ความคิดเห็นที่ 1 จากกระทู้ที่แล้ว...เราเดินชมมาจนถึงท้องพระโรงใหญ่ Shishinden จนอ้อมมาข้างหลัง เพื่อมายังส่วนสำคัญที่สุดอีกส่วนนึงของพระราชวังหลวงแล้วนะครับ อาคารหลังใหญ่ด้านหลังท้องพระโรงนี่ล่ะครับที่เป็น “พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน” ของญี่ปุ่น มีนามว่าพระที่นั่ง “Seiryoden” ครับ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระจักรพรรดิมาแต่เดิม ต่อมาภายหลังเมื่อมีการสร้างพระตำหนักใหญ่ที่เขตชั้นในพระราชวังหลวงแล้ว จักรพรรดิก็จะย้ายไปประทับที่นั่นแทนครับ... ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่หลังท้องพระโรงทางฝั่งตะวันตกอีกทั้งยังเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ ก็คงไม่ผิดนักที่จะเทียบเคียงพระที่นั่ง Seiryoden แห่งนี้ได้กับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานของไทยครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:52:38

ความคิดเห็นที่ 2 ที่นี่ดีหน่อยตรงที่เขาให้เราเข้ามาชมถึงข้างหน้าใกล้ๆได้ครับ ถึงไม่ได้ขึ้นไปดูข้างในใกล้ๆก็ยังดีครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:53:32

ความคิดเห็นที่ 3 ตรงกลางมีพระราชอาสน์ครับ อยู่หลังม่านผ้าขาวที่ขึงปิดไว้นั่นแหละครับ เป็นที่เสด็จออกให้เฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:54:21

ความคิดเห็นที่ 4 รูปแสกนจากโปสการ์ดครับ เห็นชัดๆเมื่อเปิดม่าน จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:55:51

ความคิดเห็นที่ 5 ฟากข้างใต้กั้นฉากไว้ครับ น่าจะเป็นที่สำราญพระราชอิริยาบถ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:56:31

ความคิดเห็นที่ 6 ซูมไปตรงฉากจะเห็นโต๊ะไม้สีแดงเล็กๆอันนี้ คุณมัคคุเทศก์ว่าเป็น “โต๊ะเสวย” เป็นการส่วนพระองค์ครับ ดูเรียบง่ายมากๆทั้งที่คิดว่าที่เสวยขององค์จักรพรรดิน่าจะวิจิตรพิสดารกว่านี้ โต๊ะเสวยที่ว่านี่ดูราวกับที่นั่งทำการบ้านของเด็กๆมากกว่าอ่ะครับ คงเป็นรสนิยมอย่างญี่ปุ่นเขาที่ชอบความเรียบง่ายมากกว่า แต่ฝาผนังข้างในนั้นเขียนลายสวยดีนะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:58:03

ความคิดเห็นที่ 7 ฟากข้างเหนือกั้นผนังมิดชิดเป็น "พระวิมาน" ห้องบรรทมของจักรพรรดิครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:58:59

ความคิดเห็นที่ 8 พระทวารห้องบรรทม ดูเรียบง่ายอีกแล้วครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:59:35

ความคิดเห็นที่ 9 อาคารบางส่วนในเขตพระที่นั่งองค์นี้กำลังจะมีการบูรณะซ่อมแซมครับ เตรียมขึ้นโครงเหล็กครอบไว้เลย จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:00:39

ความคิดเห็นที่ 10 ชมพระที่นั่ง Seiryoden กันอยู่พักนึงคุณมัคคุเทศก์ก็พาเดินต่อครับ เดี๋ยวเราจะไปชมหมู่อาคารชั้นในกันบ้าง จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:01:24

ความคิดเห็นที่ 11 พระที่นั่งหลังถัดมาที่เราจะได้มาชมคือ Kogosho เป็นอาคารทรงญี่ปุ่นหลังใหญ่ท่ามกลางแมกไม้งดงามร่มรื่น Kogosho เป็นพระที่นั่งที่เกี่ยวข้องกับการปกครองบ้านเมือง ด้วยเป็นที่สำหรับจักรพรรดิเสด็จออกให้โชกุนเข้าเฝ้า เป็นสถานที่ประชุมข้อราชการต่างๆรวมทั้งพิธีการแต่งตั้งโชกุนก็จัดขึ้นที่นี่ครับ รู้สึกว่าที่นี่แหละครับที่มีการประชุมกันของเหล่าขุนนางและโชกุนในการที่จะถวายคืนพระราชอำนาจในสมัยจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยล่ะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:02:36

ความคิดเห็นที่ 12 ประตูสีทองนี่แหละเป็นทางสำหรับทางโชกุนขึ้นไปเฝ้าพระจักรพรรดิ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:03:24

ความคิดเห็นที่ 13 อันนี้ผมสงสัยอยู่ว่ามันคืออะไรครับ ที่เป็นเหมือนแผงโลหะแขวนอยู่เหนือระเบียงทางเดินของ Kogosho อ่ะครับ ตอนนั้นก็ลืมถามมัคคุเทศก์ว่ามันคืออะไร...ใครรู้เรื่องสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นก็ช่วยไขข้อข้องใจทีนะครับ อยากทราบจริงๆ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:04:01

ความคิดเห็นที่ 14 รูปนี้ผมแสกนมาจากโปสการ์ดเช่นกันครับ...เป็นบรรยากาศภายในพระที่นั่ง Kogosho ครับ ฉากแต่ละบานวาดได้งามจับใจมากๆโดยเฉพาะรูปภูเขาไฟฟูจิกลางม่านเมฆ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:04:39

ความคิดเห็นที่ 15 ฝั่งทิศเหนือของ Kogosho จะเป็นลานว่างๆโรยกรวดละเอียด เรียกว่า Kemarinoniwa เป็นที่สำหรับการละเล่นอย่างโบราณในราชสำนักญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Kemari” โดยผู้เล่นจะยืนล้อมกันเป็นวงแล้วใช้เท้าเตะลูกบอลที่ทำจากหนังกวางให้ลอยขึ้นบนอากาศไปเรื่อยๆ ฟังดูวิธีการเล่นน่าจะคล้ายๆ “ตะกร้อวง” ของไทยเรานี่ล่ะครับ จะต่างกันก็ตรงที่การเล่นของญี่ปุ่นเขาจะต้องแต่งตัวกันเต็มยศรุ่มร่ามน่าดูจนน่าจะมิอาจออกท่าทางได้มากเท่าตะกร้อไทยหรอกครับ อาคารที่เห็นในรูปนี้ซึ่งอยู่ข้างหน้าลาน Kemari ก็คือพระที่นั่ง “Ogakumonjo” เป็นที่ทรงพระอักษรของพระจักรพรรดิครับ แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 53 23:27:17 จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:05:46

ความคิดเห็นที่ 16 ที่ทรงพระอักษรจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกครับ ซึ่งตรงหน้านี่แหละเป็นสวนญี่ปุ่นอย่างงามเลยล่ะครับชื่อว่า “Okeniwa Garden” เขาออกแบบเหมือนกับจำลองชายฝั่งมหาสมุทรอ่ะครับ ตรงกลางเป็นสระใหญ่น้ำใสสีออกเขียว (จะเรียกว่าอ่างหยกได้ไหมล่ะครับเนี่ย) ริมฝั่งทำเป็นหาดกรวดกลมมน ฟากข้างโน้นปลูกต้นไม้น้อยใหญ่เป็นชั้นๆดูแล้วน่ารื่นรมย์ไม่น้อยเชียวล่ะครับ เพราะพระที่นั่งทรงพระอักษรนี้หันหน้ามาทางสวน อาจจะด้วยเพื่อให้จักรพรรดิได้ทอดพระเนตรทิวทัศน์อันงาม สร้างความเบิกบานพระทัยในยามที่ทรงพระราชนิพนธ์บทกวีล่ะมั้งครับเนี่ย จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:06:35

ความคิดเห็นที่ 17 มีสะพานทอดเข้าไปสู่พื้นที่ใจกลางสวน แต่เราเข้าไม่ได้นะครับ ยืนชมได้แค่ตรงนี้ครับ...มองไปทางไหนก็เขียวชอุ่มเย็นตาดีแท้ โดยเฉพาะพื้นสวนที่เป็นพวกมอสขึ้นเขียวชอุ่มราวกับพรมกำมะหยี่ ในเมืองไทยเรานี่ต้องไปชมบนดอยสูงๆครับถึงจะเห็นมอสธรรมชาติสวยอย่างนี้ ยอมรับว่าอากาศที่นครเกียวโตดีจริงๆครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:07:20

ความคิดเห็นที่ 18 เราเดินไปกันต่อเถอะครับ เดี๋ยวจะไปชมอาคารหลังใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวงกันนะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:08:24

ความคิดเห็นที่ 19 นี่คือพระที่นั่ง “Otsunegoten” ครับ เป็นหมู่อาคารที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวงนครเกียวโต สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิและจักรพรรดินี (ผมไม่แน่ใจว่าจะรวมไปถึงฝ่ายในหรือพระสนมอื่นๆหรือไม่) มีห้องใหญ่ทั้งสิ้น 15 ห้องครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:09:42

ความคิดเห็นที่ 20 แรกเริ่มเดิมที่ในพระราชวังจะมีที่ประทับเฉพาะที่พระที่นั่ง Seiryoden “จักรพรรดิพิมาน” ซึ่งเป็นของเก่าเท่านั้น ต่อมาก็มีการสร้างพระที่นั่งใหญ่ Otsunegoten แห่งนี้ในเขตชั้นใน จักรพรรดิจึงโปรดที่จะมาประทับที่นี่มากกว่า เพราะพื้นที่กว้างขวางกว่า ทั้งยังมีพระราชอุทยานล้อมรอบร่มรื่นน่าอยู่สบายกว่าที่เดิมเป็นไหนๆ เทียบกับของไทยก็น่าจะเป็น “หมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์” ที่ประทับของรัชกาลที่ 4 ได้ล่ะมั้งครับ ในอดีตพระจักรพรรดิเมจิก็ประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ล่ะครับ จนกระทั้งย้ายพระราชสำนักไปยังกรุงโตเกียว พระที่นั่งองค์นี้ก็ว่างลงนับแต่บัดนั้น จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:10:20

ความคิดเห็นที่ 21 มาส่องดูกันใกล้ๆที่พระที่นั่ง Otsunegoten จะเห็นบานประตูเขียนจิตรกรรมสวยๆแบบญี่ปุ่นด้วยนะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:11:04

ความคิดเห็นที่ 22 อันนี้คงเป็นภาพวิถีชีวิตในพระราชสำนักในอดีต จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:11:48

ความคิดเห็นที่ 23 นี่ก็รูปการแสดงละครหน้ากาก จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:12:26

ความคิดเห็นที่ 24 ส่วนฝาห้องนี้ เห็นมั้ยครับว่าเป็นรูปอะไร...คุ้นๆมั้ยครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:13:17

ความคิดเห็นที่ 25 การเล่น Kemari (ตะกร้อวงญี่ปุ่น??) นั่นเองครับ ที่เราเห็นลานว่างๆตรงหน้าหอทรงพระอักษรที่ผ่านมาไงล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 53 23:28:30 จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:14:55

ความคิดเห็นที่ 26 บรรยากาศโดยรอบแสนร่มรื่น สมแล้วกับที่เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิจริงๆครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:15:51

ความคิดเห็นที่ 27 ผมชอบพระราชอุทยานที่อยู่รอบๆ Otsunegoten มากๆครับ เพราะเป็นสวนญี่ปุ่นที่จัดได้ดีจริงๆ ต้นไม้นานาพรรณแน่นขนัดทั้งสีสันรูปลักษณ์ก็ต่างกันไป ซ้ำยังทำเป็นลำธารปูศิลาสะอาดสอ้านน่าชม ดูน้ำในลำธารสิครับ ใสยังกะน้ำประปามองเห็นก้อนกรวดท้องน้ำชัดแจ๋วเลย...งามพอจะสู้กับ “สวนขวา” ในพระบรมมหาราชวังได้มั้ยครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:16:47

ความคิดเห็นที่ 28 บางมุมในพระราชอุทยานจะเห็นต้นเมเปิ้ลเริ่มเปลี่ยนสีด้วยช่วงเวลานั้นย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นสนรูปร่างแปลกๆก็มีให้ชมเช่นกัน...เดินดูได้เพลินดีครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:17:33

ความคิดเห็นที่ 29 สมควรแก่เวลาแล้วคุณมัคคุเทศก์ก็พาคณะออกไปยังจุดสุดท้ายก่อนจบทัวร์ครับ เราต้องเดินย้อนมาทางหน้าพระที่นั่ง Otsunegoten อีกครั้งแล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกครับ...ตรงนี้จะเห็นท่อทองแดงอันเป็นรางระบายน้ำฝนจากหลังคาพระที่นั่งครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:18:27

ความคิดเห็นที่ 30 ต้นสนญี่ปุ่นนี่ดูดีนะครับ อยากเอากลับไปปลูกเมืองไทยจัง จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:19:13

ความคิดเห็นที่ 31 และแล้วคุณมัคคุเทศก์ก็พามายังจุดสุดท้ายครับ เป็นลานโล่งๆอยู่ทางฝั่งตะวันตกของพระที่นั่ง Otsunegoten (ที่เห็นหน้าจั่วอยู่ตรงนั้นไงล่ะครับ) คุณมัคคุเทศก์บอกว่าตรงนี้เป็นลานโล่งๆก็เพราะเคยเป็นที่ตั้ง “ห้องเครื่อง” royal kitchen สำหรับประกอบพระกระยาเสวยของจักรพรรดิครับ สมัยโบราณเขาจะกันที่ตรงนี้ไว้ห่างจากหมู่พระที่นั่งต่างๆพอควร เพราะเกรงเรื่องอัคคีภัยมากๆด้วยห้องเครื่องนี้มีทั้งเตาทั้งฟืนมากมายครับ แล้วก็ไฟไหม้ไปหลายรอบแล้วด้วย ต่อเมื่อจักรพรรดิเมจิย้ายพระราชสำนักไปกรุงโตเกียวก็ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องเครื่องที่นี่อีก สมัยหลังก็เลยปรับเป็นที่โล่งๆอย่างในปัจจุบันนี้ล่ะครับ พอถึงจุดนี้ก็เป็นอันจบการนำชมของสำนักพระราชวังพอดีครับ เราเดินต่อไปอีกนิดก็จะออกประตู Seisho Mon เหมือนอย่างตอนเข้าล่ะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:19:55

ความคิดเห็นที่ 32 หวังว่าคงจะเพลิดเพลินกับการเดินชมพระราชวังหลวง ณ นครเกียวโตนะครับ ได้เห็นหัวใจราชสำนักญี่ปุ่นโบราณกันเต็มตา น่าชื่นชมที่เขารักษาอาคารและบรรยากาศโดยรอบได้ดีมากๆ แม้ว่าจักรพรรดิจะย้ายพระราชสำนักไปอยู่กรุงโตเกียวหมดแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีเยี่ยมมากๆ ซึ่งอยากให้เมืองไทยเรารักษาบรรยากาศเก่าๆเช่นนั้นเช่นกันครับ (นึกถึงรถไฟฟ้าขับโฉบไปมาในพระราชวังบางปะอินแล้วหงุดหงิดแทนอ่ะครับ) จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:20:45

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชมกระทู้พาเที่ยวของผมนะครับ...ถ้ามีโอกาสจะพาไปเที่ยวที่อื่นอีกครับ “อะริงาโตะโกไซมัส” นะครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย (NMkrung) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:21:20

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบพระคุณที่พาเยี่ยมชมครับบบบบบบ มีโอกาสจะไปมั้งให้ได้เลย จากคุณ : MCarty เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 20:22:29

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากค่ะ เราเองก็ฝันว่าจะได้ไปญี่ปุ่นสักครั้งเหมือนกัน จากคุณ : Tatjang เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 21:40:31

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากครับ ชอบมาก ๆ จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 22:17:29

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาลงชื่อเข้าชม และขอขอบคุณ จขกท ที่พาเที่ยวนะครับ จากคุณ : Diwali เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 23:04:21

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : BIZZARE เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 00:06:47

ความคิดเห็นที่ 39 สวนของพระราชวังสวยมากเลยค่ะ ขอบคุณที่พาชมค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 00:31:57

ความคิดเห็นที่ 40 สุโก๊ยยยยยยยยยยยยยยย ผมเคยไปมาเมื่อ ปี 2546 ครับ คิดถึงจัง ชอบเมืองเกียวโต กับ เมืองนารามากๆเลย แต่ที่ประทับใจที่สุดก็ ชิโกกุ อยากกลับไปอีกครับ ขอบคุณที่เอาภาพดีๆมาแบ่งปัน จากคุณ : หอบหืด เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 08:09:17

ความคิดเห็นที่ 41 กรี๊ดกร๊าดชอบใจมากเลยค่ะ สำหรับคนที่คลั่งอ่าน Genji no Monogatari ยิ่งชอบใจ โดยวรรณคดีเรื่องนี้อาจนับเป็นนิยายเรื่องแรกของโลกได้เลย  อ่านเอาสนุก หรือสุนทรีย์ก็ได้แต่ที่น่าจะเป็นคุณค่าก็คือการบันทึกวิธีชีวิตชาววังสมัยก่อนของญี่ปุ่นเอาไว้ เรื่องฝ่ายใน เขาแบ่งเคร่งครัด โดยได้แบบแผนจากจีนมาพอสมควร เจ้าจอมเมื่อก้าวเข้าวังจะถูกเรียกตามตำหนัก มีการแบ่งลำดับชั้นคล้ายกับเจ้าจอมของจีน คำว่าพระจักรพรรดินีคือ  Kogo ก็คือ 皇后 หวงโฮ่ว หรือฮองเฮา) ส่วนพันปีหลวงKotaigo 皇太后 ก็คือ หวงไท่โฮ่ว หรือฮองไทเฮา หรือไทเฮานี่แหละค่ะ [ในสมัยก่อนภาษาจีนเป็นภาษาหลัก ภาษาราชสำนัก ส่วนผู้หญิงชาววังก็จะมีการศึกษาพอสมควร ถึง ดีมาก โดยเห็นได้จากการแต่งโคลงกลอนประชัน] ตำแหน่งพระจักรพรรดินีนั้นมักแต่งตั้งจากเจ้าหญิง อาจเป็นพระราชธิดาในพระจักรพรรดิองค์ก่อนๆ หรือพระธิดาราชสกุลชั้นสูง ในกาลดั้งเดิม จนถึงสมัยเฮอันในยุคที่ตระกูลฟูจิวาระเรืองอำนาจเต็มที่ สตรีตระกูลนี้ครองตำแหน่งจักรพรรดินี เจ้าจอม ชายารัชทายาท (หรือเจ้าชายที่มีโอกาสครองบัลลังก์) พระพันปีก็เป็นสตรีฟูจิวาระ แทบไม่ปล่อยสายอื่นเข้ามา ธรรมเนียมนี้ดำรงมาหลายร้อยปี หากไม่เป็นฟูจิวาระก็ต้องเป็นสาขาหลักของฟูจิวาระ ที่มีอยู่ห้าตระกูลคือ โคโนเอะ อิชิโจ คุโจ นิโจ ทาคาสึคาระ   พระราชธิดาในพระจักรพรรดิที่ได้เป็นจักรพรรดินีเป็นองค์สุดท้ายคือ จักรพรรดินีโยชิโกะ โดยเป็นพระราชธิดาเพียงองค์เดียวของพระจักรพรรดิโก-โมโมโซโนะ มีชันษาไม่เต็มหนึ่งปีเมื่อองค์จักรพรรดิหนุ่มสวรรคต(เพียง 22 เท่านั้น) ก่อนสวรรคตองค์จักรพรรดิทรงรับพระญาติวัยแปดชันษาเป็นราชบุตรบุญธรรม กลายเป็นจักรพรรดิ โคคาคุ หมั้นหมายกับเจ้าหญิงโยชิโกะ และอภิเษกอย่างเป็นทางการเมื่อเจ้าหญิงมีชันษา 15 ปี ทั้งสองไม่มีทายาทที่รอดถึงวัยผู้ใหญ่ พระจักรพรรดินีจะอุปการะพระราชโอรสองค์หนึ่งอันเกิดจากพระสนมเป็นของพระองค์ และจะดำรงฐานะมารดาของเจ้าชายรัชทายาทตามธรรมเนียมเก่าแก่ ความเปลี่ยนแปลงของฝ่ายในเกิดขึ้นเมื่อเจ้าชายฮิโรฮิโตะ ผู้ซึ่งจะเป็นจักรพรรดิโชวะในอนาคตทรงเลือกคู่ ตามธรรมเนียม พระชายาของรัชทายาทจะมาจากการจัดสรรจับคู่กับสตรีสูงศักดิ์ แต่เจ้าชายฮิโรฮิโตะได้รับอิสระที่จะทรงเลือกคู่จากบรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่มีคุณสมบัติถึง (คือคัดมาก่อนแล้ว) หญิงสาว และเด็กสาวในวัยใกล้เคียงกับพระองค์มาร่วมในพิธีชงชาในพระราชวัง เจ้าชายรัชทายาทแอบทอดพระเนตรกุลธิดาเหล่านี้โดยพวกเธอไม่เห็นพระองค์ และพระองค์ก็ได้พบกับเจ้าหญิงนางาโกะจากสายราชสกุลเล็กๆ ทรงเลือกเธอเป็นคู่ชีวิต และหลายปีต่อมาได้อภิเษกกับเธอ เจ้าหญิงนางาโกะต่างจากชายารัชทายาทในกาลก่อนๆคือ ไม่ได้มาจากฟูจิวาระ เป็นเจ้าหญิงจากราชสกุลสายรอง แต่มารดาของเจ้าหญิงไม่เล็ก เพราะเป็นธิดาของไดเมียวแห่งแคว้นซัทสึมะ (บรรดาคนชอบเรื่อง Atsuhime คงจะคุ้นๆ) เจ้าหญิงนางาโกะต้องรับการอบรมหลักสูตรเข้มงวดของราชสำนักถึงหกปี และเป็นพระราชชนนีของพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หลังสิ้นพระชนม์ก็ได้รับการขนานพระนามว่า "โคจุน" พระจักรพรรดิโชวะได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ฝ่ายใน ก่อนหน้านั้นทรงมีสนมประจำตำแหน่งอยู่ 39 คน และได้ล้มเลิกธรรมเนียมการมีสนมซึ่งเป็นปฏิบัติกันมาเป็นพันปีเพื่อให้กำเนิดทายาทมิให้ตำแหน่งจักรพรรดิต้องสิ้นสุดหรือว่างลง คงเหลือแต่พระจักรพรรดินีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แม้จักรพรรดินีไม่ทรงมีวี่แววว่าจะมีพระราชโอรส และยังมีแต่พระราชธิดาติดๆกันมาถึง 4 องค์ในเวลา 10 ปี จะทำให้มีการพูดถึงเรื่องฟื้นธรรมเนียมมีสนมขึ้นมา (เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้เช่นกันเมื่อเจ้าหญิงมาซาโกะไม่มีวี่แววให้กำเนิดทายาท) แต่ในที่สุดพระจักรพรรดินีก็ให้กำเนิดพระราชโอรสถึงสองพระองค์ พระจักรพรรดินีมิชิโกะทรงถือกำเนิดในตระกูลสามัญชน เช่นเดียวกับเจ้าหญิงมาซาโกะ และเจ้าหญิงคิโกะ เห็นฉากบังตา กับม่านสวยๆ ทำให้นึกถึงเรื่องที่น่าสนใจ การฉนวน มีทั้งแบบไม้ไผ่ หรือเป็นผ้า คนในมองออกได้ คนนอกมองเข้าไปไม่เห็น เวลาเข้าเฝ้าในสมัยก่อนมีเฉพาะผู้ได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษจึงจะได้เห็นองค์จักรพรรดิ จะเห็นได้เพียงรองพระบาทเท่านั้น พูดถึงเกนจิมาในตอนต้น มีเรื่องแปลกๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับธรรมเนียมที่มีเจ้าฉนวน หรือบังตาเข้ามาเกี่ยว ก็คือสตรีผู้ดีสมัยก่อนจะไม่เผยใบหน้ากับชายที่ไม่ใช่ครอบครัว และมีระยะห่างออกมาพอสมควร จะเห็นเธอได้ก็เฉพาะได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ หรือเธอจะเป็นฝ่ายยกม่านขึ้น เปิดออก หรือยอมให้เข้าไปหลังม่าน หากจู่ๆพบกับชายโดยไม่มีฉนวนก็จะใช้พัดบังหน้า (พัดโบราณอันเบ้อเริ่ม ประดับงดงาม) หรือฉุกเฉินก็แขนเสื้อยาวๆนี่แหละ บังเข้าไป ความที่การจะได้ทัศนาโฉมนั้นยากยิ่ง การตกหลุมรักหรือพึงใจกันจึงมาจากแง่รสนิยม เช่น การแต่งบทกวีโต้ตอบ ดนตรี การสนทนา กระทั่งรสนิยมการเลือกชุดและจัดสรรสีให้เหมาะเจาะงดงามก็เพียงพอทำให้ชายหลงสตรีผู้นั้นได้ทั้งๆที่ยังไม่เห็นหน้า เกนจิจึงมักได้ยินกิตติศัพท์สตรีเลื่องชื่อก่อน จากนั้นก็ไปหา เขียนกลอนโต้ไปมาจากนั้นก็เข้าหา (ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ!) ที่สำคัญ แม้แต่ภรรยาตามกฏหมายก็จะอยู่ ณ บ้านเดิม อาจย้ายมาอยู่กับสามีในระยะหลัง แม้มีลูกบางทีก็ฝากเอาไว้ที่บ้านตาเลี้ยง อย่าง ยูงิริ ลูกชายของเกนจิก็เกิดในบ้านตา เป็นกำพร้า บ้านตาคือเสนาฝ่ายซ้ายเป็นผู้เลี้ยง) จากคุณ : kurika เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 11:21:18

ความคิดเห็นที่ 42 แก้ไขเมื่อ 14 ม.ค. 53 15:58:39 จากคุณ : U4704570 เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 15:57:46

ความคิดเห็นที่ 43 รูปคห. 13 ผมคิดว่าน่าจะเป็นแผงเหล็กกั้นหน้าต่าง เพื่อรักษาความปลอดภัยนะครับ ดูจากมีแผงเหล็กด้านล่าง น่าจะต่อกับเหล็กที่แขวนด้านบน ไม่รู้จะพูดยังไง แห่ะๆ แค่สันนิษฐานนะครับผม ขอบคุณจขกท.มากครับ ผมชอบสถาปัตยกรรมคลาสสิกแบบนี้มากๆ ไว้จะไปเที่ยวไปเห็นด้วยตาตัวเอง เข้าไปคงไม่ได้กลับมาแน่ (เพราะหลงทาง 555+) จากคุณ : U4704570 เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 15:58:11

ความคิดเห็นที่ 44 สวนสวยมากๆ ขอบคุณมากค่ะที่เอามาแบ่งปันกัน ทัวร์นี้ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่นะคะ จากคุณ : scottie เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 21:48:25

ความคิดเห็นที่ 45 สนุกจริงๆครับ ญี่ปุ่นนี่เขาขึ้นชื่อด้านความสะอาดเรียบร้อยจริงๆ ขนาดสวนจัดให้เรียบแล้วยังดูเป็นธรรมชาติได้ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 09:00:35

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณอีกครั้งครับ งดงามมากเลย จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 12:32:07

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณมากครับ ชอบมากเลย  ผมติดตามทั้ง 2 กระทู้เลยครับ Domo arigatou gozaimashita จากคุณ : PeeEm เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 12:54:37

ความคิดเห็นที่ 48 ในที่สุดก็มา รีวิวจนได้  นับจากวันที่ไปเที่ยว จนวันนี้ นานเท่าไหร่แล้วครับ จารย์หนุ่ม 555   ปล.  รอ รีวิว เรื่องวัด ที่คุยกันตอนงาน meeting อยู่นะครับ แล้ว ถ้าเป็นไปได้ อยากอ่านตอน 10  รีวิว อินเดียใต้ซะที  555555 จากคุณ : Pai-tong_Man เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 13:38:15

ความคิดเห็นที่ 49 ดีใจจริงที่ท่านออกญาฯกลับมาวงการอีกครั้ง เข้ามาทีไรท่านก็นำเรื่องดีๆมาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ ขอบคุณครับ ภาพและเรื่องราวงดงามจริงๆ จากคุณ : มังกรล่อแก้ว เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:18:33

ความคิดเห็นที่ 50 แจกกิ๊ฟด้วยความเพลิดเพลิน  พอถึง คห.32 กระแทกใจอย่างแรง น่าจะมีคะแนนพิเศษ แจกหมดใจ ให้ คห.32 ไปเลย ขอบคุณ คุณ kurika คห. 41 ด้วยค่ะ  ข้อมูลแน่น..อ่านเพลิน..และไม่งง (ซึ่งไม่ค่อยเกิดกับเราบ่อยนัก) ขอบคุณสำหรับกระทู้สาระจ้ะ  นานๆ เข้าห้องสมุดที  ไม่เคยผิดหวังเลยจริงๆ จากคุณ : รังสิมา เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 14:38:21

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณสำหรับการเปิดหูเปิดตาทางบอร์ด คงมีสักวันที่ได้ไปเห็นของจริง จากคุณ : พนอจัน เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 19:32:14

ความคิดเห็นที่ 52 เจ๋งมากครับ สวยงามมาก แม้จะดูเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความพิถีพิถันและเนี้ยบมาก พระราชวังใหม่เองก็เช่นกัน เรียบหรูไม่แพ้วังเก่า อยากไปชมให้เห็นกับตาจังครับ ~~ จากคุณ : ถั่วงอกเป็นฆาตกร เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:29:22

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆและความรู้ที่แทรกมาเป็นระยะ จากคุณ : มนต้นไม้ (Setakan) เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 10:51:59

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณมากครับ เห็นแล้วอยากไปบ้างจังเลย... จากคุณ : เจรามี (เจรามี) เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 19:12:53

ความคิดเห็นที่ 55 ^-^ จากคุณ : booklovers เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 19:42:21

ความคิดเห็นที่ 56 รูปใน คห.13 เป็นฉากกั้นเพื่อแบ่ง Partition ของอาคารบางส่วน เวลาใช้ก็นำไม้ยาวๆไปปลดลงมาฝั่งนึง ส่วนอีกฝั่งก็ยังแขวนยึดอยู่ด้านบน เวลาเก็บก็ดันกลับขึ้นไปแขวนไว้เหมือนเดิม ไม่เปลืองพื้นที่ เป็นภูมิปัญญาคนโบราณครับ ส่วนจะกั้นเพื่ออะไรผมไม่ทราบจริงๆ จากคุณ : HAMUju เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 17:48:43

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณท่าน จากคุณ : เหมันต์ใบไม้ผลิ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 16:08:28