย์ทั้งหลาย     มีพระอินทร์เป็นอาทิ     พระกศปได้เป็นชนกสัตว์ต่างๆทุกอย่าง   จึงเรียกว่า พระเทพบิดรบ้าง   โลกบิดรบ้าง   มหาบิดรบ้าง    ประชาบดีบ้าง ส่วนอูรานอส-ยูเรนัสก็ฟังมีส่วนคล้ายนางอทิติ    แปลว่าไม่มีสิ้นสุด   มุ่งความว่าสวรรค์อันหาที่สุดมิได้(ในที่นี้น่าจะหมายถึงฟ้า)    สมมุติเป็นตัวขึ้นนับว่าเป็นพระเทพมารดา    พระโลกมารดา ในที่นี้จะเห็นว่าสลับเพศกัน     แต่อาจจะสลับกันที่อินเดียก็ได้    เพราะเท่าที่เห็นชาวกรีกก็ไม่ได้นับถือแม่เป็นสำคัญเหมือนอินเดีย    ที่อินเดียเดิมนับถือแม่มาก    เลยสลับให้เทพผู้ให้กำเนิด(โลก)เป็นชาย   และให้ฟ้าเป็นหญิง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 23:24:51

ความคิดเห็นที่ 75 อาจจะเป็นไปได้ตาม คห.72-74 ขอรับ ว่าแต่ กายา นี่เป็นรากศัพท์ของคำว่า "กาย" หรือเปล่าขอรับ จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 21:39:55

ความคิดเห็นที่ 76 กายารึไกอา    นี่น่าจะอ่านตามภาษากรีกมากกว่านะครับ    กายนี่น่าจะไปทางบาลีสันสกฤต      แต่ถ้าจะเทียบจริงๆก้ได้    เพราะไกอาคือโลก     อินเดียโบราณบางส่วนก็ถือว่ามนุษย์คนหนึ่งก็คือโลกโลกหนึ่ง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 21:55:51

ความคิดเห็นที่ 77 มีเหตุผลครับ เพราะเป็กลุ่มภาษาอินเดีย-ยุโรป เหมือนกัน ขอนอกเรื่องยกตัวอย่างสักเล็กน้อย acropolis (อโครโปลิส) agrapura (อัครปุระ) อโคร = อัคร แปลว่า สูง โปลิส = ปุระ คือ บุรี ของไทยนั่นเอง Ireland มาจาก Eire คือ อารยัน Iran (อิหร่าน) ก็มีที่มีจาก อารยัน ในภาษาเปอร์เชียโบราณ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 13:31:14

ความคิดเห็นที่ 78 ถ้าจะดูคำที่คล้ายกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออกนี่มีอีกหลายคำครับ    ที่เห็นชัดคือเลข 3 บาลีสันสกฤตว่า  ตรี/ไตร     ลาตินว่า Tri   อังกฤษว่า Three ฝรั่งเศสว่า Trois(ทรัว) 7 บาลีสันสกฤตว่า  สัตต/สัปต     ลาตินว่า Septa   อังกฤษว่า Seven ฝรั่งเศสว่า Sept(เซ็ต) 8 บาลีสันสกฤตว่า  อัฎฐ    ลาตินว่า Octa   อังกฤษว่า Eight ฝรั่งเศสว่า Huit(วิท) 9 บาลีสันสกฤตว่า  นว     ลาตินว่า Nova   อังกฤษว่า Nine ฝรั่งเศสว่า Neuf(เนิฟ) 12 บาลีสันสกฤตว่า  ทวาทศ    อังกฤษว่า Twelve 13 บาลีสันสกฤตว่า  เตรส (เต-ระ-สะ)      ฝรั่งเศสว่า Treize (แตร-เซอะ) Burg-ปุระ-บุรี Justice-ยุติธรรม แม้แต่โซคราตีส    ยังมีการโยงไปว่าตรงกับคำว่า ศักรดิษฐ์ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 52 17:01:00 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 16:58:55

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณมากครับ ขอเสริมว่า ไม่ใช่การคล้ายกันของตะวันตก-ตะวันออก เพราะเป็นภาษาตระกูลอินเดีย-ยุโรป เหมือนกัน เพียงแต่วิวัฒนาการไปต่างกัน ตาม กาละ และ เทศะ แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 52 18:22:37 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 18:20:30

ความคิดเห็นที่ 80 มันก็น่าเชื่อนะครับ    ว่ามีที่มาเหมือนกัน         แต่ดูจากระยะทางแล้วเอเชียกลางถึงโรมันนี่มันค่อนข้างไกลมากทีเดียว   น่าจะไม่ต่ำกว่า6000-7000กิโลเมตร     ผมก็ยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้   ว่าอารยันทำไมต้องอพยพไปซะไกลขนาดนั้น ว่าจะลองเทียบเทพของโอลิมปัสกับเทพอินเดีย     แต่ลองเช็คดูจริงๆแล้ว   รายละเอียดต่างกันพอดูทีเดียว อีกเรื่อง    จะเทียบภาษาโบราณที่ตรงกันต้องเช็คดีๆครับ     เพราะช่วงที่อังกฤษยึดอินเดีย   อังกฤษก็เอาคำบาลีสันสกฤตไปใส่ในพจนานุกรมเยอะพอดู    เช่น Nirvana-นิพพาน    Mantra-มนตรา    Raj-ราช       วันหลังจะลองหาเทียบศัพท์ของทางอิสลามที่มีรากศัพท์เดียวกับอินเดียและตะวันตกบ้าง     เท่าที่เจอแล้วก็มี    Satan-ไชตอน     กาบริเอล-ยิบริล จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 52 18:38:58

ความคิดเห็นที่ 81 ศาสนาอิสลาม มีรากมาจากศาสนายิว เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ นะครับ โมเสส และ เยซู ก็ถือเป็น นบี ท่านหนึ่งของชาวมุสลิม เพียงแต่ชาวมุสลิมถือว่า นบีโมฮัมหมัด เป็นนบีท่านสุดท้าย จะไม่มีอีกแล้วจนกระทั่งถึงวันพิพากษา เทียบชื่อ Satan - ไชตอน กาบริเอล - ยิบริล อดัม - อาดัม อีฟ - อีวา โมเสส - (นบี)มูซา ดาวิด - ดาวุด โซโลมอน - สุไลมาน เยซู - (นบี)อิซา โยเซฟ - ยูซุป มุสลิม ไม่กิน หมู เช่นเดียวกับ ยิว และศาสนาคริสต์ ก็รังเกียจสุกรน้องหมูด้วย (น่าจ๋งจ๋าน ถูกเกลียดแล้วยังถูกกินอีก) มุสลิม ต้องขริบ เช่นเดียวกะยิว ส่วนรากฐานของกลุ่มชนที่พูดภาษาอินเดีย-ยุโรป นั้น เป็นพหุเทวนิยม และมีการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คล้ายกัน ดังเช่นที่ถกกันมาข้างบนนั้น โดยอาจแบ่งได้เป็นสองสาย คือ สายที่นับถือเทวะ กับสายที่นับถืออสูร แต่เมื่อมีการอพยพย้ายถิ่นออกไปนั้น ก็ไปรับภาษาและศาสนาความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีทางมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาว "อารยัน" (กลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลอินเดีย-ยุโรป โบราณ) มีแสนยานุภาพ และบุกไปยังดินแดนต่าง ๆ ได้ ก็คือ "รถศึก" (Chariot) ซึ่งชาวอารยัน เป็นนักขี่ม้า เลี้ยงม้า ฝึกม้า ชั้นยอด (ตามแบบกลุ่มชนเร่ร่อนทั้งหลาย เช่น พวกมงโกล เป็นต้น) นอกจากนั้น ยังเป็นผู้ครอบครองเทคโนโลยีการทำรถศึก ที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นอาวุธทรงอานุภาพสูงสุดในโลกยุค ๑,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล และต่อมาเมื่อชาวอารยัน ได้ครอบครองดินแดนอันอุดม ก็ทิ้งวัฒนธรรมชนเผ่า ในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ (ซึ่งน่าจะเลี้ยงวัวเป็นสำคัญ เพราะอารยันหลายกลุ่ม ให้ความสำคัญกับวัวมาก) มาตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง จนเกิดนครรัฐ (กรีก อินเดีย) อาณาจักร (๑๖ มหาชนบท) และจักรวรรดิ (เปอร์เชีย กรีก) จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 16:01:26

ความคิดเห็นที่ 82 Nirvana เป็น สังสกฤต (สันสกฤต) ครับ คือ " นิรวาณ " ส่วน นิพพาน เป็น ปาลิ (ปาฬี-บาลี) คือ Nibbana ยังมี guru (ที่เราชอบใช้ว่า กูรู) ก็คือ คุรุ (ครู) mandala คือ มณฑล จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 16:07:42

ความคิดเห็นที่ 83 นอกจากที่ว่ามา   อิสลามเขายังเชื่อว่าพระพุทธเจ้าของพุทธ   ก็เป็นนบีองค์หนึ่งของอัลลอฮเหมือนกันนะครับ ว่าแต่อารยธรรมรถศึกไม่ได้เริ่มจากฮิตไทท์เหรอครับ     รึว่าฮิตไทท์ก็คืออารยันอีกเผ่า       ถ้างั้นดูๆไปแล้วบาบิโลเนีย/อัสซีเรีย/อียิปต์โบราณนี่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาณาจักรอารยันโบราณอีก     แต่ก็น่าแปลกที่อารยันอพยพไปแทบทุกทิศ   แต่ไม่ยักมีสายไหนอพยพไปทางจีนเลย   รัสเซียก็ไม่มี จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 16:56:45

ความคิดเห็นที่ 84 " ฮิตไทต์ " เป็น "อารยัน" กลุ่มชนผู้พูด "ภาษาอินเดีย-ยุโรป" ครับ ส่วนต้นกำเนิดอารยัน ปัจจุบันอยู่ในคาซัคสถาน รัสเซีย (บางส่วน) และ ประเทศแถบเทือเขาคอเคซัส (บางส่วน - คอเคซัส เป็นต้นราก คอเคซอยด์ คอเคเชียน คือ ชนผิวขาว)นะครับ และชาวสลาฟ ก็เป็นอารยัน สาขาหนึ่ง (กลุ่มภาษาสลาฟ พัฒนามาจากภาษาตระกูลอินเดียยุโรป) แหล่งกำเนิดวัฒนธรรมกลุ่มตระกูลภาษาอินเดีย ยุโรป แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 52 23:22:38 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 22:34:09

ความคิดเห็นที่ 85 ต่อไป จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 22:39:19

ความคิดเห็นที่ 86 การกระจายตัว จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 22:40:48

ความคิดเห็นที่ 87 แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 52 22:47:54 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 22:42:15

ความคิดเห็นที่ 88 กลุ่มย่อยต่าง ๆ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 22:59:02

ความคิดเห็นที่ 89 รูปจาก wikipedia http://en.wikipedia.org แก้ไขเมื่อ 29 พ.ย. 52 23:08:51 จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:05:11

ความคิดเห็นที่ 90 รูป จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:09:55

ความคิดเห็นที่ 91 1500 BC จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:10:29

ความคิดเห็นที่ 92 ^ ^ ^ มีฮิตไทต์ อยู่ด้วยครับ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:11:15

ความคิดเห็นที่ 93 500 BC จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:11:42

ความคิดเห็นที่ 94 500 AD จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:12:22

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบพระคุณ วิกิพีเดีย อียิปต์ พูดภาษาตระกูลเฮมิติก (Hemitic) ส่วนยิว อาหรับ พูดภาษาตระกูลเซมิติก (Semitic) BMAC คือ Bactria–Margiana Archaeological Complex http://en.wikipedia.org/wiki/BMAC จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 23:16:42

ความคิดเห็นที่ 96 ดูๆไปแล้วอารยันนี่อยู่ไปทั่วเลยนะครับ     ถ้านับจำนวนทายาทของอารยันจริงๆ   น่ากลัวจะมากกว่าชาวฮั่นซะอีกกระมัง ดูการกระจายของอารยันแล้ว   ต้องบอกว่าที่ฮิตเลอร์อ้างเลือดบริสุทธุ์ของอารยันนี่    มันไม่มีความหมายอะไรเลย     คนยุโรปน่าจะเกินครึ่งก็น่าจะมีเชื้อสายอารยัน ภาพจากคห.86   มีอารยันอพยพมาแถวจีนด้วยเหรอครับ     คือพวกไหนในปัจจุบันน่ะครับ สรุปว่า   ไปๆมาๆสงสัยคนทั้งโลกก็มีเชื้อสายอารยันกันหมด    มากบ้างน้อยบ้าง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 03:44:49

ความคิดเห็นที่ 97 ขอต่อยอดนะขอรับ :D จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 16:07:19

ความคิดเห็นที่ 98 ไม่มีความรู้เลย....แต่มาแอบอ่าน สนุกมากๆเลยครับ ^^ จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 52 19:31:09

ความคิดเห็นที่ 99 น่าจะนะคะ พวกที่มารุกรานก็คืออสูร ของผู้ถูกรุกราน ได้ข่าวว่า พวกอารยันกับดราวิเดี่ยนตีกันบ่อยไม่ใช่เหรอคะ สรุปมั่วไปรึเปล่าเนอะเรา555+ จากคุณ : ฮุฮุ (Nazilla) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 18:21:51

ความคิดเห็นที่ 100 เนื่องในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออาราธนาอำนาจอันเป็นใหญ่เป็นประธานในโลก แลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือ โปรดอภิบาลรักษาท่านให้แคล้วคลาดจากภยุปัทวันตรายทั้งปวง มีชัยชนะเหนืออุปสรรคขัดขวางศัตรูหมู่มารทั้งหลาย เจริญด้วย อายุ วรรณ สุข พล คุณสารสมบัติ ธนสารสมบัติ สิริสวัสดิพิพัฒนมงคล คิดหวังสิ่งใดในทางที่ชอบที่ควรก็ขอให้สมมาตรปรารถนา ตลอดศกใหม่นี้เทอญ ๚ะ๛ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 22:33:07