ความคิดเห็นที่ 1 เป็นเงินถุงแดงที่ ร.3 ทรงแต่งสำเภาสินค้าไปค้าขายกับทางกับทางเมืองจีนแล้วพระองค์ก็เก็บเงินใส่ในถุงแดงตั้งไว้ข้างพระที่(ข้างที่นอนของพระองค์)แล้วทรงตรัสแต่ขุนนางว่านี่จะเป็นเงินไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง แล้วพอเกิดกรณี รศ 112 (พ.ศ 2436) ร.5 ก็ได้ใช้เงินนี้เป็นค่าปรับให้แก่ฝรั่งเศสจำนวน 3 ล้านบาท ในกรณีที่พระยอดเมืองขวาง เจ้าเมืองมวน ได้ยิงทหารฝรั่งเศสตายจำนวน 3 คน ฝรั่งเศสมันเรียกเก็บค่าปรับตามจำนวนข้างต้น ปล. เงินถุงแดงบรรจุเป็นเหรียญทองเงินสเปนเป็นรูปนกอินทรี จากคุณ : giggsmay เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 09:17:37

ความคิดเห็นที่ 2 ผมสงสัยประการหนึ่งครับว่า ทำไมต้องเป็นเงินเหรียญทองเงินสเปนรูปนกอินทรีด้วยครับ จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 10:06:50

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยในแต่ละรัชกาลเลยนะ ที่พาประเทศไทยผ่านความเสี่ยงในการเสียเอกราชแต่ะละยุคมาได้ หากไม่มีรัชกาลที่ 1 และ 2 เราก็คงไม่สามารต้านทานพม่าได้ หากรัชกาลที่ 3 ไม่มีเงินถุงแดง แล้วต้องไปรีดภาษี ก็จะเป็นอย่างพม่าที่ต้องเสียเมือง หากไม่มีรัชกาลที่ 4 ที่เปิดรับความรู้จากตะวันตก เราก้คงไม่มีพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถอย่างรัชกาลที่ 5 สำหรับผม เป็นเรื่องทีต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จากคุณ : VET53 เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 11:37:34

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบ คห.2 นะคะ ต้องขอออกตัวก่อนว่าอันนัี้ได้ยินมาไม่มีเอกสารอ้างอิงนะคะ ตามที่ได้ยินมา เค้าบอกว่า ฝรั่งเศสต้องการเงินจำนวน 3 ล้านบาท แต่ขอเป็นเงินที่ทำจากทองฝรั่งเศสเท่านั้นค่ะ ภายใน 72 ชม.เท่านั้น เท็จจริงยังไงรบกวนท่านอื่นช่วยแก้ไขด้วยนะคะ จากคุณ : stangkme เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 12:40:10

ความคิดเห็นที่ 5 เงินพระคลังข้างที่ ได้ถูกอธิบายไว้ในสาส์นสมเด็จไว้ว่า "เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เล่ากันมาว่า เดิมพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้มีกำปั่นเงินไว้ข้างพระแท่นที่บรรทมในหนึ่ง สำหรับทรงหยิบพระพระราชทานผู้ใดหรือใช้จ่าย คือไม่ต้องบอกให้ผู้อื่นรู้ และคงแบ่งไปจากเงินพระคลังนั่นเอง ถึงรัชกาลที่ ๓ พระนั่งเกล้าฯ ทรงเก็บหอมรอมริบเงินซึ่งเป็นส่วนพระองค์เพิ่มขึ้นข้างที่อีกมาก เรียกกันว่า "เงินถุงแดง" สำรองไว้สำหรับใช้ในเวลาบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญ" จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 13:57:46

ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ มีเงินในพระคลังข้างที่เหลือจากจับจ่ายในการแผ่นดินจำนวน ๔๐,๐๐๐ ชั่ง (สามล้านสองแสนบาท) ซึ่งพระองค์ทรงขอไว้ ๑๐,๐๐๐ ชั่ง (แปดแสนบาท) เพื่อสร้างวัดที่ยังค้างไว้ให้สำเร็จ ส่วนที่เหลือมอบให้กับพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ตามแต่จะทรงใช้ เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๔ ทรงพบว่าเงินพระคลังข้างที่มีถึง ๔๕,๐๐๐ ชั่ง (สามล้านหกแสนบาท) ภาพประกอบ เหรียญนก ที่กล่าวถึงกัน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 14:03:22

ความคิดเห็นที่ 7 หลักฐานเอกสารที่ชี้ชัดว่า ชำระด้วยเหรียญนก จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 14:04:52

ความคิดเห็นที่ 8 การจ่ายเงินขนขึ้นเรือลูแตง ได้มีการนับเงินไว้ว่าสยามชำระด้วยเหรียญเม็กซินกัน รวมทั้งหมด ๘๐๑,๒๘๒ เหรียญ คิดน้ำหนักเหรียญทั้งสิ้น ๒๓ ตัน เทียบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินฟรังก์ ๑ เหรียญนก / ๓.๒ ฟรังก์ ได้เป็นเงิน ๒,๕๖๔,๑๐๒ ฟรังก์ ที่เหลืออีก ๕๐๐,๐๐๐ ฟรังก์ถูกส่งโดยเช็ค ส่งตามไปที่กรุงไซ่ง่อน เงินทั้งหมดนี้เป็นเงินที่พระนั่งเกล้าฯ ท่านได้เก็บไว้เพื่อวันหนึ่ง สยามจักเกิดยุคเข็ญ ตามที่ท่านคาดคะเนไว้ ภาพ เรือลูแตง เรือแองกองสตังค์ และโคเมต จอดที่สถานทูตฝรั่งเศส กรุงสยาม จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 14:14:53

ความคิดเห็นที่ 9 ผมสงสัย เนื่องจากว่า เราทำการค้าสำเภากับจีน แต่ใช้เงินฝรั่งในการชำระค่าสินค้าหรือ? จึงได้มีเหรียญสเปน ในการแลกเปลี่ยน หรือว่า สมัยนั้นใช้ เหรียญนกเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ถึงได้มีจำนวนมาก แล้วเป็นเหรียญทองคำ? หรือไม่ ปล. ผมเคยได้ยินว่า หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสในสมัยนั้นถึงกับบอกว่า การที่เอาเรือเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาครานั้น เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า คือนอกจะได้เงินแล้วยังได้ ดินแดนซึ่งมากกว่าประเทศไทย (ที่เหลือ) ทั้งประเทศ แหมคิดตรงนี้ แล้วแค้นฝรั่งเศสน่าดู lol จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 15:57:42

ความคิดเห็นที่ 10 การได้มาซึ่งเหรียญนก หรือ เหรียญของประเทศเม็กซิโก นั้นดูได้จากประวัติเหรียญกษาปณ์ไทย ในช่วงรัชกาลที่ ๔ เมื่อได้ทำสัญญาทางการค้า เปิดประเทศแล้ว ต่างก็มีเรือกำปั่นจากประเทศต่างๆเดินทางเข้ามาค้าขายกับสยาม เป็นอย่างมาก และพ่อค้าเหล่านั้นย่อมถือเหรียญเงินรูปนก เข้ามาด้วย รวมทั้งเหรียญจากจีน อเมริกาและริงกิตอินเดีย เป็นต้น เมื่อพ่อค้าเข้ามามาก คนไทยไม่รู้จักเหรียญนก กลัวว่าจะปลอมจึงไม่กล้ารับไว้ ทำให้พ่อค้าเดือดร้อน ด้วยซื้อของไม่ได้ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้กองกษาปณ์รับแลกเหรียญนกและจำหน่ายแลกเป็นเงินพดด้วง ในพระบรมมหาราชวัง ในวันต่อวัน จนเมื่อการค้ารุ่งเรืองการรับแลกเหรียญนก แปลงเป็นเงินพดด้วง ทำไม่ทันต่อความต้องการ จึงมีพระบรมราชโองการ ตอกตราจักรและมงกุฎไว้บนเหรียญนกโดยตรง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจรับเหรียญไว้ใช้กัน ดูจากลักษณะการค้าขาย เหรียญนกน่าจะมีมูลค่าและความนิยมในตัวสูงกว่าเงินสกุลอื่นๆ พ่อค้าจึงนิยมนำติดตัวมา อาจเป็นเพราะมีมูลค่าแลกเปลี่ยนได้สูงกว่าในหลายๆประเทศ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 16:27:07

ความคิดเห็นที่ 11 แสดงถึงพระอัจริยภาพจริง ๆ ค่ะ สายพระเนตรกว้างไกลจริง ๆ ประเทศไทยโชคดีตรงที่มีพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาและความเมตตาในการปกครองแผ่นดิน จากคุณ : papa mama love u เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 20:42:03

ความคิดเห็นที่ 12 เสียดายจริงๆ     ถ้าเหรียญนกนั่นยังอยู่ในไทย    ป่านนี้จะมีมูลค่าเท่าไหร่กันนะ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 21:04:51

ความคิดเห็นที่ 13 เท่าที่เคยอ่านมา จำได้ว่า เงินถุงแดง ก็ยังไม่พอนนะครับ แค่ประมาณสองในสามเท่านั้น ต้องเรี่ยรายจากบรรดาเจ้านายและขุนนางเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าอ่ะคับ ปล อ่านมาจากไหน ก็จำไมได้แล้ว จากคุณ : กริชครับผม เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 23:03:35

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าเหรียญนกนั่นยังอยู่ในไทย สุดท้ายก็จะต้องเอาไปพัฒนาประเทศ หรืออย่างช้าที่สุด ก็คงหมดไปในสมัยรัชกาลที่ 7 ครับ  ที่สมัยนั้นเศรษฐกิจ ย้ำแย่กันทั่วโลก คงไม่เหลือมาถึงสมัยนี้อยู่ดี เฮ้ออ... จากคุณ : ... (เด็กน้อยในเมืองใหญ่) เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 00:10:04

ความคิดเห็นที่ 15 โอ้โอ ขอบคุณนะคะสำหรับการขยายข้อมูลที่มีอยู่ให้เพิ่มขึ้น ขอบคุณทุกๆความเห็นนะคะ จากคุณ : stangkme เขียนเมื่อ : 19 ม.ค. 53 12:34:57

ความคิดเห็นที่ 16 สายพระเนตรที่ยาวไกลของล้นเกล้า ร.3 ทำให้ไทยสามารถผ่านวิกฤติมาได้  (ถ้าไม่มีเงินถุงแดงเราก็คงต้องขึ้นภาษีชาวบ้านซึ่งอาจไม่ได้จำนวนมากนักในสมัยนั้น หรืออาจหาแหล่งกู้เหมือนกับที่เจ้าหลวงเชียงใหม่กู้เงินกรุงเทพไปใช้หนี้คดีอังกฤษ) แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 10:31:13 จากคุณ : Medic CU22 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:30:44