ความคิดเห็นที่ 1 ชเวโบอยู่ห่างจากกรุงมัณฑะเลย์ไป 100 กว่ากิโล แต่ระยะทางแค่นี้ก็เดินทางกันครึ่งค่อนวันทีเดียว เพราะถนนแย่มาก บางช่วงก็เป็นทางเกวียน ต้องลงเดิน เดี๋ยวท้องรถพัง สภาพถนนบ้านนอกเมืองพม่ารามัญเป็นทางเกวียนข้างๆ ถนนจริงๆอยู่ตรงกลาง แต่ทางเกวียนสภาพดีกว่า จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:25:22

ความคิดเห็นที่ 2 ยังคิดอยู่เลยครับว่าพระองค์เดินมาตีกรุงศรีอยุธยาได้นี่ต้องใช้ความมานะพยายามอย่างยิ่ง กว่าจะถึงชเวโบก็เย็นย่ำแล้ว เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยเทียวดีกว่าครับ ภาพนี้ถ่ายจากหน้าต่างโรงแรม มองเห็นเจดีย์ที่ขึ้นนั่งร้านไว้ ตรงนั้นเป็นสถานที่ประสูติของพระเจ้าอลองพญา นายบ้านมุตโชโบเมียวครับ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 53 10:26:55 จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:26:45

ความคิดเห็นที่ 3 รูปไม่ขึุ้้น ขอใหม่นะครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:27:32

ความคิดเห็นที่ 4 พงศาวดารไทยให้ภาพพระเจ้าอลองพญาไว้ว่า “ครั้งนั้นพม่าคนหนึ่งชื่อมังลอง รามัญเรียกอ่องไจยะ เป็นนายบ้านมุกโชโบ อยู่เหนือกรุงอังวะอยู่หลายคืน มีบุตรชายหกคน บุตรีสามคน มีพรรคพวกทแกล้วทหารเข้มแข็งเป็นอันมาก ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนสิบสี่สิบห้าบ้าน ได้ไพร่พลประมาณสี่พันห้าพัน” สมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวว่า อ่อง แปลว่า ชนะ เป็นภาษาพม่า ไจยะ คือ ไชยะ ภาษาบาลีนั่นเอง ในช่วงเวลานั้น พม่าแตกเป็นอาณาจักรเล็กน้อย มอญซึ่งตั้งอยู่เมืองหงสาวดีทางภาคใต้ ยกมาตีกรุงอังวะได้ และตั้งพระยาทละกับตละปั้นไว้รักษาเมืองอังวะ พอพวกมอญรู้ว่า มังลอง ซึ่งเป็นนายบ้านมุตโชโบเมียว (แปลว่าบ้านนายพราน) ได้ซ่องสุมกำลังคนเป็นอันมาก เกรงจะเป็นอันตรายต่อกรุงอังวะ จึงยกทัพไปปราบก็ “รบกันอยู่ประมาณสิบห้าวัน ทัพรามัญแตกหนีมาเมืองอังวะ และพม่าหัวเมืองทั้งปวงมาเข้าด้วยมังลองเป็นอันมาก มังลองกับมังระผู้บุตรจึงยกพลพม่าสองหมื่นมาตีอังวะ รบกันอยู่สิบห้าวันได้เมืองอังวะ” มอญทั้งปวงก็แตกหนีกลับไปหงสาวดี อนุเสาวรีย์พระเจ้าอลองพญาครับ อยู่หน้าสถานีขนส่งเมืองชเวโบ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:30:38

ความคิดเห็นที่ 5 “มังลองจึงให้มังระผู้บุตรอยู่รักษาเมืองอังวะ แล้วกลับไปสร้างเมือง ณ บ้านมุกโชโป ก่อกำแพงและปราสาทราชวัง การทั้งปวงห้าเดือนก็เสร็จ ให้นามว่าเมืองรัตนสิงห์ และพม่าทั้งปวงนับถือว่ามังลองมีบุญญาธิการมาก จึงพร้อมกันยกมังลองขึ้นเป็นกษัตริย์ ถวายพระนามว่าพระเจ้าอลองพราญี เสวยราชสมบัติ ในพุกามประเทศสืบต่อไป” พระนามภาษาพม่าของพระองค์คือ อลองมินตยาจี (Alaungmintaragyi) แต่คนทั่วไปมักนิยมเรียกว่า พระเจ้าอลองพญา แปลว่า พระโพธิสัตว์ หม่อง ทิน อ่อง นักประวัติศาสตร์พม่ากล่าวถึงมังลองหรืออ่องไจยะว่า เคยถูกเรียกตัวไปยังกรุงอังวะเพื่อแก้ตัวในฐานะกบฏเมื่อ 16 ปีก่อน แต่ก็ได้รับการปล่อยตัวกลับมา เมื่อยกไปตีกรุงอังวะนั้น มังลองอายุได้ 38 ปี เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ค่อนข้างมั่งคั่ง เพราะตำบลมุตโชโบจัดเป็นตำบลใหญ่ และตระกูลของเขาก็เป็นนายบ้านมาหลายชั่วคน กัปตันเบเคอร์ ชาวอังกฤษซึ่งเคยเห็นเขากล่าวว่า เป็นผู้มีรูปร่างสง่างาม มีบุคลิกที่น่าเลื่อมใส สูงถึง 5 ฟุต 10 นิ้ว มีลักษณะน่าเกรงขาม พระบรมรูปพระเจ้าอลองพญาในพระราชวังกรุงรัตนสิงห์ น่าเกรงขามไหมครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:35:58

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อประกาศตัวเป็นกษัตริย์แล้ว พระองค์ก็เปลี่ยนชื่อมุตโชโบ เป็น ชเวโบ หรือ ดินแดนแห่งขุนพลทอง นอกจากนั้นยังทรงอ้างว่า สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ที่ปกครองกรุงอังวะครั้งแรก และประกาศตนเปป็นผู้สืบเชื้อสายกษัตริย์ตะโก้ง (ย่างกุ้ง) พุกาม อังวะ และพะโค พระองค์ประสงค์จะสร้างยุคใหม่ของพม่า ดังนั้นจึงไม่ตั้งเมืองหลวงบนราชธานีโบราณ อย่างพุกาม อังวะ พะโค (หงสาวดี) แต่ตั้งที่ชเวโบ อันเป็นบ้านเกิดของพระองค์เอง แบบจำลองพระราชวังที่กรุงรัตนสิงห์ครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:37:27

ความคิดเห็นที่ 7 แผนที่กรุงรัตนสิงห์ครับ ประตูเมืองเต็มเลย ที่แปลกคือพระราชวังอยู่ที่มุมทางด้านใต้ของเมือง ติดกำแพงเลย เมืองนี้ไม่มีมหาธาตุกลางเมืองครับ มหาธาุตุมีหลายองค์ แต่ไปตั้งที่มุมทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:43:15

ความคิดเห็นที่ 8 ภารกิจของกษัตริย์พม่าทุกพระองค์ที่จะรวมแผ่นดินได้ ก็คือปราบมอญลงเสียก่อน ชีวิตหลังจากนั้นของอลองพญาจึงมีแต่สงคราม คือตีอังวะได้แล้ว ก็ลงไปตีเมืองตะเกิง อันเป็นปากน้ำออกทะเล ได้ย่างกุ้งแล้วก็ตีพะสิม สิเรียม อันเป็นเมืองท่า ท้ายสุดคือล้อมกรุงหงสาวดี ราชธานีแห่งรามัญประเทศ เมื่อพิชิตเมืองมอญลงได้แล้ว ก็ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองตะเกิง เป็น ย่างกุ้ง แปลว่า “สิ้นสุดสงคราม” แผนที่เส้นทางการเดินทัพของพระเจ้าอลองพญาครับ เมื่อปราบภาคใต้ได้แล้ว ภาคเหนือคือเป้าหมายต่อไป พระองค์ได้เมืองมณีปุระ ชายแดนพม่าต่ออินเดีย และเมื่อรวมประเทศเข้าด้วยกันได้แล้ว โบราณราชประเพณีของมหาราชพม่าทุกพระองค์ก็คือ พิชิตกรุงศรีอยุธยา แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 53 10:49:18 จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:45:39

ความคิดเห็นที่ 9 ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าพระราชวังกรุงรัตนสิงห์ ซึ่งจำลองขึ้นมาใหม่ พม่าเหมือนมีนโยบายว่าจะต้องเที่ยวสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ตามราชธานีโบราณ โดยเฉพาะเมืองหลวงที่สำคัญๆ อย่างพุกาม หงสาวดี มัณฑะเลย์ มีพระราชวังหน้าตาอย่างนี้ทั้งสิ้น แถมสร้างทับลงบนฐานเดิมอีกต่างหาก นับว่าเป็นการทำลายหลักฐานทางโบราณคดีลงอย่างน่าเสียดาย แต่ก็เป็นนโยบายสร้างชาติที่ประสบผลเหมือนกัน เหมือนกับไทยเราสมัยนี้ หากใครคิดจะสร้างพระที่นั่งวิหารสมเด็จ สรรเพชญปราสาท สุริยาสน์อมรินทร์ ใหม่ครอบลงไปบนฐานเดิม คงโดนประท้วงกันวุ่นวาย จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:55:26

ความคิดเห็นที่ 10 ืท้องพระโรงชัย ยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ข้างในฝุ่นเกาะเพียบเลย คงไม่ีมีใครมาเที่ยวนานแล้ว จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 10:58:46

ความคิดเห็นที่ 11 ปยั๊ตตั๊ด กลายมาจากภาษาสันสกฤต คือปราสาทนั่นเอง (แต่คนไทยบางแปลว่าพญาธาตุ) เป็นห้องบรรทมออกฝ่ายในอะไรทำนองนั้น จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:00:34

ความคิดเห็นที่ 12 ไม้บ้านเขาเยอะแยะเหลือเฟือ แต่ก็แอบเห็นโครงคอนกรีตอยู่ข้างในเหมือนกัน ข้างในสกปรกฝุ่นจับกันวุ่นวาย และไม่ีค่อยตกแต่งภายในเหมือนปราสาทบุเรงนอง หรือวังที่มัณฑะเลย์ คงเพราะไม่มีคนมาชมเลย จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:02:41

ความคิดเห็นที่ 13 เปรียบเทียบกับวังที่มัณฑะเลย์ครับ จะเห็นว่าที่หลังคามีอาคารเล็กๆสีขาวๆ คล้ายๆส้วม จริงๆเขาเอาไว้ให้ยามขึ้นไปไล่นก จำพวกอีแีร้ง นกแสก แม้แต่ลิงจับยอดปราสาท แต่ที่กรุงชเวโบไม่มีอาคารอย่างนั้น (คงเพราะน่าเกลียดเลยไม่ได้สร้างไว้ด้วย) จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:04:53

ความคิดเห็นที่ 14 คติกลัวแร้งจับยอดปราสาทมีมานมนานแล้ว อันนี้อยู่ในจิตรกรรมสมัยนยองยาง (หลานของบุเรงนอง) ร่วมสมัยกับช่วงต้นของอยุธยาตอนปลายครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:10:28

ความคิดเห็นที่ 15 แวะมาลงชื่อ รออ่าน เอ๊ะ ปาดหรือเปล่าเนี่ย จากคุณ : Diwali เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:11:48

ความคิดเห็นที่ 16 เปรียบเทียบกับปราสาทพระยามังทราหงสาวดีลิ้นดำ บายิงเนาว์กะยอดินนรธาที่พะโค ครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:12:42

ความคิดเห็นที่ 17 อันนี้เป็นสุสานพระเจ้าอลองพญาครับ หลังจากประชวร(ไม่ว่าจะปืนใหญ่แตก พระโรคบิดหรืออะไรก็ตาม) ก็ให้รีบกันพระองค์อย่างลับที่สุด เสด็จออกทางระแหงแขวงเมืองตาก ไทยว่าไปสิ้นพระชนม์ที่ตำบลเมาะกะโลก นอกด่านเมืองตาก พม่าว่าไปสิ้นที่เมาะตะมะ พม่าว่า "ครั้นลุเม้ยวดีแพรกแม่น้ำสองยินตอนบน อันเป็นมรรคาจะไปถึงแม่น้ำสัลวินนั้น พระเจ้าอลองพญามหาราชก็สุรคตในมรรคันตรวิถี ณ วันอาทิตย์ เดือน 6 แรม 12 ค่ำพ.ศ.2303 พระชนม์ได้ 46 พรรษา เสวยราชย์ได้ 7 ปี" และพระศพนั้นรักษาไว้ด้วยตัวยากันเน่าเปื่อย ประดิษฐานไว้บนพระแท่นมีม่านปิด ทุกเช้าเย็นจะมีเหล่าขุนพลมายังพระแท่นนั้นแล้วว่าราชการในพระนามของพระองค์ จากนั้นเชิญพระศพขึ้นตามลำน้ำอิรวดี ได้ตั้งการถวายพระเพลิงอย่างราชประเพณีพระบรมศพสมเด็จพระจักรพรรดิราชเป็นการใหญ่ พงศาวดารไทยว่าเชิญพระศพถึงด่านแม่ลำเมา แล้วก็หยุดแรมทัพ 3 วัน กระทำการถวายพระเพลิงแล้วเก็บแต่พระอัฏิเชิญกลับไปกรุงรัตนสิงห์ คนเราถึงจะเคยยิ่งใหญ่ครอบครองดินแดนได้กว้างขวางแค่ไหน ตอนตายไปก็มีที่เท่านี้เอง นึกถึงพระเจ้าอเลกซานเดอร์ไปเห็นสุสานพระเจ้ากรุงเปอร์เซียเลย จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:23:47

ความคิดเห็นที่ 18 สวัสดีครับ คุณ Diwali รอชมต่อได้ครับ อันนี้เป็นจารึกบริเวณที่ฝังพระอัฏิครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:25:40

ความคิดเห็นที่ 19 มีภาษาอังกฤษอ่านยากประกอบด้านข้าง จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:26:29

ความคิดเห็นที่ 20 ขอปาดนิด ถนนในรูป ๑ นั่น ถนนปกติครับของพม่า ถ้าเป็นฤดูฝนจะมันกว่านี้ ใครชอบขับ 4X4 ควรไปทดลองสภาพรถจริง ๆ ที่พม่าครับ นี่ยังดีว่า คุณปลาทองฯ ไปตอนเหนือ ไม่แน่ใจว่าเจอ "ด่าน" มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าลองลงมาทางใต้ แถว ๆ รัฐมอญ หรือ รัฐกะเหรี่ยง ให้เตรียม "เงิน" ไว้ได้เลยครับ แต่ไม่แนะนำให้ไปนะครับ ถ้าไม่มีเส้นสาย เพราะ "อาจจะไม่ได้กลับมา" ครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:35:01

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบพระคุณมากๆครับผม ในสมัยที่มังลอง ยังเป็นนายบ้านมุกโชโบนั้น แรกๆที่ซ่อมสุมกำลังก็มีทัพมอญยกมาตีครับ แต่ด้วยความเก่งกล้าของมังลองก็สามารถตีทัพมอญแตกกระเจิงไปได้ทุกครั้ง จนครั้งหนึ่งแม่ทัพมอญยกมาเอง มีกำลังพลมหาศาล แม่ทัพมอญประกาศว่า ถ้าพวกชาวบ้านมุกโชโบยอมจำนนวางอาวุธ มาดื่มน้ำพิพัตย์สัตยาสาบานว่าจะภักดีต่อพระเจ้าหวงสาวดีก็จะไว้ชีวิตและได้รับรางวัลมากมาย พวกลูกน้องของมังลองเห็นว่าทัพมอญมีเยอะจริงๆ สงสัยจะต้านไม่ไหว เลยบอกให้มังลองยอมจำนน ดื่มน้ำสาบานภักดีต่อพระเจ้าหงสาวดีไปพลางๆก่อน ไว้รอโอกาสค่อยก่อการกันใหม่ แต่มังลองประกาศว่า ถ้าจะยอมจำนนไปดื่มน้ำสาบานภักดีต่อเจ้ามอญแล้วก็จะกลับคำไม่ได้ ต้องถวายความจงรักภักดีตามสัตย์สาบาน จะกระทำการแบบขี้ขลาดแบบนั้นไม่สมเป็นลูกผู้ชาย แต่ถ้ามีใจคิดสู้ทำไมไม่สู้ตั้งแต่ตอนนี้เลยเล่า ว่าแล้วก็นำพรรคพวกออกต่อตีทัพมอญที่มีจำนวนมากกว่าจนแตกพ่ายไปครับ เรียกว่า พระเจ้าอลองพญา นั้นเป็นคนจริงโดยแท้ จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 11:44:22

ความคิดเห็นที่ 22 มีด่านตลอดทางเลยครับ แต่เหมือนเป็นด่านปกติของเขา ก็ต้องจ่ายเงินให้บ้าง คนขับเขาก็บอกขำๆว่า จ่่ายเพื่อวิ่งบนถนนห่วยๆ บางหมู่บ้านเขาก็มีผู้ใหญ่บ้านกะตำรวจมาขอชื่อที่อยู่ไว้ ว่ามาเดินเอ้อระเหยในบ้านเขา ปลายปีมีโปรแกรมว่าจะไปรัฐมอญครับ แต่คงไม่ลงไปถึงมะริด ทวาย ตะนาวศรี แพงเกินงบครับ เกรงจะไม่ได้กลับพระนครศรีอยุธยาด้วย จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 12:03:20

ความคิดเห็นที่ 23 มาอ่านๆๆๆ จากคุณ : cybrarian เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 12:12:04

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับที่นำมาให้ชมกัน ด่านตรวจนั้นต้องให้ค่าน้ำร้อน น้ำชา ประมาณเท่าไรหรือครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 12:12:22

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าจะไปรัฐมอญ ให้เตรียมเผื่อเวลาให้ดีนะครับ แล้วก็อย่าพยายามพกเงินไว้ล่อตาล่อใจมากเกินไปครับ เนื่องจากแถบ ๆ นั้น มันยัง "กรุ่น ๆ " อยู่ครับ เพราะมันไม่ได้มีแค่พม่า แต่จะมี มอญ มาร่วมด้วยช่วยกันเก็บเงินครับ วันหลังถ้าไปพม่าแล้วอยากให้คนขับรถ หรือ ไกด์ บริการเราแบบสุดใจขาดดิ้น ผมแนะนำ "ให้เช่าพระแก้วมรกตองค์จำลอง" ขนาดเล็ก ๆ ไปแจกเขาครับ รับรองบริการสุดใจขาดดิ้นแน่นอนครับ เนื่องจากคนพม่าเชื่อกันว่า พระแก้วมรกตบ้านเรา เป็นพระพี่พระน้องกับ หลวงพ่อพระมหามัยมุนี ที่มัณฑเลย์นั่นแหละครับ ส่วนค่าผ่านด่าน ก็ต้องดูล่ะครับว่าไปกันแบบไหน ถ้าเห็นโท่ง ๆ เลยว่า "เป็นคนต่างชาติ" รับรองครับ หัวแบะแน่นอน อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะ ๕๐๐ จั๊ด(ตอนนี้น่าจะขึ้นเป็น ๑,๐๐๐ ได้แล้วมั้ง ราคาขึ้นตามค่าเงินพม่าที่เฟ้อทุกวันครับ) อีกประการที่จะบอกคือ  อย่าพยายามให้โชเฟอร์พาไปทางลัดนะครับ ไม่ว่าโชเฟอร์จะบอกว่าลัดได้มากน้อยแค่ไหนก็ตามทีเถอะ ไปตามด่านปกติให้เขา "ไถ" ไปดีกว่าครับ เพราะบางเส้นทาง เขาปิดไม่ให้วิ่งตั้งแต่ราว ๆ ๕ โมงเย็นครับ ถ้าขืนไปวิ่งเส้นทางลัดแบบนี้ โดยไม่มี "เส้นสาย (ใบอนุญาต)" รับรองว่า อย่างเบาก็กระเป๋าแฟบ อย่างหนักอาจจะไม่ได้กลับมาสยามของจริงครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 13:30:08

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าสนใจจะไปรัฐมอญ ผมมีแผนการเดินทางแนะนำให้อ่านครับ ลองไปอ่านตามนี้ จาก "พระ" ท่านที่เคยไปพม่ามาแล้วครับ  รัฐมอญมีอะไรให้ดูเยอะครับ http://www.grathonbook.net/iravadee/index.html ถ้ามีโอกาส ลองไปตามหา ลูกหลานชาวกรุงศรีฯ ที่บ้านหนองบัว(สองแคว) ในรัฐมอญดูนะครับ เขายังพอพูดไทยกับเราได้ครับ ถ้าไปถึง ผะอาง (Pa-an) รบกวนช่วยไปเก็บภาพวัดเขาตามะยะ มาให้ชมด้วยนะครับ  อยากจะเห็นรูปหลวงพ่อวัดเขาตามะยะ ท่านน่ะครับ(ท่านมรณภาพไปแล้ว) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 13:37:59

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคุณ "ปลาทองสยองเมือง"  มาก ๆ ครับ   เห็นหลาย ๆ ท่าน พูดถึงเรื่อง มอญ และ ด่านในพม่าผมนึกถึงหนังสือ "ต้นทางจากมะละแหม่ง" ของคุณ องค์ บรรจุน ครับ แอบเข้าพม่าแบบหนีเข้าเมืองพม่า เขียนดีมาก ๆ ครับ . . จาก #13 ในหนังสือ "เที่ยวเมืองพม่า" พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ท่านเดินทาง พ.ศ. 2478) ได้บันทึก เรื่อง ซุ้มบนหลังคา ดังนี้ . "ของประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่บนหลังคามนเทียร มีซุ้มรังไก่สำหรับคนขึ้นไปนั่งประจำคอยเอากระสุนยิงไล่อีแร้ง มิให้มาจับบนหลังคาราชมนเทียร และมีบันไดไม้ไผ่ทอดประจำไว้บนหลังคาเป็นทางคนขึ้นด้วย พิเคราะห์ดูก็ชอบกล ฉันได้สังเกตเห็นแต่แรกไปถึงว่าที่เมืองพม่ามีแร้งชุม ไปเมืองไหนก็มักเห็นฝูงแร้งบินร่อนมิใคร่เว้นแต่ละวัน" ...........และท่านก็แนะนำว่าของไทยนั้นใช้วิธีกำจัดศพที่ใกล้ ๆ พระราชวังเสีย เท่านี้ก็ไม่มีแร้งแล้ว . . ซุ้มบนหลังคานั้นมีมาตั้งนานแล้วตาม  ดูสภาพพระราชวังที่ทางคุณ "ปลาทองสยองเมือง" มาแสดงใน #13 นั้น แสดงว่า ต้องผ่านการบูรณะใหม่มาแล้วแต่น่าแปลกที่ว่า ซุ้มบนหลังคา ก็ยังคงไม่ทำให้กลมกลืนกับ พระราชวัง แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 53 14:53:51 จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 14:14:45

ความคิดเห็นที่ 28 แอบตามมาเที่ยว มุกโชโป ด้วยคนครับ จากคุณ : วรณัย เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 14:58:44

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากครับ ชอบมาก จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 16:31:03

ความคิดเห็นที่ 30 กระทู้ตามคำขอมาแล้ว...ขอบคุณคุณปลาทองฯมากๆครับ รูปสวยเเจ่มข้อมูลดีจริงๆครับ...อย่าลืมเอา "กรุงรัตนบุระอังวะ" มาต่อเลยนะครับ รอชมๆ ป.ล. มีข่าวลือเรื่องทริปนี้เข้าหูเยอะมาก มีแต่เรื่องฮาๆทั้งนั้นอ่ะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 17:39:08

ความคิดเห็นที่ 31 สนุกครับ อยากดูอีก จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 20:33:17

ความคิดเห็นที่ 32 -ขอบคุณคุณผ้าพับไว้สำหรับข้อมูลรัฐมอญครับ จะได้ระวังตัวไว้ รอดกลับมากินส้มตำกรุงศรีอยุธยาอีก -เรื่องอะไรฮาๆหรอครับคุณออกญาศรีราชเดโชชัย ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย อิอิ -พระราชวังกรุงมัณฑะเลย์โดนระเบิดพังหมดแล้วครับ คุณวังเหนือ ที่ถ่ายมาเป็นของสร้างใหม่ จำลองมาจากรูปถ่ายเก่า แต่ยังไงก็ไม่มีทางสู้ฝีีมือช่างหลวงได้แน่นอน -สำหรับค่าด่านมีเยอะมากครับ คุณหนุ่มรัตนะ แต่คงไม่ีเยอะเท่าไหร่นัก เพราะแท็กซี่เป็นคนจ่าย เหมือนเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชามากกว่า จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 21:54:24

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบพระคุณ คุณ ปลาทองฯ ครับ ได้อ่านกระทู้ดีๆ อย่างนี้แล้ว  อดนึกถึงเพลงพี่แอ๊ดไม่ได้  พี่แกตะเบงจนเอ็นคอโป่ง .... นักรบคือนักรบ  นักสู้แห่งกรุงศรี  ตีฝ่าทัพตองอู  ตายหรืออยู่ไม่สำคัญ .... เออ....พี่แอ๊ดคับ  ทัพตองอูยูไสคับ  พี่เล่นเอาสัมผัสอย่างเดียวเลยนี่ .....ตีฝ่าทัพอังวะ  ตายหรืออยู่ไม่สำคัญ.....  มันไม่ได้อารมณ์ใช่ไหมเพ่ จากคุณ : กัมม์ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 22:21:57

ความคิดเห็นที่ 34 ขออนุญาตต่อกระทู้เลยนะครับ ต่อไปเป็นวัดที่พระเจ้าอลองพญาใ้ช้ทำพิธีเลิกทัพออกไปทำสงคราม หรืออธิษฐานชัยชนะ ถ้าเป็นบ้านเราก็คล้ายๆเบิกโขลนทวารนั่นเอง ชื่อวัดชเวอองมเยสุตองครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 22:30:48

ความคิดเห็นที่ 35 ก็ึคงคล้ายๆกับที่มหาเซดีย์ (มหาเจดีย์) กรุงหงสาวดี ที่มีจุดอธิษฐานชัยชนะของพระเจ้าบุเรงนองเหมือนกัน แต่ที่นี่รู้สึกว่าจะมีทัวร์ไทยไปลงเยอะ เลยมีป้ายภาษาไทยเอาใจแม่ยกรุ่นดึกที่ติดนิยายยาขอบด้วย (ชาวบ้านเมืองหงสาวดีแทบจะพูดไทยได้เพราะทัวร์ลง) จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 22:38:23

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณนะคะ อยากไปมั่งจัง จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 22:38:58

ความคิดเห็นที่ 37 เข้าไปดูในวัดครับ มีแผ่นป้ายเขียนเป็นเรื่องในพระราชประวัติพระเจ้าอลองพญา ตั้งแต่เป็นนายบ้านชเวโบ จนปราบมอญได้ แต่ไม่มีรูปที่แสดงถึงช่วงที่ตีกรุงศรีอยุธยา หรือมีแต่ผมอ่านไม่ออก ดูไม่รู้เรื่องก็ไม่ทราบ ตอนแรกๆออกแนวตำนาน มังลองเป็นนายพรานเห็นกบไล่งู จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 22:46:54

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ จากคุณ : หัวใจถวายวัด เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 22:50:36

ความคิดเห็นที่ 39 มังลองเห็นเนื้อทรายไล่ขวิดเสือโคร่ง ทั้งสองภาพนี้ เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ เหมือนกับอาเพศที่บอกเหตุอะไรบางอย่าง น่าแปลกที่เหตุการณ์ทั้งสองนี้ ต้องกันกับมหาสุบินชาดก ในอรรถกถา เอกกนิบาตชาดก วรุณวรรค ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสทำนายฝันพระเจ้าปเสนทิโกศล 16 ประการ เกี่ยวกับลางร้ายที่ปรากฏขึ้นในบ้านเมือง ความฝันประการที่ 14 ของพระเจ้าโกศลมีว่า ทรงสุบินเห็นกบตัวเล็กกัดกินงูพิษ พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า มนุษย์สมัยหนึ่งจะมีราคะจริตแรงกล้า ตกอยู่ในอำนาจภรรยาเด็กๆของตน ปล่อยให้การงานทั้งสิ้นอยู่ในอำนาจของพวกนาง เหมือนเหล่ากษัตริย์ที่หูเบาเชื่อแต่สนมนางใน ความฝันข้อที่ 16 คือ ทรงสุบินเห็นฝูงแกะไล่ขบกินเสือเหลือง เสืออื่นๆคือเสือดาวและเสือโคร่ง ต่างก็สะดุ้งกลัวฝูงแกะนั้น พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า สมัยหนึ่ง พวกไม่มีสกุลชั้นต่ำจะได้เป็นราชวัลลภ (คนสนิทของพระราชา) และจะทูลยุยงให้พระราชาเชื่อคำตน แล้วหาโอกาสข่มเหงประชาชน แม้ภิกษุชั่วช้าลามกก็จะได้เป็นใหญ่ เบียดเบียนภิกษุที่มีศีล จนต้องหนีไปอยู่ป่า มหาสุบินชาดกนี้ นิยมมากในพม่า โดยมักเขียนประดับไว้ตามวัด อาจจะเนื่องด้วยความไม่สงบของบ้านเมืองก็เป็นได้ เช่นเดียวกับเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีของไทยเรา แต่มีความแตกต่างคือ ชาดกเรื่องนี้ไม่กำหนดระยะเวลาว่า สิ่งที่พยากรณ์จะมาถึงภายในกี่ปี เพราะฉะันั้น เมื่อบ้านเมืองเป็นทุรยศ ก็สามารถยกเอาชาดกนี้ขึ้นมากล่าวอ้างได้ตลอดเวลา และเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจใหม่ได้อ้่างสิทธิธรรมจากความวุ่นวายนั้นได้ กรณีัเดียวกับกบฏผีบุญในบ้านเมืองเรานั่นเอง จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 23:05:08

ความคิดเห็นที่ 40 รูปพระเจ้าอลองพญาปราบมอญ ? อ่านภาษาพม่าไม่ออกครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 23:06:55

ความคิดเห็นที่ 41 อีกสักรูป ไม่แน่ใจว่าตอนตีกรุงศรีอยุธยาหรือเปล่า ใครอ่านภาษาพม่าออกขอความกรุณาด้วยครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 23:08:06

ความคิดเห็นที่ 42 อันนี้เป็ํนมหาสุบินชาดกครับ ตอนกบกินงูพิษ เขียนไว้บนเสาในวัดใกล้ๆกัน ปรากฏในหลายๆวัดของพม่าทีเดียว ในไทยเอง แต่ก่อนก็เคยนิยมชาดกเรื่องนี้เหมือนกัน ดังมีเค้าโครงในเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่ว่า "กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม" ก็มีที่มาจากชาดกนี้ หรือ "มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ" วันนี้ฝนตกอีกแล้ว จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 23:12:50

ความคิดเห็นที่ 43 ในบริเวณวัดมีอะไรน่ารักๆเหมือนกัน อันนี้เขาวงกตจำลองครับ จำลองได้สมจริงมากๆ มีเด็กๆเข้าไปวิ่งเล่นด้วย สงสัยวัดในพม่าจะที่เยอะ ถ้าบ้านเรามีที่ขนาดนี้คงเอาไปสร้างเมรุแล้ว จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 23:16:14

ความคิดเห็นที่ 44 ใช้ชมภาพ กบกินงู ครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 11:06:25

ความคิดเห็นที่ 45 คห. 33 ของคุณกัมม์ ผมก็ตะหงิดๆ มาหลายครั้งแล้วที่ได้ฟังเพลงของคุณแอ๊ดประโยคนี้ ว่าแต่...ตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 นี่ มีทัพตองอูมาร่วมตีด้วยหรือเปล่า ขอบคุณ จขท. ครับ ได้ความรู้กับเมืองประวัติศาสตร์ของพม่าอีกเมืองหนึ่งมากมายจริงๆ ครับ จากคุณ : ออกหลวงมงคล เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 13:12:31

ความคิดเห็นที่ 46 พระยามังทราหงสาวดีลิ้นดำ บายิงเนาว์กะยอดินนรธาที่พะโค " หมายถึงพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ และพราะเจ้าบุเรงนองใช่มั้ยคะ จากคุณ : marissabuu เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 14:55:15

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านเพลินเลยค่ะ อยากให้คุณปลาทองไปรัฐมอญต่ออีกเร็วๆ แหะๆ จากคุณ : thezircon (thezircon) เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 16:24:16

ความคิดเห็นที่ 48 - ใช่พระเจ้าบุเรงนองครับ คุณ marissabuu ผมก็ลองใช้คำแปลกๆดูบ้าง -รัฐมอญคงอีกนานครับ สักปลายปีนี้ แต่อาจไปพุกามอีกตอนกลางๆปี ขออนุญาตเปิดอีกกระทู้นะครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K8744515/K8744515.html จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 53 20:07:33

ความคิดเห็นที่ 49 อันที่จริงพระองค์ไม่ได้ฝ่าทัพเสียด้วยซ้ำครับ ออกหลวงฯ พระราชพงศาวดารว่า  .......                ... ฝ่ายพระยากำแพงเพชรซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ วัดพิชัย  จึงชุมนุมพรรคพวกพลทหารไทยจีนประมาณพันหนึ่ง  สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธ  กับทั้งนายทหารผู้ใหญ่  คือ พระเชียงเงินหนึ่ง  หลวงพรหมเสนาหนึ่ง  หลวงพิชัยอาสาหนึ่ง  หลวงราชเสน่หาหนึ่ง  ขุนอภัยภักดีหนึ่ง  เป็นห้านาย  กับขุนหมื่นผู้น้อยอีกหลายคน  จัดแจงกันคิดจะยกทัพหนีไปทางตะวันออก  แต่หลวงศรเสนีนั้นหาไปด้วยไม่  พาพรรคพวกหนีไปอื่น  พอฝนห่าใหญ่ตกเป็นชขัยมงคลฤกษ์  พระยากำแพงเพชรก็ยกกองทัพออกจากค่ายวัดพิชัย  เดินทัพไปทางบ้านหารตรา  พอเพลาพลบค่ำ  ฝ่ายกองทัพพม่ารู้ก็ยกติดตามมาทัน  ได้ต่อรบกันเป็นสามารถ  ทัพพม่าต้านทานมิได้ก็ถอยกลับไป  จึงเดินทัพไปทางบ้านข้าวเม่าถึงบ้านสัมบัณฑิต  เพลาเที่ยงคืนวันนั้นประมาณสองยามเศษ  จึงแลมาเห็นเพลิงไหม้ในกรุงก็ให้หยุดทัพอยู่ที่นั้น  ..... พม่าตามตีทัพพระยากำแพงเพชรอีกหลายครั้ง  ก็ทานสติปัญญากลศึกของพระองค์ไม่ได้  แตกพ่ายกลับมาทุกครั้ง  แม่ทัพนายกองได้เห็นอานุภาพของพระองค์  ก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ท่านจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินจะทรงกอบกู้แผ่นดินกลับคืนมาเป็นแน่  จึงร่วมใจกันสู้อย่างถวายหัวแต่นั้นมา จากคุณ : กัมม์ เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 18:23:37

ความคิดเห็นที่ 50 พี่แอ๊ด คา'บาว  ฝันเอาทั้งนั้น จากคุณ : กัมม์ เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 53 18:25:14

ความคิดเห็นที่ 51 ผมลองเอาภาพนี้ไปสอบถามคนงานพม่าได้ความแบบมึน ๆ ดังนี้ #37 "อูอองสียาตี" เป็นพรานเข้าไปในป่าเห็น สัตว์สู้กัน (คนงานบอกว่าไม่มีคำว่ากบในประโยคนี้) #40 กษัตริย์ "อูอองสียาตี" มาบอกว่าพวกไม่ดี ไม่ต้องสู้กันแล้วเพราะกษัตริย์มาแล้ว (คนงานบอกว่า ไม่มีคำว่ามอญในประโยคนี้เช่นกัน) #41 ประมาณว่านายกองจัดแถวสู้รบ (คนงานบอกว่า คนที่ใส่กางเกงขาสั้นถือดาบมุมซ้ายนั้นน่าจะเป็นพวก "กิริยานเหาะ"  และในประโยคนั้นก็ไม่มีคำว่าอโยธยา ครับ ไม่ทราบว่าที่พม่ามีพวกที่ออกเสียง "กิริยานเหาะ"  คล้าย ๆ อย่างนี้ไหมครับ) คุยกับคนงานพม่านี่มึนตึ๊บไปหมด สำหรับบุเรงนอง นี้พม่าเรียก "บายิงเนา" ครับ จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 22:10:18