|
ความคิดเห็นที่ 12 |
คือในความเห็นของผมนั้น ดร.ซุน ท่านเป็นนักคิดแบบชาตินิยมครับ กล่าวคือท่านเปิดกว้างในความแตกต่างของระบอบการปกครองได้ แต่ต้องเป็นระบอบการปกครองที่ยังผลประโยชน์ต่อประชาชน ดังนั้นท่านจึงเน้นความปรองดองและพยายามประสานผลประโยชน์ของชนชั้นต่างๆให้ยอมรวมกันภายใต้ร่มธงของชาติเดียวกัน
จะเห็นว่า ดร.ซุน ยอมเจรจากับหยวนซื่อไค, ต่อมาก็ยอมลงๆให้เหล่าขุนศึกภาคใต้เพื่อขอการสนับสนุน, และก็ยอมเจรจากับพวกขุนศึกภาคเหนือเพื่อพยายามยุติการสู้รบในสงครามปราบเหล่าขุนศึก นั่นก็คือขอให้อำนาจรัฐอยู่ในมือของประชาชน ท่านไม่เกี่ยงว่าจะเป็นพวกเสรีนิยม, ทุนนิยม หรือสังคมนิยมหน่ะครับ แต่จากงานเขียนและข้่อมูลทางประวัติศาสตร์ในชั้นหลังๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่า ดร.ซุน ท่านมีใจเอนเอียงไปในหนทางของสังคมนิยมไม่น้อยทีเดียว แต่อาจจะไม่ถึงกับเป็นนักมาร์กซ์หรือเลนินเสียเต็มตัว
กรณีของเจียงไคเช็คนั้น ข้อเสียของเขาก็คือ เขาไม่อาจจะพยายามเผื่อแผ่ผลประโยชน์จากพรรคพวกมาให้แก่ประชาชนได้เพียงพอครับ เจียงไคเช็คปกครองประเทศจีนมา 20 กว่าปี เขามีเวลามากเกินพอแล้วกับการแสดงฝีมือและการวางแผนนโยบายต่างๆ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า เขาประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหาความยากจนอดอยากของประชาชน 400 ล้านคน แต่ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อต่อการสร้างอำนาจและความร่ำรวยให้แก่พวกพ้องและบริวาร
ในความเห็นของผม เจียงไคเช็คไม่อาจจะปัดมณฑินอันนี้พ้นตัวไปได้ครับ ผมไม่มีข้อกังขาว่าเขาคือนักการทหารและนักการเมืองที่เก่งกาจคนหนึ่งในรอบร้อยปีของจีน แต่เขาไม่ใช่นักปกครองที่เก่งกาจแน่นอน
จากคุณ |
:
อุ้ย (digimontamer)
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ม.ค. 53 13:27:46
|
|
|
|
|