ภาษาอังกฤษที่นักกฎหมายใช้กันมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและแข็งแกร่งมากๆ คนเรียนภาษาอังกฤษมาโดยการ learn to understand (คืออ่านเข้าใจความหมาย) แต่ไม่เคย learn to compose (คือเรียนไปแล้วเรียนเขียนให้ถูกต้องด้วย) ถ้าจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ในไทย แล้วไปต่อนิติศาตร์ปริญญาโทหลักสูตรอินเตอร์หรือไปเรียนต่อในต่างประเทศ ก็ฟังคำบรรยายรู้เรื่องแล้วเรียนจบปริญญาโทมาได้ แล้วทำงานในไทยเป็นนักกฎหมายได้ เป็นผู้พิพากษาได้ เป็นอาจารย์สอนกฎหมายในมหาลัยได้
"แต่ถ้าให้ไปว่าความแข่งกับนักกฎหมายฝรั่งเจ้าของภาษาในศาลฝรั่ง ละตายแบบเขียดแน่ๆ"
เพราะภาษาเขียนจะแพ้เขาขาดลอย กว่าจะไต่เต้าไประดับใช้ภาษาอังกฤษว่าความแข่งกับนักกฎหมายฝรั่งเจ้าของภาษาในศาลต่างแดนน่ะ มันต้องออกแรงเรียนเขียนภาษาอังกฤษอย่างหนักๆอีกหลายปี (ส่วนใหญ่จะเกิน 10 ปีขึ้นไป) คนไทยที่เรียนในเมืองไทยแล้วเก่งระดับนั้นก็มี แต่มีน้อยมากๆ
และทักษะอันนี้แหละที่จะทำให้แพ้ชนะกันเรื่องการเข้าสมัครงานใน international law firm
ครั้งหนึ่งเราเคยจะไปเป็นล่ามในศาล ต้องเข้าไปใน international law firm แห่งหนึ่งในย่านหรูๆใน กทม เพื่อไป briefing คือพูดคุยกันเรื่องคดีความที่เราต้องไปเป็นล่ามในศาลนะ ผู้หญิงไทยคนหนึ่งซึ่งทำงานที่นั่น มาพูดกับเราเรื่องคดีความนี้ เธออายุแค่ประมาณ 35 เอง เธอพูดภาษาอังกฤษกับเราเป็นภาษากฎหมาย แม่เจ้าโวย แม่เจ้าประคุณพูดชัดเหมือนคนอเมริกันจริงๆเลย แล้วมีความคล่องตัวสูงมากๆ ใช้ศัพท์สูงมากๆ พูดจาหลักแหลม ใช้รูปประโยคภาษาอังกฤษที่สวยงามมากๆระดับเทพเลยหละ...!!!
ตอนกลับบ้านเราพลิกนามบัตรเธอดู เห็นข้อความว่า
"เธอจบปริญญาโทนิติศาสตร์จาก Harvard"
คนเก่งอังกฤษระดับนั้นแค่อายุ 35 มันต้องไปอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุต่ำกว่าสิบสามขวบแหงๆเลย เพราะถ้าเรียนในเมืองไทยตั้งแต่ปริญญาตรีไปจนถึังปริญญาโทแล้วเก่งอังกฤษระดับนั้นนะ กว่าจะเก่ง สงสัยอายุจะต้องซัดเข้าไปเกือบๆ 50 หรือกว่า 50 ไปแล้วน่ะ...!!???...
นี่แหละคือข้อแตกต่างที่จะต้องพึงสังวรณ์ไว้ เวลาไปแข่งกันในระดับอินเตอร์ นั่นก็คือว่า
"ความรู้อาจเรียนทันกันหมดก็จริง แต่จะเรียนทันเมื่ออายุเท่าไหร่?"
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 16:22:20
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 13:57:35
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 12:21:12
แก้ไขเมื่อ 28 ธ.ค. 52 12:14:07