 |
ความคิดเห็นที่ 7 |
|
1.การจำคำศัพท์ใช้สมองซีกซ้าย ความเข้าใจเค้าโครง จังหวะและธรรมชาติของภาษาใช้สมองซีกขวา การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ควรเปิดพจนานุกรมดูเฉพาะคำที่สำคัญ การดูทุกคำที่จำไม่ได้ จะอ่อนล้า ท้อแท้ ขาดความสนุก ขาดรสชาติในการอ่าน การอ่านควรใช้สมองซีกขวานำ
2. อย่าเริ่มจาก ท่อง > เขียน > อ่าน >พูด→>ฟัง คือเริ่มต้นเรียนจากสมองซีกซ้าย แต่ถ้าเป็นการศึกษาที่ถูกต้องตามหลักจิตวิทยาแล้ว ต้องเริ่มต้นเรียนจาก ฟัง >พูด >อ่าน>เขียน > ท่อง
3. การเรียนภาษาอังกฤษจากเพลง จากภาพยนตร์ หนังสืออ่านเล่น ยังเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลเสมอ ทำเรื่องเรียนให้เป็นเล่น บางคนชอบอ่านนิทานแนวลึกลับ สืบสวน ให้ไปหาหนังสือเชอร์ล็อคโฮม ภาคภาษาอังกฤษที่ใช้ศัพท์ง่ายๆ อ่านแทนภาษาไทย พยายามดูภาพยนตร์เสียงอังกฤษ เวลาฟังเพลงก็ต้องรู้ความหมายของเนื้อเพลง การเรียนรู้ศัพท์โดยเล่น สแครปเบิ้ล ( Scrabble ) คำไขว้ ( Crossword ) โดมิโน่ เกมคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับภาษา หรือผลัดกันทายศัพท์กับเพื่อน ก็จะช่วยให้สามารถจำได้นาน
4. ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาสี่มิติ ซึ่งต่างจากภาษาไทย หมายความว่า มีเรื่องของกาลเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต เข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของภาษาด้วย เมื่อเข้าใจลักษณะของภาษา จะทำให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และใช้งานได้อย่างถูกต้อง
5. ภาษาอังกฤษมีความเป็นศิลปะอยู่ในตัว เช่นเดียวกับตัวโน้ตดนตรี มีคนที่จำวิธีดูโน๊ตแต่ละตัวได้อย่างขึ้นใจมากมาย แต่แต่งหรือเรียบเรียงเป็นบทเพลงไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่รู้ศัพท์แต่แต่งประโยค หรือ แปลความหมายจากประโยคที่ซับซ้อนไม่เป็น
6.การรู้รากศัพท์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะก็คือรากของความรู้สึก อันจะต่อยอดออกเป็นลำต้น และกิ่งก้านสาขาต่อไป เช่นคำว่า trans- แปลว่า ผ่าน หรือ เปลี่ยน จะทำให้เข้าใจความหมายของคำอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับคำนี้ เช่น transform , transfer , transition , transcend , transfuse , transmit , transmute ฯลฯ รากของคำว่า af- สื่อให้เห็นถึงความรู้สึกของ การเกี่ยวข้อง หรือปฏิสัมพันธ์ ดังนั้น คำศัพท์ที่มี af- เป็นส่วนประกอบจะสื่อความหมายไปในทางนี้ เช่น affair , affect , affianced , affiliate , affinity , afflict ฯลฯ รากศัพท์ของคำว่า re- เพียงคำเดียว นำไปสู่คำศัพท์ต่างๆ นับร้อย อาทิ reset . recall , receive , recess , reclaim , recognize , recover ฯลฯ ซึ่งมีความหมายไปในทางเดียวกัน
7.คำตามหลังของศัพท์ ก็ช่วยในการคาดหมายความหมายของคำได้ เช่น คำที่ลงท้ายด้วย -id จะมีความหมายที่แสดงถึง คุณสมบัติ หรือ ลักษณะ ของทั้งทางรูปและทางนาม เช่น fluid , liquid , kid , acid , vapid , stupid , solid , stolid , staid , timid , humid , ovoid , keloid , paranoid ฯลฯ เฉพาะเพียง id ที่ต่อท้าย ก็จะทำให้เราสามารถคาดหมายความรู้สึกของคำศัพท์ได้หลายร้อยคำทีเดียว
8.ในการท่องศัพท์ ควรจดเฉพาะคำที่เป็นภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องเขียนคำแปลหรือเขียนคำแปลซ่อนไว้ด้านหลัง ระหว่างที่ท่องพยายามจินตนาการถึงคำแปลเอาเอง ถ้านึกไม่ออกก็ให้สร้างความรู้สึกว่า คำนี้น่าจะมีความหมายไปในทางใด
9.การจำคำศัพท์ด้วยความรู้สึก ทำให้เมื่อใดที่ต้องการอธิบายหรือบรรยายความรู้สึกในใจ ออกมาเป็นภาษาอังกฤษจะสามารถทำได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเชื่อมโยงกับภาษาไทย เช่นเดียวกับคนที่ฝันเป็นภาษาอังกฤษ แสดงว่าสมองได้แปลความรู้สึกออกมาเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง เคล็ดลับหนึ่งของการเรียนแบบให้ฝันเป็นภาษาอังกฤษก็คือ พยายามใช้พจนานุกรม แบบอังกฤษ แปลเป็น อังกฤษ ไม่ใช่ อังกฤษ แปลเป็น ไทย
10.ในการสอบวิชาภาษาอังกฤษ ควรทำข้อสอบส่วนที่เป็น การอ่านเอาเรื่อง ( reading ) ก่อน เพื่อจะได้เป็นการวอร์มอัพสมอง ตามด้วย ประโยคสนทนา (conversation ) และ หลักไวยากรณ์ ( Gramma ) เป็นส่วนสุดท้าย
เอาไปสิบข้อก่อน ในหนังสือยังมีอีกเยอะ นอกจากนั้น ยังมีเคล็ดลับการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ด้วย (ปล. รวบรวมจากหนังสือ "ทางลัดสู่อัจฉริยะ" )
จากคุณ |
:
หนอนหนังสือ
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ม.ค. 53 21:37:03
A:124.120.19.4 X: TicketID:246265
|
|
|
|
 |