ความคิดเห็นที่ 1 ในรัฐธรรมนูญ ปี 50 ไม่ได้ระบุว่าศาสนาใดเป็นศาสนาประจำชาติครับ เพียงแต่ระบุใน หมวด 5 แนวนโยบายแห่งรัฐ ส่วนที่ 4 แนวนโยบายด้านศาสนา ฯ มาตรา 79 ที่บอกว่ารัฐต้องอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านานและศาสนาอื่น ฯลฯ จากคุณ : สัญญาณหางปลา เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 21:30:08

ความคิดเห็นที่ 2 ที่บอกกันว่าเป็นศาสนาประจำชาติเป็นเพียงการพูดกันเองครับ ไม่ได้เป็นศาสนาประชำชาติอย่างเป็นทางการ(ไม่ได้เขียนเป็นกฎหมาย) และไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วย รัฐธรรมนูญเป็นกฎการปกครองและคุ้มครองสิทธิ์ประชาชนไม่ใช่บอร์ดประกาศข่าว... จากคุณ : Lowfailer เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 52 23:30:15

ความคิดเห็นที่ 3 ศาสนาพุธ เป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ ไ่ม่เเน่ใจว่าเคยระบุไว้ในรํฐธรรมนูญมาก่อนหรือไม่ (ที่พยายามจะทำกัน) จากคุณ : ซ่อนรอยยิ้ม เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 00:55:00

ความคิดเห็นที่ 4 ในพระราชนิพนธ์ "ความหมายแห่งไตรรงค์" พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนฑ์ไว้ว่า "ขาวบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์  หมายพระไตรรัตน์ ที่พึ่งคุ้มจิตไทย" พระไตรรัตน์ก็คือ พระรัตนตรัย  หรือศาสนาพุทธ ในเมื่อศานาพุทธปรากฏอยู่ในธงไตรรงค์ธงชาติไทยแล้ว  ย่อมหมายว่า ศาสนาพุทธคือศาสนาประจำชาติไทยนั้นเอง จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 06:55:01

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับความเห็นที่หนึ่งและสอง และขอเสริมว่า การคิดหรือการพยายามสร้างภาพว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก่อให้เกิดข้อเสียมาก เพราะศาสนาพุทธจะถูกผูกโยงเข้ากับการเมืองคือลัทธิชาตินิยมแบบหลงตัวเอง (chauvinism) ทำสามารถให้ทำให้ประชาชนคิดว่าศาสนาพุทธแบบไทยดีกว่าศาสนาอื่น และอาจนำไปสู่ความรังเกียจกีดกันศาสนาเหล่านั้นโดยแม้แต่ตัวรัฐเอง (อย่างเช่นภาคใต้ในปัจจุบัน ) สังคมที่ดีเป็นประชาธิปไตยควรจะไม่กำหนดให้ชัดเจนว่ามีศาสนาอะไรประจำชาติ ถ้าอยากให้ศาสนาพุทธเจริญก็ควรจะให้ภาคประชาชนเข้มแข็งในการทำนุบำรุงศาสนา จากคุณ : Johann sebastian Bach เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 08:12:32

ความคิดเห็นที่ 6 คนที่ออกมาเรียกร้องนั้น เขาเรียกร้องให้ เขียนข้อความที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ลงไปในรัฐธรรมนูญครับ ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยครับ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติโดยทางปฏิบัติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญครับ แล้วประเทศไทยเองก็ยอมรับศาสนาอื่นๆ ให้อยู่ร่วมกันได้ครับ ไม่ได้รังเกียจอะไรครับ จากคุณ : monkeygig เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 08:39:13

ความคิดเห็นที่ 7 ถึงแม้ประเทศไทยไม่ได้รังเกียจศาสนาอื่นๆ แต่ก็ไม่ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน อย่างความรุนแรงทางภาคใต้ถือได้ว่ามีปัจจัยสำคัญมาจากอคติเช่นนี้ได้ดี ชาวมุสลิมเห็นว่าเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมจากรัฐจึงให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย จากคุณ : Johann sebastian Bach เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 09:05:37

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องศาสนา ความเชื่อต่างๆ ไม่มีกฏหมายชาติใดบังคับให้เชื่อหรือนับถือครับถ้าระบุในกฏหมายให้คนไทยต้องนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งก็วุ่นวายตายแค่นี้บ้านเมืองก็วุ่นวายมากพอแล้วครับ จากคุณ : batmanfantasy เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 14:28:01

ความคิดเห็นที่ 9 ศาสนานับถือผีละมั้ง แต่ถ้าเขียนลงในรัฐธรรมนูญคงจะอายเขาเลยไม่เขียน จากคุณ : มังกรใจเย็น เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 52 19:28:04

ความคิดเห็นที่ 10 ขอแย้ง อ. V_MEE สักนิดครับ ที่ อ.ว่าไว้ ผมเกรงว่าจะเป็นแต่สมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเท่านั้นครับ แต่ในสมัยระบอบประชาธิปไตย ไม่เคยมีการบอกว่าประเทศไทยมีศาสนาประจำชาติครับ เท่าที่เคยตามหลักฐานมา เคยมีความพยายามจะระบุไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ แต่ก็ติดตรงปัญหาเรื่อง ๓ จังหวัดภาคใต้นั่นเอง จึงทำให้ไม่ได้ใส่ไว้ ---------------------------------------------------------------- สำหรับปัญหาการจะบัญญัติหรือไม่บัญญัตินั้น ส่วนตัวผมขอสรุปไว้ดังนี้ ๑.. จำนวนพุทธศาสนิกชนจริง ๆ มีเท่าไร ผมไม่อาจจะคะเนได้ ถึงแม้จะมีการโฆษณาและประกาศอยู่สม่ำเสมอว่า ตัวเลขคนที่นับถือพุทธในประเทศไทยนี้มีกว่า ๙๕ % แต่ ๙๕ % นี้คือแค่ปริมาณเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า ๙๕ % นี้จะมีคุณภาพแต่อย่างใด  วัดได้ง่าย ๆ จากการสอบถามเรื่องราวและหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเลยก็ได้ เรื่องง่าย ๆ อย่าง อาราธนาศีลได้ไหม ? , เคยทำบุญบ่อยไหม ,นั่งสมาธิได้หรือเปล่า ? ฯลฯ ถ้านับกันจริง ๆ เอาคุณภาพเป็นหลักเกรงว่า จะเหลือไม่ถึง ๔๐ % ด้วยซ้ำไป เหตุที่มีจำนวนคนนับถือพุทธเยอะ ไม่ใช่เขาเหล่านั้นศรัทธาแต่อย่างใด ...หากแต่ได้มาโดยการบังคับของบิดา และ มารดา ตอนที่เขาเกิดเป็นเสียส่วนมาก ... ลองว่า ถ้าเกิดมา บิดา และ มารดา ไม่ต้องถูกทางเขต หรือ อำเภอ สอบถามว่านับถือศาสนาอะไร ให้สิทธิเด็กที่เกิดมาได้เลือกด้วยตัวเอง ถึงวันนั้นแล้ว ค่อยมาว่ากันใหม่เรื่อง ศาสนาพุทธ จะเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือหรือไม่ยังจะดีกว่านับตอนนี้ครับ ๒.. ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมาอย่างละเอียด จะเห็นว่า การเกิดความไม่สงบใน ๓ จังหวัดภาคใต้ ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา แค่นั้น แต่เกิดมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอยุธยาเลยด้วยซ้ำไป จนมาถึงสมัย ร.๑ ก็เกิดอีกจนต้องแยกเป็นการปกครองแบบ ๗ หัวเมือง และก็มีการก่อการแข็งขืนต่ออำนาจรัฐของกรุงเทพฯ โดยคนในท้องถิ่นอยู่เกือบจะทุกสมัยในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าเราจะให้เขาปกครองตนเองหรือไม่ก็ตาม ก็ยังมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นเป็นปกติ เพียงแต่ว่า ส่วนกลางจะคุมไว้ได้หรือไม่เท่านั้นเอง ถ้ายุคไหน ส่วนกลางเข้มแข็ง ใช้อำนาจควบคุมได้เต็มที่ ช่วงนั้นเหตุการณ์ก็สงบ  แต่ถ้าช่วงไหนส่วนกลางไม่เข้มแข็ง ช่วงนั้นก็จะเป็นแบบปัจจุบัน เพราะฉะนั้น การอ้างเรื่อง ๓ จังหวัดจะไม่พอใจ จึงไม่มีมูลเหตุเพียงพอในด้านประวัติศาสตร์แต่อย่างใดครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 00:31:50

ความคิดเห็นที่ 12 Link เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประเทศที่ปกครองด้วย ชารีอะห์ นำ http://www.nationweekend.com/weekend/20050204/wec13.shtml ""รัฐอิสลามของอิหร่านนั้นยืนอยู่บนคำสอนของคัมภีร์อัลกุรอ่าน โดยการเชิญชวนไปสู่ความดีงามและห้ามปรามในความชั่วร้าย ทีนี้นักวิชาการหรือนักการศาสนาจะมาอธิบายว่า ความดีงามคืออะไร ในรัฐธรรมนูญจะเขียนไว้ทั้งหมด รวมทั้งบอกด้วยว่าความชั่วร้ายคืออะไร เขาก็จะมีกฎหมายห้ามไม่ให้กระทำในสิ่งเหล่านั้น ทีนี้แต่ละประเทศแต่ละชุมชนก็เลือกทางเดินเอาเองใช่ไหม ทางรัฐอิสลามอิหร่านก็เลือกทางเดินว่า เขาใช้กฎหมายอิสลามภายใต้รัฐธรรมนูญที่วางอยู่บนอัลกุรอ่าน ซึ่งไม่มีใครมีสิทธิไปละเมิดความเชื่อของเขา เพราะสหประชาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชน ก็ยอมรับในเรื่องของการนำเอาความเชื่อมาใช้ในการปกครองชุมชนตนเองได้ " ส่วนภาพที่แถมมาคือการปกครองของ อิหร่าน ในยุคปัจจุบัน ครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 00:54:10

ความคิดเห็นที่ 13 สิ่งที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลโต้แย้ง ถ้าจะมีการบรรจุคำว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ก็คือ ถ้าบรรจุแล้วจะทำให้ศาสนาอื่นไม่ได้รับการดูแล,ถูกเบียดเบียนข่มเหง, ถ้าร้ายที่สุดคือต้องบังคับให้ศาสนาอื่นมาเปลี่ยนเป็นพุทธ ในความเป็นจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ? ๔.๑ การที่เด็กเกิดมาคนหนึ่งแล้วต้องนับถือพุทธ เหตุผลก็คือโดนบิดา-มารดา ที่นับถือพุทธแกมบังคับตั้งแต่วันที่เขาเกิด ถ้าให้สิทธิเด็กโตมาแล้วค่อยเลือกแบบนี้น่าจะดีกว่าไปบังคับเขา ตรงนี้ผมคิดว่าควรจะต้องแก้กฎหมายด้วยซ้ำไป ต่อไปนายทะเบียนห้ามรับจดศาสนาพุทธของเด็กแรกเกิดโดยที่เด็กไม่ยินยอม (ส่วนศาสนาอื่นว่าไปแล้วแต่เขา)   จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด เพราะผมก็เบื่อฟังเวลาบอกว่าโตมาแล้วต้องนับถือพุทธเพราะพ่อ-แม่บังคับมาตั้งแต่เกิด ต่อไปถ้าแก้กฎหมายตรงนี้ได้ เด็กจะได้มีความสมัครใจที่จะเป็นพุทธศาสนิกชนด้วยใจของตนเองจริง ๆ ซึ่งถ้าเป็นศาสนาอื่น ๆ ไปบังคับเขาได้หรือไม่ ? (คำตอบน่าจะรู้แก่ใจดี) แม้แต่โตมาแล้วก็ตาม ถ้าไม่ศรัทธา เขาก็คงไม่นับถือ หลักการทางพระพุทธศาสนา ไม่เคยมีระบุไว้ว่า จะต้องมานับถือพุทธ คุณจะนับถือหรือไม่ก็ได้  แม้ว่าคุณจะผ่านการสมรสแล้ว คุณจะนับถือพุทธต่อไปหรือไม่ก็ได้ ไม่มีใครว่า พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงตำหนิคุณถ้าคุณจะเปลี่ยนศาสนาแน่ ๆ ๔.๒ กรณีบอกว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรม ตรงนี้ยิ่งน่าแปลกใจ เพราะในประวัติศาสตร์ ที่ผมจำได้มีอยู่หนเดียวเท่านั้นที่มีการห้ามนับถือศาสนาอื่น ๆ คือ ในช่วงสมัยของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเท่านั้นเอง นอกนั้นในช่วงสมัยที่เหลือ ที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นพุทธ ก็ไม่เคยมีการไปบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนศาสนา แต่จะบอกอย่างนั้นก็ไม่เชิงนัก เพราะเคยมีนักวิชาการบางท่านบอกว่า ทำไมจะไม่มี ก็ตัวอย่างของบางตระกูลในสมัยอยุธยาตอนปลายอย่างไร ที่ตัวเองและลูกชายอีกคนต้องเปลี่ยนศาสนา นัยว่าเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง คำถามมีอยู่ว่า จริง ๆ แล้วต่อให้ ท่านผู้นั้นไม่เปลี่ยนศาสนา ท่านก็ยังคงก้าวหน้าอยู่ดี เพราะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินอยู่แล้ว และถ้าสืบย้อนไป ต้นตระกูลของท่านที่มาจากต่างประเทศทางอัสดงคประเทศ ก็ยังไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาเลย ยังสามารถได้รับตำแหน่งเป็นถึงระดับเทียบเท่า รัฐมนตรีมหาดไทยในปัจจุบันได้เลย เพราะฉะนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผม เหตุผลเรื่องจะมีความลำเอียงก็ตกไปอีก แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 52 01:15:01 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 01:12:34

ความคิดเห็นที่ 14 ต่อไปจะข้ออ้างถึง ข้อความของคุณสัญญาณหางปลา ในความเห็นที่ ๑ ที่บอกมาเรื่องมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ มาตราตรงนี้ จริง ๆ แล้วต้องขยายความไปยังมาตราหมวดของพระมหากษัตริย์ด้วยครับ ผมจำได้ว่า คุณธงทอง จันทรางศุ เป็นคนเปิดประเด็นเองว่า มีอยู่มาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ ที่ระบุไว้ว่า สถาบันนับถือพระพุทธศาสนา ครับ คุณธงทอง อธิบายว่า ในแนวคิดของท่าน ถ้าสถาบันนับถือพระพุทธศาสนาแล้วก็จบ เป็นการบอกกลาย ๆ ว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ครับ ผมคงหยุดประเด็นข้อความนี้ไว้เท่านี้ ไม่อยากจะเขียนยาวไปกว่านี้ เพราะไม่อยากดึงฟ้าลงต่ำครับ ขอแค่อธิบายในส่วนที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 01:21:23

ความคิดเห็นที่ 15 วกมาเรื่อง เหตุผลที่ทำไมถึงพยายามเหลือเกินที่จะระบุว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ผมขอตอบแบบที่ผมเข้าใจ(ไม่ได้แปลว่าถูกนะครับ อาจจะผิดก็ได้ เพราะผมเข้าใจของผมเอง) ๑. เพื่ออุปถัมภ์ค้ำจุนสถาบันพระพุทธศาสนา ไม่ให้ตกต่ำไปกว่านี้ ถ้าบอกอย่างนี้ เราท่านคงจะสงสัยว่าบ้าไปหรือเปล่า พระสงฆ์ก็ยังออกจะเดินให้เห็นอยู่เยอะแยะ ,มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ยังมีตั้งสองแห่ง วิทยาเขตอีกเป็นสิบ ๆ , พระไตรปิฏกก็ยังมีอยู่ ,ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยังอีกเพียบ กลัวอะไรเว่อร์เกินไปหรือเปล่า คำตอบมันมีดังนี้ครับ ๑.๑ คุณภาพของพระสงฆ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร เราท่านเคยเห็นกันจริง ๆ หรือไม่ ถ้าคุณภาพดีจริง เราคงจะไม่ได้ยินข่าวว่า มั่วสีกาบ้าง,ควงอาวุธปืนบ้าง,ขับรถไปเที่ยวคาราโอเกะบ้าง,เดินพันทิพยุ์หาแผ่น XXX บ้าง, แต่งตัวออกไปแนวเพศที่สามบ้าง ที่ไปอยู่ตามน้ำตก และ ชายทะเล อย่างที่เป็นข่าวมาแล้วนั่นเอง, หรือแม้แต่เสพย์ยาเสพย์ติดบ้าง ฯลฯ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอะไรครับ ? คุณภาพของสมมติสงฆ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร ? บางท่านยังมองโลกในแง่ดีว่า ไม่ได้เป็นทั้งหมดเสียหน่อย แค่หยิบมือเดียวเท่านั้นเอง จริงครับ แค่หยิบมือเดียว .....................แต่....................... หยิบมือเดียวที่ว่า มันไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียวนี่ครับ นิกรเอย ,ยันตระเอย,ภาวนาเอย มันแค่กรณีเดียวแล้วจบไหมล่ะครับ ? กรณีนี้ จะให้มหาเถรสมาคมมาปราบปรามเองจะดีไหมครับ ? ให้พระวินยาธิการ(ตำรวจพระ) ตั้งทีมพิเศษแบบ FBI มาสืบสวนสอบสวนเพื่อจับสมมติสงฆ์นอกรีตเหล่านี้สึกเลยจะดีหรือเปล่า ? หรือมันเป็นเรื่องที่ทางอาณาจักรควรจะเข้ามาช่วยเหลือทางพุทธจักรดีกว่าไหมล่ะครับ ? บางท่านก็บอกว่า อ้าวก็กรณีเหล่านี้ ทางอาณาจักรก็จัดการให้แล้วอย่างไร จริงครับ ทางอาณาจักรจัดการให้ แต่จัดการแค่ให้พ้น ๆ ไปจากพุทธจักรเท่านั้นโดยทางนิตินัย แต่ทางพฤตินัยแล้ว บรรดาสมีเหล่านี้ ก็ยังคงประพฤติตนไม่ต่างจากสมัยยังเป็นสมมติสงฆ์อยู่เลยสักนิด อย่างสมีวันชัย ที่แต่งเป็นทหารแล้วโดนจับได้ สุดท้ายก็หนีออกไปนอกประเทศ แล้วก็ไปแต่งเป็นพระไทยออกหลอกลวงคนมาเลเซียอยู่ ถามว่าดีไหมล่ะครับ ? ล่าสุดก็เพิ่งปลอมตัวเป็นพระห่มเหลือง มาร่วมงานสวดศพหลวงพ่ออุตมะอยู่ ITV(สมัยก่อนเปลี่ยนเป็น TPBS) ก็ยังเอาภาพมาให้ดูเลย แล้วเป็นอย่างไรครับ สมีนิกรเอย ยันตระที่อยู่เมืองนอก หรือจะกรณีเก๋าสุด ๆ ก็ โพธิรักษ์ นั่นปะไร ศาลตัดสินแล้วว่าผิด มหาเถระสมาคมก็ไม่ยอมรับแล้ว แล้วถามว่า มีใครกล้าไปจับเขาไหมล่ะครับ ? นี่ยังไม่นับรวมบรรดา อาตี๋ อาหมวย จากเมืองจีน ที่มาโกนหัวแล้วแต่งชุดพระจีนออกเร่บิณฑบาตรตามต่างจังหวัดอีกนะครับ เฮ้อ เหนื่อยใจ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 01:39:43

ความคิดเห็นที่ 16 เขียนไปเขียนมา ชักจะเบื่อหน่ายตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะพูดไปทำไม พูดไปเขียนไป ใครเขาก็ไม่เชื่อ แต่ไหน ๆ ได้ชื่อว่าเป็นคนพุทธแล้วก็ขอระบายบ้างก็แล้วกัน ผมพยายามจะเขียนแบบที่คนทั่วไปอ่านแล้วพอจะรู้เรื่องบ้าง ไม่พยายามจะอิงหลักทางพระพุทธศาสนามากจนเกินไปนัก เน้นทางโลกเน้น ๆ ให้จับต้องกันได้เลย หวังว่า คงจะพอทำให้เข้าใจกันมากขึ้น ไม่หวังว่าการเขียนของผมคราวนี้จะไปดลใจ หรือเปลี่ยนใจให้ท่าน ๆ หันมาสนับสนุนการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรอกครับ จะว่าไป สักวันหนึ่งในอนาคต ประเทศไทยอาจจะต้องไปขอตัวแทนพระสงฆ์จากต่างประเทศมาบวชให้คนในประเทศไทย เหมือนอย่างที่ ศรีลังกา เคยขอจากไทย,พม่า,มอญ ไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้.... ------------------------------------------------------------------ ขอขยายความเพิ่มเติมอีกสักนิด เกี่ยวกับการปกครองในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามครับ  (จะไม่เชื่อก็ได้นะครับ เพราะอ้างอิงมาจากข้อมูลของทางอเมริกา อาจจะใส่ร้ายอิสลามก็ได้..ก็ว่ากันไป) ระบบแรกเขาว่าคือ ระบบ Dual Legal System  ส่วนใหญ่ประเทศโลกอิสลามเขาจะใช้แบบนี้ ยกตัวอย่างก็เช่น แทนซาเนีย,ไนจีเรีย,เคนยา ฯลฯ ใจความสรุป ๆ ก็คือ มีศาลศาสนา และก็ใช้บางมาตราในกฎชารีอะห์มาตัดสิน ระบบที่สองคือ Government under God แบบนี้ เขาจะเอาหลักศาสนาเข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญของเขาเลย(คุณ Batmanfantasy คงตกใจนะครับ) ประเทศที่ใช้แบบนี้ก็เช่น ซาอุดิอารเบีย,คูเวต,บาร์เรน,เยเมน,UAE กฎหมายของประเทศเหล่านี้ มาจากบทบัญญัติในชารีอะห์ล้วน ๆ ครับ ระบบสุดท้ายคือ Completely Secular ระบบนี้จะเรียกว่าอย่างไรดีนะ ก็คงเป็นแบบทางโลกเสรีนิยมเกือบ ๆ จะครบถ้วน พูดง่าย ๆ คือ แทบจะไม่ได้ใช้หลักศาสนาเข้ามาเกี่ยวเลย เช่น อาเซอร์ไบจัน,โซมาเลีย,ทาจิกิสถาน,ชาด, ตุรกี ก็มีส่วนเพราะพยายามจะเอาหลักศาสนามาใช้ แต่คนในประเทศไม่ยอมรับ อ้างอิงจาก : http://www.cfr.org/publication/8034/ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 01:58:56

ความคิดเห็นที่ 17 สุดท้ายนี้ ก่อนจะไปนอนขอฝากพุทธศาสนสุภาษิตไว้ว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ (ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม) เราท่านก็มาพิจารณากันเองนะครับ กับสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ว่าเรายังประมาทว่าพระสงฆ์ยังอยู่เยอะ ฯลฯ อย่างที่ผมบอกไปหรือไม่   สวัสดีครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 02:04:49

ความคิดเห็นที่ 19 คุณผ้าพับไว้ครับ "ขอแย้ง อ. V_MEE สักนิดครับ ที่ อ.ว่าไว้ ผมเกรงว่าจะเป็นแต่สมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเท่านั้นครับ แต่ในสมัยระบอบประชาธิปไตย ไม่เคยมีการบอกว่าประเทศไทยมีศาสนาประจำชาติครับ" ที่อาจารย์ V_Mee พูดไว้น่ะ คำดำรัสของรัชกาลที่หกเป็นเสาหลักของลัทธิชาตินิยมที่จอมพล ป.พิบูลสงครามนำมาใช้ในยุคหลังอย่างเช่นเรื่องศาสนาพุทธเช่นกัน ถึงแม้จะไม่มีการประกาศเป็นทางการ แต่รัฐไทยยุคใหม่ก็ได้ใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจให้กับตัวเองเหมือนกับรัฐสมบูรณาญาสิทธิราช ปัจจุบันพอเราพูดถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  คำว่า ศาสนา นี่มันก็มีความหมายเด้งขึ้นทันทีเลยว่า   "พุทธ"เท่านั้น "ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมาอย่างละเอียด จะเห็นว่า การเกิดความไม่สงบใน ๓ จังหวัดภาคใต้ ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา แค่นั้น"... เพราะฉะนั้น การอ้างเรื่อง ๓ จังหวัดจะไม่พอใจ จึงไม่มีมูลเหตุเพียงพอในด้านประวัติศาสตร์แต่อย่างใดครับ ภาคใต้นี่ผมแค่ยกตัวอย่างครับ ยังมีศาสนาอื่นๆ ที่ถูกถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่กระจายไปทั่วประเทศไทยที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมจากทางรัฐไทยแต่ไม่มีเวทีที่จะแสดงออกแค่นั้น อย่างศาสนาคริสต์ก็ถูกเพ่งเล็ง หวาดระแวงจากทางการและชาวพุทธหัวเอียงขวาว่าจะมาทำลายล้างศาสนาพุทธและสังคมไทย (ผมเป็นพุทธนะแต่ปัจจุบันไม่มีศาสนาแล้ว) "๔.๒ กรณีบอกว่า จะไม่ได้รับความเป็นธรรม ตรงนี้ยิ่งน่าแปลกใจ เพราะในประวัติศาสตร์ ที่ผมจำได้มีอยู่หนเดียวเท่านั้นที่มีการห้ามนับถือศาสนาอื่น ๆ คือ ในช่วงสมัยของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเท่านั้นเอง...นอกนั้นในช่วงสมัยที่เหลือ ที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นพุทธ ก็ไม่เคยมีการไปบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนศาสนา" คุณเอารัฐไทยในช่วงอยุธยามาปนกับยุคปัจจุบันที่เป็นประชาธิปไตยได้ไงเนี้ย งง สมัยนั้นมีคำว่า "ชาติ "และ "รัฐธรรมนูญ" แล้วหรือครับ ถูกแล้วเมืองไทยมักไม่มีการห้ามการนับถือศาสนาอื่นๆ แต่ก็รัฐไทยก็ไม่เอื้อต่อการเผยแพร่ศาสนาอื่นด้วยความรู้สึกว่าเป็นของต่างชาติ (ทั้งที่พุทธก็เป็นของอินเดีย) อย่างเช่น ยุคก่อนหน้าพระเจ้าอยู่ท้ายสระคือยุคของพระเพทราชาซึ่งครองราชย์ต่อจากพระนารายณ์ที่ศาสนาคริสต์ถูกมองว่าเป็นศาสนาของฝรั่งที่จะมายึดเมืองไทยเป็นเมืองขึ้น ถูกห้ามไม่ให้เผยแพร่หลักคำสอน แม้แต่ยุคหลังๆ เช่น ยุคพระเจ้าตากหรือแม้แต่เมื่อไม่กี่สิบปีก่อนหน้านี้ชาวคริสต์ก็ยังไม่ได้รับความสะดวกจากรัฐไทยเลยอย่างเชียงใหม่เมื่อร้อยปีก่อนนี่ ใครไปเข้ารีตแล้วถูกเจ้าเมืองเชียงใหม่สั่งตัดหัวเลยนะสาเหตุเพราะมองว่าเป็นตัวแทนของพวกจักรวรรดินิยม ผมเห็นว่ามีความจริงบางส่วนนะ แต่ไม่ทั้งหมด จำนวนมากจะถูกปลุกปั่น เพราะรัฐไทยใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจ ถ้ามีคนนับถือศาสนาอื่น รัฐไทยก็คุมไม่ได้ นอกจากนี้ คุณมายกตัวอย่างเรื่องอิหร่านนี่ยิ่งประหลาดดี เพราะอิหร่านนี่มีรัฐบาลอิสลามที่กดขี่ศาสนาของชนกลุ่มน้อยอันดับต้นๆ เลยถึงแม้ในรัฐธรรมนูญจะเปิดเสรีให้ทุกศาสนา อย่างเช่นศาสนาบาไฮ ที่ต้องหนีกันไปประเทศอื่น ปัจจุบันก็มีกรณีที่ชาวบาไฮในอิหร่านถูกจับติดคุกและดำเนินคดีอย่างไม่ยุติธรรม จากความคิดเห็นที่ 15 ของคุณ ผมว่าความจริงองค์กรสงฆ์นี่เน่าเฟะไปถึงข้างในเลยนะตั้งแต่บนลงล่าง ต่อให้เอาอาณาจักรหรือหน่วยงานของรัฐที่มันฉ้อฉลพอๆ กันมาควบคุม มันก็เละเทะไปเลย แทนที่จะปฏิรูปกันขนานใหญ่  ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าในหลักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ก็จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อหรือสนับสนุนพระเหล่านั้น สมมติว่าถ้าให้รัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวมากกว่านี้อย่างให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  พระชั่วๆ ดันมี"ผู้ใหญ่ "สีกากีหรือสีเขียวเหมือนกับดารานักร้องหลายคน คุณจะทำอย่างไรดี ผมว่าสุดท้ายก็เป็นการมอบหรือเพิ่มอำนาจให้กับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งมากกว่า แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 18:56:12 แก้ไขเมื่อ 05 ธ.ค. 52 08:07:32 จากคุณ : Johann sebastian Bach เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 08:03:23

ความคิดเห็นที่ 20 ปัญกาเรื่องศาสนาประจำชาตินี้เริ่มมาจากครั้งหนึ่งประเทศไทยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นคริสต์  ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นอิสลาม  และอธิบดีกรมการศาสนาเป็นพุทธ  นี่แหละจึงเป็นที่มาของปัญหาเรื่องศาสนาประจำชาติมาถึงทุกวันนี้ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 19:28:36

ความคิดเห็นที่ 21 ผมเห็นด้วยกับการมีศาสนาประจำชาติครับ เพราะศาสนาพุทธ ไม่ได้ที่มีอัตลักษณ์ จนทำให้ศาสนาอื่นไม่สามารถที่จะนับถือศาสนาของตนเองผิดไปได้ จากเดิมได้ ต่อให้เอาพระไตรปิฏกเป็นรัฐธรรมนูญเลยก็เถอะ และต้องเข้าใจด้วย การรักษาศาสนาพุทธ ให้คงอยู่กับคนไทย โดยใช้่สัญลักษณ์เป็นศาสนาประจำชาติมีความจำเป็น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะทำให้ศาสนาอื่นเดือดร้อนไปด้วย อย่าไปใช้สายตามองศาสนาพุทธ แบบเดียวกับศาสนาอื่น ที่เขาต้องคงอัตลัีกษณ์ไว้จนทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างศาสนา แต่ว่า ผมไม่เชื่อใจ คนที่เรียกร้อง ในตอนสมัยก่อนซะมากกว่า ว่ามีความเข้าใจเรื่องศาสนา ประจำชาติ ในแนวทางของพุทธหรือไม่ หรือว่าเรียกร้องไปโดยไม่เข้าใจเลยว่าพุทธเป็นยังไง ใช้ความรู้สึก แบบเดียวกับ มุมของคนอื่น จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 19:44:36

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่เห็นด้วยประการทั้งพวงคราบ...เดี๋ยวได้ตีกันเละเทะ...บ้านเมือง วุ่นวายอยู่แล้วจะวุ่นวายหนักขึ้นไปอีก...จริงๆแล้ว เด็กสมัยนี้ก้อไม่ ได้อินังขังขอบกับเรื่องนี้กันแล้ว...หยั่งผมตอนเด็กๆก้อนะ วันพระ วันเจ้า โรงเรียนปลูกฝัง เข้าวัดเข้าวา มีศรัทธาน่ารัก...พอโตหยั่ง ตอนนี้ คุณเอ๊ย...ไกลวัดไกลวา ยิ่งเห็นอะไรๆที่มันแย่ๆ เลิกเลย... หมดกันเลยแบบเดิมๆ...ลูกเต้าเหล่ากอผมเกิดมา ผมไม่ให้ระบุว่า เป็นศาสนาอะไร ... ให้มันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจากนั้นมันจะเป็น ศาสนาอะไรหรือไม่ต้องมีก้อเป็นเรื่องของมัน...สิทธิของเขา เราจะ ไปละเมิดใช้สิทธิของเขาไม่ได้...เป็นอย่างที่เป็นนี้ก้อดีอยู่แล้ว... ชาติที่เจริยแล้ว ไม่มีหรอกครับที่ไประบุศาสนาไว้ในเรื่องของอาณาจักร จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 20:14:21

ความคิดเห็นที่ 23 คนที่ออกมาจะให้บัญญัติลงรัฐธรรมนูญ   พวกนี้เป็นพุทธที่กระพี้เท่านั้นล่ะครับ      คือยังหลงอยู่ใน รัก-โลภ-โกรธ-หลง     ยังยึดติดกับตัวหนังสือ     คนที่เป็นพุทธแท้ๆและเข้าใจแก่นของพุทธเขาจะรู้ดี    ว่าพุทธแท้คือการไม่ยึดติด    ปล่อยวาง  ละกิเลศ ขอเสริมให้คุณผ้าพับไว้หน่อยนะครับ    ว่าสำนักงานสถิติบอกว่าคนไทยนับถือพุทธมีกว่า95%นี่   ต้องบอกว่าตัวเลขมั่วมากครับ          ประเทศไทยมีประชากร60ล้านคน     เป็นมุสลิม-อิสลามในภาคใต้6ล้านคนเข้าไปแล้ว    =10%ของประชากรไทย    นี่ยังไม่นับศาสนาอื่นอีกนะ       นับยังไงคนพุทธก็ไม่ถึง90%แน่นอนครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 22:51:38

ความคิดเห็นที่ 24 กลับมาแล้วครับ มาถกกันต่อ เริ่มด้วยที่ความเห็นของ อ. V_MEE เห็นด้วยกับ อ. ครับในความเห็นที่ ๒๐ แต่ผมไม่ทราบข้อมูลเรื่องของปลัดฯ มาก่อนครับ และยุคนี้เองที่วิชาพระพุทธศาสนาถูกยกเลิกไม่ได้สอนในโรงเรียนต่อไป ยุคไหนหากันเอาเองนะครับ ไม่ยากหรอก ลองหาดูครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 15:21:53

ความคิดเห็นที่ 25 ต่อไปเป็นความเห็นของคุณ Angleevil นั่นแหละครับ ผมถึงได้ต้องมาเขียนอธิบายให้เป็นแนวทางโลกมากขึ้น เพราะองค์กรที่เรียกร้องส่วนใหญ่จะเน้นไปที่บทบาที่ค่อนข้างจะแข็งกร้าว และสาเหตุที่เรียกร้อง ก็เป็นในลักษณะเชิง "บังคับ" ให้ต้องกระทำตาม ซึ่งผมมองแล้วว่าไม่น่าจะสำเร็จ แต่ผมก็ลงชื่อไปกับเขาทุกครั้งครับ ผมว่า ถ้าการเรียกร้องเน้นไปในลักษณะของ การให้ความรู้ความเข้าใจ ภาพลักษณ์ของการเรียกร้องจะดีกว่านี้ครับ ส่วนบางกลุ่มที่มาร่วมด้วยจากทางการเมือง ตรงนี้เป็นธรรมดาครับ ผมมองว่ากระแสไหนมาแรง พวกนี้จะร่วมด้วยเสมอ ถ้าเรามุ่งมั่นของเรา เราก็จะเห็นเองล่ะครับว่า เดี๋ยวพวกนี้ก็จะหายไปเองครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 15:25:51

ความคิดเห็นที่ 26 # คุณเต๋านีโอ ถามว่าพอโตขึ้น ทำไมคุณถึงรู้สักว่าห่างวัดล่ะครับ ? ทำไมตอนเด็ก ๆ รู้สึกว่าใกล้วัด มันต่างกันตรงไหนครับ ? ต่างกันเพราะ ๑..ตอนเด็ก ๆ มีคนแกมบังคับให้ไปวัดใช่ไหม ? ๒..พอโตขึ้นมา คนที่จะแกมบังคับคุณ เขาก็ปล่อยคุณตามยถากรรมของคุณแล้วใช่หรือเปล่า ? นั่นแหละครับ เป็นเหตุผลทำไมคนถึงห่างไกลจากพระพุทธศาสนาไปเรื่อย ๆ ยิ่งมาโดน "กระแสวัตถุนิยม" โหมกระหน่ำซ้ำเติมไปเรื่อย ๆ คนที่ไม่มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ก็ย่อมไม่สามารถที่จะต้านทานกระแสโลกตรงนี้ไปได้หรอกครับ เพราะฉะนั้น มันไม่น่าแปลกใจ ที่บ้านเมืองเราจะร้อนรุ่มอยู่อย่างทุกวันนี้ ถ้าลองมองเทียบกับไป ในยุคสมัยก่อนที่คนยังมีกิจกรรมอยู่กับวัด ตั้งแต่ เกิดจนถึงตาย เราจะเห็นความแตกต่างตรงนี้ชัดเจนครับ มันน่าแปลกดีนะครับ เดี๋ยวนี้อะไร ๆ พอคนทางโลกแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็โยนให้เป็นภาระของ สถาบันพระพุทธศาสนา เช่น มีลูกเหลือขอ มีลูกจะเป็นแนวผิดเพศ ก็เอาภาระไปให้วัดขัดเกลา บางคนเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมว แล้วดูแลไม่ไหว ก็เอาภาระไปให้พระท่านเสีย ต่อมาเมื่อโรคเอดส์ระบาดหนัก ๆ พอท่านเจ้าคุณอลงกต ท่านเมตตาดูแลให้หน่อย  ก็เฮโล เอาคนไข้โรคเอดส์ไปทิ้งไว้กับทางวัด ทิ้งไว้เปล่า ๆ เลย สตางค์ก็ไม่ให้สักบาท ทางรัฐบาลก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรสักนิด มายุคนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง คนตกงาน ก็ต้องจัดโครงการข้าวก้นบาตร ขอข้าวพระฉันสำหรับคนไม่มีงานทำ ไม่มีเงินซื้อข้าว และยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกเยอะมาก ที่ต้องไปพึ่งพิงวัด น่าแปลกนะครับ คนไทยนี่พออยากได้อะไร หรือ คิดอะไรไม่ออก มักจะไปขอให้สถาบันพระพุทธศาสนาช่วยเหลืออยู่เรื่อย ..........แต่พอตัวเองสมหวังดังใจแล้ว คลายทุกข์คลายโศรกแล้ว สถาบันพระพุทธศาสนา ก็เหมือนหัวหลักหัวตอ เหมือนเดิม............ นี่คือเรื่องจริงไม่ต้องอิงนิยายที่ไหนครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 15:35:05

ความคิดเห็นที่ 27 # คุณ zodiac28 เรื่องตัวเลขนั้น เขาเอาตามทะเบียนบ้านครับ และข้อมูลของสำนักงานสถิติจะใช้ระยะเวลานานประมาณ ๑๐ ปี จึงจะสำรวจข้อมูลสำมะโนประชากรอีกครั้งครับ เพราะฉะนั้น ผมถึงไม่แปลกใจหรอกครับ ที่คุณจะบอกว่าข้อมูลมันไม่ตรง ส่วนเรื่อง การเคลื่อนไหวยังเป็น เปลือก-กระพี้ นั้น ผมขอเปรียบเทียบดังกรณีศึกษาต่อไปนี้ครับ มูลเหตุของการเกิด ปฐมสังคยนา นั้น รายละเอียดก็คือได้จัดทำขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วได้ ๓ เดือน โดยมีพระมหากัสสปะเถระเจ้าเป็นประธาน พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ร่มจัดทำสังคยนา .................โดยปรารภเหตุที่สุภัททะวุฑฒบรรพชิต จ้วงจาบ พระธรรมวินัย.......................... ------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------ เหตุการณ์นี้น่าสนใจครับ น่าสนใจตรงไหนหรือ ? น่าสนใจตรงที่ว่า แค่เวลา ๓ เดือนเท่านั้น หลังจากองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แค่ ๓ เดือนเอง ยังเกิดเหตุการณ์ สุภัททะวุฑฒบรรพชิต  กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยเสียขนาดนี้ น่าสนใจต่อไปว่า ทำไม พระมหากัสสปะเถระเจ้า ท่านถึงกับต้องประชมพระสงฆ์องค์อื่น ๆ เพื่อทำการสังคยนาด้วยล่ะ เพราะตอนนั้น -พระอรหันต์ก็ยังมีอยู่จำนวนมหาศาล มิใช่ฤๅ(เป็นหลักแสนองค์) ? -พระธรรมคำสอน ก็ยังปกติดีอยู่ มิได้วิปริตไปแต่อย่างใด ไม่ใช่ฤๅ ? ก็ในเมื่อดูแล้ว  "ก็ไม่น่าที่จะมีอะไรนี่นา" แล้วทำไมท่านพระมหากัสสปเถระเจ้า ต้องมาประชุมสงฆ์เพื่อทำ ปฐมสังคยนาด้วยล่ะ ? พระมหากัสสปเถระเจ้า ท่านก็ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ไกลจากกิเลสแล้ว แล้วทำไม ท่านต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมท่านไม่ปล่อยวางเสียบ้าง เพราะอย่างไร ทุกอย่างมันก็ต้องเป็นอนัตตาอยู่แล้วมิใช่หรือ พระพุทธศาสนาก็ไม่เว้นด้วยเหมือนกันนี่นา   ทำไม ทำไม และ ทำไม ท่านพระมหากัสสปเถระเจ้า ท่านต้องวิตกอะไรขนาดนั้น ทำไมท่านไม่ปล่อยวางบ้าง  ? ผมขอถกกับ คุณ zodiac28 ด้วยเหตุการณ์นี้ครับ ถ้าคุณหาเหตุผลได้แล้ว ว่าทำไมท่านพระมหากัสสปเถระเจ้าท่านต้องประชุมสงฆ์เพื่อทำปฐมสังคยนา คุณก็จะเข้าใจเองครับ อีกอย่าง การที่จะละวางเพื่อเข้าถึงอนัตตาได้ มันก็ต้องจับอัตตา(ตัวตน) เปลือก กระพี้ มาเป็นเครื่องยึดก่อน เมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็ค่อยปล่อยวาง เปลือก และ กระพี้ นั้นเสีย ก็เหมือนกับ ถ้าสมมติการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ผมสมมติให้เหมือนการเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของบ้าน ถามว่า ถ้าคนกำลังดี ๆ ยังแข็งแรงอยู่ เวลาเดินขึ้นไปชั้นบนบ้าน(พระนิพพาน) จำเป็นจะต้องเกาะบันได(เปลือก-กระพี้)ไหม ? แล้ว คนที่ไม่แข็งแรงพอ เช่น เด็ก,คนชรา,คนไม่สบาย อยากจะเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน เขาจำเป็นต้องเกาะบันได เพื่อเดินไปให้ถึงชั้นบนนี่ มันผิดไหม ? และทุกคนเมื่อเดินถึงชั้นบนของบ้านแล้ว มีใครแบกบันได(เปลือก-กระพี้)ไปด้วยหรือเปล่า ? ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ราวบันได และ ตัวบันได มันก็สำคัญ ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้บางคนเขาก็ขึ้นชั้นบนไม่ได้เช่นกันครับ ถ้าพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นคนที่แข็งแรง กำลังวังชาดีหมด มันก็ไม่จำเป็นต้องมี ราวบันได และ บันได ไว้ให้เขาใช้สำหรับขึ้นชั้นบนหรอกครับ ...............แต่ พุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นคนที่แข็งแรงพอแล้วหรือ ? ........ ........การที่มองว่า เปลือกและกระพี้ มันด้อยค่า มันไม่ได้เรื่อง มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า คนที่มอง มองเป็นหรือเปล่า เข้าใจมันหรือเปล่า........ ..............และใช้ประโยชน์จากเปลือก และ กระพี้ เป็นหรือเปล่า ครับ...... ถ้ามองได้ ใช้เป็น ก็ไปนิพพานได้เหมือนกันครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 15:59:30

ความคิดเห็นที่ 28 มาถึง คุณ บาร์ค แล้วสินะครับ แหมยาวใช้ได้เลยครับ ก็ไม่เป็นไรครับ ถกกันครับ ๑..เรื่องที่ว่าไม่มีเวทีแสดงออกนั้น จริงหรือครับ ? ที่ว่าไม่เท่าเทียม ไม่เท่าเทียมอย่างไรล่ะครับ ผมไม่เข้าใจตรงนั้น ช่วยอธิบายจะดีมากครับ ส่วนเรื่องที่บอกว่าชาวพุทธหัวเอียงขวากลัวจะมาทำลาย ถ้าบอกว่ามีชาวพุทธหัวเอียงขวา แสดงว่าก็ต้องมีชาวพุทธหัวเอียงซ้าย ด้วยเหมือนกัน ผมว่า มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกครับ เพราะปกติ ทางพุทธก็ไม่มีหัวเอียงไปทางไหนอยู่แล้ว ยกเว้นเอียงไปทางพุทธเท่านั้น ส่วนที่กลัวนั่น ผมว่ามันก็เป็นธรรมดาครับ ศาสนาทุกศาสนา เขาก็กลัวศาสนาอื่น ๆ จะมาทำให้ศาสนาของเขาอ่อนแอลงอยู่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่า ทางพุทธ ไม่ค่อยจะเน้นแกมบังคับเสียเท่าไรว่าจะต้องดูแลให้ดี ก็ปล่อยให้มีสิทธิเสรีภาพ พุทธศาสนิกชนคนไหนจะดูแลไม่ดูแลพระพุทธศาสนา  พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงว่าอยู่แล้ว ดังจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนศาสนาจากพุทธไปเป็นศาสนาอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกผิดปกติแต่อย่างใด และก็ไม่มีความผิดถ้าจะเปลี่ยนไปเป็นศาสนาอื่น นี่เป็นตัวอย่างของ เสรีภาพที่พุทธศาสนิกชนได้รับ ส่วนของศาสนาอื่นผมไม่แน่ใจครับ เพราะฉะนั้น เมื่อมีคนพุทธที่เป็นห่วงสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน ได้ออกมาเรียกร้องให้เห็นความสำคัญมากขึ้น .. จึงทำให้ดูเหมือน คนพุทธพวกนี้ หัวเอียงขวา คลั่ง ... เป็นเสียอย่างนั้นไปนั่นเอง ถ้าลองศึกษาดูให้ลึก ๆ แล้วดูที่มาที่ไป ผมว่าน่าจะเข้าใจมากกว่านี้ครับ ----------------------------------------------------------== ๒.. ในความคิดส่วนตัวของผม ชาติในอยุธยาก็คือ อาณาจักรอยุธยา รัฐธรรมนูญ ก็คือ อำนาจของพระมหากษัตริย์ ครับ เพราะ รัฐธรรมนูญ ในยุคปัจจุบัน ถ้าผมจำไม่ผิดเขาบอกว่า มาจากอำนาจอธิปไตย ซึ่งก็คืออำนาจสูงสุดของประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเทียบกลับไปยุคอยุธยา ซึ่งอยู่ในการปกครองระบอบกษัตริย์ ก็ต้องเท่ากับ อำนาจของกษัตริย์ ครับ การที่บอกว่า รัฐไทย ไม่เอื้อต่อการเผยแพร่ศาสนาอื่น ๆ ผมก็ยัง งง ๆ อยู่ว่าไม่เอื้ออย่างไร ? ไม่เอื้อเพราะว่า จำนวนประชากรที่เปลี่ยนจากพุทธไปนับถือศาสนาอื่นไม่เพิ่มขึ้นมา (จนเป็นคนส่วนมากของประเทศ) หรือเปล่า ? เพราะสิทธิและเสรีภาพในการเผยแพร่ ในยุคต่าง ๆ ก็ไม่น้อย คริสใคร่สร้างโบสถ์(เดี๋ยวนี้ต้องเรียกว่าวัดสินะ...อืมเข้าใจ ๆ ) ก็มีสิทธิสร้างได้ อิสลามจะสร้างสุเหร่าก็มีสิทธิสร้างได้ ไม่เห็นจะมีใครว่าอะไรเลยนี่ครับ หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิดไป ? เรื่องนักบวชในศาสนาอื่น ก็เหมือนกัน ไม่เห็นจะมีห้ามการเผยแพร่ศาสนานี่ครับ แม้ว่าคุณจะบอกว่าในยุคพระเพทราชาห้ามการเผยแพร่ศาสนา ..น่าสงสัยว่า ทำไมถึงโดนห้ามเผยแพร่ล่ะครับ ?.... ทุกสิ่งมันต้องมีเหตุ และ มีผลในตัวของมันเองอยู่แล้ว ผมไม่เชื่อว่า อยู่ดี ๆ ผลจะเกิดขึ้นโดยตัวเองได้ถ้าไม่มีเหตุ เหตุที่ผมเดาเอาก็คือ ในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฝรั่งเศสพยายามจะเข้าครอบครองสยาม โดยอาศัยทั้งวิธีไม้นวม และ ไม้แข็ง ไม้นวมก็คือ การใช้หลักคริสศาสนานำหน้า โดยการชวนพระนารายณ์มหาราชให้เข้ารีตเสีย พอไม่สำเร็จ ปลาย ๆ รัชกาล ก็เลยส่งกำลังทหารเข้ามาเข้ามาซะเลย เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่แปลกใจครับว่าทำไม ทางสยามยุคพระเพทราชาจึงห้ามการเผยแพร่ศาสนาคริสที่มาจากฝรั่งเศส ถ้าเราย้อนกลับไปดูอิทธิพลของ คริสจักรในยุคของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็น่าจะได้รับคำตอบที่ดี หรือจะย้อนกลับไปดูในอดีต ครูเสด มันเกิดมาจากอะไรล่ะครับ ? ผมไม่แน่ใจว่า การที่มัวแต่โทษคนอื่น(รัฐสยาม) ว่าไม่เอื้อต่อการเผยแพร่ เคยถามตัวเองหรือไม่ว่า ทำไมเหตุมันถึงเป็นเช่นนั้น (มีต่อ) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 16:38:25

ความคิดเห็นที่ 29 อืม   ผมว่าคงเทียบกันลำบากครับ     เพราะการสังคายนาพระธรรมนั้น   พระธรรมนั่นแหละคือแก่น   ไม่ใช่กระพี้    ซึ่งการสังคายนานั้น   ผมเห็นว่า   ถึงแม้ศาสนาพุทธอย่างไรก็ต้องถึงคราวสิ้นสุด     แต่การที่กระทำการสังคายนาสืบทอดนั้นก็เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้รับสืบทอดต่อไป    เพราะพระสงฆ์นั้น   คือผู้สืบทอด-เผยแผ่ศาสนา   นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้กำหนดไว้แต่แรกเริ่ม     อีกทั้งถ้าเราคิดว่าซักวันศาสนาต้องสิ้นสุด   แล้วจะปล่อยวางมัน    ไม่ต้องทำอะไร    แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจะออกมาเผยแผ่ศาสนาทำไม       แต่อย่างไรก็ตาม   ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ากระพี้จะไม่มีความหมาย     มันก็เป็นอย่างที่คุณว่า    คือสำหรับบางคนก็มีความหมาย   ตามหลักทางสายกลาง      เพียงแต่ผมเห็นว่าการที่จะออกมาบัญญัติลงรัฐธรรมนูญนี่    คือการเอากระพี้มาเป็นหลักใหญ่      ให้ทุกคนยึดติดกับกระพี้      แทนที่จะให้ความรู้ในแก่นเป็นหลักควบคู่ไป จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 16:46:01

ความคิดเห็นที่ 30 (ต่อ) ถ้าเทียบกับการเผยแพร่คริสศาสนาในยุคของ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ หรือมาจนถึง ยุคก่อนหน้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถามว่า ทำไมไม่เห็นมีปัญหาอะไรล่ะครับ ? และก็เช่นเดียวกับกรณีที่คุณบาร์ค บอกมาเรื่องเชียงใหม่เหมือนกันครับ ผมเชื่อว่า(เดา) รัฐทุกรัฐในโลกก็ต้องใช้ศาสนาเป็นตัวสร้างรัฐให้ตัวเองอยู่แล้ว รัฐไหนใชประโยชน์จากศาสนาใดได้ ก็จะใช้เป็นหลักเสมอ ไม่เห็นจะเป็นไร ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ใคร ๆ ก็ทำ รัฐในตะวันออกกลางใช้หลักศาสนามาเป็นเครื่องควบคุม แต่ทางตะวันตกพยายามบอกว่า นี่กีดกันเสรีภาพ เพราะว่า ตะวันตกไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ได้มากเท่านั้นเอง อย่าง อิหร่าน ทำไมสมัยพระเจ้าชาร์ที่ ๒ ไม่เห็นอเมริกาจะบ่นอะไร พอ อยาโตลาคาเมนีขึ้นมาเท่านั้น เอาหลักอิสลาม มาใช้เป็นกฎหมายหลักของประเทศเท่านั้น อเมริกา ก็มึนตึงกับ อิหร่าน ในทันที หันไปให้ความร่วมมือกับ อิรัก แล้วก็ส่งอาวุธมาให้ อิรัก รบกับ อิหร่าน แล้ว ทำไมทีอย่าง ซาอุดิอารเบีย ก็ใช้หลักศาสนาไม่น้อยกว่า อิหร่าน เลย(อ้างอิงจากข้อมูลข้างบนที่ผมให้ไว้)  ทำไม อเมริกา ไม่เห็นจะต้องบีบให้ ซาอุดิอารเบีย เป็นประชาธิปไตยเลยล่ะครับ ? ทำไม ทำไม และ ทำไม ? ที่ยกมานี่ น่าชื่นชมศาสนิกชนของศาสนาอื่นเขานะครับ เขาพยายามปกป้องคุ้มครองศาสนาของเขาอย่างเข้มแข็ง .... อนิจจา หันมาดูคนพุทธในเมืองไทยบ้าง............... ทำไมมันสาละวันเตี้ยลงทุกวันหนอ ? จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 17:06:02

ความคิดเห็นที่ 31 อ้าว คุณ zodiac28 มาพอดี สวัสดีครับ ขอถกต่อเลยนะครับ ผมก็ยังงง ๆ อยู่ดีครับ แม้คุณzodiac28 จะบอกว่าการสังคยานาครั้งแรก เน้นไปที่พระธรรม เพราะอย่างที่ผมได้เรียนไปว่า พระธรรมยังไม่วิปริต ยังไม่มีใคร หรือ สมมติสงฆ์องค์ไหนสอนอะไรแปลกแยก แล้วทำไมถึงต้องสังคยนาด้วยล่ะครับ ? ตัว สุภัททะวุฑฒบรรพชิต  เองก็ไม่ได้สอนอะไรที่ผิดไป เพียงแต่พูดลอย ๆ ประหนึ่งดีใจในทำนองที่ว่า สมเด็จพระบรมศาสดาไม่ทรงพระชนม์อยู่แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้พระธรรมเสียหายตรงไหนสักหน่อย ไม่ได้บอกว่าข้อธรรมอะไรผิดเสียหน่อยนี่ครับ ? และก็อย่างที่ผมสงสัยไว้ก็คือ มันเพิ่งจะแค่ ๓ เดือนเองหลังพุทธปรินิพพาน ไม่ใช่ ๓ ปี หรือ ๓๐ ปี เสียหน่อยนี่ครับ มันไม่น่าจะเพี้ยนอะไรมากขนาดนั้นกระมัง ? ----------------------------------------------------------------- ยิ่งมาอ่านประโยคที่คุณเขียนมาว่า "..อีกทั้งถ้าเราคิดว่าซักวันศาสนาต้องสิ้นสุด   แล้วจะปล่อยวางมัน    ไม่ต้องทำอะไร    แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจะออกมาเผยแผ่ศาสนาทำไม...   " มันก็ยิ่งทำให้ผมสงสัยหนักขึ้นไปอีกนั่นเองครับ ว่ามันมีอะไรหนักหนาหรือ ถึงทำให้ ท่านพระมหากัสสปเถระเจ้าต้องมาประชุมสงฆ์เพื่อทำสังคยนา ผมเดาว่า เน้นนะครับ ผมเดาว่า ท่านพระมหากัสสปเถระเจ้า ท่านก็คงจะรู้ดีว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ต้องสลายตัวไปในที่สุด ............แต่ตราบใด ที่ท่านยังทรงสังขารอยู่ ท่านก็ต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไว้ตลอดไป ................. ผมเดาว่า(เปรียบเทียบ) ก็น่าจะคล้าย ๆ กับ กรณีของ พระธรรมวินัยข้อที่ว่า ห้ามพระสงฆ์ฆ่าตัวเอง มูลเหตุเนื่องจาก พระสงฆ์เหล่านั้นท่านพิจารณาข้อธรรมไปแล้ว ท่านเกิดความเบื่อหน่าย ก็เลยจ้างคนอื่นมาฆ่าตัวท่านเสีย ภายหลัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบความ จึงทรงออกกฎห้ามทำอัตวินิบาตกรรม ไม่เช่นนั้นจะปรับอาบัติ ฉันใดก็ฉันนั้นครับ เพราะฉะนั้น การที่เรารู้แล้วว่า สักวันหนึ่งพระพุทธศาสนาต้องสลายไปอยู่ดี ................แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้น พุทธศาสนิกชนที่ดี ก็ไม่ควรประมาทคิดว่ายังอีกยาวไกลนัก เลยไม่ดูแล ไม่ใส่ใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครับ.................... และก็อย่างที่คุณบอกว่า มันเป็นกระพี้ ถึงมันจะเป็นกระพี้ แต่ถามว่า อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยปกป้องไม่ให้พระพุทธศาสนามัวหมองไปกว่านี้(ไม่ได้ไปรุกรานศาสนาอื่น ไปบังคับอะไรให้เขาต้องเปลี่ยนศาสนา) ซึ่งผมว่า มันก็ไม่น่าเสียหายตรงไหนนี่ครับ ถ้าจะบอกว่า จะต้องเอาแก่นอย่างเดียว ถามว่า ปัจจุบันนี้พุทธศาสนิกชนในเมืองไทย มีคนปฏิบัติได้ตามแก่นของพระพุทธศาสนาสักเท่าไรเชียว ? ถ้าเทียบปริมาณ คนที่ยังอยู่ในระดับ "เปลือก" , "กระพี้", "แก่น"  คุณ zodiac คิดว่าอย่างไหนจะมากกว่ากันล่ะครับ ? แล้วถ้าเรามัวแต่สนใจแต่ระดับ "แก่น"  ถามว่า แล้วไม่เห็นใจ ไม่เมตตา ไม่กรุณา ต่อคนที่เขาอยู่ในระดับ "เปลือก" และ "กระพี้" บ้างเลยหรือ ? ถ้าพระพุทธศาสนาเกิดเพี้ยนไปมากกว่านี้ คนที่เขาอยู่ระดับ เปลือก และ กระพี้ ที่เขายังไม่มีความรู้มากนัก เขาจะไม่ยิ่งหลงผิดไปมากกว่านี้หรือ ? น่าเห็นใจเขาไหมล่ะครับ ? ถ้ากระพี้ที่คุณว่า มันทำให้พระพุทธศาสนามั่นคง ไม่เพี้ยน ไม่วิปริตไป อย่างน้อย ๆ  ก็จะทำให้พุทธศาสนิกชน มั่นคงในพระรัตนตรัย (อย่างเช่นกรณีของคุณเต๋านีโอ ที่เกือบจะมั่นคงในพระรัตนตรัยแล้ว: ขออภัยที่พาดพิงครับ) พอเขามั่นคงในพระรัตนตรัยแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ? ศรัทธาก็จะตามาใช่หรือไม่ ? เมื่อศรัทธาตามมา ตอนนี้จะสอนข้อธรรมที่เป็นแก่นเขาก็พร้อมจะรับฟัง และ ก็พร้อมจะปฏิบัติ ถ้าสังเกตดูในพระพุทธประวัติ ทุกครั้งที่ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงเทศนาโปรดบุคคลใด พระองค์จะทรงทำให้เขาเหล่านั้น "..เกิดศรัทธา..." เสียก่อน วิธีการเผยแผ่ของพระพุทธองค์จึงมีหลากหลาย ตั้งแต่ใช้ฤทธิ์(ท่านพระอุรุเวลากัสสป,ท่านพระนทีกัสสป,พระคยากัสสป) , สอนแนวละเอียดอย่างที่ทรงตรัสสอนชาวอุรุใน มหาสติปัฏฐานสูตร, ฯลฯ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า "ศรัทธา" นั้นสำคัญ ถ้าไม่ยังศรัทธาให้เกิด เผยแผ่ให้ตายก็ไม่สำเร็จหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 17:38:09 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 17:34:31 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 17:26:40 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 17:20:01

ความคิดเห็นที่ 32 สังคายนาครั้งแรก   เท่าที่ผมจำได้สาเหตุส่วนใหญ่คือจัดพระธรรมต่างๆให้เป็นหมวดหมู่น่ะครับ    เพราะก่อนหน้านั้นไม่มีการรวบรวมพระธรรมเอาไว้    แต่ละสูตรต่างอยู่กันคนละส่วน    ไม่ได้เป็นระเบียบ+เริ่มมีการผิดเพี้ยนขึ้นมา    การพิดอาจจะน้อย   แต่ก็เพื่อไม่ให้มันลุกลาม   เป็นการตัดไฟแต่ต้นลมไงครับ ส่วนที่คุณว่าทำไมต้องมาสังคายนา    นั่นก็เพราะ พระสงฆ์นั้น   คือผู้สืบทอด-เผยแผ่ศาสนา   นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้กำหนดไว้แต่แรกเริ่มไงละครับ ส่วนเรื่องแก่น-กระพี้นั้น    ก็ตามที่คุณว่ามาไงครับ   มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่คนจะถือแต่แก่น   ไม่มีใครสนใจกระพี้      ผมจึงบอกว่าเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว    ยังจะปล่อยให้คนหลงผิด   เอากระพี้มาเป็นหลักเพิ่มอีกหรือ     เราก็ควรจะให้ความรู้แก่เขาสิ     ไม่ใช่เห็นว่าคนนับถือกระพี้กันเยอะ   ก็เอากระพี้มาเป็นหลักเสียเลยส่งเสริมมันซะเลย      ซึ่งอย่างที่ผมว่าไป   ว่าผมไม่ปฏิเสธกระพี้     แต่ขอให้เป็นไปตามหลักทางสายกลาง    ซึ่งการบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี่ผมเห็นว่ามันเป็นการตึงไปรึหย่อนไปครับ   OKนะครับ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 18:16:45 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 18:15:00

ความคิดเห็นที่ 33 # คุณ zodiac28 ตามที่ผมหาข้อมูลได้จากเว็บของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นอย่างที่ผมได้บอกไปครับ มูลเหตุแห่งการสังคยนาครั้งแรก คือ กรณีของ สุภัททะวุฑฒบรรพชิต  กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยครับ ยังไม่มีมูลเหตุของการสอนผิดเพี้ยนแต่อย่างใดครับ ข้อมูลตาม Link ข้างล่างได้เลยครับ "...ครั้งที่ ๑ ได้จัดทำขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วได้ ๓ เดือน โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน พร้อม ด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ร่มจัดทำสังคยนา ==========โดยปรารภเหตุที่สุภัททะวุฑฒบรรพชิต จ้วงจาบ พระธรรมวินัย========= การสังคยนาครั้งนี้ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภภารบรรพต นครราชคฤห์ แคว้นมคธ โยมีพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ กรำทำอยู่ ๗ เดือนจึงเสร็จ .................." http://www.mcu.ac.th/site/bud01.php ------------------------------------------------------------- สำหรับความเข้าใจของผม ที่ต้องทำปฐมสังคยนา ก็เพราะว่า พระพุทธศาสนาเริ่มจะมัวหมองครับ พระระดับอย่างท่านพระมหากัสสปเถระเจ้า ท่านน่าจะมีวิสัยทัศน์ที่เล็งการได้ไกลครับ เพราะแค่ สมมติสงฆ์แค่รูปเดียว ยังกล้ากล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเพียง ๓ เดือนได้แล้วไซร้ ถ้ายังปล่อยให้มันลุกลามไปกว่านี้ โดยที่มัวแต่นิ่งเฉย พระพุทธศาสนาคงไม่อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันนี้หรอกครับ ถึงรอดมาได้ ก็อาจเพี้ยนไปจนกู่ไม่กลับแล้วก็ได้ -------------------------------------------------------------------- ส่วนเรื่อง แก่น-กระพี้ ผมถึงได้บอกไปอย่างไรล่ะครับว่า ถ้าเขาไม่มีศรัทธา คุณสอนให้ตาย เขาจะเชื่อคุณไหม ? ถ้าการเผยแพร่แต่หลักธรรมอย่างเดียว อัดเอาเฉพาะแก่นอย่างเดียว มันทำได้ผลจริงครบถ้วนสมบูรณ์ป่านนี้คนไปนิพพานหมดแล้วครับ แล้วปัจจุบันคนมันไปนิพพานหมดแล้วหรือยังล่ะ ? ถามว่า คนที่เขายังอยู่ในระดับกระพี้ เขาจะมานั่งสนใจหรือว่า นิพพาน คืออะไร เขารู้แต่ว่าเออทำบุญแล้วดี บอกเขาว่า เออ อย่าไปติดบุญนะ ไปนิพพานดีกว่าตั้งเยอะ เขาจะเชื่อไหมล่ะครับ ? ดูตัวอย่างง่าย ๆ  โครงการงดเหล้าเข้าพรรษา เป็นอย่างไรครับ ยอดการขายสุราตกลงไปมากไหม ? ถามว่า คนที่ดื่มสุรารู้ไหมครับว่า ดื่มสุราผิดศีล ๕ ผมมั่นใจเลยว่า ทุกคนตอบว่ารู้  ถามต่อไปว่า รู้แล้วดื่มทำไม ? ก็อยากดื่ม,ดื่มแล้วคลายทุกข์,ดื่มแล้วดูดี,เพื่อเข้าสังคม ฯลฯ แล้วพวกที่เขาเลิกเหล้าได้เพราะอะไร ? เพราะเขาศรัทธา มีความตั้งใจที่อยากจะเลิกเองใช่ไหม ? ใจยอมรับแล้ว เห็นโทษแล้วว่า ดื่มเหล้าแล้วมันไม่ดี จะเพราะเสียเงินทองมาก จะเพราะได้รับอุบัติเหตุ ฯลฯ สรุปแล้วก็คือ เขาเลิกเพราะเขาอยากเลิกเอง เขาเต็มใจที่จะทำเอง ไม่ใช่ผมไม่เข้าใจคุณนะ แต่จากที่เห็นมานานแล้ว ถึงเชื่อจริง ๆ ครับว่า "..ถ้าเขาไม่ศรัทธา สอนให้ตาย เขาก็ไม่ทำครับ..." ผมถึงได้บอกไปว่า คนที่เขายังศรัทธา เปลือก และ กระพี้ มันยังมีเยอะอยู่ ถ้าพระพุทธศาสนายังไม่มั่นคงเพียงพอ ยังผิด ๆ เพี้ยน ๆ กันอยู่ ยังสามวันดีสี่วันไข้อยู่ พื้นฐานยังไม่แน่นเลย แล้วจะให้ข้ามไปสอนในส่วนที่ยากกว่านั้น เขาจะรับมันได้หรือครับ ? ไม่ใช่ไม่สอนแก่นนะครับ แต่มันจะต้องสอนเขาเมื่อเขาพร้อมที่จะรับ(เหมือนกับเรียนวิชาในมหาวิทยาลัย ที่จะต้องผ่านตัวหนึ่งก่อนเป็นวิชาพื้นฐาน ก่อนที่จะไปต่อวิชาต่อไปได้นั่นเอง) อย่าลืมว่า แก่นพระพุทธศาสนา เป็นของละเอียด เปรียบเสมือนชั้นบนของบ้านอย่างที่ผมบอกไป แล้วคนที่อยู่ในระดับกระพี้ และ เปลือก ก็คือ คนไข้,คนชรา,เด็ก ที่กำลังวังชายังไม่พอจะปีนขึ้นไปชั้นบนได้ ถ้าอยู่ ๆ ให้เขาเดินขึ้นไปเองเลย มันก็หัวทิ่มหัวตำเท่านั้นครับ  ยิ่งสภาพตัวบันได(พระพุทธศาสนา) ยังง่อนแง่น โอนไป เอนมา คนที่กำลังไม่ดี ทรงตัวไม่ดี เขาก็ไม่อยากจะเดินขึ้นไปให้เจ็บตัวเพราะต้องตกบันไดหรอกครับ ถ้าซ่อมตัวบันไดให้ดี ซ่อมราวบันไดให้แข็งแรง เขาก็จะมีราวบันไดไว้จับ ไว้ยึด ให้เขาเดินขึ้นไปชั้นบนบ้านได้ อย่างที่ผมบอกไปครับ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 18:45:48 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 18:35:41

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องสังคายนา   ผมไม่มีความเห็น     เพราะในสถานการณ์นั้นย่อมจำเป็นที่ต้องทำแน่นอน    เมื่อมันถึงเวลาที่ต้องสังคายนา   มันก็ต้องสังคายนา     เพื่อให้สามารถสืบทอดศาสนาต่อไปได้ ส่วนเรื่องแก่น-กระพี้นั้น   ผมก็ไม่ได้แย้งอะไรคุณนะครับ    ผมก็เห็นด้วยว่าจำเป็นในระดับหนึ่ง    มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่คนจะถือแต่แก่น   ไม่มีใครสนใจกระพี้       ซึ่งอย่างที่ผมว่าไป   ว่าผมไม่ปฏิเสธกระพี้     แต่ขอให้เป็นไปตามหลักทางสายกลาง    ซึ่งการบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี่ผมเห็นว่ามันเป็นการตึงไปรึหย่อนไปครับ      ซึ่งผมต้องการที่จะบอกเรื่องนี้มาตั้งแต่คห.แรกของผม      ถ้าใครที่ยังยึดติดในเรื่องนี้    ผมเห็นว่าไม่ใช่แม้แต่พุทธ-กระพี้ด้วยซ้ำ      เพราะพุทธนั้นไม่ได้สอนให้เชื่ออย่างเดียว    แต่ให้เชื่อโดยใช้สติไตร่ตรองด้วยครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 19:23:07

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณ และ ยินดีที่ได้สนทนากับคุณzodiac28 ครับ ขอเพิ่มเติมความรู้เรื่อง กิ่งไม้ ใบไม้,สะเก็ด,เปลือก,กระพี้,และ แก่นในทางพระพุทธศาสนาครับ จาก อุทุมพริกสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค "....ส่วนลาภและสักการะในพระศาสนาเป็นเช่นกิ่งไม้และใบไม้. ความถึงพร้อมด้วยศีลเช่นกับสะเก็ด ฌานและสมาบัติเช่นกับเปลือก. โลกิยอภิญญาเช่นกระพี้. มรรคและผลเป็นแก่น ถ้าตามพุทธพจน์นี้แล้ว สงสัยว่าคนไทยส่วนใหญ่จะอยู่ตรงไหนหนอ ของผมคงเป็นประเภทกิ่งไม้และใบไม้อีกครับ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=18 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 20:39:04

ความคิดเห็นที่ 36 ศาสนาประจำชาติ คือ ศาสนาผี ผู้วิเศษ บวก ทุนนิยม ครับ แต่ก่อนเราวิเคราะห์กันว่า พราหมณ์ พุทธ ผี  ผสมกัน แต่ผมว่า ศาสนาผี ผู้วิเศษ บวกทุนนิยม เป็นศาสนาประจำชาติ เพราะดูจากวัฒนธรรมผี ก็คือวัฒนธรรมอำนาจนิยมนั่นเอง ส่วนวัฒนธรรมผู้วิเศษ ก็คือการยึดเกาะติดยึดในตัวบุคคลจนคนนั้นเป็นผู้วิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนักบวชนักบุญ จนถึง พวกที่ยึดถือปุถุชนที่มีอัตลักษ์ทางการเมือง เป็นผู้วิเศษใหม่ ที่จะดลบันดาลให้เกิดความสุขจากงบประมาณ ส่วนสุดท้ายทุนนิยม การถือเงินเป็นใหญ่ เป็นวัฒนธรรมหลักในสังคม ดูตั้งแต่เกิดการอหังการณ์ว่าประเทศไทยสามารถซื้อได้ และก็ซื้อได้จริง ๆ ผู้วิเศษในข้อสอง เป้าหมายสุดท้ายก็เพื่อเงิน ผู้วิเศษในสังคมปลุกเสกวัตถุมงคลก็เพื่อเงิน การซื้อขายตำแหน่งก็เพื่อเงิน สามอัตลักษณ์นี้แหละคือศาสนาประจำชาติ จากคุณ : โทมัส (khunz) เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 22:00:40