ความคิดเห็นที่ 1 คนไทยทำอะไรคงจะอิงกับหมอดูมากกว่าความเป็นจริงแน่ๆ จากคุณ : FREEDOM^-^ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 09:04:17

ความคิดเห็นที่ 3   ว่าแล้ว เขาต้องมา จากคุณ : ชาต เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 10:45:38 A:58.8.72.104 X: TicketID:201623

ความคิดเห็นที่ 4 เปิดเป็น แผนกอิสระ ก่อนก็ได้  ไม่สังกัดคณะไหน เหมือน แผนกอิสระสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ ของ จุฬา ที่ต่อมา เป็น คณะนิเทศศาสตร์ แต่สงสัย จะไม่มีใคร จบได้รับปริญญา เพราะดูจาก พวกโหน ฟันธง  ในปัจจุบัน ทำนายอะไรออกมา  ไม่ตรงความเป็นจริง  สักเรื่อง จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 10:52:03

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ พวกโหน ฟันธงน่ะ เหมือนๆพวกยาผีบอก มีเกลื่อนกลาด ส่วนใหญ่ของเก๊ แต่ศาสตร์แห่งการดูดวง ของจริงตามหลักวิชาการมีจริงๆ แต่ไม่ใช่ดูแบบบอกว่า "พรุ่งนี้คุณจะถูกหวย" หรือ "พรุ่งนี้คุณจะโดนยิงตาย" อะไรทำนองนั้นนะ แต่มันเป็นดูเีรื่องสุขภาพ อารมณ์ และสิ่งแวดล้อมเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและอารมณ์ของคนตามฤดูกาล ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานแม่เราบอกว่า พรุ่งนี้จะไปหาหมอเราต้องเฝ้าบ้านนะม่ายงั้นขโมยจะมางัดบ้าน แล้วแม่ย่ำ 4- 5 รอบ ในฐานะที่เป็นหมอดูที่ศึกษาทฤษฎีธาตุึทั้ง 5 เราบอกแม่เราไปว่า การย้ำแสดงอารมณ์ "กลัว" คนธาตุน้ำ (คือไตกับกระเพาะปัสสาวะ) ไม่แข็งแรง จะมีความกลัววิตกจริต การพูดย้ำๆแสดงอาการวิตกจริต จะ "ทำลายพลังลมปราณของไตกับกระเพาะปัสสาวะ" แล้วก็จะยิ่งทำให้ตัวเองป่วยยิ่งๆขึ้น เพื่อให้แม่เราสบายใจ เราบอกว่า แม่ไปกับพ่อเช้าตรู่กลับมาก็เที่ยง เรายังนอนไม่ตื่นเลย อีก 10 นาทีต่อมา เราเดินเข้าห้องเรา เราได้ยินเสียงแม่พูดต่อไปว่า "มันยังนอนหลับอยู่โจรขึ้นบ้านมันก็ไม่เห็นหรอกน่ะ" เราก็เลยบอกว่า "คนที่ธาตุน้ำป่วยจะมองโลกในแง่ลบ และจะเสพย์ข่าวร้าย เช่นปล้นกันฆ่ากัน ติดการอ่านข่าวร้ายงอมแงม แม่ไปหาแต่หมอ เพราะกำลังใจแม่ไม่ดี แม่ไม่เคยนั่งสมาธิให้รู้จัก relax เพราะ relaxation เป็นพลังสูงสุด  หมอตรวจพบว่าแม่ขาดธาตุเกือบทุกอย่างทั้งๆที่แม่บอกว่าแม่กินสารอาหารครบ 5 หมู่ แต่แม่ไม่รู้ว่า การมองโลกในแง่ลบ ทำลายทรัพยากรสารอาหารในร่างกายไปจนหมด" พ่อเราพูดว่า "อย่ามาเห่าแถวนี้" เราก็เลยตอบว่า "เราได้รับการถ่ายทอดอาการป่วยจากแม่เราครบทุกอาการตั้งแต่ ocd (ย้ำคิดย้ำทำ) วิตกจริต iq ต่ำจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ขาข้างหนึ่งกำลังจะพิการ แต่เราเป็น "ลูกไม้ที่หล่นไกลต้น" โดยการ ละทิ้งทุกอย่างที่เป็น traits (ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร คงเป็นบุคลิคภาพหรือลักษณะเฉพาะที่บางทีติดมาจากพันธุกรรม?) ของพ่อแม่เรา เราทิ้ง traits พวกนั้นของพ่อแม่ไปจนหมด เพราะเราเชื่อศาสตร์เร้นลับ ค้นคว้าจนรู้ว่า ทั้งพ่อแม่เรา เดินตัวโย้ไปทางหนึ่ง เนืี่องจากกระดูกสันหลังพวกเขาเอียงนั่นเอง จึงมีปัญหากัยพลังลมปราณที่ไหลผ่านจุด Ming Men (จุดระหว่างไต 2 ข้าง) จึงทำให้เป็นคนมองโลกในแง่ลบและเป็นโรควิตกจริต...ข้อมูลนี้ได้จากตำราของนักพรตเต๋าของจีนที่เขียนไว้ในคำสอนศาสนาเต๋านับพันๆปีมาแล้ว(ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของวิชาการแพทย์ของจีน)" การใช้วิชาเร้นลับของเรา มันทำให้เรารอดจากการขาข้างขวาพิการได้อย่างหวุดหวิด แต่แม่เราต้องไปให้หมอเลี่อยขาซ้ายแล้วใส่ลูกสะบ้าเทียม เพราะแม่ไม่เชื่อเรื่องที่เรา "เห่า" ที่เรารักษาขาขวาได้เอง เพราะเราเห็น nasal septum (กระดูกที่อยู่แกนกลางจมูก) ของแม่เีีอียง เราก็เลยรู้ว่ากระดูกสันหลังแม่เอียง...แนวคิดนี้ได้มากจากการศึกษา kundalini yoga ซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่งของวิชา tantra ของศาสนาฮินดู  และกระดูกสันหลังเราก็เอียงเหมือนของแม่เรา แต่เอียงกันคนละทิศ แม่จึงพิการขาซ้ายส่วนเรากำลังจะพิการขาขวา แต่เราแก้อาการเอียงของกระดูกสันหลังได้ในระดับหนึ่งโดยการศึุกษา tantra ของชาวฮินดูที่เป็นต้นกำเนิดของวิชา Ayurveda (หรือ Ayurvedic medicine)  ด้วยการศึกษาศาตร์เร้นลับ เราจึงรักษาขาขวาเราได้ในที่สุด นั่นก็หมายความว่า ถ้าแม่เราเชื่อเรื่องที่เรา "เห่า" แม่จะไม่ป่วยหนักขนาดนี้ และนี่คือสิ่งที่หมอดู จะช่วยผู้คนได้ แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 11:39:28 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 11:38:37 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 11:30:31

ความคิดเห็นที่ 6 นี่คือบทสนทนาตลกๆที่เกิดขึ้นจริงๆระหว่างพ่อเรากับเรา พ่อ: อยู่บ้านนะ พ่อกับแม่จะออกไปข้างนอก เดี๋ยวนี้โจรมันงัดแงะยกไปทั้งบ้านเลย เรา: ไปกังวลทำไมกัน มีแต่ทีวีเก่าๆ ตู้เย็นเก่าๆ เราเป็นโจรเราไม่เอาหรอก พ่อ: อ้าไม่รู้หรือว่ามีของมีค่าอย่างอื่นเก็บไว้ เรา: ทำไมไม่ฝากธนาคารล่ะ พ่อ: คนในธนาคารมันจะขโมยไป เรา: ทำไมไม่ขุดหลุมในครัวล่ะ แล้วเอาตู้เซฟฝังลงไปในหลุม ติดนอตแน่นๆ เอาฝาปิดไว้ เอาพรมหรือเสื่อน้ำมันหรือกระเบื้องปูทับไว้ โจรมันไม่มาดูหรอก ไฟไหม้บ้านของมีค่าก็ยังอยู่ในเซฟ (กันไฟ) พ่อ: ไอ้คนงานก่อสร้างที่จ้างมันขุดน่ะสิมันจะมางัดไป เรา:  พอมันขุดเสร็จก็พวกเราก็ฆ่าแมร่งเลยดิ แบบจักรพรรดิ์จีนเลย ...เหอๆๆ.... พ่อ: ...???? หมายเหตุ คนที่ธาตุน้ำป่วย จะคิดหาเหตุผลเพื่อที่จะวิตกกังวลไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ...การทำนายทายทัก ทำได้จากการ 1. แค่ฟังเรื่องราวที่พูด 2. ดูลักษณะการเดินว่าเอียงไปทางไหนหรือเปล่า 3. ดูขอบตาล่างว่าบวมน้ำหรือเปล่า 4. ดมกลิ่น กลิ่นคนป่วยแต่ละอวัยวะ ไม่เหมือนกัน 5. ฟังพลังของเสียง เพื่อหยั่งรู้พลังลมปราณ 6. ดูสีหน้าว่าวิตกจริตขนาดไหน 7. คลำชีพจร ที่ข้อมือ ข้างละ 3 จุด แต่ละจุดฟังได้ 2 อวัยวะ (โดยกดเบากับกดหนัก) ถ้าข้อมือ 2 ข้างก็ฟังได้ 12 อวัยวะ และอื่นๆอีกมากมาย การทำเงินของหมอดูไทยที่เราเคยเห็น มักจะเป็นเรื่องการแก้เจ้ากรรมนายเวร ที่บอกว่าให้เอาพระไปวางบูชาไว้ทีวัดไหนสักแห่ง มันทำเงินได้ยังงี้คือ มันเรียกเงินค่าทำพระ 20,000 บาท แ่ต่พอลูกค้าเดินออกไป หมอดูมันโทรไปหาร้านทำพระ ค่าหล่อพระนะ แค่ 2,000 บาทเอง แต่เรากะทำเงินได้โดยการแนะนำคนเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่อง sex พอตรวจอาการแล้วรู้ว่าผู้ชายนกเขาไม่ขันหรือผู้หญิงเย็นชา เราแนะนำเคล็ดลับได้ แล้วได้ผล เราก็น่าจะได้เงินนะ ...เอิ้กๆๆๆ... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 11:54:43

ความคิดเห็นที่ 7   เอาเป็นศาตร์แบบวิชาการสิ แหม..ไม่ใช่หมอผี พูดถึงเกี่ยวกับพระเวชโบราณ สิบอย่างที่กษัริตย์ต้องเรียน ก่อนครองราช ออกแนวโบราณคดีสิ ที่เมื่อก่อนต้องมีกัน คิดไปนั้นเลยนะ อีกอย่างภูมิัปัญญาไทยโบราณ ควรจะได้รับการรวบรวมอย่างถูกหลัก เดี่ยวมันจะหายไปเลย แบบยุคหนึ่งที่การแพทย์แผนไทยเกือบจะหายไปเลย แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 12:24:43 จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 11:55:38

ความคิดเห็นที่ 8   โดยส่วนตัว ไม่ขอแสดงความเห็นว่ามีหรือไม่มีแล้วจะเป็นอย่างไร แต่จากโดยตัวผมเองนะ ถึงมีก็ไม่เรียน เพราะคิดว่าเรียนไปก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ไปประกอบอาชีพ คนในสังคมอีกเยอะที่ยังไม่ยอมรับอยู่ดีนะในสายตาผม อย่างผมเองก็มีศึกษาบ้างตามที่พอมีปัญญาและโอกาส คือเหมือนกับเป็นงานอดิเรกมากกว่า  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากการศึกษานั้น คือการคาดเดาตัวเรา สามารถวางแผนชีวิตเราได้ในระดับหนึ่ง ว่าตามหลักแล้วดวงเราสูงสุดในช่วงไหน ต่ำในช่วงไหน ก็วางแผนการใช้ชีวิตให้ถูกกาลเวลาที่ผ่านเข้ามา ปีนี้ต้องระวังเรื่องอะไร  หรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพว่าควรระวังเกี่ยวกับตรงไหน แบบไหน ผมว่าบางครั้งคุณประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ก็ไม่น้อย ถ้าคนรู้จักใช้ แต่ทุกวันนี้มันเป็นเรื่องของพาณิชย์ไปซะหมด  หมอดูหรือซินแสบางคนค่าดูทีเป็นล้าน หุหุ จากคุณ : ติดปีกบินไปให้ไกลไกลแสนไกล เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 11:58:44

ความคิดเห็นที่ 9 ในการดูดวงหมอดูที่รู้ทฤษฎีธาตุทั้ง 5 จะแนะนำลูกค้าได้ว่า เมื่อฤดูกาลผ่านไปธาตุต่างๆมีพลังรุนแรงในระดับชั้นที่ต่างๆกันออกไป ซึ่งจะมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจมนุษย์ และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม จึงแนะนำวิธีปฏิบัติตนได้ เช่นการกินอาหาร การออกกำลัง หรือแม้กระทั่งการมี sex ที่ทำให้สุขภาพดีขึ้น เพราะถ้าไม่รู้เคล็ดลับ sex กลายเป็นทำลายสุึขภาพ คำสอนในศาสนาเต๋าและฮินดูเป็นวิทยาศาสตร์ที่ใ้ช้ได้จริงๆ ก่อนที่เราจะละทิ้ง traits ทุกอย่างของพ่อแม่เราไป เมื่อเราป่วยหรือไม่สบาย แม่จะเรียกให้เรามานั่งจุดธูปเทียนไหว้พระพุทธรูป แต่เมื่อเราเห็นแม่เราจุดธูปไหว้พระพุทธรูปมาตั้งหลายปีแล้ว แต่แม่เราก็ยังไม่หายป่วย เราจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า "พระพุทธรูปมีพลัง (อาจถึงขั้นสร้างปาฏิหารยฺ์ได้) เพราะพลังจิต (ความเชื่อ) ของมนุษย์ที่กราบไหว้ ไม่ใช่เพราะพิธีกรรมที่คนทำไว้ตอนสร้างขึ้นมา" แม่เราไม่มีพลังจิต เพราะทุกวันนี้แม่อ่านแต่ข่าวร้าย และสะกดจิตตัวเองว่าป่วย โดยการเชื่อว่าตัวเองป่วย ดังนั้นการกราบไหว้พระพุทธจึงสร้างปาฏิหารย์ไม่ได้ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วเราจึงเลิกแขวนพระ แล้วหันมาเพ่งกระแสจิต ("กราบไหว้เคารพบูชา") จุดต่างๆ (chakras ศูนย์รวมกำลังภายใน)ที่อยู่บนสายลมปราณของเรา เพื่อสื่อสารกับพลังจักรวาลหรือ the Creator แทนที่จะกราบไหว้พระพุทธรูปที่มนุษย์ทำขึ้น แล้วเรากลายเป็นศึกษาพุทธหนักไปในแนวของเซนแบบพระวัดเส้นหลิน (ที่เป็นพุทธในแนวสุขภาพซึ่งเข้ากันได้ดีกับศาสนาเต๋าและศาสนาฮินดูที่เรามีใจฝักใฝ่ (เฉพาะเรื่องการแพทย์ โยคะ กำลังภายใน และวิชาเล่นแร่แปรธาตุ) คือ "พระอยู่ในใจ ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุที่คนปั้นและปลุกเสกขึ้นมา" แล้วเราเลิกนับถือพุทธแบบเถรวาทตามที่พ่อแม่ยัดเยียดให้เรา และเราได้ขอให้ที่ว่าการอำเภอลบคำว่า "ศาสนาพุทธ" ออกไปจากบัตรประชาชนของเรา เมื่อต่ออายุบัตรประชาชนครั้งที่แล้ว ซึ่งเขาก็ยอมทำให้ และนี้ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เราทำตัวเองให้หายป่วย และมีสุขภาพดียิ่งๆขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นได้ โดยการ "ทำตัวเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้น คือละทิ้งทุกอย่างที่เป็น traits ของพ่อแม่เรา...!!!!!" แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 12:21:40 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 12:16:20 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 12:14:26

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยกับ คห 8 อิอิ ผมว่าถ้าเปิดก็น่าเรียนไม่น้อยเชียวนะ จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 12:15:36

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เห็นด้วย มันควรอยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ เฉพาะคนบางกลุมที่ถูกคัดสรรแล้ว จากคุณ : จักรพรรดิแดนรักทหารErosPhoenix เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 12:20:39

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ คุณพูดถูก นักพรตเต๋าเวลาจะสอนเรื่องศาสตร์เร้นลับ เขาจะพูดเป็น paradoxes ทำให้คนฟังคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ผู้พูดต้องการให้คนน้อยคนที่สวรรค์กำหนดมา เท่านั้น ที่้จะเข้าใจ เมื่ออายุ 17-18 เราไปได้คัมภีัร์ของเต๋า (แปลจากจีนเป็นอังกฤษ) มาเล่มหนึ่ง เราคิดว่ามันเป็นคัมภีัร์ฝึกกำลังภายใน เราอ่านๆไปแล้วเห็น paradoxes มากมาย จนเกือบจะหลงคิดว่ามันไร้สาระ ก็เลยเดินถือคัมภีร์ไปที่ถังขยะ กะจะโยนมัึนทิ้งไป แต่มีแรงบันดาลใจให้เก็บคัมภีร์เล่มนั้นไว้ ครั้นพออายุ 28 โรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างที่เราป่วยเหมือนแม่เราป่วยทั้งหมด ซึ่งแม่เราถ่ายทอดมาให้เรา มันกำเริบอย่างหนัก เราจึงไม่มีทางเลือกแต่ต้องเสี่ยงฝึกคัีมภีร์เล่มนั้นดู "ปรากฎว่า เรารักษาโรคประจำตัวได้เกือบหมด" แต่เราไม่สามารถฝึกลมปราณจนมีพลังขั้นสุดยอดได้เลย เนื่องจาก spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดแนวธรรมชาติ) เหมือนที่แม่เราเป็น คิดๆย้อนหลังนะ วันที่แม่จะไปให้หมอเลื่อยขาซ้ายออกเพื่อใส่ลูกสะบ้าเทียม เพราะต้นเหตุจาก spinal misalignment ที่แพทย์ไม่๊รักษาที่ต้นตอ ก็เลยรักษาที่ปลายเหตุโดยการ "ทำลายอาการ"  เราไปให้เลือดแม่เรา เพราะเลือดไม่พอใน blood bank ของโรงพยาบาล แล้วในช่วงนั้นอาการป่วยขาขวาเรากำเริบรุนแรงถึงขั้นที่เราเกือบจะพิการตามแม่เรา แต่เผอิญเราโชคดีได้อ่านหนังสือ The Secret แล้วเรียนรู้เรื่อง The Law of Attraction มันทำให้ "ปลายนิ้วมือเราสื่อสารกับพลังจักรวาล ได้อย่างน่าประหลาด จนเราใช้ google หลงเข้าไปเจอเวปของชาวอินเดียแห่งหนึ่งที่มี chart แสดงการไหลเวียนของลมปราณตามแนวของศาสนาฮินดู" ที่เวปนั้นมีข้อความระบุว่า nasal septum ที่เอียงมันจะเอียงในแนวเดียวกันกับกระดูกสันหลัง (อันนี้เราเคยเรียนจากครูสอนโยคะเรานานแล้ว) และมันจะมีผลกระทบต่อระบบประสาทของคนๆนั้น และนี่คือสิ่งที่จิตแพทย์ไม่เคยรอบคอบพอที่จะสำรวจ nasal septum กับ กระดูกสันหลังของแม่เรา จิตแพทย์ดังๆของไทยหลายสิบคน (อาจถึง 20 คน) จึงไม่รู้วิธีรักษาแม่เรา ตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆไปจนถึงอายุเกิน 80 ปี ในขณะที่เราใช้ศาสตร์โบราณรักษาตนเอง ไปได้ในระดับหนึ่ง และบัดนี้ เราเริ่มตระหนักว่า "เราหลอกตัวเองว่า กระดูกสันหลังไม่เอียง ทีนี้ขาขวาเรากำลังจะพิการ จะทำไงดี?" โดยอาศัย The Law of Attraction จากหนังสือ The Secret เราพลิกคัมภีร์เล่นแร่แปรธาตุของเต๋าขึ้นมาฝึกใหม่ โดยเปลี่ยนสภาพจิตไปตามแนว The Law of Attraction ในขณะที่คิดภาพ chart กระแสลมปราณของศาสนาฮินดู มันมหัสจรรย์มากๆ เราค้นพบว่า "การเพ่งกระแสจิตให้ถูกวิธีไปที่ chakras ต่างๆในร่างกายเรา แล้ว relax completely นั้น อยู่ดีๆ มันทำให้กระดูกในร่างเราลั่นเสียงดังเปรี๊ยะๆจนกลับเข้าแนวธรรมชาติได้...!!!??? แล้วเราคิดถึง wuxia (นิยายกำลังภายใน) ที่เราเคยอ่านตอนเด็กๆ ที่ว่า คนฝึกกำลังภายในมีเสียงกระดูกลั่นได้จริงๆ ซึ่งทีแรกเราคิดว่า "โม้" แต่ตอนนี้เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นได้จริงๆ" สิ่งที่เราพยายามพูดให้แม่เราฟังเพื่อที่จะให้แม่รักษาตัวเองได้เหมือนที่เรารักษาตัวเราเองนั้น พ่อเราไม่เข้าใจ paradoxes จึงพูดว่า เรา "เห่า" แม่เราฟัุงเอาหูทวนลม แค่บอกวิธีการเคลื่อนกระแสเลือดจากสมองไปที่ปลายเท้าเพื่อทำให้หลับได้ (การฝึกสมาธิแบบเซน ที่เราเรียนมาจากอาจารย์ชาวญี่ปุ่น) แม่ก็ยังไม่ยอมฟังเรา ก็เลยทุกวันนี้แม่ยังต้องกินยานอนหลับทุกวัน และทั้งพ่อกับแม่เราจะผลัดกันเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เนื่องจากทั้ง 2 คนคิดมองแต่ว่าสิ่งที่เลวร้ายจะเข้ามาหาตัวเอง มันก็เข้ามาหาจริงๆ ตามหลัก The Law of Attraction นั่นเอง ดังนั้น เราว่าถ้าเปิดสอนศาสตร์เร้นลับเหล่านี้กันจริงๆนะ คงต้องดูด้วยว่า The Creator มีพระบัญชาหรือไม่ว่าให้สอนตรงๆ ไม่ใช่พูดเป็น paradoxes เ้หมือนเมื่อในอดีต และถ้าต้องพูดเป็น paradoxes ก็จะไม่มีใครเรียนจบกัน...!!!!! ตอนนี้เรามีความสนใจ The Bible มากๆอีกด้วย ซึ่งเราคาดว่าน่าจะมีความลับอะไรเกี่ยวกับ The Creator และเกี่ยวกับความเป็นไปในสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล The Bible น่าจะไขปริศนาอะไำรหลายๆอย่างได้ และน่าจะทำให้ผู้ศึกษา The Bible มีพลังมากพอๆกับที่ชาวพุทธเถรวาทเชื่อเรื่องพลังพระพุทธรูปที่บูชา (ซึ่งจริงๆแล้วเป็นพลังจิตของมนุษย์ผู้กราบไหว้บูชา ซึ่งเป็นพลังจักรวาลจาก The Creator)  ตอนนี้เราพยายามเริ่มหัดอ่าน The Bible บนเวปฝรั่ง รู้สึกว่าตื่นเต้นน่าสนใจดีมากๆเลยหละ... เราใช้เวลาเรียนรู้วิธีรักษาตัวเองให้หายป่วย นานมากๆ จนกระทั่งเราแทบไม่ได้เรียนวิชาอื่นเพื่อให้ได้ปริญญามาสมัครงาน และตอนนี้ถ้าเราไปเริ่มเรียนปริญญาอะไรมาเพื่อสมัครงาน มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดเนื่องจากว่าขณะนี้อายุึเราเกินเกณียนอายุไปแล้ว สมัครงานไม่ได้แล้ว ดังนั้นเราจึงต้องหวังประกอบอาชีพอิสระลูกเดียว โดยการเป็นหมอดู (กะจะเลิำกทำงานแปลที่ต้องอาศัยวุฒิการศึกษาสูงๆเป็นใบเิบิกทาง ซึ่งเราต้องดิ้นรนต่อสู้มากพอสมควร) แ่ต่พอมาอ่านกระทู้นี้ เราตกใจมากๆว่า ถ้าวิชาโหราศาสตร์กลายเป็นบรรจุึเข้ามหาลัย เราก็จะต้องลำบากอีกเรื่องอาชีพการงาน   เห็นที่จะต้องคอยมองๆหาอาชีพอื่นไว้...เอาอาชีพอะไรดีๆหว่า...? เป็นดาราลิเกหน้าเด็กเหมือนอายุ 30 ตอนอายุจริงๆคือ 150 ปี จะได้มีแม่ยกมาอุปภัมภ์หลายๆราย จะดีไหมเอ่ย...555+++... แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 13:12:26 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 13:02:28 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 12:45:57 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 12:26:23

ความคิดเห็นที่ 13 นอกเรื่องเลยละกัน paradoxes นี่ เป็นเช่น โกอาน ของเซน หรือเปล่าครับ คือ เท่าที่จับความรู้สึกได้ โกอาน ของเซน จะเข้าใจแบบลึกๆ ไม่ในใจว่าเรียก intuition รึเปล่า ------------------------------------------ ชักอยากเรียน วิชาหมอดูจาก หมอดูซะแล้ว หมอดูศึกษาจากไหนบ้างครับ?? สงสัย ไม่ต้องทำบล็อกเกี่ยวกับ ภาษาอังกฤษแล้ว ทำบล็อก เกี่ยวกับ หมอดูเนี่ยแหละครับ ฮุฮุ จากคุณ : ลิงใส่แว่น (noptee) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 13:02:48

ความคิดเห็นที่ 14 สาขาวิชา ที่แทบหางานรองรับไม่ได้ ยังเปิดกันคึ่กๆ  คนก็แห่เข้าไปเรียนกันคลั่ก สาขาวิชานี้เปิดออกมามีอาชีพติดตัวแน่นอน....น่าเปิดจะตายไป ยิ่งเปิดเป็นสาขา Interอีกนะ ....กระฉูด จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 13:12:35

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบ คคห13 paradoxes ที่เราพูดถึงคือ "ปฏิทรรศน์" คืออะไรที่ฟังดูเหมือนผิดและไร้สาระ แท้จริงแล้วเป็นสุดยอดของวิชา ถ้าสนใจอยากอ่าน paradoxes ของ Dao De Jing ก็ลองไปอ่านกระทู้เก่าที่เราปั่นไว้ได้คือ การตีความแบบถอดรหัส Dao De Jing  (version 1) เราเขียนบทความทำนองนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2547 (2004)  (อาจมีเขียนไว้ก่อนหน้านี้อีกด้วย แต่หาไม่เจอ) แล้ว (ตอนนั้นเราใช้ชื่อ tansy แต่ไม่ได้ใช้ login) ตาม link นี้ไป http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2699854/W2699854.html การตีความแบบถอดรหัส Dao De Jing (version2) ที่เราทำไว้ (เมื่อตอนใช้ login เดิมคือ agelesstansy...ในกระทู้ทีว่านี้ (เราเขียนไว้เมื่อปี 2008) เราเริ่มตีความ Dao De Jing ตั้งแต่ คคห 11 - 15) ตาม link นี้ไป http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/07/K6813048/K6813048.html ระหว่าง 2 versions นี้ อันที่เขียนในปี 2004 มีเรื่องแนวคิดของ Zen ปนอยู่หน่อยๆและมีตัวสะกดผิดเยอะหน่อย  แต่ใน version ที่เขียนปี 2008 สะกดผิดน้อยลง แล้วเอาเรื่อง Zen ออก แต่เติม technical terms เป็นภาษา sanskrit เข้าไป ซึ่งเอามาจาก tantra ของฮินดู คัมภีร์ที่เราใช้รักษาอาการป่วยทั้งหมดของเรานั้น Taoist Master (ปรมาจารย์นักพรตเต๋า) ชื่อ Chao Pi Ch’en เขียนมันขึ้นมาได้เพราะเขาตีความ Dao De Jing ได้ถูกต้องจนรู้ว่าปรมาจารย์เล่าจื้อเีขียน paradoxes เอาไว้มากมายใน Dao De Jing เพื่อหลอกให้บัณฑิตตีความผิด แล้วไม่ได้วิชาเร้นลับไป ลองไปดูเรื่องคัมภีร์นี้ได้ที่นี่ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7974186/K7974186.html แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 13:22:20 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 13:20:51

ความคิดเห็นที่ 16 โหราศาสตร์สากลกำหนดช่วงเวลาสำหรับราศีต่างๆดังนี้ครับ ราศีเมษ อยู่ระหว่างประมาณ 21 มีนาคมถึงประมาณ 20 เมษายน ราศีพฤษภอยู่ระหว่างประมาณ 21 เมษายนถึงประมาณ 20 พฤษภาคม ราศีมิถุนอยู่ระหว่างประมาณ 21 พฤษภาคมถึงประมาณ 20 มิถุนายน ราศีกรกฎอยู่ระหว่างประมาณ 21 มิถุนายนถึงประมาณ 20 กรกฎาคม ราศีสิงห์อยู่ระหว่างประมาณ 21 กรกฎาคมถึงประมาณ 20 สิงหาคม ราศีกันย์อยู่ระหว่างประมาณ 21 สิงหาคมถึงประมาณ 20 กันยายน ราศีตุลอยู่ระหว่างประมาณ 21 กันยายนถึงประมาณ 20 ตุลาคม ราศีพิจิกอยู่ระหว่างประมาณ 21 ตุลาคมถึงประมาณ 20 พฤศจิกายน ราศีธนูอยู่ระหว่างประมาณ 21 พฤศจิกายนถึงประมาณ 20 ธันวาคม ราศีมังกรอยู่ระหว่างประมาณ 21 ธันวาคมถึงประมาณ 20 มกราคม ราศีกุมภ์อยู่ระหว่างประมาณ 21 มกราคมถึงประมาณ 18 กุมภาพันธ์ ราศีมีนอยู่ระหว่างประมาณ 19 กุมภาพันธ์ถึงประมาณ 20 มีนาคม ผม ใช้คำว่าประมาณเพราะราศีจะเปลี่ยนช่วงตั้งแต่วันที่ 18 ถึงวันที่ 25 ของแต่ละเดือน ใครที่เกิดช่วงนี้ คือ 18-25 ต้องเช็คกับปฏิทินโหราศาสตร์ว่าในปีนั้นเดือนนั้นราศีเปลี่ยนวันไหนแน่ ส่วน ตามนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยที่กำหนดช่วงเวลาแต่ละราศีแตกต่างไป จากที่ผมบอก เช่น ราศีเมษอยู่ระหว่าง 16 เมษายนถึง 15 พฤษภาคมนั้น ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนด รู้แต่ว่ามันผิดจากที่โหราศาสตร์สากลกำหนดไปเกือบเดือน และไม่มีทางถูกต้องได้แน่ๆ เพราะไม่มีใครสามารถบอกที่มาของการกำหนดช่วงเวลาแบบนั้นได้เลย ผมเคยตั้งกระทู้ถามที่มาของการกำหนดช่วงเวลาแบบไทยๆ ก็ไม่มีใครตอบได้ ้ บางคนก็เลี่ยงไปพูดเรื่องลักคนา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับราศีหลักซึ่งเป็นราศีของอาทิตย์ ผม จะไม่พูดถึงลักคนา เพราะลักคนาต้องรู้เวลาเกิดของแต่ละคน เนื่องจากเป็นการยากที่จะรู้เวลาเกิดของคนอื่น ผมจึงไม่ศึกษาเรื่องลักคนา และเน้นแต่ราศีหลัก นั่นคือราศีของอาทิตย์เท่านั้น ปกติผมใช้ดาว 9 ดวงในการผูกดวง ได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ พุธ ศุกร์ อังคาร พฤหัส เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน รอบ ของอาทิตย์ในแง่โหราศาสตร์คือ 12 เดือน แบ่งเป็น 12 ราศี ราศีละ 1 เดือน โดยราศีแรกคือราศีเมษ ซึ่งเริ่มประมาณวันที่ 21 มีนาคม ถึงประมาณวันที่ 20 เมษายนตามที่ผมได้บอกไว้แล้วข้างบน ราศีอื่นๆก็ตามที่ผมบอกไว้แล้วข้างบน เพราะ ฉะนั้น ผมขอสรุปว่าการกำหนดช่วงเวลาแต่ละราศีแบบไทยๆตามนิตยสารและหนังสือพิมพ์ เป็นการกำหนดช่วงเวลาแต่ละราศีที่ผิดครับ คงจะมีคนที่ไม่รู้จริงตั้งมั่วขึ้นมา แล้วคนอื่นๆก็มั่วลอกตามกันเป็นทอดๆ อยากให้สมาคมโหราศาสตร์แห่งประเทศไทยฝึกอบรมหมอดูไทยให้รู้จักราศีหลักคือราศีของอาทิตย์ว่าแต่ละราศีอยู่ระหว่างวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร ถึงวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร อย่าปล่อยให้มั่วกันแบบทุกวันนี้ แม้แต่หมอลักษณ์ที่ออกรายการ ศึก 12 ราศี ทางทีวีช่อง 3 (ดูเหมือนจะตอนบ่ายวันอาทิตย์) ก็ใช้การกำหนดช่วงราศีแบบมั่วด้วย มิหนำซ้ำยังมั่วเรื่องลักษณะของคนแต่ละราศีอีกด้วย เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าประเทศไทยควรมีการศึกษาโหราศาสตร์สากล เพื่อจัดระบบหมอดูไทยให้เข้ากับระบบสากล เพราะปฏิทินโหราศาสตร์สากลก็หาได้ไม่ยาก จะได้เลิกมั่วกันซะที จากคุณ : ใจดีมาก เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 13:42:06

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าเปิดแล้ว ก็ทำสมาคมวิชาชีพให้เป็นเรื่องเป็นราว จะได้ควบคุมความเสียหายได้ ไม่งั้นได้ไปทักคนโน้นคนนี้ จนเกือบต้องไปกราบเท้าเค้า จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 16:39:50

ความคิดเห็นที่ 18   คุยไปคุยมากลายเป็นเรื่องลึกลับ กับ เรียกร้องให้ให้มีสมาคมวิชาชีพแบบหมอซะงั้น จากคุณ : aloha_123 เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:10:31

ความคิดเห็นที่ 19 จับหัวน้องชายในค.ห.แปดเขย่าๆๆๆๆๆๆๆๆด้วยความเอ็นดู เห็นมีเปิดเป็นสำนักสอนกัน น่าสงสัยดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ศาสตร์พวกนี้กลายเป็นเรื่องงมงาย เพราะในประวัติศาสตร์โลก ในทุกระดับชนชั้น มันเคยเฟื่องฟูและแม่นยำยิ่ง เดี๋ยวพอคนถูกฝังหัวว่า "วิทยาศาสตร์" อะไรที่ "ยัง" ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ก็พาลปฏิเสธมันไปหมด จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:27:52

ความคิดเห็นที่ 20 สาขาวิชาแก้บาปกรรม  จะมีคนเข้าหามากที่สุด เพราะคนส่วนมาก  ทำบาปกรรมแล้ว  ไม่ยอมรับผิด จะขอนิรโทษกรรม  ขอให้เจ้ากรรมนายเวร  ไม่เอาเรื่อง พอได้  ห.บ.(โหราศาสตร์บัณฑิต) ก็ต้องมามีใบประกอบอาชีพ เหมือน ทนายความ  หรือ หมอ สภาฯ ก็ต้องไปออก กฎหมาย ว่า ถ้าโหร ทำนายถูก จะได้รางวัลอย่างไร ทำนายผิด  มีโทษอย่างไร  ครั้งแรก ภาคทัณฑ์ ต่อไปจะ ปรับ, ขัง , ริบทรัพย์สิน  ก็ว่ากันไป สมาคมคุ้มครองผู้บริโภค ก็ต้องขยายไปถึง ผู้ใช้บริการหมอดู ด้วย จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:38:04

ความคิดเห็นที่ 21 ก๊ากกกก มี ห.บ ด้วย แล้ว ป โท ก็ทำทีสิธว่าด้วยหัวข้อการให้คุณโทษของพระศุกร์ขณะโคจรใกล้ดับในดวงชะตา ก๊ากๆๆๆ เท่ดีนะ จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:53:25

ความคิดเห็นที่ 22 เรายอมรับว่าตื่นเช้ามาพอเจอกระทู้นี้นะ เราสะดุ้งผวามากๆเลย เพราะอะไร เราจะเล่าให้ฟัง ตอนเรากลับมาจากต่างแดนใหม่ๆแล้วคิดจะประกอบอาชีึพอิสระเพราะเราไม่มีวุฒิสูงๆไปสมัครงานแข่งกับคนไทยที่เรียนจบสูงๆนะ ความฝันของเราต้องพังทลายมา 2 ครั้งด้วยกัน คือ 1. งานเป็นไกด์ เราไปสมัครงานที่ Diethelm (ฝ่ายทัวร์) เพื่อเป็นไกด์ เขาสัมภาษณ์เราแล้วบอกว่า "อ๋อคุณไปอยู่ต่างแดนมานาน พูดอังกฤษคล่องแต่ไม่ได้เรียนจบอะไรมา อยากเป็นไกด์ ได้ ลองตามทัวร์ไป คุณเขียน report เป็นภาษาอังกฤษมาส่ง ถ้าโอเคก็ได้งานทำ แล้วทางบริษัทก็จะทำบัตรไกด์ให้ เราว่า มันหมูนะ เราน่าจะทำได้ดี แต่เผอิญตามทัวร์ไปมันไม่ได้เงินน่ะ คือฝึกงานฟรี เผอิญเราได้งานสอนสนทนาภาษาอังกฤษพวกคุณหญิงคุณนายเราก็ไปสอนสนทนาภาษาอังกฤษ แล้วหลังจากนั้น ทางการไทยกำหนดว่า ไกด์ต้องจบปริญญาตรีอย่างต่ำ ทีนี้เราจะกลับไปทำงานไกด์ก็หมดสิทธิ์แล้ว คือจริงๆมันน่าจะกลายเป็นเรื่องดีที่ยกระดับไกด์นะ แต่เดี๋ยวเราจะบอกให้ว่า คนไทยไม่โปร่งใส การทำเช่นนี้ ทำให้คนในวงการหาผลกำไรได้ และมันมีผลกระทบคนไทยคนอื่นๆอย่างไรบ้าง 2. เรื่องศาสตร์การดูดวงที่เราศึกษานั้น จริงๆแล้่วเราไม่ได้ตั้งใจจะศึกษาศาสตร์การดูดวง หากแต่เราเรียนวิชาการแพทย์แผนโบราณของจีนผสานกับวรยุทธ์ของจีน แต่เราไม่เก่งพอที่จะเป็นแพทย์ แต่เรารู้ว่าเราช่วยลูกค้าเราได้มากกว่าโหรไทยหลายๆคนที่ทำนายมั่ว เรารู้่การแพทย์ทางเลือกมากพอที่จะช่วยคนบางคนได้ เราช่วยคนโดนยิงหรือโดนรถชนไม่ได้หรอก อาการแบบนี้ต้องโน่นไปห้องผ่าตัดแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เรารักษาแม่เราที่ป่วยนอนไม่หลับตั้งแต่อายุ 30 ถึง 80 กว่าได้ (เพียงแต่แม่ไม่เชื่อเราเท่านั้นเอง)  และเรารักษา ocd (ย้ำคำย้ำทำ) ได้ เพราะเราเคยรักษาตัวเองหายมาแล้ว เรารู้ว่าการดูดวงจะมีการทำนายทายทักเรื่องสุขภาพ และเรามีวิชาเร้นลับในการทำให้ผู้ชายสูงอายุที่เป็นกามตายด้าน เตะปี๋บดังอีกโดยไม่ต้องใช้ยาเลย แต่จะไปเปิดรักษาโรคทางนี้ เราก็จะโดนดำเนินคดีข้อหาเป็นหมอเถื่อน เราก็เลยคิดว่าที่วัดโพธิ์หรือวัดอีกแห่งใกล้ๆบางลำภูมีสอนวิชาการแพทย์แผนไทย ไปเรียนแล้วก็ได้ใบประกอบโรคศิลป์แพทย์แผนไทย เราจะเอาใบนี้ไปเป็น "ไม้กันหมา" แต่เราจะไปเปิดสำนัก "รักษาผู้ชายรวยๆที่ป่วยนกเขาไม่ขัน" เพราะจะได้เงินมหาศาล แต่ก็เวรกรรม ตอนนี้วิชาการแพทย์แผนไทยโดนบรรจุเป็นหลักสูตรในมหาลัยไปเสียแล้ว ความฝันเราก็พังทลายอีก 3. เราถึงคิดเรื่องเป็นหมอดูยังไงล่ะ ตอนนี้ถ้ามันโดนบรรจุเข้าเป็นหลักสูตรมหาลัย เราก็ชวดโอกาสอีก จนถึงกับต้องอพยพไปอยู่ประเทศอื่น 4. นี่ยังคิดหวั่นๆเลยว่า เผื่อเมืองไทยกำหนดว่า "นักแปลไทยต้องมีใบอนุญาตเหมือนบางประเทศ เราช่วยคนโดนยิงหรือโดนรถชนไม่ได้หรอก อาการแบบนี้ต้องโน่นไปห้องผ่าตัด" นั่นก็หมายความว่า ประสบการณ์การแปลเกือบ 20 ปีของเราต้องกลายเป็น "ตกงาน" ไป มันเป็นอะไรที่บ้าที่สุดเลย ย้อนกลับคุยเรื่อง 1. เรื่องไกด์ ฉากอะไรที่ ugly ที่สุดของวงการไกด์ที่เราเจอตอนอยู่เชียงใหม่ก็คือ หน่วยการด้านการท่องเที่ยวส่งจดหมายเวียนไปถึงไกด์ทุกคนในเชียงใหม่ ให้ไปอบรมเพิ่มเติม แล้วขู่ว่า "ใครไม่ไปอบรม ก็จะไม่ได้รับการต่อบัตรไกด์ให้" ไกด์หลายๆคนในเชียงใหม่ต้องยอมไปทนนั่งฟังเรื่องไร้สาระที่วิทยากรที่โง่ๆพูดเรื่องที่โง่ๆ ซึ่งจริงๆแล้วไกด์มืออาชีพรู้มากกว่าวิทยากรตั้งหลายเท่า ไปอ่านกระทู้ 2 กระทู้นี้ แล้วจะรู้วา ไกด์รู้มากกว่าวิทยากรหลายเท่า เรื่องอาชีพ tour guides http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/09/K8299895/K8299895.html เรื่อง tourism of Thailand ในมุมมองในแง่ลบของเรา วิทยากรสอนไกด์มาเก็บเงินไกด์ไปฟรีๆ แต่ไม่ได้สอนว่าทำอย่างไีรประเทศไทยจึงจะเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยว เพราะตลาดทัวร์บังคับให้ไกด์โกงนักท่องเที่ยว http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/07/K8062037/K8062037.html แล้วไกดฺ์ต้องเสียเงินไป เงินมันไปเข้ากระเป๋าใคร? เงินไม่ใช่น้อยเลยนะ ก่อนที่ประเทศไทยจะกำหนดว่าวิชาชีพไหนต้องมีใบอนุญาตนะ โปรดทำกลไกประเทศชาติให้โปร่งใสกว่านี้เหอะ เราะเชื่อว่า คนอย่างเรา ก็น่าที่จะมีความรู้ความสามารถพอที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้บ้าง ไม่มากก็น้อย อย่าได้สร้างข้อกำหนดพวกนี้มาจนเราประกอบอาชีพอะไรก็ไม่ได้เลย แล้วก็ต้องอพยพไปอยู่ประเทศอื่นเลย ให้โอกาสกันบ้างเหอะ.... ไปอ่านกระทู้นี้เรื่องการเลื่อนวิทยะฐานะเพื่อให้ได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพ มันเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพก็จริงอยู่หรอก แต่ในเมื่อระบบในประเทศไทยมันไม่โปรงไส ผลลงเอยคืออะไร ผู้คนเป็นจำนวนมากที่ไร้ความสามารถทางด้านวิชาชีพ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใบอนุญาตมา แล้วคนที่มีความสามารถประกอบอาชีพ แต่ไม่สามารถไปคดโกงเพื่อให้ได้วุึฒิการศึกษาหรือได้ใบอนุญาตมาล่ะ คุณจะไม่มีวิธีการวัดผลเพื่อให้พวกเขาประกอบอาชีพบ้างเลยเีชียวหรือ? เราผู้ซึ่งไม่มีปริญญาตรีเคยเขียน dissertation ภาษาอังกฤษให้นักศึกษาปริญญาเอก แล้วเขาได้งานดีๆทำ ในขณะที่สังคมไทยกีดกันไม่ให้เราได้งานดีๆทำ กะอีแค่เราไม่มีปริญญาตรี แถมยังมากำหนดว่าจะทำงานโน่นงานนี่ต้องมีใบอนุญาต ซึ่งจะรับใบอนุญาตได้ก็ต้องจบปริญญามา เราถึงต้องไปรับงาน (แปลเอกสาร) ผ่านนายหน้าซึ่งกินหัวคิวเราไปถึง 50% แล้วนี่มันจะลามปามมาถึงอาชีพหมอดูแล้วหรือ....!!!?? น่าตกใจไม่ใช่น้อยๆเลยหละ...สังคมไทยนี่เล่นป่าหี่กันเก่งจริงๆทุกวิชาชีพเลยหรือ...ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตาม link นี้ไปอ่านดู http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8661840/K8661840.html แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 20:53:43 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 20:52:45 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 20:48:39 แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 52 20:30:34 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 20:24:49

ความคิดเห็นที่ 23   ถ้าเรามีความรู้โหราศาตร์แบบตาแท่นนะ เราคงไม่อยู่กับที่แล้วนะ ออกไปท่องโลกใช้ชีวิตให้คุ้มค่าค่าดีกว่าเกิดมายังไงก็หนีไม่พ้นความตาย ก่อนตายขอความมันในชีวิตอีกสักรอบเถอะ ขอวีซ่าบินไปฮาวาย ไปศาลาการขอใบอนุญาตพ่อค้าเร่ ไป เช่าบู๊ทหลังคาจากที่อินเตอร์เนชั่นแนลมาเกต ฮอนโนลูลู เอาไว้รับจ้างดูหมอ เช้าเล่นนํ้าสายเปิดร้าน คํ่าหาอาหารอร่อยชิม คงสุขหลายๆ ตรงจุดนี้สมัยก่อนช่วงคํ่ามีฝรั่งคนหนึ่ง เป็นนักวาดภาพแบบการ์ตูน 1ภาพใช้เวลา2-3นาทีเสร็จ รับจ้างวาดรูปขาวดำด้วยหมึกเหลวสีดำ แกจะให้คนยืนหันข้าง แล้ววาดภาพใบหน้าซึ่งวาดได้เก่งมากเหมือนจริง แล้วก็แล้วแต่อารมณ์ที่เหลือคืออาจจะ วาดภาพส่วนที่เหลือเป็นภาพกำลังเล่นกระดานโต้คลื่นหรือเล่นสกีนํ้า ทั้งคืนมีคนต่อแถวให้เขาวาดภาพ ไปกี่ครั้งก็เห็นแกนั่งพิม์แบงค์อยู่ที่นั่น เบื่อก็ไปหาแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆต่อเส้นทางไป แนีะนําเว๊บให้คุณfortuneteller คิดว่าคุณต้องชอบอย่างแน่นอนนะ รับรองฮาดิ้น www.saksitsart.com/index.php จากคุณ : เบื่อ เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 21:31:24 A:124.121.55.72 X: TicketID:010403

ความคิดเห็นที่ 24 ู^ ^ อ้าว นี่คนละคนกับอีตาชาตเรอะ นึกว่าคนเดียวกันเสียอีก เพิ่งสังเกตเห็นว่า Ticket ID ไม่เหมือนกันน่ะ หรือว่าเป็น buddies กัน? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 21:49:07