 |
ความคิดเห็นที่ 5 |
ภาษาอังกฤษมีความเป็นศิลปะอยู่ในตัว เช่นเดียวกับตัวโน้ตดนตรี มีคนที่จำวิธีดูโน๊ตแต่ละตัวได้อย่างขึ้นใจมากมาย แต่แต่งหรือเรียบเรียงเป็นบทเพลงไม่ได้ ก็เหมือนกับคนที่รู้ศัพท์แต่แต่งประโยค หรือ แปลความหมายจากประโยคที่ซับซ้อนไม่เป็น
คำศัพท์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกเสียงเวลาอ่าน ก็คือ ความรู้สึกที่กำหนดมาในรูปของคำนั่นเอง เช่น คำว่า ซีเรียส (serious) ฟังดูแล้วการออกเสียงจะคล้ายกับคำว่า เครียด ในภาษาไทย หมายความว่า น้ำเสียงที่แสดงออกในคำศัพท์ ได้ซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ แต่เนื่องจากความต่างของวัฒนธรรม ทำให้ความหมายของเสียง สื่อให้เห็นถึงความรู้สึกที่แตกต่างกัน การจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี จึงต้องเข้าใจความรู้สึกของเจ้าของภาษาด้วย ชาวตะวันตกบางคนสามารถพูดได้ถึงห้าภาษา เช่น สเปน อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ ฯลฯ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ พื้นฐานทางวัฒนธรรม และรากศัพท์ของภาษา ใกล้เคียงกัน ทำให้ สามารถเข้าใจความรู้สึกของภาษาและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกของคำ ที่สอดคล้องกัน จะช่วยให้เข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น เช่น ในภาษาไทย คำว่า กิน ทาน รับประทาน เสวย มีความหมายเดียวกัน คำศัพท์ในภาษาอังกฤษเพียงหนึ่งคำ จะมีความหมายที่คล้องจองกับศัพท์คำอื่นๆอีกอย่างน้อยสามคำ เข่นคำว่า love จะมีความรู้สึกของคำที่สอดคล้องกับคำว่า like , fond , care , affect ดังนั้น ทุกครั้งที่เปิดพจนานุกรม ต้องดูคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันด้วย ซี่งในพจนานุกรม ทุกเล่มจะมีการเขียนบอกไว้ที่ส่วนท้ายของคำศัพท์ นอกจากนั้น การกวาดสายตาไปดูคำด้านบน และด้านล่าง ของศัพท์ที่เปิดในพจนานุกรม ก็จะทำให้เข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นเป็นของแถม เช่น เปิดพจนานุกรมคำว่า flash จะพบว่า มีคำว่า flare อยู่ด้านบน ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความรู้สึกของคำคล้ายๆกัน เราก็จะได้คำศัพท์ flare เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำอย่างง่ายๆ โดยเชื่อมโยงกับคำว่า flash ที่จำได้อยู่แล้ว และบางครั้งคำศัพท์หนึ่งคำ ก็มีได้หลายความหมาย อย่าลืมให้ความสำคัญกับความหมายอื่นๆด้วย
การจำคำศัพท์ด้วยความรู้สึก ทำให้เมื่อใดที่ต้องการอธิบายหรือบรรยายความรู้สึกในใจ ออกมาเป็นภาษาอังกฤษจะสามารถทำได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเชื่อมโยงกับภาษาไทย เช่นเดียวกับคนที่ฝันเป็นภาษาอังกฤษ แสดงว่าสมองได้แปลความรู้สึกออกมาเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง
การจำคำศัพท์ให้กลายเป็นความรู้สึก ควรนึกภาพของคำศัพท์นั้นขึ้นในใจด้วย เช่นคำว่า fist ที่แปลว่ากำปั้น ก็ให้นึกภาพกำปั้นขึ้นมา ส่วนคำที่ไม่มีภาพ ก็ให้นึกเป็นความรู้สึกแทน เช่น คำว่า hungry ให้สร้างความรู้สึกหิว ขึ้นมาพร้อมๆกับการจำคำศัพท์นั้น
การจำคำศัพท์ด้วยความรู้สึก ทำให้เวลาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ จะเข้าใจทันที โดยที่ไม่ต้องแปลประโยคให้กลับมาเป็นภาษาไทย ซึ่งตรงข้ามกับคนที่จำจากความคิด จะต้องแปลศัพท์นั้นมาเป็นภาษาไทยเสียก่อน จึงจะเกิดมโนภาพ ทำให้เสียเวลาและไม่เข้าใจความหมายองค์รวมของประโยคที่เจ้าของภาษาพยายามจะสื่อออกมา เพราะคำในภาษาอังกฤษ เมื่อแปลออกมาเป็นภาษาไทย จะไม่สามารถถ่ายทอดความหมายออกมาได้ทั้งหมด
การเรียนภาษาอังกฤษต้องกล้าพูด เพราะการพูดคือการฝึกใช้สมองส่วนสั่งการ ใครที่ไม่กล้าพูด จะไม่มีทางเก่งภาษา ด้วยเหตุนี้ นักเรียนที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศสักหกเดือน กลับมาจะเก่งภาษาขึ้นมากเพราะสถานการณ์บังคับ ให้ต้องฝึกใช้สมองส่วนสั่งการ ลำพังการท่อง การอ่าน และการฟัง เป็นการใช้สมองส่วนรับซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสมองส่วนสั่งการเลย ด้วยเหตุนี้ นักเรียนที่เรียนโดยใช้สมองส่วนรับอย่างเดียว แม้จะเรียนเก่งจนได้เกียรตินิยม แต่เมื่อออกไปทำงานจริง จะล้มเหลว
ขณะฝึกพูดภาษาต่างประเทศ ถ้ารู้ว่าจะสื่ออะไรแล้ว ควรกล้าพูด แม้จะออกสำเนียงไม่ถูกต้อง ผิดหลักไวยากรณ์ หรือคำศัพท์ ก็ไม่ควรอาย ขอเพียงให้สื่อความหมายได้ และเมื่อสื่อความหมายได้ ในที่สุดสมองซีกขวาจะส่งสัญญานไปให้สมองซีกซ้ายช่วยหาคำศัพท์ หรือไวยากรณ์ที่ถูกต้อง หลังจากนั้นสมองซีกขวาจะรีบบันทึกไว้เป็นความทรงจำระยะยาวทันที ผู้ที่เรียนด้วยวิธีนี้ จึงไม่ลืม จำแม่น จำได้นาน
(จากหนังสือ ทางลัดสู่อัจฉริยะ)
จากคุณ |
:
ปัจจตัง
|
เขียนเมื่อ |
:
11 ม.ค. 53 02:26:22
|
|
|
|
 |