ความคิดเห็นที่ 1 แต่สำหรับบางคน...เวลาเหลืออีกไม่มาก จากคุณ : อ สุวงศ์ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 16:22:37

ความคิดเห็นที่ 2 มีผู้หลอมเหลวเวลาไปบ้างแล้ว! จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 52 22:27:21

ความคิดเห็นที่ 3 หรือบางที เวลาอาจเป็นเรื่องของอัตวิสัย หรือ รากฐานของประสบการณ์ทั้งหมดของแต่ละคน คนจะรับรู้เวลาได้ ในความยาวที่ต่างกัน เช่น เวลาที่เราเที่ยว เฮฮา จะรู้สึกเวลาจะผ่านไปเร็ว      เวลาที่เราทำงานที่ยากลำบาก จะรู้สึกเวลาจะผ่านไปช้า ทฤษฏีนี้ อิงมาจาก Immanuel Kant จากคุณ : -KinvacencE- เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 00:16:52

ความคิดเห็นที่ 4   คิดไม่ออก และคิดไม่ออกว่าทุกคนมีเวลาเท่ากันได้ยังไงด้วย จากคุณ : Zero_Zero เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 01:11:56

ความคิดเห็นที่ 5 "เวลา" เป็นปริศนาน่าฉงนมาก ฝรั่งถือว่า เวลาเดินทางเป็นเส้นตรง เวลากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าพบความลับของเวลาก็คงพบความลับของโลก มนุษย์และจักรวาลด้วย จึงต้องหาอุปกรณ์วัดเวลา ทำเวลาของทุกคนให้เท่ากันซะ มีนาฬิกา ปฏิทิน บอกถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของทุกๆ คนได้ เวลาแบบนี้ เป็นหน้าที่ของวิทยาศาสตร์ จากอริสโตเติล ไอน์สไตน์ ถึงฮอร์คกิ้น  ถ้าเจ้าของกระทู้หมายถึงเวลาแบบนี้ ข้าพเจ้าขอ bye แต่ถ้าคิดว่าแต่ละคนมีเวลาไม่เท่ากัน ปริศนาของเวลาจะอยู่ที่ตัวมนุษย์เอง เวลาแบบนี้จะมีแค่ เวลาที่ผ่านไปแล้ว เวลา ณ ปัจจุบันกาล และเวลาที่ยังมาไม่ถึง อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของปรัชญา ศาสนา และศิลปิน ปรัชญาตะวันตก จากอไคว์นัสโน่นล่ะ ทุกวันนี้ก็ยังเถียงกันไม่จบว่า จะทำให้ความทรงจำ กับความคาดหวังปรากฏเป็น ปัจจุบันกาลได้อย่างไร เป้าหมายไม่ใช่เพื่อทำให้เวลาเท่ากัน แต่เพื่อให้เข้าใจตรงกัน จะได้คุยกันรู้เรื่อง ส่วนของพุทธต่างกับฝรั่งตรงที่ เวลาของเราไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง อาจหมุนกลับมาอีกรอบ มีการเวียนว่ายตายเกิด แต่ละคนมีเวลาชดใช้กรรมเก่าไม่เท่ากัน แต่ ปัจจุบันกาล เป็นปัจจัยสำคัญต่อการหลุดพ้น จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 02:53:38

ความคิดเห็นที่ 6 เออ คือจะบอกว่า เรามองไม่เห็นอ่ะนะว่าเวลาคนเรามีเท่ากันจริงหรือ ถ้าบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีเวลาเท่ากัน งั้นเราสองคน หมายถึงผมกับเจ้าของกระทู้ซึ่งเป็นมนุษย์เหมือนกันก็มีเวลาเท่ากันดิ ..จริงหรือ??...กับคำถาม แล้วมีอะไรอีกบ้างที่เท่ากันของคนเรา คิดนานอยู่เหมือนกัน ...สภาพการเกิดมาของการเป็นคนแม้มีอวัยวะเท่ากัน แต่ก็ทำอะไรได้ไม่เหมือนกัน ...เกิดมาแม้เหมือนจะมีความเป็นมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชนเท่ากัน แต่ก็ไม่มีสิทธิเท่ากันในการเข้าถึงทรัพยากร ตอบยากจริงๆกับคำถามว่าคนเราทั้งโลกมีอะไรเท่ากัน??ว่าไหม หรือเพราะด้วยคำตอบอาจจะคือ...คนเรา"ไม่มี"อะไรเท่ากัน... ... จากคุณ : emptysoul เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 08:10:20

ความคิดเห็นที่ 7   หากมองแค่ชั่วโมง วัน เดือน ปี  เวลาของเราอาจเท่ากัน .....แต่นั่นเป็นแค่เวลางานครับ เวลาอายุไขเราล้วนแตกต่างกัน .. สิ่งที่จำกัดไว้ในเวลาก็ คือ งาน เท่านั้นครับ .. (และอาจมีหลายอย่างที่อยู่เหนือการเวลา) จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 08:49:38

ความคิดเห็นที่ 8 เวลา(Time)...คืออายุ(Age) เป็นสิ่งเดียวกันในสรรพสิ่ง เวลา...ในความเป็นจริงของสรรพสิ่งมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับบริบทและเหตุปัจจัยจัยที่แวดล้อมสัมพันธ์ด้วย เวลา...การใช้เวลาในการใช้ชีวิตและการทำงานต่างหากที่มากน้อยแตกต่างกัน จากวงรอบ๒๔ชั่วโมงที่เท่ากัน เวลา...คือสิ่งที่ทุกคนมักมองเป็นสิ่งเดียว แต่เวลามี๒สิ่ง อันประกอบกายภาพและจิตวิญญาณแนบแน่นอยู่ด้วยกัน เวลาแห่งกายภาพ หรือกายภาพแห่งเวลา นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร วัดได้ คำนวนได้ เวลาแห่งจิตวิญญาณ หรือจิตวิญญาณแห่งกาลเวลา(Zeitgeist) ไม่มีใครกำหนดรู้ อาจมีคนบางคนที่สัมผัสรู้ ด้วยญาณหยั่งรู้ แต่น้อยรายเสียเหลือเกิน ประมาณว่า๑ในล้านคน ของช่วงเวลาที่ผ่านมา๒๕๕๒ปีพุทธศักราช ปัญญาอย่างเดียวไม่อาจหยั่งรู้ ศาสนาพุทธเหมาะกับชนเผ่าที่มีทั้งสติปัญญาและญาณ รวมถึงการลงมือปฏิบัติ เพื่อให้หลุดออกไปจากกาลเวลา ? แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 08:56:14 จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 08:53:58

ความคิดเห็นที่ 9 กว้าง x ยาว x สูง x เวลา คือ มิติทั้ง 4 ในจักรวาล นี้ขอรับ เวลามีค่าสัมพัทธ์ กับ แรงโน้มถ่วง เวลาจึงไม่ใช่ค่าสมบูรณ์ ยิ่งมีแรงโน้มถ่วงมาก เวลายิ่งเดินได้ช้าเท่านั้น อันนี้ คือ ทฤษฎีบทหนึ่งในทฤษฎีสัมพันธภาพ ของ ไอสไตน์ นะขอรับ ดังนั้น เวลาจึงไม่ใช่สิ่งที่มีค่าเท่ากันในทุกๆ สถานที่ แต่เวลาจะมีค่าเท่ากันในเพียงบางพื้นที่ที่มีค่าแรงโน้มถ่วงเท่ากัน อันนี้ คือ ในทางวิทยาศาสตร์ ถ้าในทางปรัชญา เวลาก็ไม่ได้มีค่าเท่ากัน .... เวลาจะแปรผันไปตามความรู้สึกของแต่ละคน บางคนเวลาสั้น บางคนเวลานั้นยาวนานนัก สำหรับคนที่รอ ความรู้สึกต่อเวลาทำให้ดูยาวนานมาก แม้จะรอเพียงแค่ 10 นาที ยังรู้สึกว่ารอเป็นชั่วโมง บางคน แค่ 10 นาที แต่รู้สึกว่ารอแค่วินาทีเดียวก็มี เช่นเดียวกัน ดังนั้น เวลาเท่ากันหรือไม่ ? จากคุณ : มารกระบี่แสวงรัก (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 02:40:48

ความคิดเห็นที่ 10 หลาย คห.น่าสนใจ และทำให้คิดต่อได้ว่า... เวลา ที่อิงกับ กายภาพ  ก็เป็นไปทฤษฏีสัมพันธภาพ เวลา ที่อิงจิต  ก็มีทั้ง แนวคู่ขนานกับ กายภาพ และที่อาจไปพ้นจากนั้น เพราะ จิต(โดยเฉพาะที่ฝึกดีแล้ว อาจเข้าถึงสภาวะ "ดั่งใจ")..อาจไว-เร็ว เท่า แสง หรือพูดอย่างอหังการว่า  เร็วเหนือแสง ก็ได้  ซึ่งตรงนี้  ก็เท่ากับ ไปพ้นมิติเวลา(ก็ได้) และอาจเป็นสิ่งเดียวกับ ความหลุดพ้น  นิพพาน หรือ ออกนอกสังสารวัฏฏ์ มามองที่สามัญภาวะบ้าง.. คนเราต่างจุ่มจมอยู่ในมิติของเวลาด้วยกันทั้งนั้น ความรู้สึกของเวลาที่ต่างกัน  ก็เพราะ... แรก..คือ การเข้าถึงภาวะประสบผลสำเร็จ  ตรงนี้เท่ากับ อานิสงค์ของพลังเจตจำนง ที่กระทำต่อโลก หรือชีวิต มันคือการผนวกตนเองเข้ากับลีลาการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงดำรงสภาวะผู้สังเกตด้านเดียว ยิ่งทำสำเร็จมาก  ก็ยิ่งสุขมาก ซึ่งทำให้เวลาในด้านความรู้สึก ดูเหมือนน้อยหรือผ่านไปเร็ว.. สอง..มุมมองของตัวตนที่ตระหนักในหน้าที่ต่อธรรมชาติและโดยเฉพาะต่อความจริงสูงสุด เพราะ ถ้าชีวิตมีเป้าหมายระยะยาวเช่นไร  ก็จักทำให้คนเราไม่รู้สึกเร่งรีบมากกว่าการทำสิ่งใดๆไปโดย ถือหน้าที่เป็นสิ่งดีในตัว  ผลได้ไม่ได้ทรงความหมายเหนือกว่าวิธีการที่ชอบด้วยคุณธรรมปัจจุบัน ... เช่นนี้แล้ว  คนนั้น ก็จักไม่ได้มองว่า  เวลาจะเร็วหรือช้า(โดยรวม) แต่จะวัดกันที่คุณค่าของการใช้ ชีวิตมากกว่า และคงไม่แคร์ว่า  ชีวิตจะยาวหรือสั้น เวลาจะเท่ากันหรือไม่ อย่างไร จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 06:42:26

ความคิดเห็นที่ 11 เอ..คนเรามีเวลาเท่ากันเหรอ?? เรื่องสิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์?? จะเท่ากันมั๊ยน้ออ จากคุณ : อู๊ดซัง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 10:32:04

ความคิดเห็นที่ 12 หลุมดำไม่มีเวลา  นอกโลกเวลาก็ช้ากว่าบนโลก  ดังนั้นแล้วหากจะบอกว่าเวลาเป็นสิ่งที่เหมือนกันสำหรับผู้สังเกตุการณ์ทุกคนจึงน่าจะผิด หนังสือที่ชื่อ"The Fabric Of Cosmos...ทอถักจักรวาล" มีการบอกถึงกรอบของเวลาในความเข้าใจแบบต่างๆให้เอามาเปรียบเทียบกัน ถึงจักรวาลและเวลา  บางแบบจำลองเปรียบเทียบว่า เวลาของบุคคลเปรียบเหมือนธารน้ำแข็งที่ไหลจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งและมองกองรวมกันที่อีกจุดหนึ่ง  กลายเป็นปัจจุบันกาล หรือไม่บางแบบก็บอกว่า เวลามีลักษณะตามมโนสำนึกตามแต่เสี้ยวเวลาที่บุคคลรับรู้  และมันจะกลายเป็นอะไรก็ได้โดยไม่ขึ้นกับเวลาทั้งหมดในจักรวาล เป็นเวลาภายในตัวบุคคล มนุษย์จึงมีความเป็นตัวของตัวเองมากพอที่จะกำหนดชีวิตตัวเอง อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่องอวกาศและเวลาเป็นแนวคิดพื้นฐานที่สุดอันหนึ่งของปรัชญาครับ จากคุณ : the author เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 10:58:55

ความคิดเห็นที่ 13 จาก คห.9 ในเพลง หนึ่งนาทีของเราไม่เท่ากัน ทำให้คิดได้ว่า......... เวลาในแง่ความรู้สึก ที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลในห้วงอารมณ์ร่วมที่มีระยะห่าง มีความต่างแนวดิ่งที่พบ  คือ ผู้กำหนดการรอ กับ ผู้ที่ต้องรอ(ที่พบว่า กำลังหมดกำลังใจ) ญ.คงมีใจ แต่มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มากำหนดความสัมพันธ์ที่เป็นอุปสรรค  จึงขอให้รอ ด้วยมายาแห่งความเจ็บปวดและโชคชะตา.vs.เจตจำนง ทำไมการรอคอย  จึงทำให้เวลาในแง่ความรู้สึกดูยาวนาน เพราะ การรอคอย อย่างโดดๆ  คือ การแยกตัวตนออกจากชีวิตจริง เพราะ จิตใต้สำนึกต้องการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย เสมือน สิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังนั้น  ทุกกิจกรรมระหว่างรอ  จึงเป็นแค่ การทำไปอย่างงั้น กล่าวคือ ทำเพื่อรอคอยสิ่งที่มุ่งหวัง นั่นหมายความว่า   สิ่งที่่รอ ได้ถูกเพิ่มมูลค่าขึ้นต่อตัวตนเป็นอย่างมากโดยปริยาย เพราะ คนเราจะไม่ยอมรอคอยสิ่งที่ไร้ความหมาย ไม่มีค่า.. ดังนั้น  การรอคอยสิ่งใด  จึงเท่ากับเกิดภาวะอดกลั้น กักเก็บ ความหมายอื่นต่างๆไว้ เพื่อ การมาหรือการไปให้ถึงสิ่งที่รอคอย   เช่นนี้แล้ว  เวลา จึงช้า และจะช้ายิ่งขึ้น ถ้าระหว่างทางนั้น  ตัวเราดิ้นทุรน หรือรับรู้ถึง ความผันผวนของเรื่องราวหรือวัตถุ-ชีวิตที่รอนั้น ทำไม ชีวิตจึงต้องมัวรอ"อะไร" ก็เพราะ สามัญลักษณะของมนุษย์  ที่จำต้องติดยึด เสมือนหนึ่งเป็นธรรมชาติในระดับเกม...เกมชีวิตทั่วๆไป และเพราะ  มันเองก็มีทั้งผลสุขและทุกข์ระคนกัน แต่ก็เพราะ มนุษย์อาจคิดได้ และศิโรราบต่อสัจจะได้ ตรงนั้น  จักเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ขอบฟ้าของเรื่องร้าย กลายเป็นแสงอรุณใหม่ได้..เช่นกัน จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 14:06:42

ความคิดเห็นที่ 14 ผ่านมาอ่าน...   จากคุณ : ชายยอดนักทดลอง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 14:23:25

ความคิดเห็นที่ 15 คห.12 แย้งนิดหน่อยขอรับ เท่าที่ข้าน้อยจำได้ไม่ผิด หลุมดำมีค่าแรงโน้มถ่วงสูงมาก ดังนั้นเวลาที่เป็นค่าผันตรงกับแสงจึงเดินช้ามากจนเหมือนกับไม่มีเวลาตามแสงไปด้วย และจากการพิสูจน์ว่า แสงมีโอกาสที่จะออกจากหลุมดำได้ ดังนั้นจึงสรุปว่า หลุมดำไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่เวลาในหลุมดำเดินช้าจนใกล้จะหยุดนิ่ง มากกว่าขอรับ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 52 19:23:49 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 19:22:16

ความคิดเห็นที่ 16 โธ่เอ๋ย ง่ายมากเลย คำถามนี้ สิ่งเดียวที่ทุกคนในโลกนี้มีเท่ากัน ก็คือ "ชีวิต" ไง มีหนึ่งชีวิตเท่ากันหมด สิ่งที่ต่างก็คือเราใช้ชีวิตหนึ่งของเราอย่างไร เรามีสิ่งอื่นเข้ามาเท่าไร สิ่งภายนอกเหล่านี้ไม่มีทางเท่ากัน รวมทั้งเวลาด้วย จากคุณ : ชอบแอลกับเจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 10:02:16

ความคิดเห็นที่ 17   ^ ^ รู้ได้ไงว่าทุกคนมีชีวิตเท่ากันอะครับ? แล้วชีวิตเท่ากัน นี่เท่ากันยังไง? จากคุณ : Zero_Zero เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 15:25:55

ความคิดเห็นที่ 18 คห ที่ 17 เราเคยสงสัยคำสอนของศาสนาคริสต์เรื่องนึง เค้าสอนว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน คุณเคยได้ยินรึเปล่า ตอนเราฟังครั้งแรก โคตรแอนตี้เลย เพราะมนุษย์ไม่มีทางเท่ากัน ยังไงก็ไม่มีทาง ศาสนาพราหมณ์ ก็มีแยกวรรณะ ชนชั้น พระพุทธเจ้าก็ยกเลิกชนชั้นทั้งหมด มนุษย์ไม่มีชนชั้น เมื่อมาอยู่ในศาสนาพุทธ  ต้องเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกษัตริย์หรือพราหมณ์หรือคนธรรมดา บวชแล้วก็เป็นพระเหมือนกันหมด จะต่ำสูงต่างกัน ก็คือศีลและปัญญาเท่านั้น มันติดอยู่ในใจเราตลอดนะ เราเคยรู้สึกว่าจริงๆมันแบ่งแยกชนชั้นโดยธรรมชาติ ไม่มีใครเท่ากัน และ ไม่มีทางเท่ากัน ทำไมบางคนรวยบางคนจน บางคนสมบูรณ์จนล้นแล้วทำไมบางคนถึงไม่มีอะไรเลยแม้แต่อวัยวะที่น่าจะครบสามสิบสอง แต่ถ้าลองมาคิดกันจริงๆและดีๆ เราเคยคิดจริงๆจังๆเลยแหละ เพราะว่ามันติดอยู่ในใจตลอด ในที่สุดเราก็คิดออกอ่ะว่า ที่คริสต์และพุทธบอกว่ามนุษย์เท่ากันน่ะ สิ่งที่เรามีเท่ากันก็คือ ชีวิต เมื่อได้เกิดมา เราก็มีชีวิต มีโอกาสใช้ชีวิต ไม่ว่าจะสั้นหรือจะยาว เราก็มีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิต ได้มีโอกาสที่จะผูกพันและโดนผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นทารกที่เพิ่งเกิดมาเพียงวันเดียวแล้วต้องตายภายในวันนั้น คุณก็คือหนึ่งชีวิต มีสิทธิใช้ชีวิตหนึ่งวัน ทำให้คนอย่างน้อยหนึ่งคนมีความสัมพันธ์และความผูกพันกับคุณนั้นก็คือ แม่ที่อุ้มท้องเรามาเก้าเดือน เราคือชีวิตหนึ่งทีทำให้เกิดความเป็นห่วงโซ่ที่ไม่มีวันจบ คุณสามารถทำให้เกิดความทุกข์หรือความสุขแก่คนอื่นได้ ยิ่งถ้ามีเวลาในชีวิตมากเท่าไหร่ ความผูกพันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จุดเริ่มต้นมันก็คือ หนึ่งชีวิต ของคุณไม่ใช่เหรอ นอกจากนั้น คุณไม่มีทางได้ชีวิตของใครเพิ่มมาอีก และไม่มีทางสูญเสียมันไปได้ ยกเว้นว่าคุณจะนิพพาน แต่ก็นะ เราคิดได้อย่างนี้ จริงๆ ถ้าจะอธิบายให้ลึกๆ เราก็ทำไม่ได้หรอก อธิบายไม่ค่อยเก่ง มันเป็นสิ่งที่เราหาคำตอบให้กับตัวเองก็เท่านั้น ไม่มีในตำราไหนด้วย เราแค่รู้สึกได้อ่ะ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 19:58:10 จากคุณ : ชอบแอลกับเจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:54:09

ความคิดเห็นที่ 19   #18 "จะต่ำสูงต่างกัน ก็คือศีลและปัญญาเท่านั้น" ตรงนี้สรุปว่า ศาสนาพุทธก็แบ่งชนชั้นอยู่ใช่หรือเปล่าครับ? "ทารกที่เพิ่งเกิดมาเพียงวันเดียวแล้วต้องตายภายในวันนั้น คุณก็คือหนึ่งชีวิต มีสิทธิใช้ชีวิตหนึ่งวัน ทำให้คนอย่างน้อยหนึ่งคนมีความสัมพันธ์และความผูกพันกับคุณนั้นก็คือ แม่ที่อุ้มท้องเรามาเก้าเดือน เราคือชีวิตหนึ่งทีทำให้เกิดความเป็นห่วงโซ่ที่ไม่มีวันจบ คุณสามารถทำให้เกิดความทุกข์หรือความสุขแก่คนอื่นได้" เรื่องความผูกพัน สิ่งไม่มีชีวิตก็น่าจะทำแบบนี้เหมือนกันนะครับ? หรือว่าไง... แต่ผมว่าคุณ 'ชอบแอลกับเจ' น่าจะขยายความคำว่า "สิทธิใช้ชีวิต" มากกว่า "ความสัมพันธ์" หรือ "ความผูกพัน" นะครับ ถ้าพูดถึง "สิทธิใช้ชีวิต" มันก็กลับมาขึ้นอยู่กับ "เวลา" อีกนั่นแหละครับ แต่ละคนมีสิทธิใช้ชีวิตไม่เท่ากันอยู่ดี หรือถ้าบอกว่าทุกคนมีจำนวนชีวิต "หนึ่ง" ชีวิตเท่ากัน ก็อาจจะต้องถามว่า ชีวิตของแต่ละคนเป็นสิ่งที่ "นับได้" หรือเปล่า ถ้าเป็นความจริงอยู่แล้วว่า การมีชีวิตก็คือการมีชีวิต ที่ไม่ใช่ การมีชีวิต 1 ชีวิต (หรือการมีชีวิต 9 ชีวิต) ... หน่วยของชีวิตไม่มีอยู่จริง เราไม่สามารถ "วัด" หรือ "นับ" ชีวิตของแต่ละคนได้ว่าเท่ากันหรือไม่เท่ากัน "ชีวิตคือชีวิต" หรือเปล่า เราไม่นับชีวิตในเชิง "ปริมาณ" (ยกเว้นกรณี สิทธิการใช้ชีวิต ซึ่งก็ไม่เท่ากัน) และเมื่อเราวัดชีวิตแต่ละชีวิตด้วย "คุณภาพ" เราก็จะพบว่าไม่เท่ากันอยู่เช่นเคย(?) จากคุณ : Zero_Zero เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 15:21:53

ความคิดเห็นที่ 20 คห 19 คือว่า คำว่า "ชีวิต" ของเรามันไม่ใช่แค่ "ชาติ ภพ" เดียว ค่ะ (ขอโทษที่อาจจะไปโยงกับความเชื่อทางศาสนาที่บางคนยังกังขาอยู่ นั้นก็คือการเวียนว่ายตายเกิด ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า) ถ้าคุณคิดถึงแค่หนึ่งชาติภพคือชาตินี้ แล้วไม่เคยเชื่อเรื่องการเวียนว่ายฯ (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าคุณซีโร่เชื่อหรือเปล่าด้วย)คุณก็จะไม่มีทางเข้าใจหรือมีข้อสรุปแบบเราได้เลย การคิดก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าคุณเชื่อเรื่องการเวียนว่ายฯและนิพพาน มันจะมีวิธีคิดแบบที่เราคิด เพิ่มขึ้นมาน่ะ และทำให้เราได้ข้อสรุปอย่างที่เราได้ คืออย่างนี้จะพยายามอธิบายให้เข้าใจให้ได้มากที่สุดนะ   ชีวิตของคุณหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในชาติปัจจุบัน ทุกชีวิตมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวโยงวุ่นวายไปหมดแล้ว กรรมของเราตั้งแต่ชาติก่อนๆจะเป็นตัวแปรทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสิ่งมีชีวิต บางชีวิตต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชีวิตได้เป็นคนรวยคนสวย บางชีวิตต้องมาเป็นคนพิการฯลฯ แต่เราตั้งใจที่จะสื่อถึงจุดเริ่มต้นเลย นั่นก็คือชาติแรกที่คุณได้จุติขึ้นมา หนึ่งชีวิตของเราเท่ากันหมด ต่างกันที่การตัดสินใจ การกระทำของคุณเอง เหมือนอีฟกับอดัมน่ะ มีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ทำดีก็ได้รางวัล แต่เมื่อทำผิดกฏก็ต้องโดนลงโทษ ชีวิตหนึ่งของเราไม่มีวันได้หยุดพัก จนกว่าจะได้นิพพาน ถ้าเราคิดว่าเราได้เกิดมาเป็นล้านชาติแล้ว เวลาในแต่ละชาติจะหมดความสำคัญ ไม่มีคุณค่าใดๆที่จะเอามานึกถึงอีก เพราะเวลาที่รวมๆกันในทุกๆชาติของชีวิตหนึ่งๆนั้นอาจจะได้รับมาเท่ากันหมดด้วยซ้ำ ถ้าชีวิตของใครได้เกิดมาพร้อมกันในชาติแรก และยังหาทางที่จะนิพพานไม่ได้ ชีวิตที่เกิดมาพร้อมกันในชาติใดๆก็ตามจะมีเวลา ใช้ชีวิตเท่ากันทันที แต่ก็นะไม่มีใครพิสูจน์ได้ เราก็มิอาจจะไปอาจเอื้อมไปทำให้ใครเชื่อทั้งนั้นและมันไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อตามกัน   ปล. เนี่ยเป็นข้อสรุปจากวิธีคิดของเราเท่านั้น ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ข้อสรุปของเราจะไม่มีวันเหมือนกัน แล้วคุณเชื่อเรื่องการเวียนว่ายฯและนิพพานหรือเปล่า อย่างรู้น่ะ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 52 19:30:45 จากคุณ : ชอบแอลกับเจ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 18:53:26

ความคิดเห็นที่ 21   ^ ^ ผมไม่รู้และไม่ได้เชื่ออะไร(ว่าจริงหรือไม่จริง)เกี่ยวกับเรื่องเวียนว่ายตายเกิดครับ แต่ผมเชื่อว่านิพพานมีอยู่จริง ผมเข้าใจว่า นิพพานน่าจะเป็นสภาวะที่ไม่มีจุดเริ่มต้น(และจุดสิ้นสุด) เพราะถ้านิพพานมีจุดเริ่มต้นหรือการเกิด นิพพานจะต้องอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ด้วย (คืออนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา) แต่จากข้อมูลหรือคำสอนในศาสนาพุทธที่ว่า นิพพานมีลักษณะผิดไปจากไตรลักษณ์อย่างน้อย 2 อย่าง (คือเป็นนิจจัง และสุขขัง) นิพพานจึงไม่น่าจะมีจุดเริ่มต้น ผมไม่รู้เรื่องภพ ชาติด้วย และจุดเริ่มต้นของทุกอย่างผมก็ไม่รู้แน่ว่าเป็นยังไง ประเด็นคือ คนที่นิพพานไปแล้วตามที่คุณ 'ชอบแอลกับเจ' อธิบายให้ฟัง ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นเองแล้วว่า ชีวิตของทุกคนเท่ากันไม่ได้ (ในแง่เวลา) แต่อาจจะเพราะผมไม่เข้าใจเรื่องจุดเริ่มต้นของทุกอย่างก็ได้ ผมเลยเข้าใจคำอธิบายที่ว่าทุกชีวิตเท่ากัน ของคุณ 'ชอบแอลกับเจ' ไม่ได้ :) แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 52 21:42:55 แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 52 21:40:36 จากคุณ : Zero_Zero เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 21:39:33

ความคิดเห็นที่ 22 ศึกษาเรื่องเวลาจากในทฤษฎีสัมพันธภาพของ ไอสไตน์และของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆเหมือนกัน    แต่เข้าใจยากจริงๆ     ในพระพุทธศาสนาก็ได้กล่าวถึงขันธ์-ธาตุ-อายตนะ...โดยจำแนกเป็นอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตเช่นเดียวกันอย่างน่าพิศวง... จากคุณ : toytoytoy เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 23:00:10