ความคิดเห็นที่ 1 อันดับแรกขอกล่าวถึง  "ตำลึง"  ครับ ผู้ดีบางพวกกล่าวหาว่าคำ  "ตำลึง"  เป็นคำหยาบคาย  คล้ายกับจะไปตำเตมอะไร  เลยเรียกชื่อเสียใหม่เพื่อเวลาพูดจะได้ไม่กระดากปาก  (ไอ้ผมก็ลืมไปแล้วจริง ๆ ว่าคำสุภาพของตำลึงเรียกหยั่งไร) ถ้ามองในแง่ของภาษา  คำว่าตำลึงนั้นหมายถึงหน่วยเงินไทยสมัยก่อน ชั่ง  ตำลึง  บาท  สลึง  เฟื้อง  ไพ   ตำลึงที่เป็นพืช  น่าจะหมายถึงพืชที่มีค่าหนึ่งตำลึง  เพราะมีคุณเป็นเอนกประการ ท่านใดที่โดนหมามุ่ยละก็  รับรองต้องได้คันคะเยอทั้งตัวเป็นแน่   คนโบราณเขาให้เอาใบตำลึงนี่แหละมาตำให้พอแหลก  แล้วเอามาทาถูบริเวณที่โดนหมามุ่ย  ทิ้งไว้สักพักอาการคันก็จะทุเลาเบาบางลง ขืนใครไปหาหมอ  หรือเอาคาลามายมาทา  รับรอง  คันคะเยอ  หรือไม่ก็เกาจนเนื้อหลุดให้แสบร้อนคันคาย  กว่าจะหาย  บางคนอาจจะไข้ขึ้นได้ สรุป  ตำลึงแก้หมามุ่ยได้ นอกจากนั้น  ถ้าใครท้องผูก  ถ่ายไม่ออก  ไปหาใบตพลึงมาเลยครับ  สักสามสี่กำมือ  เอาไปต้มจืดเต้าหู้  ใส่หมูสับด้วยก็ได้  แล้วกินซะ   รับรอง  ถ่ายคล่องเชียวครับ แต่ตำลึงนี่อย่ากินส่งเดชนะครับ  หน้าฝนเขาห้ามกิน  มันมีพิษ  ทำให้ท้องเสียได้ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 21:06:32 แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 21:04:52 จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:02:26

ความคิดเห็นที่ 2 ต่อไปขอนำเสนอ  "หัวปลี"  ครับ หัวปลีนี่กินสดก็ได้  ลวกแล้วจิ้มกับน้ำพริกก็ได้ คุณผู้หญิงคนใดที่หน้าอกเล็กหรือมันเหลวไม่เคร่งครัดเหมือนเมื่อก่อน  ให้กินหัวปลีเข้าไปเถิด  กินเข้าไปแล้วหน้าอกจะแข็ง   นอกจากนั้นหัวปลียังแก้โรคกระเพาะได้อีกด้วย  ท่านใดไอยากกินหัวปลีเพียว ๆ ก็กินกับผัดไทยก็ได้  จิ้มกับหลนเต้าเจี้ยวก็เหมาะ  หรือใครเป็นคนเหนือ  ก็เอาใส่ในยำไก่ก็ได้  ได้ทั้งนั้นครับ กินหัวปลี  ทำให้หน้าอกแข็ง  จดไว้เลยครับท่านผู้หญิง  (ฮา) จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:07:33

ความคิดเห็นที่ 3 พูดถึงเรื่องหน้าอกหน้าใจ  ท่านสุภาพสตรีอย่าหาว่าผมทะลึ่งนะครับ สำหรับคุณแม่ท่านใดที่น้ำนมที่ใช้สำหรับเลี้ยงบุตร  (ฮา)  มีน้อย  หรือไหลน้อย  แนะนำพระเอกของเราครับ "มะรุม"  ภาคเหนือเรียก  "บ่าค้อนก้อม"  ภาคอีสานเรียก  "อีฮุม" คนโบราณ  ถ้าคุณแม่ท่านใดน้ำนมไหลน้อย  เขาจะเอายอดอ่อน ๆ ของมะรุมมา  "กวาดนม"  คือเด็ดยอดขนาดประมาณหนึ่งฟุต  ให้ได้สักสองกำมือ  ทำทำนองให้เป็นไม้กวาด  แล้วเอามา  "ฟาย"  หรือกวาดนมนั่นแหละ  เชื่อว่าจะทำให้น้ำนมมากขึ้น อันนี้ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์นะครับ  แต่ได้ยินอาจารย์ผมว่ามาอีกที  เลยจดเอาไว้เป็นความรู้ ยอดมะรุมกินสดได้  ลวกจิ้มกับน้ำพริกได้  แต่ห้ามเอาไปผัดไฟแดงนะครับ ถ้าไม่เชื่อท่านลองสิ  เอายอดมะรุมไปผัด  เหมือนผัดผักบุ้งไฟแดงนี่แหละ   แล้วกินเลย  ทีนี้ล่ะเจ้าประคุณ  ท้องร่วงไม่หยุดเลย   อย่าลองแหละเป็นดีครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:13:50

ความคิดเห็นที่ 4 อาการท้องร่วงมักเกิดจากหลายสาเหตุ   แต่สมัยก่อนเขามีวิธีแกล้งคนที่เราไม่ชอบ  โดยการผสม  "สลอด"  ลงไปในของกิน  เช่นน้ำ  อาหารเป็นต้น คงจะรู้นะครับว่า  ถ้าใครเผลอกินสลอดเข้าไป  ผลที่ตามมาก็คือ ท้องเสียอย่างรุนแรง  บางคนถึงกับต้องหยอดน้ำข้าวต้มเลยก็มี วีธีการแก้สลอดนั้น  เขาใช้  "น้ำมะพร้าวอ่อน"  ครับ   หากสงสัยว่ากินสลอดเข้าไปแล้วท้องร่อง  น้ำมะพร้าวอ่อนช่วยได้ชะงัดนักแล นอกจากจะบรรเทาอาการท้องร่วงแล้ว  เกลือแร่ที่สำคัญในน้ำมะพร้าวยังจะไปช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้อีกด้วย จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:18:28

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อไปเป็นความรู้เกี่ยวผักมีพิษ  (แต่กินได้)  สักชนิดหนึ่งนะครับ "ผักเสี้ยน"  ครับ คนทางเหนือบ้านผมกินกันเป็นส่วนใหญ่แหละครับ  แต่ต้องเอาไปดองเสียก่อน  (ดองแล้วเรียกผักส้มเสี้ยน) ผักเสี้ยนห้ามกินสดนะครับ  ใครกินสด ๆ สักสามสี่ยอดตายแน่ ๆ เพราะมีสารพิษอะไรก็จำชื่อไม่ได้แล้ว ต้องเอาไปดองก่อน  วิธีการทำก็คือ  ไปเก็บยอดผักเสี้ยนมาให้ได้ตามความต้องการ  จากนั้นล้างให้สะอาด  (เผื่อไอ้ตูบข้างบ้านมันมาฉี่ใส่)  จากนั้นให้เอาผักเสี้ยนที่ได้มาคลุก  เคล้า  เค้น  คั้นกับเกลือป่นสักหน่อย  ให้พอน้ำเกลือมันซึมเข้าไปในผัก  แล้วให้เอา  "น้ำข้าวมวก"  คือน้ำที่แช่ข้าวเหนี่ยว  (ที่ยังไม่ได้นึ่งให้สุก)  มา  แล้วเอาผักเสี้ยนเค้นเกลือนั้นแช่ลงไป  เอาข้าวเหนียว  (ที่นึ่งแล้ว)  สักสองสามก้อน  (ขนาดเท่าหัวแม่มือ)  แช่ลงไปด้วยกัน หมักแล้วตากแดดไว้สักสามวัน  ก็จะได้ผักเสี้ยนดองที่แสนอร่อย   เวลากิน  ท่านใดที่ชอบเผ็ดก็ไปหาพริกขี้หนูหรือพริกชี้ฟ้าก็ได้  เอามาคั่วให้หอม  บิดใส่ในผักเสี้ยนดอง   เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:35:41

ความคิดเห็นที่ 6 อ้อ  ผักเสี้ยนกินสดไม่ได้  ต้องดองเท่านั้น แต่คนทางภาคกลางหรือค่อนไปทางอีสาน  เขากินสดกันนะครับ ไม่ตายด้วย  แต่ต้องกีนกับ  "ปลาร้าสับ"  นี่เป็นความรู้ใหม่ แต่ไม่แนะนำให้ลองครับ อาจตายส่งเดชได้ อิอิ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:37:15

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อไปเป็นพืชอีกชนิดนึง  ที่กินแล้วอาจจะไปเฝ้าท่านยมได้ มะยมครับ บางคนอาจจะค้าน  มะยมกินได้สิ   ผลก้กินได้  ใบก็เอากินกับลาบ  แต่ถ้าท่านดันไปแทะ  "รากมะยม"  ตายแน่ ๆ ครับ พอ ๆ กับกิน  "เม็ดมันแกว"  นี่ก็ซี้เหมียนกัลลล์ อ้อ  "ผักหนาม"  ด้วยนะครับ  ห้ามกินสด  ต้องเอาไปต้มหรือลวกให้น้ำสีแดง ๆ มันออกมาก่อน  ไม่งั้นก็ตายเช่นกัน จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:39:58

ความคิดเห็นที่ 8 ทีนี้มาดูสัตว์บ้าง สัตว์บางชนิดคนชอบกิน  แต่หารู้พิษสงของมันไม่ ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับ "ปลาหมอ"  ภาคเหนือบ้านผมเรียก  "ปลาสะเด็ด"   เวลากินถ้าจะให้อร่อยต้องปิ้งครับ  ถ้าปลาหมอตัวโตจะสามารถปิ้งได้ตัวเดียว   คือเอาไม้ไผ่มาทำเป็นที่หนีบ  มัดหัวท้าย  ปลาอยู่ตรงกลาง   ปิ้งโดยใช้ไฟที่โรยหน่อย ๆ เวลาปิ้ง  พอปลาถูกความร้อน  ตัวปลามันก็จะงอ จากนั้นก็กลับอีกด้าน  ปลามันก็จะงออีก ปลาสะเด็ดกลับเจ็ดครั้งครับ  สุกพอดี กินปลาต้องใช้มือนะครับ  อย่าใช้ช้อน  เพราะช้อนมันไม่รู้จักว่าอันไหนเป็นเนื้อปลา  อันไหนเป็นก้างปลา เวลากินปลาหมอปิ้งนี่ต้องกินกับข้าวสวย  มีน้ำปลาดีที่ทำจากปลาสร้อย   ปลาหมอนั้นกินได้ทั้งเกล็ดก็ต่อเมื่อเป็นหน้าฝนเท่านั้น เพราะเกล็ดมันจะอ่อน แต่ถ้าหน้าแล้งละก็  ต้องขอดเกล็ดครับ  ไม่งั้นติดคอตายเลย แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 21:14:42 แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 20:45:38 จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 20:45:17

ความคิดเห็นที่ 9 พอมาอ่าน ๆ ไอ้ที่พิมพ์มา   มันไม่ใช่สมุนไพรแล้วสิครับ มันน่าจะจัดไปอยู่ภูมิปัญญาไทยเสียมากกว่า งั้นขอเปลี่ยนหัวข้อกระทู้เป็นภูมิปัญญาไทยในครัวเรือนแล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะมาต่อครับ ส่วนท่านผู้รู้ท่านใดที่อยากจะเติมเต็มกระทู้นี้ให้มีประโยชน์แก่ส่วนรวม น้อมเรียนเชิญด้วยความคารวะครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 21:00:52

ความคิดเห็นที่ 10 ที่บ้านไม่มีต้นมะยมหน้าบ้าน มีมะกรูดอยู่ ๑ ต้น  สูงมาก  ลูกเต็มจนกิ่งค้อม ใครเข้าบ้านมาไม่ค่อยได้มอง ตอนขากลับเดินออกจากบ้าน  ชื่นชมกัน ไถใบแก่  ใบเพสลาด  ใบอ่อน   และลูก หลายคนเอาไว้ในรถ  บีบผิวมะกรูดที่มีน้ำมัน ดมแล้วชื่นใจ วันหนึ่งตกแต่งกิ่ง  กองกิ่งไว้ข้างประตู คุณหลานวัยตีนเอจ(สำนวนน้ามนัส จรรยงค์)ข้างบ้านวิ่งมาขอกิ่งที่เรากำลังจะทิ้ง จึงบอกให้เธอเข้ามาเก็บลูกเอาตามใจชอบ  ยกบันไดมาตั้งให้ด้วย ดูเธอตื่นเต้นดีใจ   จริตของสาวน้อยน่าเอ็นดู   หลานในที่ทำงานสั่งให้หมั่นเด็ดใบ  เธอชอบผัดใบอ่อนกับหมู อิฉันเองชอบน้ำพริกมะกรูด  กินกับหมูเปรี้ยว(ตำราโบราณบ้าน ซอสามสาย) มะกรูดทั้งใบและลูกทำน้ำหมัก  ใช้ล้างห้องน้ำกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากคุณ : แสนอักษร เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 22:10:11

ความคิดเห็นที่ 11 มีข่ากอใหญ่ ๑ กอ   ช่วยย่อยอาหาร  ท้องอุ่นนิด ๆ สงสัยจะเป็นตำรากับข้าวไปแล้ว ผัดหมูสามชั้นกับกะปิและข่า อย่าลืมกระเทียมกับพริกขี้หนู ข่าตำกับเต้าเจี้ยว ข่าคั่วกับอะไรในบ้านที่มี ทำนำ้พริกแห้ง ๆ ข่าอ่อนหั่นเป็นแว่นใส่ไข่เจียว   สมาชิกชมรมนักอ่านชอบกันมาก ส่วนจะต้มข่า หรือใส่ในหม้อไฟ   ไม่ค่อยได้ทำค่ะ เปลืองสตังค์ จากคุณ : แสนอักษร เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 22:18:22

ความคิดเห็นที่ 12 มีมะนาวอยู่หลังบ้าน  ลูกดกมาก จึงทนุทนอม  โดยช่วยกันรดน้ำ มะนาวตายเพราะไม่ชอบนำ้ จากคุณ : แสนอักษร เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 22:21:11

ความคิดเห็นที่ 13 ขิงมีติดตู้เย็นอยู่เรื่อย ๆ เป็นหวัดก็ต้มน้ำขิงจิบ  หวัดแพ้ ช่วยกำลังโดยหาอะไรต่อมิอะไรใส่น้ำขิงไป  แก้หิว ลดอาการไอ ที่คุยมาว่าใบตำลึงหน้าฝนกินแล้วท้องเสีย   จริง ขอแนะนำให้เก็บใบที่สามลงมากิน  อย่าใช้ยอด ท่านคงอุบายไว้ให้งอกงาม ถือว่าคุยกันแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ตำรายามีอยู่เหมือนกัน ขนาด กามปริหาร ของ นายวรรณหรือเทียนวรรณ ก็มี อ่านให้สหายฟัง  หัวร่อกันกลิ้ง ท่านแนะนำให้เว้นวันพระวันโกน วันสำคัญทางศาสนา วันเกิดตนเอง  วันพฤหัส ภูมิปัญญาชาวบ้านแท้ ๆ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 22:38:07 จากคุณ : แสนอักษร เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 22:35:10

ความคิดเห็นที่ 14 ตำลึงหน้าฝนก้อกินได้ครับ ไม่มีพิษ ขึ้นริมรั้วและเลื้อยไปทั่วที่ดินว่างข้างบ้านผม หน้าฝนงามดี ตอนเช้าๆ เมียพวกคนงานก่อสร้าง ชอบมาเก็บยอดไปทำแกงจืด ที่มีพิษอาจจะเผลอไปเก็บพืชมีพิษที่ใบคล้ายๆกันปนไปด้วยน่ะครับ...เหมือนที่ ชาวบ้านไปเก็บผักหวานป่าแล้วทำกิน พากันเบื่อตาย ก้อว่ากินผักหวานผิดฤดู จริงๆ ไม่ใช่ ผักหวานกินได้ทุกฤดู ที่กินแล้วเบื่อตายกันนั้นเพราะเผลอไปเก็บ ยอดพืชบางชนิดที่คล้ายผักหวานแต่มีพิษไปกินด้วย ... ไม่ซี้ก้อไม่รู้จะว่ายังไง แล้วละครับ... อีกเรื่องคือ ขิง อันนี้ต้องรู้จักกินให้เป็น อย่าไปเชื่อโฆษณาขิงอะไรที่ทำเป็น ผงบรรจุซองนั่นน่ะว่ากินดีมีประโยชน์ทุกเมื่อ อันนี้ให้ระวัง เพราะขิงนั้นเป็น สมุนไพรรสร้อน มีธาตุร้อนสูง ไปต้มกินในฤดูร้อน รับรอง go big แน่...เป็น ไข้ได้เลยเชียว ขิงจะกินดีต้องเป็นหน้าหนาว ... แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 53 00:22:05 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 00:21:42

ความคิดเห็นที่ 15 ในคคห 13 ที่ซือเจ๊พูดว่า "ที่คุยมาว่าใบตำลึงหน้าฝนกินแล้วท้องเสีย   จริง..." ตอบ ในตำรายาของคนจีน (ที่เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ) ซึ่งเราเคยอ่านเจอ ก็มีกฎเกณฑ์ในการเก็บสมุนไพรว่าจะต้องเก็บสมุนไพรชนิดไหนในฤดูกาลไหนตามทฤษฎีธาตุทั้ง 5 เพื่้อให้ได้พลังของธาตุที่จำเป็นในการนำมารักษาอวัยวะภายในบางอวัยวะ ซึ่งพลังลมปราณของมันจะผันแปรไปตามฤดูกาลเช่นกัน แล้วที่ซื้อเจ๊พูดว่า "...ขอแนะนำให้เก็บใบที่สามลงมากิน  อย่าใช้ยอด ท่านคงอุบายไว้ให้งอกงาม" ตอบ เราว่าเหตุผลคือ ส่วนของพืชที่อยู่ใกล้พื้นดินจะมีพลังหยางมากและยิ่งอยู่ใต้ดินก็จะยิ่งมีพลังหยางมากยิ่งๆขึ้นไปอีก ส่วนที่อยู่ไกลๆพื้นดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดหรือดอกของมัน จะมีพลังหยินมากขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งไกลพื้นดินก็ยิ่งหยินมากๆ ขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่นมันฝรั่งเป็นพืชที่มีพลังหยินมากๆโดยกำเนิดอยู่แล้ว ยิ่งไปตรงยอดๆคือตรงดอกของมันจะมีพิษกินไม่ได้ แต่หัวของมันซึ่งอยู่ใต้ดินจะหยินน้อยหน่อย เพราะมันหยางกว่าส่วนยอด ดังนั้นหัว (ราก) ของมันจึงไม่เป็นพิษ (ไม่หยินเกินควร) ก็เลยกินได้ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 03:43:06

ความคิดเห็นที่ 16 เอ่อเผอิญตำราสมุนไพรจีนซึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ที่เราพูดถึงนะ มันอยู่บนแผ่น CD ไม่รู้ตอนนี้หายไปไหนแล้วหว่า ถ้าหาเจอจะแปลให้อ่านบ้างเป็นบางตอน คงจะสนุกดีเหมือนกันนะ มันมีรูปต้นไม้ให้ดู มีทั้งภาษาจีนกับอังกฤษกำกับไว้ ถ้าให้คนไทยมองดูรูปภาพจะรู้ทันทีว่าอันไหนเหมือนสมุนไพรไทยมั่ง แต่ให้เราอ่านชื่อสมุนไพรไทยที่คุณแปะมาเราก็งงแฮะ เพราะเคยอ่านเจอแต่ภาษาจีนมีทั้งอักขระจีน + ทับศัพท์เป็นอังกฤษ + แปลเป็นอังกฤษกำกับแต่ละรูปภาพไป จนเมื่อก่อนเคยซื้อสมุนไพรพวกนี้ ใช้ได้ถูกต้องใน Chinatown ตอนอยู่ต่างแดน... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 03:52:54

ความคิดเห็นที่ 17 กราบสวัสดีทุกท่านครับ   วันนี้วันครู  ผมตื่นแต่เช้าไปใส่บาตร  อุทิศส่วนกุศลให้ครูของผมที่ล่วงลับไปแล้ว   รวมไปถึงปู่ย่าตายายด้วย และขอนำบุญมาฝากทุก ๆ ท่านครับ อ่านที่คุณแสนอักษรเล่าไว้น่าสนใจเชียวครับ โดยเฉพาะ ถือว่าคุยกันแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ตำรายามีอยู่เหมือนกัน ขนาด กามปริหาร ของ นายวรรณหรือเทียนวรรณ ก็มี อ่านให้สหายฟัง  หัวร่อกันกลิ้ง ท่านแนะนำให้เว้นวันพระวันโกน วันสำคัญทางศาสนา วันเกิดตนเอง  วันพฤหัส ภูมิปัญญาชาวบ้านแท้ ๆ แก้ไขเมื่อ 15 ม.ค. 53 22:38:07 จากคุณ : แสนอักษร   เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 53 22:35:10" อยากทราบเรื่องที่เกี่ยวกับ  "กามปริหาร ของ นายวรรณหรือเทียนวรรณ"  จริง ๆ ครับ ถ้าจะกรุณาขยายความด้วยจักเป็นพระคุณยิ่งครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 11:15:02

ความคิดเห็นที่ 18 ทั่น  "เต๋านีโอ"  บ้านผมมีผักหวานป่าอยู่ ๒ ต้น  และส่วนมากบ้านผมก็ไม่กินผักหวานหน้าฝนครับ  กลัวอย่างที่คนโบราณว่า  แต่กลับไปคราวนี้จะลองฝืนกฎสักครั้ง  เป็นหนูลองยาให้ท่านเต๋า ฯ  อิอิ ส่วนผักหวานบ้านนั้นต้นจะเล็กกว่าผักหวานป่าหลายเท่า  ถือเป็นพืชล้มลุก  นิยมเอามาทำต้มจืด   นอกจากนั้นเวลาที่ใครผิวหนังบริเวณฝ่ามือลอก  เขาจะเรียกว่าเป็น  "เฮื้อนผักหวาน"  หรือในภาษาภาคกลางคือเรื้อนผักหวาน  ก็จะเอามือไปรูดใบผักหวานบ้านมาสักกำมือหนึ่ง  จากนั้นก็เอามือทั้งสองข้างขยี้ ๆ ๆ ๆ จนใบผักหวานนั้นแหลกคามือ  ทำบ่อย ๆ อาการผิวหนังลอกก็จะหายไปครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 11:25:09

ความคิดเห็นที่ 19 มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องมันฝรั่งของคุณ  "fortuneteller"  ครับ มันฝรั่งนั้นถ้าทำให้สุกแล้วสามารถกินได้ครับ  แต่ถ้ากินหัวมันฝรั่งดิบ ๆ ก็เป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะในมันฝรั่งดิบมีสายประเภท  "ไซยาไนท์"  กินแล้วซี้แน่ ๆ ครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 11:51:14

ความคิดเห็นที่ 20 ทีนี้มาต่อกับพืชและสัตว์อีกชนิดนึง หลายท่านในที่นี้คงจะชอบกิน  "ปลาไหล"   ปลาไหลเป็นสัตว์ที่มีความเชื่อกันว่า  กินเพื่อถ่าย  "ยาสั่ง"   มาว่ากันเรื่องยาสั่งก่อนนะครับ   เคยได้ยินอาจารย์ผมท่านว่าไว้  ยาสั่งนั้นทำมาจากกบพิษชนิดหนึ่ง เรียกว่า  "โจงโคร่ง"  คือไปจับกบที่ว่านี้มา  ทำให้มันตาย  แล้วเอาไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท  จากนั้นก็เอามาโขลกให้ละเอียดเป็นผง   ทีนี้อยากจะให้กินอะไรตายล่ะครับ  ถ้าจะให้กินไก่แล้วตาย  ก็ไปหาส่วนที่แข็งที่สุดของไก่มา  คือกระดูกขาไก่  นำไปตากให้แห้ง  แล้วขูดเอาเนื้อเยื้อในกระดูกไก่มาผสมกับผงโจงโคร่งนั่น  แล้วเอาผสมในน้ำหรือในอาหาร  พอคนกินเข้าไปก็จะเกิด  "เงื่อนไข"  ทันที  หลังจากนั้นแล้ว  ถ้าเขาไม่กินไก่เลยจนอายุ 80  เขาก็ไม่ตาย  แต่ถ้าไปกินไก่เอาตอนอายุ  81  ก็จะตายตามเงื่อนไขของยาสั่ง ทีนี้มาถึงพระเอกของเราแล้วครับ  ปลาไหล   คนที่รู้ตัวว่าถูกยาสั่ง  เขาจะกินปลาไหลครับ  เพราะมีความเชื่อว่าถ่ายยาสั่งได้  แต่ปลาไหลมีคุณอนันต์  ก็มีโทษมหันต์เหมือนกันนะครับ  เพราะถ้ากินมาก ๆ มีสิทธิ์เป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร   คนโบราณเขามีวิธีแก้พิษปลาไหลให้เหลื่อแต่คุณ  คือให้ใส่  "กระทือ"  ลงไปด้วย   ผัดเผ็ดปลาไหล  แกงปลาไหล  ก็หั่นหัวกระทือไปด้วย  ทีนี้ปลาไหลก็จะเหลือแต่คุณครับ กระทือนั้นมีอยู่ 2 ชนิด  คือกระทือบ้านและกระทือป่า แต่ที่มีโอสถสารสูงสุดคือกระทือบ้านครับ ทางภาคเหนือบ้านผมไม่มีกระทือ  แต่ทางภาคกลางนั้นทราบว่ามีอยู่มาก จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 12:08:05

ความคิดเห็นที่ 21 วันนี้เอาแค่นี้ก่อน  ต้องไปนั่งรำลึกความหลังที่เคยฟังครูบาอาจารย์ท่านถ่ายทอดให้ฟัง  ดึก ๆ จะมาต่อครับ ขอบพระคุณท่านแสนอักษร  ท่านเต๋านีโอและท่าน fortuneteller  ที่มาร่วมแจมกระทู้นะครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 12:10:55

ความคิดเห็นที่ 22 แวะมาดูครับ พรุ่งนี้จะมาต่อ เพราะคงต้องอธิบายกันยาวหน่อยเพื่อให้ใช้ได้อย่างถูกต้อง พอดีวันนี้ไม่ค่อยว่าง ยังมีอีกหลายสูตรที่ยังไม่มีท่านใดกล่าวถึงครับ ตอนนี้คร่าวๆ ไปก่อนนะครับ - มะระขี้นก กินแก้หูดได้ เพราะมะระขี้นกมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของหูดได้ - ยาสีฟันและเหล้าวิสกี้ แก้อาการแผลพองจากการถูกของร้อนได้ เช่น ถูกน้ำร้อนลวก หรือเผลอเอามือหรือเท้าไปถูกท่อไอเสียรถ - รางจืด ใช้ถอนพิษ - สบู่และลูกมะกรูด อันนี้เป็นยาสระผมโบราณ เพื่อสุขภาพผมที่นิ่มสลวย และดกดำเป็นเงางาม จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 14:52:21

ความคิดเห็นที่ 23 รางจืดในความเห็นข้างบนของท่านหนุ่มฯ บางพื้นที่เรียกว่า  "เถาดอกม่วง"  แต่ก็มีหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น  "หนามแน้"  ซึ่งไม่ใช่ รางจืดเถาผมเคยเอาหัวมันมากัดกินตอนเช้าครับ คือเมื่อคืนไปร่ำเมรัย  แล้วตอนเช้าต้องทำงาน   แต่อาการเมายังไม่หาย  เลยต้อมพึ่งสมุนไพร   เพื่อน ๆ เลยเอาให้หน่อยนึง  กัดแล้วดูดเอาน้ำมันออกมา   จะจากหัวรึว่าส่วนไหนก้ไม่แน่ใจนะครับ   สักพัก  อาการเมาค้างก็ค่อย ๆ หายไป คุณย่าผมท่านเป็นเบาหวานครับ   แต่ละวันต้องกินยาเยอะมาก  ท่านเลยให้ผมไปหาเถารางจืดมา   ได้มาสักวากว่า ๆ นี่แหละ  เอาขด ๆ ให้เป็นวงกลม ต้มกับน้ำ  ดื่มกินบ่อย ๆ แก้ผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะได้ดีทีเดียว บางคนเอาแก้ยาเบื่อได้ด้วย จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 22:13:53

ความคิดเห็นที่ 24 ทีนี่มาต่ออีกสักหน่อยนะครับ เห็นว่ามีเรื่องเกี่ยวกับหยินและหยาง ผมเพิ่งนึกได้ว่า  มีพืชผักสวนครัวที่เป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ คือห้ามกินเลย  เพราะมันเป็นพืชที่มีธาตุร้อนอยู่ คือ  สะระแหน่  ดีปลีและหัวแห้วหมูครับ ทั้งสามสหายนี่ห้ามกินเลย  ถ้ากำลังท้อง   มิเช่นนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อครรภ์ได้ มันร้อนเหลือเกิน จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 22:18:47

ความคิดเห็นที่ 25 มายืนยันกับความเห็นของทั่นปะหล่อง "กินหัวมันฝรั่งดิบ ๆ ก็เป็นอันตรายถึงชีวิต" อันนี้จริงครับ ... หัวมันฝรั่งดิบมีพิษครับ ไม่เหมือนมันแกว มันแกวนั้นใบ/ยอด/ฝัก และเมล็ดมีพิษถึงตาย...เพราะฉะนั้นอย่ากินนะครับ มันฝรั่งกินดิบไม่ได้ครับ มันแกวกินดิบครับ เพราะมันไม่มีสูก มันสำปะหลังก้อกินดิบไม่ได้ มีพิษครับ แต่ใบยอดกินได้ มันเทศ รู้สึกว่าเขาก้อห้ามกินใบกินยอดเหมือนกันรึไงนี่ อันนี้ไม่ยืนยันให้ทั่น ปะหล่องบอกดีกว่า... แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 53 23:16:05 แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 53 23:04:26 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 23:02:00

ความคิดเห็นที่ 26 สำหรับทั่นที่ไม่รู้จักกระทือ...ที่ได้ยินพวกกระเทยนำมาพูดด่ากันว่า :-)กระ ทือ...ข้างล่างเป็นดอกกระทือ สำหรับปรุงกับปลาไหล...กระทือ เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.5 - 1 เมตร มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกของเหง้าสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอม แทงหน่อใหม่เมื่อถึงฤดูฝน ใบเดี่ยวเรียงสลับ และเป็นรูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 5 - 10 ซม. ยาว 15 - 30 ซม. ด้านล่าง ของใบมักมีขนนุ่ม ดอกช่อแทงจากเหง้า กลีบดอกสีขาวนวล ใบประดับขนาด ใหญ่สีแดง ผลเป็นผลแห้ง ค้นมาให้ดูจากวิกิ แก้ไขเมื่อ 16 ม.ค. 53 23:18:14 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 23:16:53

ความคิดเห็นที่ 27 จาก คห 14 ของคุณเต๋านีโอ ชาวบ้านไปเก็บผักหวานป่าแล้วทำกิน พากันเบื่อตาย ก้อว่ากินผักหวานผิดฤดู จริงๆ ไม่ใช่ ผักหวานกินได้ทุกฤดู ที่กินแล้วเบื่อตายกันนั้นเพราะเผลอไปเก็บ ยอดพืชบางชนิดที่คล้ายผักหวานแต่มีพิษไปกินด้วย ... ไม่ซี้ก้อไม่รู้จะว่ายังไง แล้วละครับ... ---------------------------- ยอดพืชที่คล้ายผักหวาน แต่มีพิษ   ใช่ที่ชาวบ้านเรียกว่า ผักขี้หนอน  ใช่ไหมครับ? ผมเคยอ่านเจอนานมาแล้ว จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 23:26:22

ความคิดเห็นที่ 28   ชอบอ่านอะไรไทย ๆ แบบนี้ครับ แต่ชื่อพื้นเมืองบางชื่อก็ไม่คุ้น จะติดตามอยู่เรื่อย ๆ ขอบคุณจขกท.และผู้ร่วมให้ข้อมูลทุกท่าน ขออนุญาตเซฟเก็บไว้ด้วย จากคุณ : พลายแป้ง เขียนเมื่อ : วันครูแห่งชาติ 53 23:28:46 A:128.178.243.184 X: TicketID:120371

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ : เจียะป้าอู่สื่อ... ผมเองก้อไม่ทราบว่าชาวบ้านเขาเรียกมันว่า ผักขี้หนอน หรือเปล่า แต่มันเป็นพืชที่ใบอ่อนจะเหมือนผักหวานมาก ถ้าไม่สังเกตก็จะเก็บ ไป เมื่อมันปนกับผักหวานแล้วก้อแทบไม่เห็นความแตกต่าง ...ต้อง ดูให้ดีๆ เวลาเข้าป่าเก็บผักหวาน จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 00:19:00

ความคิดเห็นที่ 30 หาเจอแล้วครับ  ผักขี้หนอน ใช่แล้วครับ อยู่ข้อ 7 ครับ อ่านดูในลิ้งค์แล้ว  ศึกษาเพิ่มเติมด้วยนะครับ  เพราะบางข้อผมดูแปลกๆ http://www.pakthada.in.th/index.php?action=printpage;topic=415.0 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 01:14:48 จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 00:53:06

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^  ยินดีด้วย พลอยทำให้ผมได้รู้จักชื่อพืชตัวนี้ด้วย ขอบคุณครับ    และก้อจาก เว็บที่อ้างไว้ทำให้ผมเห็นทีจะขอแก้ข้อมูลให้ทั่น    ปะหล่องในความเห็นที่ 19 เสียหน่อย ตรงที่ว่ามันฝรั่งมีสารพิษ    ประเภทไซยาไนท์นั่นน่ะ ที่ถูกเป็นสารพิษชื่อ โซลานีน ครับ    รับเข้าไปมากถึงตาย... จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 01:24:31

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องใบ ต้นขี้หนอน อีกทีครับ...ดูเหมือนชื่อตามที่ชาวบ้านเรียกนี้เราจะเอา เป็นมาตรฐานไม่ค่อยได้นะครับ เพราะชื่อเดียวกันนี้บางทีตัวพืชไม่เหมือนกัน 'ขี้หนอน' ก้อดูเหมือนว่าจะมีหลาย 'ขี้หนอน' อยู่...แต่ตัวที่เป็นพิษจะต้องมี ความคล้ายคลึงกับผักหวาน... แต่มีพืชอีกชนิดหนึ่ง ที่คล้ายผักหวานมากเหมือนกัน เท่าที่ค้นดู ชาวบ้าน เรียก ต้นเสน สีของลำต้นจะออกหม่นๆ ... นี่ก้อกินตายได้ มันชอบขึ้นใน ป่าใกล้ๆกัน ในดงผักหวานน่ะแหละ...เสียดายไม่สามารถหารูปพืชสารพิษ พวกนี้มาโพสได้... ข้างล่างนี้เป็นผักหวานครับ จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 01:54:54

ความคิดเห็นที่ 33 กระทู้นี้ให้ความรู้เยอะแยะเลย น่าจะโหวตนะครับ (ผมโหวตไปแล้ว) กระชาย อันนี้สำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะ ท่านใดที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศก่อนวัยอันควร ให้กินอาหารที่มีส่วนผสมของกระชายบ่อยๆ จะช่วยได้ อย่าไปกินไวอะกร้านะครับ มันมีผลข้างเคียงเยอะ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 06:34:52

ความคิดเห็นที่ 34 อะฮ้า! คุณ: หนุ่มไทยไร้นาม เปิดประเด็นเองนะครับ งั้นเจอนี่บ้าง ไม่ต้องไวอะกร้าเหมือนกัน  มันคือ...  เพกาหรือลิ้นไม้ ครับผม ... ท่านว่า  ให้เอาฝักเพกา ไม่แก่ไป ไม่อ่อนไป เผาไฟให้พอเกรียม จากนั้นขูดผิวออก  เอาฝักไปล้างน้ำ หั่นขวางเป็นชิ้นๆ พองาม เป็น ผักรับประทานกับน้ำพริก กินทุกวันหรือจะวันเว้นวัน ก้อได้ แต่ขอให้ มีเกือบทุกมื้ออาหาร กินปกติเหมือนเรากินผักแกล้มน้ำไริกน่ะแหละ ท่านใดไม่ค่อยได้ยินเสียงนกเขาขัน ตานี้ได้ยินบ่อยจนน่ารำคาญนั่น เลยเชียว -- ว่าเข้านั่น เพกา เป็นสมุนไพรบำรุงธาตุและกามคุณ ตามตำราโบราณ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 08:21:23 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 08:21:06

ความคิดเห็นที่ 35 มะนาว (lime) เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักมะนาวนะครับ อันนี้นับว่าเป็นยาใกล้มือที่สุด น่า จะเรียกได้ว่าเป็นยาในครัว ...มะนาวผลมีรสเปรี้ยวจัด (จัดไม่จัดตอนพิมพ์นี่ น้ำลายสอ รู้สึก เข็ดฟันขึ้นมาเล็กๆเชียว) มะนาวอยู่ในตระกูล ส้ม (Citrus) ในทางสมุนไพรจัดได้ว่า มีคุณค่าไม่ธรรมดา นอกเหนือจากใช้ในการปรุงรสประกอบอาหาร ดูคุณค่าเหล่านี้เป็นแซมเปิ้ลครับ -แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) -ต่อมทอนซิลอักเสบ -แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ -แก้เสียงแหบแห้ง -ก้างติดคอ -แก้ไข้ -แก้ไข้ทับระดู -แก้ปวดศีรษะ -แก้เลือดออกตามไรฟัน -แก้เหงือกบวม -แก้ลิ้นเป็นฝ้า -ขจัดคราบบุหรี่ -ยาบ้วนปาก -แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน -แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร สรรพคุณบางตัวเนี่ย ศึกษาก่อนนะครับ เพราะอาจจะแค่บรรเทา แต่เห็นว่าน่าสนใจก้อเอามาโพสไว้ ผมค้นไปเจอมาจากเว็บปัญญาไทยข้างล่างนี่ละครับ...เขามีรายละเอียดมากทีเดียว ตามไปปาดได้ http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/มะนาว จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 08:56:26

ความคิดเห็นที่ 36 สวัสดีทุกท่านอีกครั้งครับ ชักจะคึกคักแล้วสิครับ  แล้วยิ่งท่านหนุ่มไทยฯ  เปิดประเด็นเกี่ยวกับท่านชายที่เสื่อมสมรรถภาพฯ   นอกจากกระชายและเพกาของท่านเต๋าฯ  แล้ว  นี่ครับ  ยังมีอีก ใครจะไปนึกถึง  "กุหลาบ"  ครับ ดอกมันนี่แหละ  ในเรื่องมัทนพาธาว่าไว้ "กุพชกะ"  ดอกไม้มีกลิ่นหอม  รสเย็น  กินแล้วเจริญราค จึงขอจัดไปให้ท่านชายว่า  กินกุหลาบแล้วก็คึกเหมียนกัลล์ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 09:09:32

ความคิดเห็นที่ 37 แต่ท่านใดที่คึกเกินพิกัดความจำเป็น  คนโบราณก็ให้กินน้ำมะตูมครับ จะบรรเทาอาการคึกได้  พระพุทธเจ้าจึงสนับสนุนให้พระภิกษุฉันน้ำมะตูมได้  ไม่ผิด  เพราะมีสารที่ทำให้คลายกำหนัดได้ครับ ความจริงวิธีการทำน้ำมะตูมสมัยนี้ยังไม่ถูกนะครับ ที่ไปเอามะตูมมาแล้วฝานเป็นแผ่น ๆ แล้วเอาไปแช่น้ำ  ใส่น้ำตาลเพื่อให้ได้รสหวาน ตะก่อนเขาไม่ต้องฝานครับ  แค่ไปเอามะตูมมา  แล้วเอาไม้หรืออะไรก็ได้ที่แข็งหน่อย  หวดโป้งลงไปที่มะตูม  พอให้มันแตกปริสักเล็กน้อย  จากนั้นเอาไปต้มไม่ต้องใส่น้ำตาล  เพราะมะตูมน่ะมันหวานอยู่แล้ว กินก็จะเย็นนะโยม อิอิ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 09:13:56

ความคิดเห็นที่ 38 เพิ่งดูเวลา  ท่านเต๋าฯ  เข้ามาก่อนหน้าผมนิดเดียวเอง ในความเห็น 25  ผมคิดว่าตระกูลมันทั้งหลาย  ยกเว้นมันแกว ไม่ควรกินในขณะที่ยังดิบครับ  เพราะมันพวกนี้มียาง กันเหนียวไว้ก่อนก็คือกินสุกครับ นอกจากมันแล้ว  ยังมีประเภทกลอยอีกอัน สมัยก่อนเวลาใครจะกินกลอยนั้น  ก็ต้องไปหากลอย  (เอ้า  ไม่หาจะเอาที่ไหนกิน  อิอิ)  พอได้มาแล้วก็ต้องไปหาแหล่งน้ำที่มันไหล  แล้วก็ทำการล้างและหั่นกลอยให้เป็นชิ้น ๆ พอดีคำ   ถ้าไปหั่นในที่น้ำไม่ไหลละก็  มือไม้คันคะเยอเลยนะครับ   อ้อ  เพิ่งนึกได้  กลอยหน้าฝนห้ามกินนะครับ  มีพิษ อันนี้มาจากตำนานเรื่องพระร่วงครับ คือพระร่วงสุโขทัยเนี่ยทรงออกนอกวังไปหาสาว ๆ ชาวบ้านบ่อย ๆ ออกไปครั้งนึงก็นานหลายวัน  ทำให้มเหษีของพระองค์ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจ พระมเหษีก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  ที่ออกไปหลาย ๆ วันน่ะเอาอะไรเป็นเสบียงเลี้ยงตัว  สืบไปสืบมาก็ได้ความว่า  พระร่วงท่านเสวยกลอยเป็นอาหารประทังชีวิต รู้เท่านั้นแหละครับ  พระมเหษีทรงกริ้วกลอยเป็นอย่างมาก  (นั่น  ไปลงที่กลอยอีก)  เลยสาปกลอยให้มีพิษในหน้าฝน  ทีนี้พระร่วงของเราก็หมดสิทธิ์ออกไปข้างนอกยามหน้าฝน  ต้องเข้าพรรษาในวังกับมิ่งมเหษี นี่คือตำนานเรื่องกลอยมีพิษในหน้าฝนอีกสำนวนหนึ่งครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 09:23:57

ความคิดเห็นที่ 39 ทีนี้มาดูผักอีกชนิดหนึ่งนะครับ "ผักบุ้ง" ผักบุ้งในบ้านเรามีอยู่หลายชนิด แต่ที่เรากิน ๆ กันมีสองชนิด  คือผักบุ้งไทยและผักบุ้งจีน เอาผักบุ้งไทยก่อน ผักบุ้งไทยแก้เผ็ดครับ  เราจะเคยเห็นเขาเอาไว้กินกับส้มตำใช่ไหมครับ  นั่นแหละแก้เผ็ด ส่วนผักบุ้งจีนนี่เอาไว้กินแก้โรคต่อมลูกหมากเสื่อมครับ วิธีการก็คือ  ไปหาผักบุ้งจีนมาซักมัดนึง  ล้างให้สะอาด  จากนั้นเอาใส่หม้อ  เอาน้ำใส่  (ในหม้อ)  แล้วเคี่ยวให้เละจนสามารถปั้นได้  เทน้ำผึ้งลงไปเพื่อเพิ่มความเหนียว  จากนั้นนำมาปั้นให้ได้สักเท่าหัวแม่มือ  รับประทานวันละสามเวลา  กินบ่อย ๆ อาการต่อมลูกหมากเสื่อมก็จะหายไป ท่านพระเดชพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์  (ประยุทธ์  ปยุตโต)  ก็หายมาแล้วด้วยตำรับนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 09:45:43 จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 09:33:40

ความคิดเห็นที่ 40 แว้บขึ้นมาได้อีกเรื่องของมะตูม ท่านผู้หญิงที่หน้าท้องลาย  เขาให้เอามะตูมมาฝนกับฝาละมี  หรือฝาหม้อดินครับ  เอาไอ้ที่ฝนนั้นทาที่ท้องลายนั่น  เขาว่าจะหายครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 09:35:31

ความคิดเห็นที่ 41 สวัสดีตอนเช้านะครับทั่นปะหล่อง...ผมเป็นคนนอนดึกและปกติไม่เกินห้า ชั่วโมง บ้านผมมีมะตูม ปลูกเองกับมือ ออกลูกเต็มต้น ไม่กล้าจอดรถใต้ต้นมันเลย กลัวมันร่วงใส่รถบุบ...ยอดอ่อนเป็นผักกินกับลาบ กินดีบำรุงธาตุ...แต่น้ำ มะตูมเนี่ย ผมไม่ดื่มนะครับ กลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงนกเขาขัน ... แต่ตำรา โบราณว่า สตรีที่ดื่มน้ำมะตูมเป็นอาจิน ... หนุ่มลูกชายไม่เห็นหน้าแม่ห่าง ไปสามสี่เดือนกลับมาเนี่ย จำไม่ได้นะครับ มีเผลอคิดจีบ ว่างั้น...แต่ผู้ชาย ห่างไว้เป็นดี... แต่อีกตำหรับ อันนี้ชะงัดสำหรับท่านชายที่ต้องการตัดขาดจากเรื่องโลกีย์ วิสัยใจมุ่งทางธรรม ตำหรับนี้ผมได้มาจากท่านเจ้าอาวาส...กาฝากต้นโพ ครับ ทั้งต้นทั้งใบ ตากให้แก้งต้มดื่มน้ำเป็นอาจิน นกเขาบินหายเลยเชียว ยิ่งดื่มยิ่งกู่ไม่กลับ...ขนาดนั้นเลยนะครับ...อะจึ๋ย! ไม่กล้าลอง ผักบุ้งจีนเนี่ย ท่านเจ้าคุณ นรฯ ก้อหายจากอาพาธต่อมลูกหมากโตว่างั้น แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 16:41:55 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 16:40:52 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 10:02:38

ความคิดเห็นที่ 42 แถวๆบ้านนอก มีพืชชนิดหนึ่ง ชาวบ้านชอบปลูกเป็นไม้ริมรั้ว กินไม่ได้หรอก ครับ แต่เห็นมีปลูกกัน พืชที่ว่าคือ สบู่ดำ... ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Jatropha curcas  L. วงศ์ :   Euphorbiaceae ชื่อสามัญ :  Physic nut ชื่ออื่น :  พมักเยา มะเยา หมักกะเยา มะหัว มะหุ่งฮั้ว  มะโห่ง หงเทก (เหนือ) สบู่หัวเทศ สลอดดำ สลอดป่า สลอดใหญ่ สีหลอด สบู่ดำ(กลาง) กินไม่ได้แล้วปลูกทำไม ?  อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ยางของสบู่ดำนี้มี ประโยชน์ เด็กๆตามชนบทชอบเป็นโรคที่เรียกว่า   ลิ้นเป็นซาง บางท้องถิ่น ก้อเรียงว่าลิ้นเป็นกาง...คือเป็นตุ่มใสๆขึ้นบริเวณปลายลิ้น ทำให้กินอาหาร ไม่ค่อยสนุก มีน้ำลายไหลเป็นยางอยู่ตลอดเวลา เพราะร่างกายต้องขับน้ำลาย ออกมาเพื่อเคลือบลดความเจ็บลิ้น...สบู่ดำนี่ละครับชะงัดมากเลย...ใช้ ง่ายๆ เด็ดใบสบู่ดำ ใช้ยางใสที่ติดกับโคนก้านใบน่ะแหละกวาดที่ลิ้น วันละสอง สามครั้ง วันเดียวซางหายจ้อยเลยครับ... สบู่ดำนี่ผลกินไม่ได้นะครับ เอาไปเป็นผักอะไรก้อไม่ได้ ติดจะมีพิษอยู่ที่เดียว เม็ดสบู่ดำมีน้ำมันที่เป็นประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมหล่อลื่น เอามาผัดอาหาร ไม่ได้ครับ อันตราย สบู่ดำ รูปปลากรอบครับ (อาจจะเล็กไปหน่อย) จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 10:25:21

ความคิดเห็นที่ 43 อันนี้ผลสบู่ดำ จะเป็นพวงอย่างในรูป กินไม่ได้ เขาเอาเมล็ดไปหีบ เอาน้ำมัน เห็นว่าเป็นพืชเศรษฐกิจ ใครมีที่เยอะๆ น่าปลูก เพราะปลูกง่ายโตเร็ว จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 10:27:36

ความคิดเห็นที่ 44 มะแว้ง ลูกเล็กๆ ขนาดประมาณมะเขือพวง ตอนยังไม่แก่จัดลูกเป็นสีเขียว แก่จัดแล้วเป็นสีแดง กินแก้ไอชะงัดนักแล จะเคื้ยวกินสดๆ เลย หรือจะเอามาจิ้มน้ำพริกก็ได้ ควรหามาปลูกไว้สักต้น ปลูกง่ายมากครับ ใครปลูกต้นมะแว้งไม่ขึ้นก็ไม่ต้องปลูกต้นไม้อื่นแล้ว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 13:38:23

ความคิดเห็นที่ 45 โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบกินมะแว้งหรือว่ามะเขือพวง เคยกินแล้วรสชาติไม่ประทับใจครับ ตักออกตลอด ยิ่งมะแว้งนี้  กัดเข้าไปที  เหมือนกัดโดนพริก  ต้องรีบคายทิ้ง แต่พ่อผมชอบมาก ๆ กินกร้วบ ๆ ตอนนี้ที่นั่งนึกเกี่ยวกับสมุนไพรใกล้ตัว นึกได้อีกอย่างนึงครับ ใครที่เป็นแผลสด  มีดบาด  หกล้มถึงได้เลือด  ต้องนี่เลย "ใบสาบเสือ"  แถวบ้านผมเรียก  "หญ้าแมงวาย"   ต้นนี้ค่อนข้างมีกลิ่นฉุน  เด็ดเอาใบมันมาขยี้ ๆ ให้พอช้ำ   จากนั้นเอาไปโปะที่บาดแผล  หยุดเลือดได้ดีนักแล จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 15:14:14

ความคิดเห็นที่ 46 กลับมาที่อาหารการกินกันบ้างนะครับ ท่านใดที่ชอบกินไส้หมู  แล้วมักพบปัญหาว่าของที่เราชอบกินมักจะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ขอแนะนำให้ไปหาแป้งมันมาครับ เอาแป้งมันผสมกับน้ำ  แล้วเอาไส้หมูมาล้าง  ก็จะทำให้กลิ่นเหม็นหายไป พูดถึงล้าง  ใครที่นิยมกินหอยแครงลวกจิ้มแกล้มสุรา มักจะพบปัญหาล้างเปลือกหอยไม่ค่อยสะอาด  หรือล้างสีดำ ๆ ที่ติดอยู่ตรงเปลือกหอยไม่ออก วิธีการก็คือ  ให้เอาข้าวสวยที่เราหุงกินนั่นแหละครับ เอาข้าวสวยมาผสมกับน้ำที่จะล้างหอย  นำหอยแช่ไว้ก่อนสักสามถึงห้านาที  แล้วเอาแปรงมาขัด   โอ้โฮ  ทีนี้หอยจะขาวเชียวครับ  ไม่เชื่อลองดู หอยงามเชียว  อิอิ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 15:22:50

ความคิดเห็นที่ 47 ขอเสนอน้ำผึ้งค่ะ เป็นยาแสนวิเศษประจำบ้านเลยค่ะ น้ำร้อนลวก  น้ำมันร้อนๆกระเด็นใส่ เปิดเตาอบ  มักจะโดนประตูเตา  หรือถือถาดร้อนๆ เอานำผึ้ง ทาเลย  หายชะงัด  แค่ครั้งเดียวก็อยู่หมัดแล้ว ถ้ายังไม่หาย จะทาซ้ำก็ได้ เมือ่เห็นสรรพคุณชะงัดอย่างนี้ ดิฉันก็ได้ใจ พอเจ็บคอ ก็เอากวาดคอ...หายแฮะ ไม่ต้องหาหมอ ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ ให้เป็นภาระ ทีนี้ปวดฟัน  ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว ลองทดลองเอาทาฟันดูดีกว่า หายค่ะ ตื่นเต้นกับการค้นพบนี้มาก เพราะว่า เคยได้รับการผ่าตัดหัวใจ ใส่ลิ้นหัวใจปลอม ที่น่ากลัวกว่าการผ่าตัดคือ จะต้องกินยาละลายลิ่มเลือด กินน้อยก็ไม่ได้ มากก้ไม่ได้  ทำฟันทีก็ต้องหยุดยา โอยเรื่องมาก มากเลย และสำหรับเคสดิฉันนี้ ยิ่งสยองมากขึ้น เพราะเพิ่งได้รับเกียรติให้เป็นอัมพฤกษ์ เมื่อต้นปี (เพราะลืมกินยาละลายเลือดนีน่แหละค่ะ) หมอบอกว่า ห้ามหยุดยาในตอนนี้ ห้ามทำฟัน ตายละซี   เมื่อตอนปีใหม่ก็ดันปวดฟัน อย่างหนัก จะไปหาหมอฟันรึ มันก็ต้องโยงไปหาหมอโรคหัวใจ ยุ่งและยุ่ง และยุ่ง เตรียมตัวตายลูกเดียว ทีนี้ก้มีภาระว่ายังตายไม่ได้ ต้องไปงานแต่งงานหลาน  และต้องทำบุญบ้านอีก ก็เลยอธิษฐานขอพระไว้ ว่า อย่าเพิ่งเป็นอะไรเลย พร้อมกันนั้นก็เอาน้ำผึ้งมาชะโลมทุกซอกฟัน   ผล.... ก็ยังอยู่ดีมีสุขมาจนทุกวันนี้  ไม่ต้องไปหาหมอฟัน ลองใช้ดูนะคะ จากคุณ : พิชาภา เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 17:04:20

ความคิดเห็นที่ 48 ทีแรกว่าจะไม่โพสต์เรื่องนี้แล้วนะ เพราะเกรงว่าจะทำให้เสียบรรยากาศ คิดไปคิดมาอีกที โพสต์ดีกว่า เผื่อจะช่วยชีวิตคนได้ คนที่กินยาฆ่าตัวตาย จะด้วยเหตุใดก็ตาม พวกยานอนหลับนี่ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่พวกน้ำยาล้างห้องน้ำ ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าหญ้า พวกนี้อันตรายมาก วิธีแก้ ต้องเร็วมากนะครับ ย้ำว่าต้องเร็วจริงๆ เจอปุ๊บ ให้เอาน้ำมันพืชบรรจุขวดที่เราใช้ทำอาหารนี่แหละ (โบราณใช้น้ำมันหมูเจียวเอง แต่เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครเจียวน้ำมันหมูเองแล้ว) แต่น้ำมันพืชบรรจุขวดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน กรอกเข้าปากลงไปเลย กรอกลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ไปเคลือบผิวระบบทางเดินอาหารจนถึงกระเพราะไว้ชั้นหนึ่งก่อน เพราะเจ้ายาพวกนี้เป็นยาดูดซึมทางผิวหนัง แล้วรีบพาส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้อง โอกาสรอดพอมีครับ วันนี้วันอาทิตย์ พรุ่งนี้วันจันทร์ระบบของพันทิปก็จะลบกระทู้แนะนำออกหมด แล้วเริ่มใหม่ เชิญชวนให้โหวตกลับเป็นกระทู้แนะนำของสัปดาห์หน้าด้วย เพราะมีประโยชน์มาก เท่าที่สังเกต วันเสาร์-อาทิตย์ มีคนเข้ามาน้อย (จขกท ตั้งกระทู้ประมาณสองทุ่มของวันศุกร์) หลายท่านที่มีความรู้ทางด้านนี้อาจยังไม่ได้เข้ามา แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 17:55:25 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 17:51:47

ความคิดเห็นที่ 49 เรียนท่านหนุ่มไทยฯ  ครับ จะโหวตกลับมาได้อย่างไรครับ รึว่าต้องเข้ากระทู้นี้ใหม่  แล้วกดโหวตอีกครั้ง คุณ  "พิชาภา"  ครับ เห็นด้วยกับความวิเศษของน้ำผึ้งครับ ยาไทยหลายชนิดใช้น้ำผึ้งในการ  "เข้ายา"  หรือใช้เป็นตัวประสานให้ยาหลาย ๆ ชนิดมาเข้าด้วยกัน อีกประการ  พระพุทธองค์ก็ทรงเสวยน้ำผึ้งบ่อย ๆ ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 19:50:21 จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 19:42:38

ความคิดเห็นที่ 50 คุณ  "พิชาภา"  ครับ ขอบคุณที่ให้ความรู้จากประสบการณ์ตรง เรื่องสรรพคุณของน้ำผึ้ง และรู้สึกเห็นใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจของคุณพิชาภาน่ะครับ เลยคิดได้ว่า มีสมุนไพรไทยหลายอย่างที่มีสรรพคุณเกี่ยวกับการ บำรุงและบำบัดหัวใจ...ที่รู้จักกันดีก้อคือตัวนี้ครับ น่าลองรับประทาน เป็นประจำ เพราะไม่มีรายงานเรื่องความเป็นพิษใดๆ ดีบัว (Embryo) ของเม็ดบัว มีรสขม มีอัลคาลอยด์สำคัญชื่อ “ เมธิลคอรีพอลลีน” (methylcorypalline) ตำรายาไทย ดีบัวมีฤทธิ์ ขยายหลอดเลือดในหัวใจ แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้กระหาย ตอนนี้ มีผู้ทำเป็นผงบรรจุแค็ปซูลขาย...แต่โดยส่วนตัวผม (ไม่ได้เป็นอะไร) ชอบกินเม็ดบัวสดมากกว่ากินเป็นแคปซูล...ถึงไม่เป็นอะไรก้อกินเม็ด บัวเล่นๆเป็นอาจินก้อได้ประโยชน์ บำรุงหัวใจ ลองพิจารณาดูนะครับ จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 19:51:41

ความคิดเห็นที่ 51 มะตูมอ่ะครับถ้าต้มกินเพือลดกำหนัดให้ขูดที่บริเวรเปลือกก่อนค่อยต้มอ่ะครับ....ส่วนที่จะต้มกินบำรุงกะลังนะเข้าให้ใช้เนื้อมันอ่ะครับ แต่ปัจจุบันที่ใช้เข้าตำรับยาก็จะหั่นเป็นแว่นมีเปลื่อกติดมาดัวยอ่ะครับ...ต้มกินก็รสชาติหวานชื่นใจดีครับ จากคุณ : กฤตวรรณ (samkubpoom) เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 20:39:17

ความคิดเห็นที่ 52 เรียนคุณ ปะหล่อง คห.49 ครับ พรุ่งนี้ ท่านที่เห็นด้วยก็คลิกเข้ามาในกระทู้นี้แหละครับ แล้วกดโหวต มันจะขึ้นเป็นกระทู้แนะนำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อตะกี้นี้เอง ญาติผู้ใหญ่ของผมท่านหนึ่งมากินข้าวมื้อเย็นที่บ้านผม คุยกันยาว และเพิ่งกลับไป ได้คุยกันถึงเรื่องนี้ ยังมีอีกมากมายที่เป็นภูมิปัญาชาวบ้าน ที่สามารถช่วยได้ในยามฉุกเฉิน ผมถึงอยากให้กระทู้นี้เป็นกระทู้แนะนำต่ออีกสักหนึ่งสัปดาห์ จะมีความรู้อีกมากมายเพิ่มเติมเข้ามา แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 22:30:44 แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 22:27:35 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 22:25:33

ความคิดเห็นที่ 53 พรุ่งนี้ต้องลุยงานแต่เช้า เลยจะขอฝากไว้อีกสักชนิดนึงนะครับ อันนี้นั่งนึกตอนที่อาจารย์ผมเล่ามาอีกที "กระทุงหมาบ้า"   กระทุงหมาบ้านเป็นชื่อกลางครับ  ภาคเหนือบ้านผมเรียก  "ผักฮ้วน-ฮ้วนหมู" เป็นพืชที่มีลำต้นเลื้อยไปเกี่ยวพันเขาไปเรื่อย ยอดอ่อนและดอกเอามาแกงหรือเอามาลวกจิ้มน้ำพริกได้ครับ สรรพคุณนั้นสามารถแก้พิษได้  จึงได้ชื่อว่ากระทุง  เพี้ยนจากกระทุ้ง  (พิษ) มีเรื่องตลกเกี่ยวกับกระทุงหมาบ้านี้  คืออาจารย์ผมท่านพานักศึกษาไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร ก็มีนักศึกษาปีหนึ่งไปกันหลายคนหลายเอกด้วย ทีนี้พวกหนุ่ม ๆ นั้นแรงดี  บ้างวิ่งบ้างเดินขึ้นเนินเขา  ปล่อยให้อาจารย์ค่อย ๆ หอบสังขารตามไปห่าง ๆ สักพักอาจารย์ก็ได้ยินเสียงนักศึกษาคนหนึ่งตะโกนลงมาจากเนินเตี้ย ๆ "อาจารย์ขา  เร็ว ๆ มาดูต้อนอะไรนี่" อาจารย์ก็เลยกลั้นใจตะโกนตอบไปว่า  "รออยู่นั่นก่อนสิบนาที  เดี๋ยวครูจะรีบเดินขึ้นไป" ว่าแล้วก็รวบรวมเรี่ยวแรงเดินไปพลางหอบไปพลาง  จนถึงกลุ่มของนักศึกษาที่รออยู่ "อาจารย์มาดูต้นนี้สิคะ"  หนึ่งในกลุ่มนั้นรีบรายงาน "ให้ครูพักหายใจอีกห้านาที"  อาจารย์บอก พอหายเหนี่ยแล้วก็เข้าไปดู  ปรากฏว่า  เป็นต้นกระทุงหมาบ้าครับ  อาจารยืก็เลยบอกว่า  "นี่มันต้นกระทุงหมาบ้า  เวลาเด็ดแล้วจะมียางสีขาว ๆ ออกมา  กลิ่นของยางมันเหมือนกับกลิ่นของน้ำอสุจิ" ทีนี้ล่ะเงียบกันไปพักใหญ่เลยครับ  จากนั้นก็มีเสียงของนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า "ใช่เลยค่ะอาจารย์  กลิ่นเหมือนอสุจิ  แต่รสชาติไม่ใช่ค่ะ" อิอิ นี่อาจารย์ผมเล่าให้ฟังอีกต่อนึงนะครับ ขอลาไปนอนก่อน  พรุ่งนี้จะกลับมาประจำการต่อครับ ภูมิปัญญาของไทยมีมากมาย กระทู้นี้ยังรอสิ่งดีที่ที่พวกเราจะร่วมเผยแพร่ให้ผู้ที่ไม่รู้ได้รับรู้และศึกษาครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต มีสุภาษิตล้านนาว่าไว้บทหนึ่ง  น่าสนใจมาก ๆ "ของบ่กิ๋นฮู้เน่า  ของบ่เล่าฮู้ลืม" แปลเป็นไทยกรุงเทพว่า  "ของที่ไม่กิน  พอทิ้งไว้นาน ๆ มันก็จะเน่าจะเสีย  ส่วนเรื่องเล่าหรือความรู้ต่าง ๆ นั้น  ถ้าเก็บเอาไว้คนเดียว  ไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นได้ฟังบ้าง  บาทีก็อาจจะลืมและเลือนหายไปได้"   มาร่วมแบ่งปันภูมิปัญญาดี ๆ ของบรรพบุรุษเรากันเถิดครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 22:29:26

ความคิดเห็นที่ 54 รับทราบตามความเห็นที่  52  ของท่านหนุ่มไทยฯ  ครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 22:31:54

ความคิดเห็นที่ 55 อยากรู้หน้าตากระทุงหมาบ้า เลยค้นมาให้ดู จากที่นี่ครับ : เจ้าของภาพนามปากกา ดอกสารภี www.tourthai.com/gallery/flower/pic17208.shtml จึงขออนุญาตท่านเจ้าของภาพไว้ที่นี้ด้วย ขออนุเคราะห์เพื่อ เป็นวิทยาทานด้วยนะครับ ขอบพระคุณอย่างสูงครับ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 23:26:58 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 23:26:00

ความคิดเห็นที่ 56 นี่ครับ กระทุงหมาบ้า  ภาพถ่ายโดย ดอกสารภี จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 23:31:26

ความคิดเห็นที่ 57 เห้นด้วยครับ  พรุ่งนี้จะมาร่วมโหวตอีกครั้ง มีประโยชน์มากครับ กองหนุนนำรูปมาร่วมด้วยช่วยกันครับ มะตูม จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 00:33:09

ความคิดเห็นที่ 58 มะแว้งต้น จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 00:33:48

ความคิดเห็นที่ 59 เพกา จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 00:34:17

ความคิดเห็นที่ 60 ใบสาบเสือ  หรือ หญ้าแมงวาย ตามภาษาบ้านคุณปะหล่อง จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 00:35:32

ความคิดเห็นที่ 61 มีสุภาษิตล้านนาว่าไว้บทหนึ่ง  น่าสนใจมาก ๆ "ของบ่กิ๋นฮู้เน่า  ของบ่เล่าฮู้ลืม" แปลเป็นไทยกรุงเทพว่า  "ของที่ไม่กิน  พอทิ้งไว้นาน ๆ มันก็จะเน่าจะเสีย  ส่วนเรื่องเล่าหรือความรู้ต่าง ๆ นั้น  ถ้าเก็บเอาไว้คนเดียว  ไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นได้ฟังบ้าง  บาทีก็อาจจะลืมและเลือนหายไปได้"   มาร่วมแบ่งปันภูมิปัญญาดี ๆ ของบรรพบุรุษเรากันเถิดครับ จากคุณ : ปะหล่อง -------------------- โดนใจจริงๆ ครับ และกดโหวตไปแล้ว ญาติผู้ใหญ่ของผมคนที่มากินข้าวที่บ้านผมตามที่ได้เล่าไว้ใน คห.52 เขารู้ตำราและมีประสบการณ์ในเรื่องสมุนไพรโบราณพอตัวทีเดียวครับ ผมขอให้เขาเขียนเรื่องที่เขารู้ ผมจะเอามาแบ่งปันกันในห้องสมุดนี้ สักบ่ายแก่ๆ ผมจะไปตามความคืบหน้าอีกที ถ้าเขาเขียนเสร็จ ผมจะเอามาโพสต์ให้ทันที แต่ถ้ายังเขียนไม่เสร็จ อาจเป็นอีกวันสองวัน ตัวผมเองก็อายุมากแล้ว ต้องพยายามทำประโยชน์ให้สังคมอย่างสุดความสามารถของตน เป็นเสบียงในการเดินทางสู่โลกหน้า ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชียร์กระทู้นี้อย่างเต็มที่ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 07:32:43

ความคิดเห็นที่ 62 วันนี้ผมได้รับข่างเศร้าที่สุดในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง อาจารย์ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพและได้ร่ำเรียนวิชามากับท่าน บัดนี้ท่านเสียชีวิตแล้วอย่างสงบ ผมคงต้องขอฝากกระทู้นี้กับท่านหนุ่มไทยฯ  สักพักหนึ่งนะครับ ผมจะไปช่วยงานศพท่านอาจารย์ก่อน แล้วค่ำ ๆ จะมาแจมครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 10:02:15

ความคิดเห็นที่ 63 RIP นะครับ อาจารย์ท่านนี้ของคุณปะหล่อง ท่านคงเป็นอาจารย์ผู้ประเสริฐ คุณปะหล่องถึงได้เคารพนับถือท่านมาก ขอให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุขคติ สมกับคุณงามความดีที่ท่านได้ฝากไว้แก่โลก กลับมาที่สมุนไพรใกล้ตัว ใน คห. 22 ที่ผมบอกว่าจะมาอธิบายวิธีใช้อย่างได้ผล แต่แล้วก็ลืมไป รายละเอียดวิธีใช้เป็นอย่างนี้ครับ - มะระขี้นก กินแก้หูดได้ ลูกสาวของญาติผมคนหนึ่งเป็นหูดขึ้นที่ใบหน้า เขาไม่อยากไปหาหมอเพราะเป็นคนกลัวหมอ พ่อเขาก็ให้เลือกเอาว่าจะไปหาหมอหรือจะกินมะระขี้นกซึ่งมันขม ก็ไม่ชอบกินของที่มีรสขมอีก แต่ในที่สุดก็เลือกกินมะระขี้นก เอ้า ขมก็ขม วิธีกินก็คือเอามาลวกน้ำร้อนแต่พอสุก แล้วจิ้มน้ำพริกกิน กินติดต่อกันประมาณสองอาทิตย์เท่านั้นแหละครับ หูดหายเกลี้ยง ไม่เหลือร่องรอยเลย - ยาสีฟันและเหล้าวิสกี้ แก้อาการแผลพองจากการถูกของร้อนได้ เช่น ถูกน้ำร้อนลวก หรือเผลอเอามือหรือเท้าไปถูกท่อไอเสียรถ แต่ต้องเร็วนะครับ โดนปุ๊บ ต้องรีบด่วนเลย เอายาสีฟันมาทาบริเวณที่โดน หรือเอาเหล้าตระกูลวิสกี้ (แต่ก่อนเป็นเหล้าแม่โขง ปัจจุบันรู้สึกว่ายี่ห้อนี้จะหายไปจากตลาดแล้ว ไม่เป็นไรครับ ยี่ห้อไหนก็ได้ ขอให้เป็นเหล้าในตระกูลวิสกี้ก็แล้วกัน) ราดลงไปเลย เกือบลืม น้ำปลาก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน - รางจืด ใช้ถอนพิษ ถ้าเจ้าหมาตัวโปรดไปถูกยาเบือมา ให้เอาใบรางจืดใส่ครกโขลกพอให้ช้ำ เติมน้ำลงไปหน่อยด้วย แล้วกรอกใส่ปากเจ้าหมาแสนรักตัวนี้เลย สาเหตุที่โขลกพอให้ช้ำ เพราะต้องเร็วครับ ยาเบือพวกนี้เป็นยาดูดซึม ช้าไปก็ไม่ทันแล้ว โขลกเพียงให้น้ำในใบออกมาผสมกับน้ำที่เติมเข้าไปก็พอแล้ว - สบู่และลูกมะกรูด อันนี้เป็นยาสระผมโบราณ เพื่อสุขภาพผมที่นิ่มสลวย และดกดำเป็นเงางาม โบราณจริงๆ นั้นใช้ขี้เถ้าแทนสบู่ ในยุคถัดมาใช้สบู่ซันไลต์ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นมีขายในท้องตลาดนะ ไม่รู้เลิกผลิตไปแล้วหรือยัง ไม่มีปัญหาครับ สบู่ธรรมดาๆ นี่แหละ ใช้ได้เหมือนกัน วิธีใช้ สระผมด้วยสบู่ไปรอบหนึ่งก่อน แล้วล้างน้ำออก เอาลูกมะกรูดมาผ่าครึ่ง แล้วบีบคั้นน้ำละเลงให้ทั่วเส้นผม ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างน้ำออก น้ำมะกรูดมีฤทธิ์เป็นกรด จะไปสะเทินกับสบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง สระผมด้วยน้ำมะกรูดครั้งแรกๆ จะแสบหนังศีรษะหน่อยนะครับ แต่ไม่กี่ครั้งอาการแสบนั้นจะหายไป เส้นผมจะดกดำเป็นเงางาม ตอนผมหนุ่มๆ ก็สระผมด้วยวิธีนี้แหละครับ สูตรนี้คุณแม่ผมบอกมา และผมนำมาใช้แล้วได้ผลจริงๆ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 12:23:28

ความคิดเห็นที่ 64 ชอบอ่านค่ะ ได้ความรู้ดีมากเลย ขอบคุณนะคะ ทั้งจขท. และผุ้ร่วมแจมทุกท่าน จากคุณ : มนต้นไม้ (Setakan) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 19:11:08

ความคิดเห็นที่ 65 เพิ่งกลับมาจากบ้านงานครับ เพลียเหลือเกิน ก่อนจะไปนอน  ขอนำเสนอสมุนไพรอีกชนิดนึงครับ "บอระเพ็ด"   ภาคเหนือเรียก  "จุ้งจาลิง"  หมายถึงชิงช้าของลิง สรรพคุณมากหลาย  แต่ที่เคยประสบพบเห็นคือ ช่วยลดน้ำหนักครับ เคยมีตำนานว่ามีชายคนหนึ่งไปติดเกาะอยู่  ไม่มีไรกิน  เพราะบนเกาะนั้นมีแต่บอระเพ็ดเท่านั้น รู้ว่าขมทั้งขม  แต่ก็ต้องกิน  ไม่งั้นอดตาย พอกินนาน ๆ เข้า  ปรากฏว่า  ตัวชายคนนั้นเบาจนสามารถเดินบนน้ำได้ อันนี้เป็นเรื่องเล่า  ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ แต่เรื่องจริงที่ประสบคือ คุณยายผมครับ ท่านเป็นคนอ้วน  หนักเจ็ดแปดสิบโล ท่านไปได้ตำรามาจากไหนไม่รู้ ไปหาเถาบอระเพ็ดมา  ไม่ได้เอามาเคี้ยวกร้วบ ๆ นะครับ  ขมตายเลย แต่ท่านเอามาซอยละเอียด ๆ เหมือนขิงซอยน่ะครับ แล้วก็สับ ๆ ให้ละเอียด  แล้วกลืนกินครับ  ไม่ต้องเคี้ยว ปรากฏว่า  สักเดือนนึง  น้ำหนักยายลดไปเกือบสิบโลครับ ไม่ได้ออกกำลังเลย เคยได้ดูข่าวเมื่อหลายปีมาแล้ว คุณลุงท่านหนึ่งกินบอระเพ็ดวันละรอบหัว หลายท่านอาจจะงงนะครับ คือแกไปตัดเถาบรเพ็ดมาแล้วเอามาวงรอบหัว ได้เท่าไหร่ก็เคี้ยวกินเท่านั้น แกว่าเป็นยาดี   ท่านใดที่เจ้าเนื้ออาจจะลองทำได้นะครับ  ไม่ต้องถึงกับเคี้ยวหรอก สับ ๆ แบบยายผมก้ได้ ขมติดคอหน่อย  แต่ก็นะ  หวานเป็นลม  ขมเป็นยา --แก้คำผิดครับ-- แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 53 23:12:40 จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 22:55:03

ความคิดเห็นที่ 66 เสียใจด้วยนะครับคุณปะหล่อง   ผมนำรูปมาร่วมด้วยอีกครับ บอระเพ็ด จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:10:19

ความคิดเห็นที่ 67 พูดถึงเรื่องขม  ให้นึกถึงสะเดาครับ ชาวนาสมัยก่อนมักจะปลูกต้นสะเดาไว้ที่ท้ายนา ถามว่าทำไมหรือครับ ก็เพื่อที่จะให้กิ่ง  ก้าน  ใบของสะเดาตกลงไปในนาสิครับ ถามอีกครั้งว่า  ให้ตกลงไปทำไม ตอบว่าก็ตกไปเพื่อกำจัดศัตรูพืชเช่นข้าวในนาเป็นต้น แต่การกำจัดไม่ใช่ฆ่าล้างโคตรนะครับ เอาแค่พอหอมปากหอมคอ  ไม่ตัดวงจรของธรรมชาติเหมือนสมัยนี้ ที่เอะอ่ะไรก็กรำน๊อคโซน  ราวอัพ  หรือทัชดาวเป็นต้น ยาฆ่าแมลงทั้งนั้น ผลก็คือ  มีสารเคมีกระจายไปทั่วทั้งหัวไร่ปลายนา ผิดกับคนสมัยก่อน  ที่เขาใช้พืชในการควบคุมปริมาณศัตรูพืชทั้งหลาย ที่ปลูกสะเดานั้นก็เพื่อให้กิ่ง  ก้าน  ใบ  ดอกของสะเดานั้นตกลงไปในท้องนา  ทำให้พวกปู  หอย  ปลา  กุ้งมันเกิดอาการระคายเคืองเนื่องจากสารเคมีที่อยู่ในสะเดามาทำปฏิกิริยา ทีนี้สัตว์พวกนั้นก็จะถอยร่นขึ้นไปที่หัวนา  อันเป็นเหตุให้ชาวนาสามารถจับไปทำลายหรือว่าไปทำอาหารได้ เห็นไหมครับ  สะเดาน่ะนอกจากจะมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการแล้ว  ยังสามารถลดปริมาณของพวกศัตรูพืชต่าง ๆ ได้ด้วย พอก่อนครับ  พรุ่งนี้จะมาต่อครับ ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสะสมภูมิปัญญาไทยในกระทู้นี้ครับ --แก้ไขคำผิด-- แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 53 23:14:54 จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:10:40

ความคิดเห็นที่ 68 รางจืด จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:10:55

ความคิดเห็นที่ 69 อ้าว! ยังไม่นอนหรือครับ มีมาแถมสะเดาด้วย เอ้า !  กองหนุน หนุนด้วยรูป สะเดา จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:15:12

ความคิดเห็นที่ 70 ขอบพระคุณท่าน เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy)  กรุณานำภาพประกอบครับ ทีนี้กระทู้นี้ก็จะอ่านได้ง่ายขึ้น  เพราะมีทั้งคำอธิบายและตัวอย่างประกอบให้ดูด้วย จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:16:09

ความคิดเห็นที่ 71 ยินดีครับ...ยินดี.. จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:18:25

ความคิดเห็นที่ 72 เข้ามาโหวตและเก็บเกี่ยวความรู้ดีๆ ค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกันให้ข้อมูลอันทรงคุณค่านี้นะคะ จากคุณ : แพรวดาว เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 03:28:48

ความคิดเห็นที่ 73 คุณ ปะหล่อง พูดถึงบอระเพ็ดใน คห.65 คุณ เจียะป้าอู่สื่อ เอารูปมาสมทบใน คห.66 เจ้าบอระเพ็ดนี่แหละครับ สรรพคุณเหลือหลายจริงๆ มันช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ด้วย นักมวยไทย เขากินบอระเพ็ดด้วยนะครับ กินครั้งละไม่มากนะครับ ความยาวประมาณองคุลีเดียว (หนึ่งองคุลี ก็คือความยาวของหนึ่งข้อนิ้วมือ) เคี้ยวกันสดๆ เลย ไก่ชน เขาก็ให้กินบอระเพ็ดนะครับ ทำนองเดียวกัน ตัวผมเองยังเคยลองกิน เคี้ยวกันสดๆ เหมือนกัน รสขมนี่ผมไม่กลัวครับ ผมฝึกสมาธิด้วย เวลาเคี้ยวบอระเพ็ดก็อาศัยสมาธิเข้าช่วย ตัดความรู้สึกขมออกไปได้บางส่วน เคี้ยวกร้วมๆ ได้อย่างสบายเลย ยังมีสมุนไพรอีกอย่างคือว่านหางจระเข้ ได้ยินมาว่ามีประโยชน์มาก แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธี ถ้าใช้ผิดวิธี แทนที่จะเป็นคุณ กลับจะเป็นโทษได้ ผมเพียงทราบมาคร่าวๆ ไม่รู้วิธีใช้อย่างละเอียด เลยไม่กล้าโพสต์ ท่านใดที่ทราบ ช่วยเผยแพร่เป็นวิทยาทานนะครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 06:55:25

ความคิดเห็นที่ 74 ขอแชร์ประสบการณ์ เรื่องสะดา นะคะ "คิดว่า"...  คิดว่า นะคะ สะเดา น่าจะลดน้ำตาล ในเลือด  หรือที่เราท่านรู้จักกันดี ว่าเบาหวาน นั่นล่ะค่ะ เมื่อสักสองสามปีก่อน  ก็มีปัญหาเรื่องน้ำตาลสูง ก็ยังไม่ยอมกินยาเบาหวาน ต่อรองกับคุณหมออยู่เรื่อย เพราะกลัวว่า รับยา แล้วต้องทานตลอด ชีวิต? คุณหมอขู่ว่า ถ้าเกิน 150 ต้องกินแล้วนะ บังเอิญก่อนวันนัด สองสามวัน ไปตลาดนัด  เห็นสะเดา อดใจไม่ไหว ซื้อมาทำนำปลาหวาน ย้ำ นำปลาหวานนะคะ เสาะ ทั้งเบาหวาน  และโรคหัวใจ (หมอห้ามเค็ม  แต่ก็กินอย่างสมำเสมอ ไม่เจียมตัวเล้ย) ปลงตกว่า เป็นไง เป็นกัน  ยอมรับว่าตัวเองเป็นเบาหวานก็แล้วกัน แต่น... แตน ...แต๊น   พอไปเจาะ ผลออกมา 123   คุณหมอหยวน รอดตัวมาได้ แล้วก็กินสะเดาน้ำปลาหวานนี่แหละ หลอกล่อคุณหมอมาได้ หลายยก แต่ ณ  เวลานี้ ต้องกินยาเบาหวานแล้วค่ะ เพราะตอนที่เป็น stroke  คุณหมอเห็นว่า น้ำตาลมันเกิน ไปนิด  นิดเดียวจริง แต่คุณหมอบอกว่า เพื่อความมั่นใจ   พูดถึงเรื่องเบาหวานก็มีอีกตัวหนึ่งค่ะ มะเขือนี่แหละค่ะ  มะเขือเปราะ  มะเขือยาว มะเขือม่วง ก็จากประสบการณ์ตรงอีกแล้ว นะคะ ครั้งหนึ่งก็มีนัดเจาะเลือดนี่แหละค่ะ ทีนี้ลูกสาวหลับจากเดินทาง ก็ซื้อ ช็อคโกแล็ต มาฝากแม่   ยี่ห้อสุดอร่อย  ยัยแม่ก็อดใจไม่ไหว  นึกในใจ เป็นไง เป็นกัน กินเสร็จ ไปค้นตู้เย็น  ลองหามะเขือมาต้มกินดีกว่า เพราะเคยอ่านมาว่า พืชผักที่เป็นเมือกๆ นี่มี ไฟเบอร์สูง แล้วก็อ่านเจอมาอีกว่า อาหารไฟเบอร์สูง ช่วย ลดนำตาลในเลือดได้ วันรุ่งขึ้นก็ไปเจาะเลือด ปกติ ค่ะ     ทีนี้พอทานอะไร ก็มักจะใช้ มะเขือต้ม กลบเกลื่อนซะหน่อย แต่ก็นั่นแหละ ลงท้ายก็ต้องกินยาเบาหวานจนได้ ด้วยเหตุผล เพื่อความปลอดภัย คิดว่า สำหรับท่านที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ สลับซับซ้อนแบบดิฉัน น่าจะพอช่วยได้นะคะ แก้ไขเมื่อ 19 ม.ค. 53 17:44:43 จากคุณ : พิชาภา เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 17:42:37

ความคิดเห็นที่ 75 ผักหวานป่า เมื่อออกลูก คนแก่ห้ามทานลูกผักหวาน เพราะหวานจัดมาก  ความเชื่อว่า เมื่อเป็นแผลตามร่างกาย จะรักษาไม่หาย  ที่แท้คือเบาหวานนั่นเอง ภาพที่นำมาคือลูกผักหวานป่าเมื่อแก่ใกล้สุก จากคุณ : ลุงแสง คนลำพูน (ลุงแสง) เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 20:36:55

ความคิดเห็นที่ 76 ดูกันชัดชัด ลูกผักหวานที่บ้านลุงเอง จากคุณ : ลุงแสง (ลุงแสง) เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 20:46:51

ความคิดเห็นที่ 77 เกิดมาเพิ่งเคยเห็นลูกผักหวาน นึกว่ามีแต่ใบให้เรากินเท่านั้น... ขอบคุณลุงแสง ที่ถ่ายรูปมาโพสให้ได้เห็นเป็นขวัญตา... จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 22:14:29

ความคิดเห็นที่ 78 กลับมาแล้วครับ สวัสดีตอนดึก ๆ ครับทุกท่าน มายืนยันตามความเห็นของท่านเต๋าฯ เกิดมาผมเพิ่งเคยเห็นลูกผักหวานป่าครับ ขอบพระคุณลุงแสงมาก ๆ เลยครับ อันนี้นอกเรื่อง  ลุงแสงครับ  ผมก็เป็นคนลำพูนเหมือนกันครับ บ้านอยู่ตำบลสบทา  อำเภอป่าซางครับ ยินดีที่มาเจอคนบ้านเดียวกัน ทีนี้ก็มาต่อกันเรื่องตามหัวข้อกระทู้สักนิด  ก่อนที่ผมจะไปนอน วันนี้เหนื่อยพอดูครับ   ที่คุณหนุ่มไทยฯ  กล่าวถึงว่านหางจรเข้ ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพืชชนิดนี้ครับ แต่นึกไปถึงคำของอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาจะใช้ให้ปอกเปลือกออกก่อน  จากนั้นให้นำไปล้างน้ำสะอาดด้วยครับ เพราะในขณะปอกเปลือกนั้นว่านหางจรเข้มันจะมียางสีออกเขียว ๆ ไอ้ยางนั่นแหละที่มีพิษร้ายเหลือเกิน  ต้องล้างออกให้หมด จากนั้นก็เอาวุ้นที่เหลือนั่นไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ น้ำร้อนลว  ไฟไหม้  แปะเข้าไปเถิด อย่าลืมนะครับ ใช้ว่านหางจรเข้ต้องล้างยางมันออกก่อน จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 22:44:18

ความคิดเห็นที่ 79 มีสมุนไพรอีกอย่าง เวลาเด็กเป็นพุงโร ก้นปอด (ปุ๋มใส ไต๋เหลือง) ให้เอาหมามุ่ย มาเผาไฟให้เกรียม แล้วแช่น้ำให้เด็กกิน เรียนคุณปะหล่อง บ้านเราใกล้ ๆ กัน ทางบ้านเขาเรียกลุงว่า ป้อโหลงแสง ขณะนี้เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนยอง บ้านทา จากคุณ : ลุงแสง (ลุงแสง) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 09:51:23

ความคิดเห็นที่ 80 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 11:43:05

ความคิดเห็นที่ 81 รูปต้นว่านหางจระเข้ จากคุณ : เจียะป้าอู่สื่อ (tongboy) เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 53 22:55:40

ความคิดเห็นที่ 82 คูหา๘.....น้ำปลาดีทำจากปลาสร้อย..ซอยหอมกับตีพริกมะนาว..กับปลาหมอสดย่างไฟ.... หรือไม่ก็ทอดน้ำมันเดือดๆ.....พ่อผมเคยทำให้กินแล้วครับ ถ้าได้ข้าวคลุกน้ำมันหมูผัดร้อนๆสักหน่อยนะ.... โอ้ย....ยอมตาย..... จากคุณ : คุณภาค เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 04:45:05

ความคิดเห็นที่ 83 โพสต์เสียก่อนที่จะอ่านทั้งหมด.....ขออภัยครับ.. แต่กระทู้นี้ได้ความรู้มากจริงๆ.....นิยมชมชอบทุกท่านเลยครับ.... สำหรับตัวผมเองจากประสบการณ์ตรงก็คงมีแต่เพียงหางจรเข้.... เพราะเมื่อคราวยังเป็นหนุ่มน้อยทหารเกณฑ์ก็ไปโดนแผลใหญ่ที่ใบหน้า.... ขูดผิวหางจรเข้ออกแล้วเอาส่วนที่เป็นวุ้นข้างในมาพอก..... ทุกวันนี้ไม่มีแผลหรือรอยดำใดๆให้เห็นเลยครับ..... จากคุณ : คุณภาค เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 05:33:38

ความคิดเห็นที่ 84 กลับมาเยือนกระทู้อีกครั้งครับ ยังอบอุ่นเหมือนเดิม คุณภาค  ในความเห็น 82 ปลาสมัยนี้ตัวเล็กครับ โดยเฉพาะปลาหมอ มันคงตายก่อนจะโตเพราะสารเคมีในนาข้าว หรือไม่ก็ถูกจับมากินก่อนวัยอันสมควร นึกถึงปลาหมอปิ้งกับน้ำปลาที่เอาคลุกข้าวแล้ว เช้าว ๆ นี้จะไปหาที่ไหนกินน้อ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสำหรังงานของอาจารย์ผม บ่ายนี้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ เสร็จงานแล้วสัญญาว่าจะมาต่อครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:19:11

ความคิดเห็นที่ 85 มีสมุนไพรที่กินแล้วทำให้หลับสบายมั้ยเอ่ย ตอนนี้แม่นอนไม่ค่อยหลับ เลยมาปรึกษาว่าจะกินยาสมุนไพรอะไรที่แก้ได้บ้าง หาข้อมูลดู เห็นว่ามีชาสมุนไพร คาโมไมล์อะไรพวกนี้ แล้วก็ใบขี้เหล็กกินแก้โรคนอนไม่หลับ ทีนี้มาติดตรงที่ว่า ใบขี้เหล็กไม่ดีกับตับ ยาเม็ดขี้เหล็กที่ทำขายก็เลยเลิกทำไปแล้ว อีกอย่างคือไม่ดีต่อคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มีสมุนไพรอะไรช่วยได้มั้ยคะ จากคุณ : 4ปีจบ เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 20:16:22

ความคิดเห็นที่ 86 แปะหน่อย โฆษณาน่ารักดี ของ สสส เค้าดีทุกตัวเลย ~~ จากคุณ : ถั่วงอกเป็นฆาตกร เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 22:54:03