ความคิดเห็นที่ 1 รู้ได้ไงว่าคนมีประสิทธิภาพมากกว่า? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 22:34:35

ความคิดเห็นที่ 2 เอาง่ายๆ อย่างระดับความเป็๋นอยู่ในประเทศพวก  อเมริกา EU ทั้งหลาย ทำไมประชาชนเค้าขึ้นมีความเป็นอยู่ที่ดี มีงานทำ เป็นประชาชนชั้นฝีมือมากกว่า ชั้นแรงงานอ่ะคับ และ กลุ่มประเทศนี้ ประชาชนที่อยู่ในภาวะยากจนมีต่ำมาก จากคุณ : takpiboon เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 22:42:20

ความคิดเห็นที่ 3 กระทรวงศึกษาธิการ มันห่วยครับ ทำอะไรคิดถึงแต่ผลประโยชน์ ซื้อคอมโน่นนี่ก็เป็นผลประโยชน์ งบประมาณด้านการศึกษาไทยก็มีมากพอสมควรนะครับ แต่ทำไมไม่มีประสิทธิภาพ ครูเงินเดือนเริ่มน้อย จนไม่อยากเป็นครู อุอุ เลยปล่อยเกียร์ว่างซะ สอนพิเศษเอา จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 22:46:32

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเรียนแล้วสนุกแฮะ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 00:29:54

ความคิดเห็นที่ 5   งบการศึกษามันน้อยครับ และระบบการบ้านก็ใบ้ไม่ได้ผลในประเทศไทย จากคุณ : แบงค์ เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 00:48:40 A:58.9.230.228 X:

ความคิดเห็นที่ 6   ส่วนหนึ่ง ที่สังเกตุเห็นคือที่ต่างประเทศ คนที่มีอาชีพครู จะต้องมีความรู้สูงขนาดสอนเด็กชั้นมัธยมยังจบปริญญาโท และรายได้เขาให้มากสวัสดิการดี ส่วนของไทยที่ผ่านๆมา ใครที่เรียนอะไรไม่ไหวคือหัวไม่ดีก็จะไปเรียนสายอาชีพครู(สมัยก่อนเรียกวิทยาลัยครู) และก็จบมาเพื่อมาสอนเด็ก แล้วอย่างนี้มันประหลาดดีไหม จากคุณ : แวะมาอ่าน เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 03:15:02 A:190.226.58.2 X: TicketID:047074

ความคิดเห็นที่ 7   งบการศึกษาไทยสูงเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆทั่วโลก กระทรวงศึกษาธิการไทยได้รับงบประมาณมากที่สุดในประเทศไทย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่นักเรียนถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เรียนหนัก แต่คุณภาพการศึกษาต่ำ มีรายงานการศึาษาล่าสุดที่อ่านเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว งบประมาณการศึกษากว่า80เปอร์เซนต์ จ่ายไปเป็นค่าบุึคคลากร นักเรียนไทยเรียนหนัก เพราะนักการศึกษาไทยกำหนดให้ทุกวิชามีความสำคุญเท่ากันหมด นักเรียนไทยต้องเก่งหมดทุกวิชา จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 05:35:08 A:58.9.140.232 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 8 การศึกษาไทย กับต่างชาติ อยู่ที่จะวัดคุณภาพ ประเภทไหน ถ้าวัดเรื่อง ความรู้ทั่วไป เด็กไทยอาจจะกินขาด ชาติอื่นๆ เพราะรู้รอบไปหมด เนื่องจากการศึกษาไทย ใช้ระบบท่องจำ และให้ความสำคัญเกือบทุกวิชา แบบครอบจักรวาล แต่ในระบบ การคิด วิเคราะห์ ค้นคว้าข้อมูล รายงาน สรุปแล้ว ไม่ว่าในระดับไหน การศึกษาขั้น ประถม มัธยม หรือ ระดับ มหาวิทยาลัย แทบจะไม่มีให้ทำกันเลย เพราะถ้าใช้ระบบนี้ อาจารย์จะเหนื่อย..... เพราะตรวจการบ้าน ตรวจรายงานเยอะขึ้น ต้องอ่านมากขึ้น คิดตามเด็ก แล้วค่อย ให้คะแนน มันลำบาก เลยไม่ทำ อาจารย์เดี๋ยวนี้ ขี้คร้าน หนักขนาดข้อสอบ ยังลอกจากหนังสือติวสอบที่ขายๆกันเลย แล้วจะไปหวังอะไร กับเด็กนักเรียน เมื่อออกจากพิมพ์ห่วยๆ แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 07:32:13 จากคุณ : คนชอบเขียน เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 07:31:35

ความคิดเห็นที่ 9 ด้านเหลวๆคนภายนอกไม่ค่อยเห็นหรอก จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 08:01:34

ความคิดเห็นที่ 10 1. เด็กประถมถึงมัธยมปลายต้องเรียนหลายวิชามากเกินไป เนื่องจากคนในแวดวงการศึกษาได้รับผลประโยชน์ในการอนุมัติหนังสือเรียน และการจัดพิมพ์ขายหนังสือเรียน 2. ค่านิยมว่าต้องรู้หลายๆวิชา และต้องจำให้ได้ เด็กเลยเรียนจำ แต่คิดไม่เป็น 3. ประเพณีนิยมที่ถือปฎิบัติกันมาช้านาน ก็คือ คนเรียนไม่เก่งก็แห่กันไปเรียนครู เพราะค่าตอบแทนน้อยที่สุด ประเทศชาติจึงได้แม่พิมพ์ระดับชั้นที่ไม่เก่งเสียเป็นส่วนใหญ่ (มีคนเก่งๆที่ยอมไปเป็นครูแล้วกัดก้อนเกลือกินน้อยมาก...แต่ก็มีัคนเก่งที่มาจากตระกูลร่ำรวยยอมไปเป็นครูบ้างเหมือนกันนะ เพราะเป็นที่นับหน้าถือตา แล้วไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน....) 4. กฎระเบียบในการออกใบอนุญาตครูระดับมัธยม แค่กำหนดว่าต้องเรียนอะไรมาถึงได้ใบอนุญาต บางคนเรียนมหาลัยแบบเรียนยังไงก็ผ่าน (มหาลัยต้องปล่อยผ่านหมดเพราะนักศึกษาเป็นพวกเหลือเดนมาจากเรียนที่อื่นไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ปล่อยผ่านมหาลััยจะไม่มีบัณฑิตรับปริญญาบ่อยๆ จนมหาลัยต้องปิดกิจการไป)  ครูที่เรียนจบมาแบบนี้ ไม่เก่งพอที่จะสอนได้ เพราะ "คิดไม่เป็น" แต่ก็ได้ใบอนุญาตไป วิธีเยียวยา ควรเปลี่ยนกฎระเบียบเรื่องการออกใบอนุญาต และเปิดกว้างให้ใครก็ได้ ที่มีความรู้ความสามารถ และที่สำคัญที่สุด ก็คือ "ต้องคิดเป็น" เข้ามาแข่งขันกัน เช่นสอนแข่งกันใน youtube แล้วให้คนทั่วประเทศลงคะแนนกัน ถ้าได้คะแนนมากๆ ก็ให้ได้ใบอนุญาตไป (โดยไม่คำนึงถึงว่าวุฒิการศึกษามีแค่ไหน) และให้ได้เงินเดือนตามลำดับชั้นของคะแนน ลองไปอ่านดูเรื่องราวของครูสอนเลข ที่ไม่น่าจะสอนเลขเก่งได้เลย เนื่องจากเขาใช้เหตุผลไม่เป็น (ถึงขั้นระบบตรรกะในสมอง "ชำรุดอย่างแรง") ตาม link ข้างล่างไปอ่านดู แล้วจะทึ่ง http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8709561/K8709561.html แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 52 01:09:23 แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 09:01:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 08:55:43

ความคิดเห็นที่ 11 เพื่อนที่ไป AFS สมัยมัธยม บอกว่าเด็กไทยคิดเลขเก่งกว่าพวกอื่นนะ แต่เมืองไทย ชอบสอนยัดเยียด และไม่สอนให้คิดอะครับ คือจะยัดเยียดๆๆแล้วให้พูดให้ทำตามนี้ แต่จะไม่ถามว่าอันนี้จะใช้วิธีคิดอะไรอันอื่นได้บ้าง แล้วก็เรียนหลายวิชาเกิ๊นนน เรียนแบบจับฉ่าย ชอบไม่ชอบก็ต้องเรียน จำได้เมือ่ก่อนเคยโดนโห่ เพราะเสนอวิธีคิดโจทก์เลขไม่เหมือนที่ครูสอน จากคุณ : ศุกร์เล็งลัคนา เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 10:58:48

ความคิดเห็นที่ 12 ปัญหาหนักอกชาวไทยปัญหาหนึ่ง จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 11:26:00

ความคิดเห็นที่ 13   เอางี้แล้วกัน ครูประถม มัธยม สิงคโปร์ มีจบ Oxford,Cambridge, Stanford, Harvard กันเพียบครับ ส่วนตัวรู้จักคนจบ ป.ตรีฟิสิกส์จาก Cambridge แล้วกลับไปสอนวิทยาศาสตร์มัธยมประมาณ ม.ต้น ที่สิงคโปร์ แค่นี้คุณภาพการเรียนการสอน บุคลกรก็แตกต่างกันมากแล้วล่ะครับ ปล.คนเป็นครูเขาได้เงินเดือนสูงอยู่ครับ ไม่ต่างจากอาชีพทรงเกียรติอื่น ๆ ในสังคม จากคุณ : เข้ามาบอก เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 11:46:37 A:75.18.173.75 X: TicketID:243325

ความคิดเห็นที่ 14   ส่วนครูไทยจบราชภัฏพอกระเทิน ขี่มอเตอร์ไซอ่าง (ฮาๆ) ถ้าจะให้การศึกษาไทยดีเท่าประเทศพวกนั้น คุณภาพบุคลากรต้องพัฒนาอีกเยอะ ผลตอบแทนต้องไม่ต่ำ สามารถชักจูงให้คนเก่ง ๆ มาเรียนครูกันได้ ครูไม่ต้องทำอาชีพเสริม ขายขนม สอนพิเศษ ฯลฯ จากคุณ : เข้ามาบอก เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 11:50:32 A:75.18.173.75 X: TicketID:243325

ความคิดเห็นที่ 15 รู้จักเด็กคนหนึ่งจบคุรุศาสตร์บัณฑิตเอกการสอนดนตรีจากจุฬา มีความเชี่ยวชาญด้านดนตรีมากๆ พอจบมาก็ตระเวนสอบบรรจุครูไปทั่่ว สอบแล้วสอบอีกอยู่หลายปี เพื่อนๆเธอจากสถาบันเดียวกันที่บรรจุครูไปหมดแล้วเป็นห่วง ก็โทรมาถามเธอว่า "ยังดื้อไม่ยอมเอาเงินไปซื้อตำแหน่งดีๆอีกหรือ เงินแค่ .....บาทเอง ฉันกับพวกเพื่อนๆบอกแล้วไงล่ะว่าให้ไปที่...แล้วไปหาคนชื่อ..." เธอตอบมาว่า "เป็นไงก็ไม่ยอมเอาเงินไปยัดใต้โต๊ะให้พวกมันอย่างเด็ดขาด" ผลก็คือเธอหลังจากตามจี้หน่วยงานต่างๆดังกล่าว เธอก็ได้รับการบรรจุครูอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ทุกครั้งจะเป็นตำแหน่งครูในโรงเรียนใน 1 ใน 4 จังหวัดภาคใต้ เธอจึงไปที่หน่วยงานดังกล่าวแล้วถามว่า "ฉันเรียนก็เก่งทำไมจะต้องส่งฉันไปยังที่ซึ่งเสี่ยงภัย" คำตอบจากเจ้าหน้าที่ก็คือ "คนเรียนเก่งควรเสียสละเพื่อสังคม" ...555+++... ตอนนี้ เท่าที่ได้ยินข่าวนะ คุรุศาสตร์บัณฑิตจอมดื้อขวางโลก (ที่ไม่ยอมยัดเงินใต้โต๊ะซื้อตำแหน่งครู) คนนั้น กลับไปที่บ้านเกิดตัวเองที่เชียงใหม่ แล้วไปยืนขายเหล้าดองยาอยู่ข้างๆถนนใกล้ๆบ้านเธอนั่นเอง...555+++... แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 12:57:21 แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 12:56:23 แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 12:36:57 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 12:27:06

ความคิดเห็นที่ 16 ใครที่ได้ตำแหน่งครู แล้วไปลงที่โรงเรียนดีๆ โดยการเอาเงินยัดใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่ คนไหนมีใครกล้าแอ่นอกมาลงชื่อรับสารภาพ และเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมา ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศฟังบ้างหรือไม่ล่ะ ถ้ามีรายชื่อเยอะๆ (ทางการต้องเสนอว่าจะให้ได้รับนิรโทษกรรมกันหมดนะม่ายงั้นไม่มีใครกล้าหรอก) บางทีมันจะเป็นหลักฐานที่จะทำให้หน่วยงานด้านการศึกษาของไทยได้รับการแก้ไขในเรื่อง corruption นี่อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้การศึกษาไทยไม่เจริญเท่าที่ควร ซึ่งสมควรที่จะได้รับการแก้ไขมานานแล้ว แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 13:00:23 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 12:31:24

ความคิดเห็นที่ 17 ความจริงประเทศไทยเป็นประเทศที่มี วัฒนธรรมความเป็นครูสูงกว่าประเทศอื่นๆอยู่แล้วในตัวเอง สะท้อนได้จาก หลายๆวัฒนธรรมทั้งไหว้ครู และอื่นๆ แต่สิ่งที่ทำให้ความเป็นครูมันยังไม่เจริญทุกวันนี้ไม่ใช่ตัวครู ปัจจุบันเชื่อว่าครูมีความสามารถเพียงพอให้การสอน แต่ระบบการศึกษาล่ะ? ตอนนี้ใครเค้าอยากเป็นครูกัน นอกจากพวกรับใช้อุดมการณ์ตัวเอง เป็นครูมันจะดีไหม เป็นครูสอนจบ 60 เงินเดือน 30k น้อยขนาดนี้ จบปริญญาตรีบางสายเงินเดิือนยังมากว่านั้นเลย แถมครูยังมีปัญหาสุขภาพตามมาทั้งหลอดเสียง เส้นเสียงที่จะอักเสบกันเป็นเป็นว่าเล่นครูหลายๆคนของดิฉันก็มีปัญหาด้านเสียง ตะเบงกันจนไม่มีจะเสียงจะคุยกัน ทุกวันนี้ก็มีแต่คนบอกว่า เป็นครูน้อยลง เป็นครูน้อยลง ก็ไม่เคยพัฒนาอาชีพครู แล้วคนเค้าจะยากเป็นครูกันอยู่ไหม ถ้าเรายังคิด การศึกษา ในรูปแบบ การเมือง ก็จะไม่มีทางสร้างประเทศไทยให้ เจริญขึ้นมากกว่านี้ได้ หนทางสร้างชาติไทยก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น ทุกวันนี้คนที่รับใช้อุดมการณ์ครูเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ  และัคนบางทีก็เริ่มดูถูกครูกันมากขึ้น แล้วมันจะเจริญไหมคะ? ถ้ายังมีปัญหาแบบนี้กันอยู่? แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 14:26:27 จากคุณ : Madam Kinnaree เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 14:18:28

ความคิดเห็นที่ 18   ที่ไต้หวันอาชีพครู เป็นอาชีพที่การสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย มีการแข่งขันสูง ยากรองจากอาชีพแพทย์เท่านั้น การแข่งขันเข้าเป็นครูมีสูงมาก เงินเดือนเฉลี่ยก็สูง พอ ๆ กับหรืออาจจะมากกว่าวิศวะฯ ไม่ต้องห่วงว่าคนเก่ง ๆ ของเขา จะมาเรียนครูกันเยอะแค่ไหน นักเรียนไต้หวันทำคะแนนได้สูงอันดับหนึ่งในห้าของโลกในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จากคุณ : เข้ามาบอก เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 14:31:24 A:75.18.173.75 X: TicketID:243325

ความคิดเห็นที่ 19   การสอนแบบวิเคราะห์ หรือการให้นักเรียนเขียนเรียงความมาส่งเป็นการบ้านทุกวันๆทำในเมืองไทยไม่ได้ เพราะ ในห้องเรียนหนึ่งห้องมีนักเรียนมากเกินไปค่ะ ประเทศอื่นมีนักเรียนต่อห้องราวๆ ยี่สิบถึงสามสิบคน และในสายหนึ่งมีนักเรียนสี่ห้าห้องเท่านั้น แต่ของไทยเราห้องหนึ่งมีนักเรียนห้าสิบคน สายหนึ่งมีสิบกว่าห้อง ทำให้ครูหนึ่งคนตรวจรายงานตรวจเรียงความ หลายๆร้อยเรียงความทุกวันหรือทุกสัปดาห์ไม่ได้ เวลาประเมินผลจึงต้องประเมินแบบปรนัยเป็นหลัก และธรรมชาติของข้อสอบปรนัยมันเอื้อต่อการประเมินความจำมากกว่า ถ้าครูไม่ฉลาดขั้นเทพจริงๆครูจะไม่สามารถออกข้อสอบปรนัยที่ประเมินความรู้ในเชิงวิเคราะห์ได้เลย เรื่องของเนื้อหา ดิฉันไม่มองว่ามีปัญหาอะไร เพราะสมัยเรียนก็รู้สึกสนุกและรู้สึกว่ามันหลากหลายดี แต่เรื่องที่ควรต้องปรับปรุงและน่าจะถือเป็นประเด็นหลักของความล้าหลังด้านการศึกษาไทยก็คือ 1.ต้องลดปริมาณนักเรียนต่อชั้นลง 2.ต้องให้มีการสอบใบประกอบวิชาชีพครูและประกันเงินเดือนขั้นต่ำของครูให้สูงเทียบเท่าหมอหรือผู้พิพากษาไปเลย หรือถ้าทำเรื่องเงินเดือนสูงไม่ได้ก็ใช้วิธีให้สวัสดิการชนิดที่ไม่มีมนุษย์คนไหนปฏิเสธได้ลง เช่น ให้รักษาโรคฟรีนอนห้อง พิเศษ ให้ใช้มือถือฟรีคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ทฟรี ให้ลูกครูได้เรียนฟรีถึงปริญญาเอกโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นสถาบันเอกชนหรือ ของรัฐ เบิกค่าบ้านได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ รัฐบาลดาวน์รถคันแรกให้ฟรี เที่ยวเมืองไทยฟรีทั้งครอบครัวทุกปีโดยขึ้น การบินไทยฟรีส่วนค่าที่พักให้จ่ายเองสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออื่นๆ 3.ต้องสร้างระบบประเมินครูที่เป็นระบบชัดเจนและให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็นการประเมินจากนักเรียน จากผู้ปกครองนักเรียน จากครูใหญ่ หรือจากส่วนกลาง เอกสารประเมินที่ได้จากทุกฝ่ายให้ถือเป็นความลับของราชการ ไม่ใช่ว่านักเรียนหลายต่อหลายรุ่นประเมินให้ติดลบแต่ก็ยังอยู่เป็นครูได้เพียงเพราะเป็นเพื่อนซี้กับครูใหญ่ ระบบประเมิน ต้องให้ความสำคัญต่อเสียงของทุกฝ่ายอย่างจริงจัง 4.เพิ่มครูเฉพาะวิชาให้มากขึ้น(ควรให้สอบแข่งขันเข้าเรียนเหมือนแพทย์เฉพาะทาง ถ้าสอบไม่ได้ก็เรียนไม่ได้ ไม่ใช่ ให้เลือกเรียนเอา) เมื่อจบแล้วให้ส่งไปสอนในชนบทด้วยค่าตอบแทนสูง ดูเหมือนว่าครูจะมีล้นประเทศแต่จริงๆแล้วในเขตชนบทที่แม้จะไม่ห่างไกลก็ยังขาดแคลนครู โดยเฉพาะครูเฉพาะวิชา อย่างเช่นครูภาษาอังกฤษ ครูวิทยาศาสตร์ ดิฉันเคยมีเพื่อนที่มาจากอำเภอแห่งหนึ่งที่ไม่ได้ทุรกันดารอะไรเลย ในตารางเรียนของเพื่อนมีชื่อวิชาภาษาอังกฤษอยู่ แต่เวลาเรียนจริงๆไม่มีครูมาสอน มีแต่ครูประจำชั้นมาบอกให้อ่านหนังสือหรือทำการบ้านตามใจชอบ และตลอดหกปีตั้งแต่ม.หนึ่งถึงม.หก คาบวิชาภาษาอังกฤษของเพื่อนคนนี้จะเป็นแบบนี้ตลอด ฟังแล้วไม่น่าเชื่อแต่เพื่อนก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จากคุณ : ครูน้อยในทะเล เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 15:10:11 A:118.21.8.82 X: TicketID:166429

ความคิดเห็นที่ 20   ถูกใจความเห็นคุณครูน้อยในทะเล #19 มากครับ ลองเข้าไปดูเวปของโรงเรียนวิทยาศาสตร์ที่่ว่ากันว่าดีที่สุดในประเทศไทย คือมหิดลวิทยานุสรณ์ ครูแต่ละคนจะมีเวปไซต์ มีประวัติการศึกษา material การเรียนการสอนที่ดีมาก ๆ เลย ดีกว่าสมัยผมเคยเรียนมัธยมเยอะเลย ต้องขอชมเชย ถ้าหากสามารถพัฒนาให้โรงเรียนอื่น ๆ ทำได้แบบนี้การศึกษาไทยน่าจะดีขึ้นเยอะ (แต่อย่าลืมว่าเขาเป็นองค์กรมหาชน เรื่องเงินเดือนผลตอบแทน ก็คงจะสูงกว่าครูในระบบราชการปกติ) เรื่องขึ้นเงินเดือนครูก็ควรจะทำ แต่ว่าตอนนี้ครูไทยมีหกแสนกว่าคน ขึ้นเงินเดือนทีก็งบประมาณไม่น้อย และ ณ ปัจจุบัน เงินงบประมาณที่ลงในการศึกษาไทยที่เอาไปจ่ายเป็นเงินเดือน หรืออื่น ๆ ก็ถือว่าเยอะอันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว ถ้าจะเพิ่มเงินเดือนอีก ก็คงจะต้องคิดหาทางว่าจะทำยังไงถึงสามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพได้จริง ๆ (อาจจะเริ่มที่โรงเรียนบางแห่ง หรือพื้นที่บางแห่ง ไปก่อน ไม่ใช่เพิ่มทีเดียวทั้งประเทศ) จากคุณ : เข้ามาบอก เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 15:29:43 A:75.18.173.75 X: TicketID:243325

ความคิดเห็นที่ 21 ผมขอพูดในสิ่งที่นอกเหนือจาก วิชาการ 1 เด็ก นักเรียน นักศึกษาบ้านเราอาจจะ "คิดด้วยตัวเอง" ไม่ค่อยเป็น เนื่องจากถูกสอนให้ ฟังคำสั่งมาตั้งแต่เด็ก 2 "ความมีวินัยในตัวเอง" ของเรายังไม่เพียงพอครับ ตราบใดที่ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครจับได้ ไม่มีกฏหมายระบุไว้ ถือว่าไม่ผิด การมาสาย การลอกงานเพื่อน การลอกข้อสอบถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำจนชิน 3 "เราไม่รู้จักตัวเอง"ดีพอ ตามกระแสไปเรื่อยๆ เฮกันไปเป็นช่วงๆแล้วก็เลิก ไม่มีระบบการคัดกรองในการเลือกใช้ในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง เราละเลยวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งที่เจอกับตัวเองและพบบ่อยมากกับผู้อื่นคือ ไม่รู้จะเรียนอะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียนหรือที่ทำงานอยู่มันใช่สิ่งที่เราต้องการไหม หากเรามีสิ่งต่างๆที่กล่าวมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องพึ่งการศึกษาในระบบเพียงอย่างเดียว ที่คิดได้ตอนนี้มีเท่านี้ครับ อาจจะต้องรอท่านอื่นมาตอบเพิ่ม เพราะคิดว่ามันคงมีองค์ประกอบมากกว่านี้ จากคุณ : BubbaGump เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 19:27:30

ความคิดเห็นที่ 22 เคยเป็นครูทั้งในไทย อเมริกา และอิสราเอลนะคะ คิดว่า ที่การศึกษาไม่ก้าวหน้าอยู่ที่ "ระบบ" และ "ทัศนคติ" มากกว่าเรื่องเงิน เรื่องงบ  ครูจบมาจากที่ไหน ฯลฯ ที่อเมริกาดูง่ายๆ เลย  เขามีระบบและมาตรฐานขั้นต่ำที่ดี เช่น - ครูต้องเคารพความเป็นคนของเด็ก และต้องเคารพอาชีพครูของตัวเอง - หลักสูตรชัดเจน  ปีหนึ่งเรียน ๑๐ เดือน แต่ละเดือนต้องสอนให้ได้ถึงแค่ไหน - วิธีการสอนหลากหลายและต้องสนุก น่าสนใจ - มีระบบทีม เช่น ครู ป.๒ สมมุติว่า มี ๕ ห้อง ครูจะมาคุยกันถึงวิธีสอน และการเตรียมการสอน  วิธีประเมินเด็ก ทุกอาทิตย์ มีปัญหาเร่งด่วนคุยกันได้ - ครูต้องไปอบรมสั้นๆ ทุกเดือน ทุกเทอม และได้พบปะแลกเปลี่ยนกับคนอื่น - เมื่อมีเด็กพิเศษ หรือใครมีวี่แวว ว่าจะ นอกกรอบมาตรฐาน เช่น เก่งไป เรียนเร็วไป ช้าไป ป่วน เรียนอ่อน ต้องเรียนอย่างเงียบ อ่านไม่ออก ฯลฯ มีที ร.ร.support ครูประจำชั้นเอาปัญหาของเด็กมาเสนอในที่ประชุมที่เรียกว่า SST - student study team (ซึ่งส่วนมากมีคิวไม่เกิน ๕ อาทิตย์ตั้งแต่ครูแจ้งเรื่องไป)  ในทีมจะมีครูประจำชั้น ครูระดับ ครูเก่าเด็ก ครูใหญ่ นักจิตวิทยา ครูฝึกพูด  ครูพฤติกรรม (บางเคสมีพยาบาล) ด้วย คุยกันเคสละครึ่ง - ๑ ช.ม. แล้วเอาไปดำเนินการต่อ  มีการสังเกต การเทสต์เด็กจากมืออาชีพหลายๆ คน ในหลายๆ ทาง  เป็นการจัดการศึกษาให้เหมาะกับเด็กๆ ได้ตั้งแต่อนุบาลไปเลย - ผู้บริหารไม่ได้เป็น "นาย" ของครูน้อย  แต่เป็นผู้ประสานงานให้ ร.ร.และการเรียนการสอนไปได้ด้วยดี - ร.ร. ครอบครัว และ น.ร.มีการติดต่อกันตลอด มีเว็บฯ ร.ร.บอกการบ้านและเกรดรายวัน  (รวมทั้งพฤติกรรมเด็กด้วย - ต้องใช้ code ส่วนตัวเข้าไปดู) - เขาเน้นที่สอน hand -on อย่างสนุกและน่าสนใจ - มีกิจกรรมพิเศษ (แบบไม่เสียเงิน) เพียบค่ะ เช่น การแสดงของ น.ร.คิดเอง ทำเอง วงคอรัสของ ร.ร. คลับรักนักอ่าน ทีมหมากรุก ฯลฯ - เขาสอนให้เด็กรักและภูมิใจในตัวเอง  รวมทั้งรู้สิทธิ์ของตน และเคารพสิทธิ์ของคนอื่น  มีการปลูกฝังให้รักกติกา และความชอบธรรม  มีอะไรให้แก้ปัญหากันในระบบ  อย่างไม่ใช้ความรุนแรง หรืออำนาจ - - ซึ่งตรงนี้ในระบบการศึกษาไทย แทบจะเป็นตรงกันข้าม (ดูได้จากในแวดวงหลักอื่นๆ เช่น การเมือง ศาสนา ฯลฯ) ในบ้านเรา มีการใต้โต๊ะ เล่นพรรคเล่นพวกกันมาก ต้องคิดตาม ห้ามคิดต่าง  ที่อเมริกา ถ้าเด็กคนไหน คิดต่างอย่างมีเหตุผลและข้อมูลที่ดี  โอ้...จะเท่มากๆ ครูจะชม เพื่อนจะชื่นชอบว่า   "คิดได้ไง" - เด็กดี ครูดี (คือ รู้จักคิด ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบงาน) จะได้รับการยอมรับ ได้รับความภูมิใจ (เช่นประกาศในที่ประชุม ติดรูปหน้าบอร์ด ร.ร.ฯลฯ) จะไม่มีได้รางวัลเป็นวัตถุ เงินทอง และที่สำคัญคือ การศึกษาจะส่ง "แก่น" ว่า ทุกคนมีจุดดี จุดด้อย และเราสามารถทำตัวของเราและชุมชนให้ดีขึ้นได้ค่ะ เยอะแล้วเนอะ  แค่นี้ก่อนค่ะ จากคุณ : ต้นจั่น เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 19:54:32

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ ต้นจั่น ชอบครับ ขอเยอะๆเลยผมชอบอ่าน อยากรู้ว่าระบบเมืองนอกเค้าเป็นอย่างไร ปัจจุบันผมอยู่ ปี 2 และเห็นด้วยกับคุณต้นจั่นครับ ว่าการสอนอย่างสนุกนั้น "ทำให้เด็กสนใจมากจริงๆ" ครับ แต่ครูไทยส่วนใหญ่สักแต่สอน และสอนน่าเบื่อ(บางทีก็ไม่มีการเตรียมการสอนมา เปิดสไลด์อ่านตาม) ชวนจะหลับและไม่มีความน่าสนใจ หรือการ Present ที่ทำให้ชวนติดตามเลยครับ นานๆทีผมจะเจอครูสอนสนุก และมักจะทำวิชานั้นได้คะแนนดีเสมอถึงแม้ว่าจะเป็นวิชาที่ตนไม่ชอบก็ตาม(แต่ถ้าเป็นวิชาที่ชอบ ต่อให้น่าเบื่ออย่างไรก็ยังทำคะแนนได้ดีอยู่ครับ) อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าบั่นทอนต่อศักยภาพเด็กหลายๆคน คือการเรียนจับฉ่าย ซึ่งการเรียนทุกวันก็หนักอยู่แล้ว ไหนจะมีการเรียน ร.ด. นักศึกษาวิชาทหารอีก ใครๆก็คิดได้ครับ ว่าเด็กที่ไม่เก่งหรือในระดับกลางๆเจอแบบนี้จะเป็นอย่างไร ผมขอเน้นย้ำนะครับ ในมุมมองของผมการรู้ครอบจักรวาลหรือการเรียนสุ่ม "ไม่ใช่หนทางที่นักเรียนจะสามารถค้นพบตัวเองได้หรอกครับ" เพราะยิ่งเรียนสุ่มเท่าไหร่ ทำให้เวลาเรียนเยอะขึ้น และทำให้ลดทอนศักยภาพในวิชาที่ตนถนัดมากขึ้นเท่านั้น เพราะต้องแบ่งเวลามาทำวิชาอื่นๆด้วย พูดง่ายๆ เป็นเป็ดครับ ทำได้หลายอย่างแต่ก็ไม่เก่งหรือไม่รู้จริงสักอย่าง เพราะฉนั้นผมคิดว่าควรจะมีครูแนะแนวที่ดีด้วย และควรจะเปิดให้ " เรียนเสรี " ได้มากกว่า " การบังคับเรียน " เรียนก็เยอะแล้ว ยังต้องเรียนพิเศษกันหัวโตอีกด้วย แถมยังกิจกรรมโรงเรียน กิจกรรมกีฬา อื่นๆอีกมากมาย คนที่เก่งไปหมดทุกอย่างคือเทพจริงๆครับ แต่จะมีสักกี่คน ? และถามว่าเทพในส่วนน้อยเหล่านั้นจะนำพาให้ประเทศไทยเจริญได้หรือไม่ ? แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 20:40:31 แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 20:39:02 จากคุณ : jewes38352 เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 20:37:55

ความคิดเห็นที่ 24 เห็นด้วยกับคุณ Madam Kinnaree  เเละคุณครูน้อยในทะเล  มากๆค่ะ จากคุณ : Tyz เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 22:24:41

ความคิดเห็นที่ 25 ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้ระบบเดิมๆ หายไป ทั้งๆ ที่ คนเดิมๆ ยังพอใจกับวิธีการเดิม กับแนวคิดเดิมๆ และอยู่ในระบบที่มีแต่คนพร้อมจะทำอะไรเดิมๆ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงได้ จริงหรือ? จากคุณ : นายนู้น เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 23:17:02

ความคิดเห็นที่ 26 คห 14 คุณ เข้ามาบอก TicketID:243325   "ส่วนครูไทยจบราชภัฏพอกระเทิน ขี่มอเตอร์ไซอ่าง (ฮาๆ) ถ้าจะให้การศึกษาไทยดีเท่าประเทศพวกนั้น คุณภาพบุคลากรต้องพัฒนาอีกเยอะ " ทำไมไม่ใช้ login เข้ามาตอบเลยล่ะคะ คนไทยด้วยกันดูถูกกันจริงๆ ถูกใจคุณ ต้นจั่น มากค่ะ "คิดว่า ที่การศึกษาไม่ก้าวหน้าอยู่ที่ "ระบบ" และ "ทัศนคติ" มากกว่าเรื่องเงิน เรื่องงบ  ครูจบมาจากที่ไหน ฯลฯ" ถูกใจคุณ Madam Kinnaree "ทุกวันนี้คนที่รับใช้อุดมการณ์ครูเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ  และัคนบางทีก็เริ่มดูถูกครูกันมากขึ้น แล้วมันจะเจริญไหมคะ? ถ้ายังมีปัญหาแบบนี้กันอยู่? จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 00:01:19

ความคิดเห็นที่ 27 คุณ นายนู้น คนเดิมๆ ยังพอใจกับวิธีการเดิม ถ้าประโยคนี้หมายถึงครูล่ะก็ บางคนนะคะ ที่มีอำนาจและยังพอใจอยู่ เพราะพวกนี้มักจะสามารถกลั่นแกล้งคนอื่นได้สารพัด แต่คนที่โดนกลั่นแกล้งก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หากโวยวายพวกของ ผอ. ถ้าเมื่อไรที่รุนแรงถึงขั้นโดนย้าย หรืออยากย้ายไปที่อื่น พวก ผอ ก็จะไปพูดค่ะว่าครูที่ย้ายไปเป็นยังไงๆ กีดกันกันสารพัด และพวกตำแหน่งเดียวกัน ก็แบ่งชนชั้น เออ.. เชื่อพวกเดียวกันไว้ก่อน ประมาณนี้ ควมขัดแย้งกันในองค์กรก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ระบบ มันเละตุ้มเป๊ะ การศึกษาตอนนี้มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจนวุ่นวายไปหมด แล้วนักการเมืองก็มีนักธุรกิจเข้ามามากขึ้น การศึกษาก็กลายเป็นธุรกิจไปอีก ถึงหาข้อยุติได้ วันนี้ พรุ่งนี้ ปีนี้ ปีหน้า ระบบการศึกษาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงแบบที่เราอยากจะให้เป็นมั้ย มันก็คงจะไปผลักดันอะไรไม่ได้หากผู้บริหารระดับสูง ไม่เห็นด้วยและไม่รับรู้กับสิ่งที่เราเสนอมาในกระทู้นี้ อ่านบาง คคห ดิฉันที่เป็นครู ก็โดนด่ารวมไปด้วย ถึงจะไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า อย่างน้อยๆ ก็จบ มรภ. มา ก็โดนเหน็บประมาณว่าคงไม่มีความสามารถทัดเทียมเท่าคนอื่นเขา แทนที่จะมาให้กำลังใจครูให้สู้กับระบบแย่ๆ แล้วก็พัฒนาความรู้ความสามารถตัวเองและดึงศักยภาพในตัวเด็กออกมาให้ได้มากๆ มันคงรู้สึกมีแรงใจไม่น้อยกับชุดกากีที่ใส่อยู่ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 52 07:03:05 จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 00:26:55

ความคิดเห็นที่ 28   ขอบคุณ ความเห็น 22 ต้นจั่น เห็นด้วยกับแนวทางที่นำเสนอท่ดี ต้องเริ่มต้นที่โรงเรียน รัฐบาลต้องกล้าทำและกล้าลงทุนเลือกบุคลากรครู  แม้ต้องใช้เวลามาก อาจจะทำจังหวัดละหนึ่งโรงเรียนเริ่มต้นก่อน ทำอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยวิธีการคัดเลือกบุคลากรให้โปร่งใส ได้คนมีความสามารถมาเป็นครู       เดี๋ยวนี้มีครูหากินบนหลังครู แม้กระทั่งในวงการสหกรณ์ออมทรัพย์ของพวกครูเขาเองยังเบียดเบียนกันเลย  ตัวอย่างเช่นเบี้ยประกันชีวิต คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ ที่คณะครูด้วยกันเป็นสมาชิก เลือกเขามาเป็นคณะกรรมการ ๆควรต้องต่อรองเบี้ยประกันที่สมาชิกต้องชำระให้ต่ำ ต่อรองผลประโยชน์ให้ประโยชน์แก่มวลสมาชิกสูง แต่นี่มีการต่อรองให้เฉพาะผลประโยชน์ให้คณะกรรมการดำเนินการได้รับค่าคอมสูง บริษัทแจ้งเบี้ยต่ำกรรมการขอให้บวกเพิ่มเข้าไปอีก เรียกเก็บส่วนต่างจากบริษัท ทำข้อตกลงล่วงหน้า 10 ปี เห็นแล้วช้ำใจแทนหมู่มวลสมาชิกครู  เพื่อนครูต้องระทมทุกข์แบกรับค่าใช้จ่ายไปอีกนาน ตัวอย่างเล็ก คณะครูต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาให้พวกเขาเอง จากคุณ : นายโย่ง (ศรีสนิท) เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 16:25:32

ความคิดเห็นที่ 29 ในฐานะของผมที่อยู่และเป็นหนูทดลองในระบบการศึกษานี้ ทุกวันนี้ผมมีคำถามเกิดขึ้นในใจ "ทุกวันนี้ผมไปโรงเรียนเพื่ออะไร" ผมลองถามคำถามนี้กับหลายๆคนดู คำตอบที่มักจะได้มีอยู่เพียงไม่กี่คำตอบ "ไม่รู้"  "มาหาเพื่อน"  และ "รอเข้ามหาลัย" ผมไม่รู้ว่าทุกวันนี้ผมไปโรงเรียนเพื่ออะไร ผมชอบโดดเรียนครับ สารภาพเลย ผมไม่่ตระหนักในการเรียนรู้ที่โรงเรียนเลยครับ ทุกคนมองผมว่าเป็นพวกคนที่ไม่มีความรับผิดชอบที่จะมาโรงเรียน แต่การบ้านงานกลุ่มผมก็ทำ แต่สุดท้ายเมื่อเกรดออกมา ทุกคนที่พูดก็ล้วนแล้วแต่ได้เกรดน้อยกว่าผม ( แต่เกรดก็คงไม่ใช่ตัวที่จะวัดอะไรได้นะครับ ) ผมยอมรับว่าการเรียนพิเศษเป็นอะไรที่สามารถช่วยผมในหลายๆเรื่อง ผมมองว่าครูหรืออาจารย์หลายๆท่านไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสอนนักเรียน มาตราฐานของครูคืออะไร teacher , tutor, commentator,หรือ instructor ครูแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ทุกวันนี้ระบบการเรียนการสอนของเราง่าย แต่การสอบเพื่อวัดระดับความรู้นั้นยาก ผมไมู่้รู้ว่าที่ต่างประเทศ การวัดระดับนั้นเป็นไปในลักษณะใด แต่ผมคุยกับเพื่อชาวโรมาเนีย ผมเล่าให้เขาฟังว่า ที่นี่เรียนง่าย แต่สอบยากกว่า มักจะสอบอะไรที่ไม่ค่อยสอน หรือแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สามารถคิดต่อยอด แต่ตัวนักเรียนคิดต่อไม่ได้เพราะไม่ได้ถูกปลูกฝังการคิดแบบนั้น เราถูกจำกัดกรอบความคิด เพื่อนของผมก็พูดออกมาเลยว่า "That's so stupid, I hope they would die" สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นจุดบกพร่องของการศึกษาไทย คือทุกๆอย่างตั้งแต่เด็กเกิดมา ครอบครัวบางครอบครัวไม่ได้เป็นคนที่ค่อนข้างมีความรู้ (ผมใช้คำว่าปัญญาชนได้ไหม?) ดังนั้นการอบรมของพวกเขาก็ยังคงเป็นการสอนให้เด็กเดินตามกรอบความคิดที่ถูกสร้างกันมา ตามวัฒนธรรมเดิม ครอบครัวไม่สามารถสร้างระบบความคิดที่ดีให้แก่เด็ก เมื่อเด็กโตขึ้นเข้ามาอยู่ในโรงเรียน เราก็มักจะมีครูผู้จำกัดความคิดของเรา หากเราคิดอะไรที่ไม่เหมือนท่าน เราก็จะดู "ก้าวร้าว" ในสายตาของผู้ใหญ่ทันที ไม่ว่าเราจะคุยอย่างมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม แต่ก็อาจจะมีเด็กบางคนที่คิดได้ ผมคาดว่าน่าจะมีจากพื้นฐานทางครอบครัว ผมเคยถูกอาจารย์ถามว่า "เธอรู้จักความอาวุโสไหม?" เพราะว่าไปแสดงความคิดเหตุอาจารย์ในเรื่องบางอย่าง (เถียงแบบมีเหตุผล) ในใจจริงๆตอนนั้น ผมตกใจครับ เพราะไม่เคยมีคำนี้ในความคิดของผมเลย ผมมองแค่ว่า ใครให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติกลับ จนลืมไปเลยว่าวัฒนธรรมไทยมันเป็นแบบนี้ ผมเคยไปเรียน Summer ที่อังกฤษ 1 เดือนครับ ระบบการเรียนการสอนของที่นั่นผมว่าค่อนข้างดีมาก เขาจำชื่อเด็กนักเรียนได้ทุกคน มีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน มีการถามความคิดเห็นว่าเป็นอย่างไร หากนักเรียนคนใดคนหนึ่งหายไปจากห้อง มีจะมีรายงานและโทรกับตาม host family (โดนมาแล้ว -_-") ซึ่งว่าอาจารย์ที่นั่นมีความเอาใจใส่กับนักเรียนมากครับ ไม่เหมือนกับที่นี่ นักเรียนมีสิทธิขาดได้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยกับ คุณ "ต้นจั่น" ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นต้องแก้ไขที่  "ระบบ" และ "ทัศนคติ" ของทั้งผู้เรียนและผู้สอน จากคุณ : Sirumkung เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 17:13:24

ความคิดเห็นที่ 30   เด็กจะโตขึ้นเป็นแบบไหน อยู่ที่ผู้ใหญ่ที่จะคอยนำทาง เราก็เป็นคนนึงที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการในโรงเรียน จึงได้สัมผัสชีวิตครูมากขึ้น จึงได้รับรู้และเข้าใจ ทั้งที่เมื่อก่อนเราไม่ชอบคนที่เป็นครูเอาเสียเลย เพราะเราเรียนโรงเรียนที่เรียกว่าค่อนข้างในเมืองแล้วก็ว่าได้ ซึ่งครูส่วนใหญ่ก็จะระดับ คศ.1 ขึ้นไปแล้ว ทำงานมาแล้วหลายปี แต่จบมาแล้วเราเลือกที่จะไปอยู่โรงเรียนแถวชายแดน ซึ่งครูที่เคยสอนเรา กับครูที่เป็นเพื่อนร่วมงาน มันช่างต่างกันลิบลับ เพราะครูชายแดนเขาจะสนิทกับนักเรียนมากกว่า เราเพิ่งรู้ว่า การไปเยี่ยมบ้านเด็กมีมาตั้งนานแล้ว แต่สมัยเราเรียนครูไม่เคยไปเยี่ยมบ้านนักเรียนเลย (ไม่รู้ว่าเพราะอะไร) แล้วพอเราเริ่มไปทำงาน เรารู้สึกว่าครูเดี๊ยวนี้ นอกจากจะสอนนักเรียนวันละ 6 ชั่วโมงแล้ว เวลาที่เหลือ ยังต้องเจียดเวลามาทำงานส่งสำนักงานเขต ฯ เวลาที่มีเรื่องเข้ามา ยิ่งเวลาทางสำนักงานเขต ฯ มาตรวจ หละก็ ไม่ต้องสอนไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลย แล้วห้องนึงก็มีนักเรียนเยอะมาก ครูอยากจี้ทีละคนใจแทบขาด แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำ ก็เลยต้องสอนตามกำลัง แล้วครูก็มีหลายอย่าง คือ ข้าราชการครู พนักงานราชการ และครูอัตราจ้าง เราไม่เข้าใจว่าเขาเป็นครูทำหน้าที่สอนเหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงได้ค่าตอบแทนไม่เหมือนกัน ทั้งที่เขาก็เรียนจบมาเหมือนกัน มีใบประกอบวิชาชีพเหมือนกัน อย่างแถวชายแดนจะมีเงินค่าพื้นที่พิเศษตอบแทนให้ แต่จะให้เฉพาะข้าราชการครูกับลูกจ้างประจำ ไอ้เราก็นึก แล้วพนักงานราชการ ครูอัตราจ้าง (กะจนท.ธุรการด้วย) พวกนี้เหยียบกับระเบิดแล้วจะไม่ตายหรือไงฟ่ะ เราว่าวิธีแก้ไขง่าย ๆ มันก็มีแค่ ยกย่องครู ที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูงให้มีรูปธรรมมากขึ้น  ไม่ต้องมากมายถึงขนาดว่าส่งลูกส่งหลานเขาเรียน หรือให้ไปเที่ยวทั่วไทย แต่ให้ยกย่องพวกเขาให้เหมือนกับที่เรายกย่องคนที่ประกอบวิชาชีพขั้นสูงอื่น ๆ ก็พอ และผู้ใหญ่ที่มีอำนาจเลิกทำอะไรก็อิงถึงผลประโยชน์ ให้นึกถึงตัวเด็กเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงไล่มาจนถึงครูผู้น้อย เพราะว่าถ้าหากไม่มีเด็กนักเรียน เราก็ไม่มีงานทำ จากคุณ : ดอกแก้วสีส้ม เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 52 21:01:58

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ Sirumkung ถ้าสอนเพียงแค่ไม่กี่คน ก็พอจะจำได้ค่ะ ดิฉันเคยอยู่ รร ประจำจังหวัด เทอมๆ นึง สอนนักเรียน 200 กว่าคน ปีนึงก็เกือบ 500 คน จำชื่อไม่ค่อยได้หมดค่ะ แต่จำหน้าได้ ว่าเคยสอนใคร มันก็มีข้อจำกัดตรงนี้ด้วยนะคะ และอย่าลืมว่าครูบ้านเรากับครูต่างระเทศ ระบบมันไม่เหมือนกัน เขาสอนอย่างเดียว ยังมีสมองว่างเหลือพอให้จำชื่อ นร. แต่บ้านเรา งานหลักจะเป็นอย่างอื่น งานสอนเกือบจะกลายเป็นงานรองไปแล้ว เพราะถึงเวลาสอนก็มัวแต่ทำงาน แต่ตอนนี้บรรจุแล้ว นักเรียนมี 200 กว่าคน ทั้ง รร เด็กที่สอน จะจำได้เกือบทุกคน และจะสอนให้เด็กรู้สึกว่าเราใส่ใจ โดยการถามและหากเขาจะตอบผิดหรือถูก ก็จะให้เพื่อนปรบมือให้ แต่ไม่เคยว่าเด็กค่ะ ถ้าเขาตอบผิด แล้วโดนเพื่อนหัวเราะ ดิฉันมักจะบอกเสมอว่า อย่าหัวเราะเพื่อน ทุกคนมีสิทธิ์ตอบได้ทั้งผิดและถูก ไม่อย่างนั้นครูจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนเข้าใจไม่เข้าใจ ทัศนคติเดิมๆ พวกเด็กๆ หากคิดผิด คิดไม่เหมือนครู อย่างแรกที่โดนไม่ใช่ครูว่านะคะ นักเรียนกันเองนี่แหละที่หัวเราะเยาะก่อน เพราะนิสัยคนไทยจะชอบดูถูกคนอื่นเสมอหากเขาทำผิดพลาด ตอนนี้เรียนต่อโท ก็เวลา ดร. ถามก็ชอบตอบค่ะ แต่เวลาตอบผิดทีไร ดร. จะพูดใส่ดิฉันประมาณว่า โง่ สงสัยต้องให้กลับไปเรียนใหม่ เอ้า.. ดิฉันก็นึกในใจ ถ้าฉลาดแล้ว รู้แล้ว จะมาเสียเงินเรียนทำไม มาเรียนเพราะไม่รู้และอยากได้ความรู้ ไม่ใช่มาเรียนเอาเกรด ไม่ว่าจะในระดับไหน ประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ผู้สอน ก็ไม่แตกต่างกันในบางจำพวก เมื่อเด็กตอบผิด ก็จะว่าให้อับอายขายหน้า เมื่อถูกจำกัดความคิด อะไรก็ผิด มันก็ถูกจำกัดความคิดในสมองไปแล้ว ว่าหากคิดผิดโดนด่าเละแน่ๆ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กบ้านเราไม่ค่อยกล้าแสดงออก เพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นหัวเราะเยาะ บางอย่างพฤติกรรม มันก็กลายเป็นวัฒนธรรมที่ปลูกฝังมายาวนานจะยากที่แก้ไข เพราะก็ยังมีคนกลุ่มเดิมๆ ที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง นี่ก็เป็นสาเหตุหลักๆ เหมือนกันที่ทำให้นักเรียนเบื่อที่จะเรียนเหมือนกัน จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 10:39:59

ความคิดเห็นที่ 32 เราว่าเด็กไทยเก่งพอสมควรนะคะ เพราะเราเรียนหมดเลย เรียนมันหมดทุกอย่าง อย่างเลขเราเรียนแบบเหวี่ยงแห แถมแหมันก็ลงไปลึกซะด้วย Textbookจากต่างประเทศที่สู้ไม่ได้เลย(แต่เราว่าสิงคโปร์ก็เลขยากนะคะ) อย่างที่ออสเตรเลีย เพื่อนเราที่มาเมืองไทยเค้ายังบอกว่าเราเรียนยากมาก อีกอย่างเด็กไทยบ้าเรียนกวดวิชา เรียนกันทั้งวันทุกวัน แต่ก็ยังไม่เท่าเกาหลีที่เรียนกันทั้งวันทั้งคืน แต่เราว่าระบบเอนทรานซ์ปัจจุบันไม่ดีเลยค่ะ มันวัดเด็กไม่ได้ จากคุณ : marina_rain เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 18:28:24

ความคิดเห็นที่ 33   ครูที่สอนเคยบอกว่า ''เด็กไทยคิดเป็น เเต่พูดไม่เป็น" เพราะต่อให้โจทย์ยากเเค่ไหนเด็กไทยก็หาคำตอบได้ บางครั้งอาจถูกอีก เเต่ ... ถ้าให้เด็กไทยมาpresentงานอะไรพวกนี้ ก็จะทำได้ เเต่ทำได้ดีน้อยกว่าการคิด เพราะเราเรียนเเต่กวดวิชา ไงค่ะ ?? ใช่ปะ เเถมอีกประมาณ 4-5ปีข้างหน้าหนูต้องเเอด หรือ เอ็นท์ ไม่รู้จะมีสอบเเกะ เเพะ หมู บลาๆๆๆ อีกไม๊ เเค่นี้ก็ปวดหัวเเล้วว ~ จากคุณ : เด็กมัธยม เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 19:04:57 A:110.169.15.233 X: TicketID:189783