|
ความคิดเห็นที่ 5 |
การที่คนที่ไปบรรยายที่มหาลัยคุณที่เก่งและจบจากนอกและมีชื่อเสียงโด่งดังนั้น มันเป็นเรื่อง the law of average นั่นก็คือว่า
"ประเทศไทยใฃ้ระบบอุปถัมภ์ ดังนั้น คนมีชื่อเสียงโด่งดังมากๆไม่ว่าจะเป็นในด้านใดก็ตาม ก็มักจะมาจากตระกูลที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ซึ่งคนในตระกูลเหล่านี้ คนไทยถือเป็นประเพณีก้นว่า ต้องส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก และคนที่ไม่ได้มาจากตระกูลที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ที่โด่งดังก็มีหลงๆมาบ้าง แต่ตาม the law of average มันมีจำนวนน้อยกว่านั่นเอง...!!!"
ยกตัวอย่างเช่น อดีตเพื่อนร่วมงานเราคนหนึ่งนะ (ที่เราเคยเจอสมัยเราเคยทำงานในบริษัทแปลเอกสาร) เพื่อนเราคนนี้เป็นนักแปลระดับอัฉริยะที่เวลาแปลอังกฤษเป็นไทย ขนาดเป็นเอกสารกฎหมายที่ซับซ้อนนะ เขาเอาเอกสารไปนั่งบริกรรมให้เข้าใจอยู่สักพักหนึ่ง แล้วพอลงมือแปล เขาลากเก้าอี้ไปบอกพนักงานพิมพ์ดีดพิมพ์รัวออกมาม้วนเดียวจบเลย (เล่นให้ dictation เลยว่ะ) เวลาแปลไทยเป็นอังกฤษเขาใช้เวลานานหน่อย แต่ประโยคภาษาอังกฤษเขาไม่มีที่ติเลย เขาเคยลาออกจากการแปลเอกสารแล้วพยายามเอาดีทางแปลนิยายกับสำนักพิิมพ์
"แต่ไปไม่รอดเพราะเขาไม่ใช่คนมาจากตระกูลไฮโซ"
เขาไม่มีเงินสดในบัญชีธนาคารมากพอที่จะเอามาเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ทันกว่าจะรับเงินค่าแปลจากสำนักพิมพ์ ก็เลยเบนเข็มไปเป็นนักหนังสือพิมพ์ ตอนนี้เขากลายเป็น professional journalist ที่เขียนข่าวและบทความภาษาอังกฤษได้ดีระดับเทียบเท่า native speaker ที่มีการศึกษาสูงๆ และัเขาทำงานกับหนังสือพิมพ์ฝรั่ง เพื่อนเราคนนี้จบปริญญาตรีครุศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษจากจุฬานี้แหละ เขาเชี่ยวชาญทั้งภาษาอังกฤษกับภาษาไทยแบบรู้ลึกมากๆ (ลึกขนาดเวลาแปลอังกฤษเป็นไทย ถ้าเขาอยากเท่ห์นะ เขาก็เขียนภาษาแขกแข่งกับท่านเซียนแอ๊ดปากเกร็ดได้สบายๆเลยหละ...อิๆๆ...)ซึ่งคาดว่าถ้าเขามีัโอกาสแปลหนังสือจริงๆเพราะมีเงินสดหมุนพอนะ เขาจะต้องแปลทาบรัสมีนักแปลที่มีชื่อเสียงโ่ด่งดังซึ่งจบจากนอกหลายๆคน ที่ไปบรรยายที่มหาลับคุณที่ ได้อย่างสบายๆหายห่วงเลย
อีกรายหนึ่งเป็นสมาชิก pantip นี่แหละ แต่เธอไม่เคยแสดงผลงานแปลให้ใครดู แล้วก็แทบไม่บอกใครด้วยว่าเธอเป็นนักแปลมืออาชีพ แต่เราฃรู้เรื่องราวเกี่ยวนักแปลคนนี้จากปากเพื่อนๆนักแปลด้วยกันที่อยู่ในวงการแปล ในขณะที่เรานั่งดูนักแปลระดับปริญญาโทการแปลจุฬาคนหนึ่ง edit นิยาย แล้วแก้คำแปลภาษาไทยเสียจนสวยงามแบบเซียนจริงๆเราร้องอุทานออกมาว่า "โหยอดเยี่ยมเลย" เธอตอบว่า "มีคนเรียนจบแค่ปริญญาตรีอักษรศาสตร์จุฬา แล้วต่อโทแต่เรียนไม่จบเพราะไม่มีเงิน แต่แปลเก่งกว่าที่เห็นนี้เสียอีก" ...เราก็ขอให้เธอเล่าเรื่อง เธอก็เล่าว่า...
นักแปลคนนี้เป็นรุ่นน้องเธอเอง มีผลงานแปลหนังสือมากมาย ต้องแปลไวๆแ่ข่งกับเวลา เพราะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่เธอจะใ้ช้นามปากกามาตลอด และทำงานให้กับ สนพ มากมายหลายแห่ง รับทั้งงานแปลนิยายและงานบรรณาธิการต้นฉบับ แม้จะแปลได้รวดเร็วและสวยงาม แต่ก็ไม่ได้ว่าจะทำให้เธอร่ำรวยขึ้นมาจนถึงกับไปเข้าสังคมในระดับสูงๆได้ เนื่องจากมีภาระทางด้านการเงินที่ต้องช่วยเหลือครอบครัวมาก
"ดังนั้น เธอจึงไม่้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักแปลที่มีชื่อเสียงโ่ด่งดังตามกระบวนการในระบบอุปภัมภ์ของประเทศไทย..."
สรุป นักแปลแบบอดีตเพื่อนร่วมงานเรากับนักแปลที่แปลเยอะแล้วใช้นามปากกาซุ่มๆแปลคนนี้ ถึงจะเก่งระดับเทพแค่ไหนก็ตาม แต่ก็คงได้แต่ซุ่มๆทำงานไป แล้วก็คงไม่มีทางที่จะได้รับการยกย่องจัดลำดับให้กลายเป็นหนึ่งในนักแปลที่มีชื่อเสียงแบบพวกนักแปลที่ไปบรรบายที่มหาลัยคุณได้หรอก เพราะส่วนใหญ่ สนพ จะโปรโมทคนที่ทั้งเก่งด้วย และทั้งมาจากตระกูลดังๆด้วย เพราะมันทำให้คุ้มค่าต่อการลงทุน มันการันตีได้ว่าหนังสือขายได้แน่นอน
นักแปลรุ่นพี่เราหลายคนที่เรารู้จักตอนทำงานในบริษัทแปลเอกสาร บางคนเก่งมากๆระดับเทพ ทั้งๆที่เรียนจบมาแค่ ม.8 เอง (สมัยก่อน ม.ปลายของคนรุ่นนั้น เขาเป็น ม.8) แต่ตอนบั้นปลายชีวิต แปลๆไปแล้วไม่เคยร่ำรวย แล้วก็ไม่เคยมีชื่อเสียง (เพราะไม่ใช่คนจากตระกูลสูงๆ แล้วก็ไม่มีวุฒิการศึกษาสูงๆเป็นใบเบิกทาง) แล้วพวกเขาก็ไม่เคยเรียนรู้วิธีพลิกแพลงกะล่อนหางานแปลราคาแพงๆแบบที่พวก salesmen ทำได้โดยการขายตรงกับขายโดยใช้เส้นสาย หรือใช้บารมี นักแปลรุ่นพีเราพวกนี้บางคน ก็เลยต้องค่อยๆคลานไปตายที่สุสานหนูอนาถา...แบบว่า บางคนเมาแล้วนอนตายข้างถนน...ก็มี
ในเส้นทางแห่งชีวิตนักแปล ถ้าคุณไม่ได้มากจากตระกูลที่ร่ำรวยแล้วนะ กว่าจะแปลให้ลืมตาอ้าปากได้ ความโหดร้ายมันมีมาก...มันมิใช้จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ...นักแปลที่ไม่เก่ง แต่รู้วิธีหางานแปลแบบพวก salesmen จะประสบความร่ำรวยได้ โดยการเอางานที่ตัวเองหาได้จากการขายตรง ที่ใช้เส้นสาย หรือใช้บารมี มาแจกให้นักแปลเก่งๆคนอื่นทำ...และมันเองก็กินหัวคิวเขา จนร่ำรวยไป
เมื่อไม่นานนี้เราแวะเข้าไปทักทายเจ้าของบริษัทแปลแถวๆเพลินจิตแห่งหนึ่ง เธอเจอหน้าเราแล้วล้อเราเล่น (แต่เรื่องจริง) ว่า
"เธอไปทำอะไรอยู่วะ ร่ำรวยตั้งตัวได้จากการแปลแล้วหรือยัง?...เหอๆๆๆ.. รู้ไหมตอนนี้นะ "ไอ้ตี๋" คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่วินมอเตอร์ไซค์หน้าร้านฉันน่ะ มันกลายเป็นเถ้าแก่ไปแล้วนะโว้ย มันแค่คอยจับลูกค้า (ผู้หญิงไทยแต่งงานกับฝรั่งกับคนขอวีซ่า) หน้าสถานทูต โก่งราคาค่าแปลแพงๆ แต่งงานทีนะโว้ย ไอ้ตี๋คิดค่าแปลกับทำวีซ่าตั้ง 70,000 - 100,000 บาท แน่ แล้วมันเอาไปจ้างนักแปลแค่หน้าละไม่กี่ร้อยบาทเอง ออกมาเป็นค่าจ้างนักแปล ไอ้ตี๋จ่ายแค่ 2,000 - 8,000 บาทเอง (ชึ้นอยู่กับจำนวนเอกสาร) ที่เหลือมันได้เข้ากระเป๋าหมดว่ะ ตอนจบไอ้ตี๋กลายเป็นมีบริษัทของมันเองแล้ว มันรับจ้างทำเรื่องคนไทยแต่งงานกับฝรั่ง แล้วก็ทำวีซ่าให้ มันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องการแปล แต่มันให้บริการด้านการแปลได้ดีมากๆ และร่ำรวยกว่านักแปลเสียอีกว่ะ...ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เธอมัวแต่ไปทำอะไรอยู่วะ...!!!??"
สรุปแล้วนะ งานนี้ ความรู้้ที่ว่าจะไปแย่งลูกค้ามาได้ไง จากในหรือหน้าสถานทูต หรือจากบนสะพานลอย และแกร่งพอที่จะตบตีกับคู่แข่งรายอื่นซึ่งก็มาแย่งลูกค้าเหมือนกัน และรู้ว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้างในการยื่นกระทรวงการต่างประเทศและยื่นสถานทูต และถ้าไม่มี จะทำปลอมขึ้นมาได้อย่างไร (มีวิธีซิกแซกเยอะ) นั้น ซึ่งความรู้เหล่านี้ นักแปลเก่งๆ หรือแม้กระทั่งเจ้าของบริษัทแปลเองก็ยังไม่รู้เลย แต่คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างดันรู้หมด เขาก็เลยรวยได้ด้วยความรู้เหล่านั้น นั่นเอง...ขนาดเรารู้วิธีการทำงานหน้าร้านบริษัทแปลเพราะเคยไปช่วยเจ้าของบริษัทรับงานแปลหน้าร้านอยู่นานพอสมควรนะ พอเจอปัญหาเรื่องการยื่นเอกสารเรื่องยากๆที่เราไม่รู้ ขนาดเจ้าของร้านเก่งๆ (ซึ่งไม่เ้ข้ามาดูร้าน) เราโทรไปถามก็ยังไม่รู้ แต่เราโทรเข้ามือถือ "ไอ้ตี๋" มันอธิบายได้เป็นตุเป็นตะเลยว่ะ เอ่อวิชาที่มันรู้นะ หากินได้ดีกว่าความรู้เรื่องการแปลตั้งหลายเท่าแน่ะ สงสัยนี่ถ้าเราตกทุกข์ได้ยากไม่มีงานแปลทำจริงๆคงต้องไปเป็นลูกจ้างมอเตอร์ไซค์รับจ้างว่ะ...555+++...
หลักสูตรปริญญาโทการแปลควรสอนเรื่องตลาดการแปลด้วยเพื่อไม่ให้มหาบัณฑิตที่จบมาต้องตกเป็นเหยื่อของ salesmen ที่อาศัย connections หางานแปลราคาแพงๆจากหน่วยงานบิ๊กๆได้แล้วทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง หรือต้องกลายไปเป็นลูกจ้างคนที่หางานแปลราคาแพงๆได้ด้วยวิธีการข้างถนน
โดยการสอนว่า ให้จำไว้ว่า
"คนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินมากที่สุดในวงการแปลก็คือคนที่หางานแปลราคาแพงๆมาได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม อาจเป็นโดยการใช้สถานภาพทางสังคมที่สูงส่งเข้าช่วย หรืออาจใช้วิธีการแบบ salesmen หรือวิธีการข้างถนน ซึ่งเข้าข่ายว่า the end justifies the means ถึงแม้ว่าเขาจะแปลไม่เก่งหรือแปลไม่เป็นเลยก็ตาม เพราะนักแปลเก่งๆที่ไม่มีงานทำ หรือมีงานทำแล้ว แต่อยากมีรายได้พิเศษ มันเยอะแยะไปหมด..."
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 04:00:12
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 00:34:11
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 00:29:22
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ธ.ค. 52 00:12:04
|
|
|
|
|