ความคิดเห็นที่ 1 ไม่นานมานี้เอง คิมรับงานแปลนิยายมาเล่มหนึ่ง ไปทานข้าวกับเพื่อน ก็คิดว่าจะแปล succubus กับ incubus ว่ายังไงดี ที่โต๊ะทานข้าว เค้าก็คุยเรื่องอื่นกัน คิมก็นั่งคิดๆ ไป อยู่ดีๆ ก็พูดออกมาว่า แปล succubus ว่าภูติยั่วสวาทได้ไหม คนที่ทานข้าวอยู่ด้วยก็งงๆ คิมเลยอธิบาย สรุป ไอ้ที่พูดมาน่ะ ไม่ได้เข้ากับเรื่องที่เขากำลังคุยกันก่อนหน้านี้เลย สุดท้าย คิมได้คำตอบของตัวเอง เลือกแปล succubus ว่าภูติสาวยั่วสวาท incubus ว่าภูติพร่าสวาท (อะแฮ่ม กับสุภาพสตรีก็ต้องให้เกียรติเธอน่ารักหน่อยค่ะ) พอลงมือแปล ก็อยู่ในโลกของตัวเอง เรื่องที่แปลอยู่ตอนนี้ ฉากรักเยอะมาก ซึ่งเป็นฉากที่คิมไม่ค่อยถนัด คนจ่ายงานอย่าเพิ่งผวานะคะ เท่าที่อ่านดูคิมว่าคิมทำได้ดีพอสมควรเลยละ หลังจากแปลปรับแก้ ทะเลาะตบตีกับฉากรักอยู่หลายวัน โดยไม่โผล่ไม่ไหน ไม่ค่อยรับสายใคร FB ก็ไม่ค่อยได้เข้า เพื่อนๆ ก็พยายามจะลากตัว เพื่อน: มากินข้าวกันหน่อยดิ คิม: แปลงานอยู่อ่ะ ยังไม่ได้ไปไหนเลย เพื่อน: งั้นถ้าผ่านไปแถวนั้นจะซื้อข้าวไปให้ คิม: เอาดิ ขอข้าวผัดห่อกับโอเลี้ยงถุงสิ เพื่อน: ทำยังกะติดคุก คิม: ช่าย ห้ามเยี่ยมห้ามประกันด้วย เพราะต้องขังตัวเองไว้ ทำงานให้เสร็จก่อน ต้องหาเลี้ยงตัวเองนี่นา จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 12:49:15

ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อคืนตอนตีสองกว่าๆ เพื่อนอีกคนก็ออนเอ็มมา เพื่อน: ทำไรอยู่ ยังไม่นอนอีก คิม: นั่งแก้ฉากรักที่แปลไป เพื่อน: ว้าว อยากช่วยอ่ะ คิม: อย่าเลย อ่านแล้วเดี๋ยวเลือดกำเดาพุ่งนะ เพื่อน: ดีๆ ชอบๆ คิม: นั่งแก้มาหลายวันแล้ว ง่วงมาก จะหลับให้ได้ เพื่อน: เฮ้ย ฉากอีโรติกเนี่ย แปลไปแล้วง่วงได้ด้วยเหรอ คิม: คนมันง่วง ฉากอะไรก็ง่วงทั้งนั้นแหละ อยากนอน ฉากแบบนี้แปลยาก ไม่ถนัดอย่างแรง เพื่อน: ไปซื้อหนังสือโป๊มาอ่านเอาแรงบันดาลใจดิ คิม: ยังดีที่ไม่แนะนำให้ไปดู porn เพื่อน: อ้าว จินตนาการจะได้บรรเจิด คิม: ไม่ไหวอ่ะ ถ้าต้องลงทุนขนาดนั้น กลับไปทำบัญชีหากินดีกว่า เพื่อน: พรุ่งนี้ไปกินข้าวกันมั้ย คิม: ไม่ไป ต้องจัดการไอ้เรื่องนี้ให้จบ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้นอนมาหลายวัน นี่ถ้าหลินปิงเห็นนะ มันโดดเกาะเรียกแม่แน่ และแล้ว คิมก็มานั่งพะบู๊กับเลิฟซีนต่อ จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 12:50:55

ความคิดเห็นที่ 3   เมื่อคืนผมก็แปลถึงตีสามครับ คุณคิม ต่อด้วยลิเวอร์พูล-สเปอร์ส ถึงตึห้า ตื่นเจ็ดโมง มานั่งแปลต่อถึงแปดโมง ไม่ไหวต้องนอนต่ออีกรอบ นี่แหละครับ โลกส่วนตัวของนักแปล เสียดายตรงที่ของผมมันไม่ค่อยมีเลิฟซีนนี่สิ อิอิ จากคุณ : OUTSIDER เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 14:08:26 A:58.9.207.137 X:

ความคิดเห็นที่ 4 รบกวนนิดนึงนะคะ  เป็นนักแปลเหมือนกัน และได้สะกดคำที่คุณคิมสะกดผิดมาบ่อยมาก เลยขออนุญาตบอกนิดนึงว่า ภูต แปลว่า ผี  แต่ภูติ แปลว่า ความมั่งคั่ง ความรุ่งเรืองค่ะ  อยากแปลวรรณกรรมเยาวชนบ้างไหมคะ จากคุณ : วัชรวิชญ์ (วัชรวิชญ์) เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 16:11:23

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคุณ Outsider ก็แปลว่าคุณ Outsider ไม่ไปหางานที่มันมีเลิฟซีนเยอะๆ มาแปลเองน่ะสิคะ งานหนังสือเดี๋ยวนี้มีเลิฟซีนเยอะไป ตอบคุณ วัชรวิชญ์ ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ เกือบพลาดแล้วสิ กำหนดส่งงานทั้งหมดวันนี้พอดีค่ะ ถ้าคุณวัชรวิชญ์ไม่บอก คิมหลุดแน่เลยค่ะ อยากแปลสิคะ วรรณกรรมเยาวชนเป็นงานที่คิมอยากทำมากๆ เลยค่ะ จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 18:09:02

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ยเป็นแค่อารัมภบทค่ะ แล้วก็หนีออกไปตากสมองเพิ่งกลับมา เดี๋ยวเตรียมลุยงานต่อค่ะ หลายๆ คนอยากเป็นนักแปล ด้วยเหตุผลที่ว่า ชอบอ่านหนังสือ รายได้ดี หรืออยากมีชื่อเสียง ซึ่งจริงๆ แล้ว นักแปลอย่างพวกลุงๆ พี่ๆ ท่านก็จะทราบกันดีอยู่แล้วว่าแค่ความอยากนั้นยังไม่พอ งานแปลก็เหมือนอาชีพอื่นๆ คือ เราต้องเตรียมลับความสามารถของเรามาเหมือนกัน คนจะเป็นนักแปล ไม่ใช่แค่ชอบอ่านหนังสือ แต่ต้องผ่านการอ่านหนังสือมามาก เป็นนักอ่าน ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าคิมเก่ง คิมดี แต่เพราะคิมไม่เก่ง และไม่ดี เวลาทำงานจึงลำบาก ต้องคอยพยายามตรวจสอบให้มาก แม้แต่ในกระทู้นี้ คุณวัชรวิชญ์ก็กรุณาแก้ไขคำสำคัญให้คิม ซึ่งเป็นคำที่สำคัญมากในงานของคิม งานแปล แม้จะเป็นวรรณกรรมชิ้นโปรด หรือเรื่องที่โปรดปราน อย่างหลายท่านอาจจะชอบแปลบทโรมานซ์ วาบหวิว หรือคิมชอบฉากซึ้งๆ กับวรรณกรรมเยาวชน แต่เวลาแปลงานจริง ไม่ใช่อ่านแค่หนสองหน ต้องทบทวนแก้ไข บางทีประโยคนึง อาจต้องนั่งนึกคำอยู่นาน นึกได้ไม่เหมาะใจ ต้องทวนแล้วทวนอีก จนแทบจะกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำไป อันนี้สำหรับนักแปลประสบการณ์น้อย คลังคำไม่มากอย่างคิมนะคะ เซียนๆ ทั้งหลาย ไม่กล้าอาจเอื้อมไปบอกว่าท่านก็เป็นอย่างนี้ คนเก่งจริงๆ ทำงานลื่นไหล แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ต้องผ่านงานมาเยอะ ยังมีเรื่องเล่าอีกค่ะ แต่ตอนนี้ขอเผ่นไปตรวจงานรอบสุดท้ายก่อนส่งละค่ะ เดี๋ยวไม่เสร็จ จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 18:15:24

ความคิดเห็นที่ 7 โอ ไม่มีเซียนท่านไหนที่รู้ไปหมดทุกเรื่องหรอกครับ คุณคิม เรามาร่วมด้วยช่วยกันแบบนี้แหละ ดีแล้ว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 21:47:24

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านความเห็นคุณคิมแล้วคิดถึงตัวเองเล็กน้อยแฮะ ด้วยความที่แปลแฟนตาซี เลยทำให้มีสมุดประหลาดอยู่เล่มนึง สมุดเล่มนี้จะมีศัพท์เฉพาะเรื่องที่ยังคิดไม่ออก หรือกลอนที่ต้องแปล เวลาออกไปไหนต่อไหนแล้วมีเวลาว่างก็จะเอามาขีดๆเขียนๆ พอมีคนหยิบไปเปิดดูก็จะเจอคำประหลาดเต็มเลย -_-" จากคุณ : ทินา (ทินา) เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 22:50:46

ความคิดเห็นที่ 9 นึกไม่ออกครับ ว่าแต่ฉากรักนี่อยากลองแปลดูมั่งอ่ะครับ ถ้าจะกรุณาให้แปลนะครับ แปลให้ฟรีด้วยเฉพาะฉากรัก มีข้อแม้ด้วยว่าต้องใส่ชื่อผมว่าแปลฉากรักตรงไหน หน้าไหนบทไหน ไม่งั้นไม่ยอม อิอิอิอิ จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 21 ม.ค. 53 23:33:47

ความคิดเห็นที่ 10 อรุณสวัสดิ์ค่ะ ทุกท่าน คุณทินา: อยากมีโอกาสได้เห็นจังเลยค่ะ สมุดประหลาดเล่มนั้น แต่สงสัยว่าคนหยิบไปเปิดอ่านจะรู้เรื่องไหมน่ะสิคะ คุณลุดวิก: รู้สึกหนุ่มๆ ในห้องนี้หลายท่านจะสนใจการแปล ฉากรักเป็นพิเศษนะคะ คราวหน้า ถ้ามีมาอีก สงสัยต้องมารบกวน ผู้เชี่ยวชาญในห้องนี้แล้วละค่ะ จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 08:44:18

ความคิดเห็นที่ 11 คุณคิม : ฉากรักก็น่าสนใจแปลอยู่หรอกครับ   บางเล่มที่พรรณาเป็นเชิงสาธกผมถือว่าเป็นงานสุดท้าทายว่าจะแปลอย่างไรให้ได้ทั้งอารมณ์ร่วม(รัก)และความงดงามทางภาษา แต่บางเล่มบรรยายเสียตรงเป๊ะ   แม้จะใช้คำที่มีมากกว่า 4 อักขระ   มันก็ยังชวนเสียวสยองว่าเมื่อหนังสือวางจำหน่ายแล้วบรรณาธิการกับผมจะได้ขึ้นโรงพักหรือเปล่า   งานแบบนี้กฎเหล็กของคุณแอ๊ดเรื่องห้ามขาดห้ามเกินใช้ไม่ได้ เวลางานเครียดมากๆ คิดคำแปลไม่ออก   ผมจะคว้าปืนลมไปยิงกระป๋องเบียร์ที่หลังบ้านสักสี่ห้านัด   ซึ่งช่วยได้มากทีเดียว   เวลายกปืนขึ้นเล็งมันเป็นการอยู่ในโลกส่วนตัวที่นิ่งเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด   วิธีนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์   ใครอยากจะนำไปใช้บ้างก็เชิญนะครับ   ระวังอย่าให้ลูกปืนไปโดนใครเข้าเป็นใช้ได้ จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 10:26:23

ความคิดเห็นที่ 12 ใช่แล้วครับ คุณ Tanis การยิงปืนนี่ช่วยฝึกสมาธิได้อย่างวิเศษ และให้ความเป็นโลกส่วนตัวอย่างมากเลย ผมเคยอ่านเจอนะ นักกีฬายิงปืนระดับโลกของจีน เขาใช้ปืนธรรมดาๆ ที่มีขายในท้องตลาดนี่แหละครับ ไม่ใช่ต้องปืนระดับมีชื่อเสียงของโลกแต่อย่างใด เขาใช้สมาธิเข้าช่วย เขาฝึกสมาธิจนถึงขั้นที่ว่าซ้อมยิงเวลาฝนตก เอาเป้าไปวาง ตัวเองอยู่ในที่ร่ม แล้วยิงผ่านสายฝนไปที่เป้า เวลาเล็งปืน เขามองไม่เห็นเม็ดฝนที่อยู่ข้างหน้าก็แล้วกันแหละ สมาธิอยู่ที่เป้ากับศูนย์เล็งปืนเท่านั้นเอง เรื่องสมาธินี่ฝึกกันไว้ก็ดีครับ มีประโยชน์มาก ผมเคยไปถึงจุดที่น้ำตาแห่งความอิ่มเอิบไหลพรากแก้ม เรียกว่า ขั้น 4 แต่ก็เคยไปถึงได้เพียงสองครั้งในชีวิตเท่านั้น แหะ แหะ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 11:53:01

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ Tanis และคุณหนุ่มไทยไร้นาม: คิมก็มีปัญหาเรื่องนี้ละค่ะ  ภาษาอังกฤษมันแจ่มแจ้งเสียจน ถ้าแปลออกมาตรงๆ ก็สงสัยจะกลายเป็นหนังสือ ปลุกใจเสือป่ามากกว่านวนิยายวาบหวามสำหรับสาวๆ เรื่องยิงปืนนั้น คิมก็เคยคิดจะหัดอยู่เหมือนกัน กะให้พอเป็นเพื่อป้องกันตัวค่ะ เรื่องคลายเครียดที่คิมชอบ ก็เป็นแบบหญิงๆ ค่ะ คือชอบไปเดินดูนั่นดูนี้ หรือถ้าจะให้ดี ขอไปนอนบนเขา หรือชายทะเลจะช่วยได้มาก จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 13:36:15

ความคิดเห็นที่ 14 ขอร่วมแจมวงนักแปลบ้างได้มั้ยคะ แต่เป็นนักแปลบทหนังกะสารคดีน่ะค่ะ รู้สึกว่าจะเป็นคล้ายๆกันคือ เวลาตื่นหรือเดินไปไหนก้อจะคิดถึงแต่เรื่องที่แปล ว่าจะแปลว่าอะไรดี เจอตัวละครพูดศัพท์เทคนิคมา นี่ต้องรีบเปิดหาข้อมูล   ถ้าไม่เจอต้องวานเพื่อน  ซึ่งก้อได้ผลทุกครั้ง  ถ้าแปลไม่ออกนี่เครียดมากค่ะ แต่พอไม่ได้แปลก้อเหงาสมองมาก   ไม่ทำก้อนั่งหง่าว ไม่รู้จะทำอะไร ปล ตอนนี้ยังแปลไม่เสร็จ แต่ก้อยังขี้เกียจอยู่เลยค่ะ จากคุณ : aRt's aNgeL เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 20:15:39

ความคิดเห็นที่ 15 อาการของ Kim น่ะ เขาไม่ได้เรียกว่า "โลกส่วนตัวของนักแปล" หรอก แต่มันเป็นอาการของคนที่กำลังสับสนกับปัญหาชีวิตตัวเองต่างหากล่ะ...ลองตริตรงให้ดีๆในเรื่องนี้ ้เวลาเราต้องแปลเรื่องยากๆที่มี tight deadline เราจะมีอาการตรงกันข้ามกับ Kim โดยมีพฤติกรรม 2 อย่างคือ 1. เราจะ "ไหว้ครู" อันนี้เป็นศัพท์ที่ซือเฮีย nickycharles บัญญัติขึ้นมา พอเรารับงานชิ้นที่สร้างความกดดันให้ตัวเรา้ิ้เองมากๆนะ เราิิจะิิออกไปซื้อเบียร์หรือ wine กิน แล้วเดินห้าง shopping หรือดูสาวๆสวยๆอยู่เพื่อ relax อย่างเต็มที แล้วก็นั่งสมาธิเดินลมปราณหลายรอบ ก่อนเริ่มตะลุยงานแปล ซือเฮียแกใจไม่ดีแทนเรา แกเลยโทรมาเตือนเราบ่อยๆว่า "ไอ้แท่น ไอ้ห่ะ มรึงไหว้ครูอีกแล้ว!" 2. เราจะเขียนหรือตอบกระทู้เพื่อให้หันเหความสนใจออกจากเรื่องที่แปลบ้างเป็นครั้งคราว ม่ายงั้นมันจะอินเิกินไป จะเครียดเสียเปล่าๆ ครั้งหนึ่งมีน้องคนหนึ่งเอางานที่เธอแปลไม่ทันมาให้เราแปล ขณะที่น้องคนนั้นลุ้นด้วยใจระทึกว่าเราจะแปลเสร็จทันช่วยชีวิตเธอให้รอดพ้นจากการโดนลูกค้าเหยียบเอาได้หรือไม่นั้น เราไปตอบกระทู้อีท่าไหนเข้าไม่แน่ใจ แล้วกลายเป็นลงเอยตบตีกับชาวบ้าน เล่นเอาน้องคนนั้นหัวใจแทบจะวายตาย เธอโทรมาบอกเราว่า "พี่ๆๆจ๋าหยุดทำศึกน้ำลายก่อนได้ไหมหนูกลัวงานหนูไม่เสร็จ"...นั่นก็เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าการทำศึกน้ำลายกับชาวบ้านเป็นกิจกรรมคลายเครียดอย่างหนึ่งของเรา เราจะถอยหนีก็แต่เฉพาะเวลาโดนรุมหลายๆรายแล้วแต่ละรายใช้ arguments ที่มี logical flaws มากๆมาย พอเจอแบบนี้ เราจะระบุว่ามี flaws ใน arguments ของพวกคุณมากเกิน กว่าเราจะแก้ข้้อผิดพลาดในเชิงตรรกะให้ได้ เราเสียเวลา จึงปิดประเด็นไม่ถกต่อให้เสียเวลา...ซึ่งตอนนี้กระทู้พวกที่เราถอยหนีเพราะขี้เกียจชี้ทางสว่างให้พวกเขาเห็นว่ากระบวนความคิดของพวกเขามันผิดหลักตรรกวิทยาอย่างไร เราจะกะว่าจะเขียนหนังสือวิชา elementary logic และจะเก็บประโยคที่คนพวกนั้นเขียน arguments เป็น lame logic เอามาใส่ไว้เป็น illustrations ในหนังสือของเรา แล้วพอหนังสือเราออกตีพิมพ์ (ถ้าตีพิมพ์ไม่ได้จะทำเป็น ebooks ให้ download ฟรี) แล้วเราจะแจกคนพวกนั้นคนละเล่ม...555+++... สำหรับ succubus นั้นเราว่าคำแปลว่า "ภูตสาวยั่วสวาท" มันไม่เหมาะหรอก เพราะเราเคยเจอ succubi หลายรายที่ "ไม่ยั่ว" แต่ "เอาจริง" ถ้าไม่เชื่อก็ลองกด switch เปลี่ยนภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยแล้วพิมพ์คำว่า succubus ดูสิว่า พยางค์แรกในภาษาไทยมันคืออะไร...555+++... succubi ที่เราเจอบ่อยที่สุดก็คือสมัยเราเริ่มฝึกวิชา huan jing (the reversal of the semen) ของนักพรตเต๋าใหม่ๆ โดยพยายามนั่งสมาธิเดินลมปราณเพื่อผสาน jing, qi กับ shen (semen พลังลมปราณ และวิญญาณ) เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง elixir of life นั้น พอเริ่มสร้างพลังได้ เวลาเข้านอนจะโดน succubi บุกจนเราเกือบเสียทีพวกมันหลายครั้ง แต่มันก็เป็นเหมือนปาฏิหารย์มีจริงเพราะครั้งที่เราเกือบเสียทีให้กับ succubi (ที่เอาจริง ไม่ใช่แค่ยั่วสวาท) นั้น มีนักพรตเต๋าท่านหนึ่งถือแส้เหาะเหยียบเมฆมาไล่ succubi ไปหมด ทำให้เรารอดพ้นจากการสูญเสียพลังแล้วตื่นขึ้นมาฉับพลันด้วยความงุนงงว่าเรื่องมหัศจรรย์อย่างนี้มีด้วยหรือ? (ช่วงนั้นเผอิญเรากินเจด้วย) เราคาดว่านักพรตเต๋าท่านนั้นคงจะเป็นเซียนที่ปกปักรักษาคัมภีร์ซึ่งเราฝึกอยู่นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 09:04:01 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:36:10

ความคิดเห็นที่ 16 เวลาที่เรามีโลกส่วนตัวของเราจริงๆมี 5 ช่วง 1. ฝึกคัมภีร์ alchemy ของเต๋าเพื่อเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองเพื่อย้อนกลับไปมีร่างกายและหน้าตาเหมือนเด็กวัยรุ่นอีก และเพื่อให้สมองใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งๆขึ้นกว่าเดิมอีกหลายๆเท่าเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายว่าเราจะกลายเป็น super genius ที่หน้าตาเหมือนเด็กวัยรุ่นเมื่ออายุ 150 ปี 2. ทดสอบ software หรือรื้อ computer system หรือทำ configurations หรือ housekeeping (จัดระบบคอมฯที่ใช้งานจนเละๆ ให้กลับเป็นระเบียบ) เพื่อสร้าง environment ที่เหมาะแก่การแปล และการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่ม 3. พยายามเรียนรู้ศาสตร์อะไรอย่างอื่นใหม่ๆ 4. ดู video clips โป๊ที่ downloaded มาเพื่อให้มีอารมณ์ทางเพศมากๆเพื่อใช้เร่งอัตราการผลิต sex hormones ซึ่งจะนำไปใช้ทำหน้าเด้งได้ คือเอาพลังที่ใช้สืบพันธ์ไปเปลี่ยนเป็นพลังแห่งการสุขภาพดีหน้าตาดี พลังแห่งการเรียนรู้ ซึ่งภาษาอังกฤษเขาเรียกกระบวนการนี้ว่า sublimation 5. แต่งตัวเสริมสวยให้กับตัวเองออกแนว narcissism เพื่อส่ง inner smile พร้อมด้วยความรักไป ที่อวัยวะภายในสำคัญๆ แนวคิดนี้มาจากคำสอนของ Dao De Jing ที่กล่าวไว้ว่า realize the femininity (the yin aspect) within oneself มันช่วยให้ relax completely ได้ตามหลักการที่ว่า The body and mind are most powerful when they are completely relaxed and nurtured by love and inner smile.   ในช่วงการทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่้งใน 5 อย่างนี้หละ เราจะมีโลกส่วนตัวของเรา โดยการสื่อสารพลังของตัวเองกับพลังจักรวาลหรือพลังของ The Creator ตามศาสนาเต๋าและฮินดู ช่วงหลังๆนี้เราเกิดสนใจศาสนาคริสต์เหมือนกัน กำลังจะศึกษา The Bible ซึ่งเราคิดว่าความรู้เรื่อง The Bible เป็นพลังเร้นลับอย่างหนึ่ง ในช่วงทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 อย่างนี้เวลาแฟนเราโทรมา เราก็โต้ตอบเธอไปเรื่อยๆ แต่แฟนเราฟังน้ำเสียงเราแล้วรู้ได้ว่า She's talking to a brickwall! กิจกรรม 5 อย่างนี้เป็นพลังที่เราใช้ "ขับเคลื่อน" การเรียนรู้ทักษะในการแปลของเรา ซึ่งเราตั้งชื่อมันว่า "The Dao of Translation" วิชาการแปลของเราไม่มีบรรจุในหลักสูตรปริญญาโทการแปลของมหาลัยใดๆทั้งสิ้น มันเป็นวิชาการแปลที่ unconventional ซึ่ง essence ของวิชานี้คือ ใช้ sexual energy ในการพัฒนา esp ขึ้นมา เพื่อใช้ esp รับรู้ัทัุกษะทางด้านภาษา ซึ่งเป็น language acquisition ในแนว parapsychology นั่นก็คือ เราจะส่งพลังไปที่ปลายนิ้วมือตอนใช้ google และใช้ The Law of Attraction ช่วยให้เรา search ประโยคภาษาอังกฤษสวยๆเจอ ซึ่งเราเอามันมาพัฒนา writing ให้สามารถแปลไทยเป็นอังกฤษได้รวดเร็วแม่นยำดุจดั่งปีศาจ ตอนก่อนนอนเราจะนั่งสมาธิสื่อสารกับวิญญาณนักเขียนฝรั่งเก่งๆระดับอัฉริยะ ให้เข้ามาสิงร่างเราและถ่ายทอดความรู้ภาษาอังกฤษให้เรา การฝึกวิชาเหล่านี้ มันทำให้เราอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ในทางกลับกัน เวลาเราแปลงาน ที่ serious มากๆ เราไม่อยู่ในโลกส่วนตัวเอาเสียเลย นั่นก็เพราะว่าเราแปลด้วยหลักคำสอนของเต๋าที่บอกว่า non-action action ที่ขยายความได้เป็น Let nature take its own course.  By doing nothing everything is done and taken care for.   ตัวอย่าง application คำสอนนี้ ก็คือเราไม่ได้หายใจเองแต่ปล่อยให้พลังจักรวาลทำหน้าที่หายใจ  และในการแปลก็เช่นกัน เราไม่ได้แปลเองแต่ปล่อยให้พลังจักรวาลทำหน้าที่แปล ... นี่คือ The Dao of Translation แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 09:52:11 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 09:35:29 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:20:48

ความคิดเห็นที่ 17 ถ้าคุณ fortuneteller จะศึกษา The Bible ไม่เข้าใจตรงไหนถามมาได้ครับ ผมเองก็ไม่ได้รู้และเข้าใจทั้งหมดหรอกนะ แต่ศึกษามาพอตัวทีเดียว เรียกว่าถกกับนักเทววิทยาได้อย่างสบาย และขอเรียนว่าการศึกษา The Bible ซึ่งเป็นพระคัมภีร์หลักแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่พอครับ ต้องศึกษาเรื่องราวอื่นๆ ประกอบด้วย จึงจะเข้าใจข้อความใน The Bible อย่างแท้จริง การศึกษาเรื่องราวอื่นๆ ประกอบนี้ ถ้าไม่ใช่คริสตชน ยากที่จะรู้ได้ว่ามีแหล่งข้อมูลที่จะให้ศึกษาได้จากที่ไหนบ้าง เรื่องพลังเร้นลับที่คุณ fortuneteller สนใจนี้ มีเพียบเลย ทุกเรื่องที่ทางวาติกัน ก่อนที่จะให้การรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริง เป็นฤทธิ์อำนาจจากเบื้องบน จะต้องผ่านการพิสูจน์จากบรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั้งหลายก่อน จนพวกเขายอมแพ้ อธิบายไม่ได้ จึงจะให้การรับรองอย่างเป็นทางการ เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ มาทุกยุคทุกสมัยครับ เนื่องจากว่าพวกเราอยู่ในวงการนักแปล ผมยกตัวอย่างนักบุญคุณพ่อปีโอผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) ก็แล้วกัน ท่านเป็นบาดหลวงชาวอิตาเลี่ยน มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1887-1968 ใกล้ๆ นี่เองครับ มีผู้ประเมินตัวเลขไว้ว่าคุณพ่อปีโอโปรดศีลอภัยบาปสัตบุรุษมากถึง 2 ล้านคน ในระยะเวลา 51 ปี คนแน่นถึงขนาดต้องแจกบัตรคิวกันเลยทีเดียว เพราะเหตุใด? 1. คนที่มาสารภาพบาปพูดภาษาของเขา คุณพ่อปีโอได้ยินเป็นภาษาอิตาเลี่ยน คุณพ่อปีโอเทศน์เตือนใจให้ฟังสั้นๆ และกล่าวคำโปรดศีลอภัยบาปเป็นภาษาอิตาเลี่ยน คนฟังได้ยินเป็นภาษาของเขา เรื่องนี้ตรงกับพระคัมภีร์เรื่อง "วันเปนเตกอสเต" วันเปนเตกอสเต คืออะไร ลอง search ดูนะครับ ข้อความค่อนข้างยาว ผมพิมพ์ไม่ไหว 2. คนที่มาขอรับศีลอภัยบาป บางทีก็ลืมว่าตนได้ทำผิดอะไรมาบ้างในบางข้อ จึงทำให้สารภาพไม่หมด คุณพ่อปีโอก็จะบอกว่า ลูกยังสารภาพไม่หมดนะลูก ลูกได้ทำผิดข้อนี้ๆ อีก สารภาพมาเสียดีๆ คนฟังตกตะลึงพรึงเพริด คุณพ่อรู้ได้ไงหว่า ครับ พลังเร้นลับจากเบื้องบนนั้น มีอยู่จริง แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 12:00:49 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 11:59:40 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:56:35

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ จริงๆแล้วเราสนใจ The Bible มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าอ่านเพราะกลัวอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ยุค Internet นี้มีตัวช่วยเยอะ เราจะพยายามอ่านฉบับภาษาอังกฤษแล้วถ้าไม่เข้าใจก็จะใช้ google ช่วย แต่ถ้าสงสัยอะไรเกี่ยวกับศัพท์เทคนิคเป็นภาษาไทยที่ชาวคริสต์ในไทยใช้กันบางทีก็อาจจะมาขอความช่วยเหลือจากคุณหนุ่มไทยไร้นาม ไอ้ความอยากเรียน The Bible เรา พอชงักมาหลายปี แต่อยู่ดีๆมาถูกจุดประกายอีก ก็อีตอนท่องเวปแล้วไปเจอข้อมูลฝรั่งชาวเยอรมันคนหนึ่งที่มาตั้งรกรากในไทย แกคิดค้นอะไรบางอย่างได้เนี่ย แล้วจดสิทธิบัตร และทำธุรกิจส่งออกรำรวยมากๆ แต่มาพลาดท่าจนหมดตัว แล้วก็เลยแก้ดวงโดยการอ่านหนังสือพวก howtos แนว self improvement ไปเกือบ 2,000 เล่ม แกบอกว่า the great thinkers ที่เขียนหนังสือเหล่านั้น บางคนที่รอบรู้เรื่องต่างๆจนชีวิตประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ส่วนใหญ่ได้แนวคิดมาจาก The Bible ฝรั่งเยอรมันคนนี้พูดว่า King Solomon นี่ (ถ้าเทียบเงินสมัยโบราณกับสมัยนี้นะ) รวยกว่า Bill Gates ตั้งหลายพันเท่า...!!! เพราะ King Solomon เคร่งศาสนาคริสต์ และศึกษา The Bible จนรู้ลึกมากๆ จนกลายเป็นสติปัญญาชั้นนำที่ทำให้ยิ่งใหญ่ได้ ตรงนี้เราไม่ค่อยเข้าใจ คุณพอจะอธิบายให้เราได้หรือเปล่าว่าความเป็นมา มันยังไงกันแน่? จากนั้นฝรั่งเยอรมันคนนี้ก็พอได้ความรู้มาเพียบเลยจากการอ่านหนังสือและศึกษา The Bible ก็เลยกู้สถานภาพทางการเงินแกได้ แล้วกลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม และหลังจากนั้นแกก็ทำแต่การกุศลเช่นช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้พวกชาวเขาในไทยหรืออะไรทำนองเนี้ย แต่เอเวปของฝรั่งชาวเยอรมันคนนี้ มันอยู่ตรงไหนกันหว่า ถ้าเราหาเจอจะส่ง links ไปให้คุณ เขาเขียนภาษาอังกฤษได้สวยงามมากๆเลยหละ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ภาษาของเขา สิ่งที่เขาเขียนมันจุดประกายให้เราสนใจ The Bible ขึ้นมาอีก แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 15:00:08 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:51:23

ความคิดเห็นที่ 19 King Solomon ผู้ปราดเปรื่อง 1. เป็นราชโอรสของ King David 2. ตอนที่ท่านขึ้นครองราชย์ต่อจากราชบิดา  ท่านสวดขอพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านมีความปรีชาสุขุมเพื่อปกครองพลเมืองด้วยดี พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า "เพราะท่านมิได้ขอทรัพย์ ขอชัยชนะต่อศัตรู แต่ขอความปรีชาและยุติธรรม เราจะโปรดให้ตามปรารถนา และจะโปรดให้ท่านมีทรัพย์และมีเกียรติด้วย และถ้าท่านสัตย์ซื่อต่อเราอย่างดาวิด เราจะคุ้มครองท่านเสมอ" นี่คือที่มาของความฉลาดปราดเปรื่องของ King Solomon ครับ เป็นพระพรพิเศษที่เบื้องบนประทานให้ ท่านฉลาดปราดเปรื่องขนาดไหน? ก็ขนาดว่าราชินีแห่งซาบาที่อยู่ทางฝั่งทะเลแดง ได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความปรีชาของท่าน ถึงกับนำกองคาราวานบรรทุกแก้วแหวนเงินทองมาบรรณาการด้วย มาชมพระราชวัง ชมกองทัพ สนทนาเป็นเวลานานกับ King Solomon นางเข้าใจว่าเป็นพระเจ้าที่ทรงโปรดประทานทรัพย์สมบัติและความปรีชาแก่ท่าน 3. ท่านสร้างกองทัพใหญ่โต แต่ก็เอาไว้ขู่แค่นั้นแหละ (ประมาณว่าใครอย่ามาแหยมนะเฟ้ย) ท่านเป็นคนรักสงบ ตลอดรัชสมัยของท่านไม่ทำสงครามเลย ชาวฮีบรูว์ก็ปิติ เพราะได้ทำมากินอย่างอยู่เย็นเป็นสุข ราชอาณาจักรของ King Solomon เป็นดังสวรรค์ เพราะท่านทรงยุติธรรมและใจดี 4. เพื่อขยายการค้า ท่านสร้างกองเรือพาณิชย์ และขอความช่วยเหลือจากจากชาวฟีนิเซียที่ชำนาญทางทะเล แล่นเรือไปถึงอังกฤษและแอฟริกา เรือสินค้าของท่านนำเพชรพลอย ไม้จันท์หอม และสินค้าต่างๆ กลับมาที่ท่ายัฟฟาและอัสซิออนกาบาร์ มีการขนถ่ายสินค้าเสมอ ชาวฮีบรูว์ก็ค่อยๆ ร่ำรวยขึ้น เห็นไหมครับว่าพร้อมสรรพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 53 16:23:48 แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 53 16:22:35 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 53 16:16:14

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ fortuneteller ส่งเสียงหน่อยสิครับว่าเคลียร์หรือยัง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 53 15:39:20

ความคิดเห็นที่ 21 ู^ ^ โอ้อ่านเรื่อง King Solomon ของคุณแล้วได้ความรู้มากๆเลยหละ ขอบคุณมากๆ คิดว่าบางทีจะไปหาเรื่องราวพวกนี้มาอ่านนะ เรามี The Bible เป็นภาษาอังกฤษ ซื้อมาเป็น CD ซื้อมานานแล้วว่าจะอ่านก็ยังไม่ได้อ่าน แต่บางทีเราก็ไปอ่าน The Bible บนเวปต่างประเทศแบบผ่านๆไปน่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ post มากนัก มัวแต่ฝึกสมาธิอยู่ แปลกมากๆ ยิ่งฝึกก็ยิ่งพัฒนา senses พิเศษให้เขียนภาษาอังกฤษได้รวดเร็วแม่นยำมากยิ่งๆขึ้น ก็เลยดีใจบ้าฝึกใหญ่เลย ซึ่งสวนทางกับการที่คนทั่วๆไป ไปลงหลักเรียนสูตรภาษาอังกฤษอ้ะ แปลกดีแฮะ ถ้าพูดไปเดี๋ยวก็โดนคนไม่เข้าใจรุมด่าอีก...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 26 ม.ค. 53 22:13:04

ความคิดเห็นที่ 22 การอ่าน The Bible ด้วยตนเอง ต้องระวังนะครับ อาจเข้าใจผิดได้โดยง่าย เพราะเป็นภาษาธรรม ยกตัวอย่าง เอาเริ่มต้นเลย พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ "ทรงระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต" คำว่าลมปราณนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า the breath of life มาดูกันต่อ สัตว์ทุกชนิดมันก็มีชีวิต แต่ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมันขึ้นมานั้น เพียงตรัสว่า "จงมี" สรรพสัตว์ทั้งหลายก็อุบัติขึ้น แต่สำหรับมนุษย์แล้วทรงระบายลมปราณให้ด้วย มาดูกันว่าต่างกันยังไง สัตว์มันมีร่างกาย + สัญชาติญาณ มนุษย์มีร่างกาย + สัญชาติญาณ + ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี หรือที่เรียกว่ามโนธรรม + วิญญาณ ซึ่งเป็นนิรันดร์ สัตว์มันมีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณนะครับ ตายแล้วตายเลย แต่มนุษย์มีวิญญาณ แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว แต่วิญญาณยังคงอยู่เป็นนิรันดร์ นี่คือความหมายที่แท้จริงของ the breath of life ครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 11:14:07

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ เราคงต้องอ่าน The Bible เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดอยู่แล้วนั่นแหละ เนื่องจากคงคล้ายๆตอนที่พี่ nickycharles ช่วยน้อง Kim แปล Paradise Lost นั่นแหละ เพราะยากโหดมากๆแค่ไหน แต่ค้นศัพท์เทคนิคจาก google มันพอหาแหล่งความรู้ช่วยตีความได้ นั่นก็หมายความว่าถ้าเราอ่าน The Bible เป็นภาษาอังกฤษเราพอจะหาแหล่งข้อมูลช่วยตีความได้เช่นกัน แต่ถ้าอ่านเป็นภาษาไทยเกิดอ่านไม่รู้เรื่อง google ช่วยไม่ได้หรอก เพราะภาษาไทยคนไม่ใช้กันทั่วโลก คัมภีร์ Dao De Jing ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็มีอะไรที่คล้าย The Bible มากๆ เพราะกล่าวถึงกำเนิดจักรวาล และวิถีทางของพลังจักรวาลซึ่งเรียกว่า "เต๋า" คล้ายๆ พลังของ The Creator ในศาสนาคริสต์ นั่นเอง ถ้าเราไม่โชคดีไปได้คัมภีร์อีกเล่มหนึ่งของนักพรตเต๋าที่เขียนไว้เมื่อ 200-300 ปีมาแล้วป่านนี้เราคงยังคงโดนเล่าจื้อหลอกเหมือนหลอกพวกบัณฑิตหลายๆคนให้หลงคิดว่า Dao De Jing เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจริยธรรม แต่ที่ไหนได้มันเป็นความลับที่ว่า man is a microcosm (มนุษย์เป็นจักรวาลจำลอง) พอไปอ่าน Mahanirvana Tantra ของฮินดู อ่านๆไปมีบทสนทนาระหว่าง Shiva กับ Shakti เราก็เริ่มสงสัยว่าจะโดนหลอกอีกนั่นแหละ เนื่องจาก Shiva เป็น symbol ของศูยน์รวมพลังลมปราณ (chakra) ที่จุดกลางกระหม่อมซึ่งแพทย์ และหรือนักวรยุทธ์จีนเรียกว่า bai hui ส่วน Shakti เป็น symbol ของศูยน์รวมพลังลมปราณ (chakra) ที่โคนกระดูกสันหลัง ที่ภาษาจีนเรียกว่า hui yin ทั้ง bai hui กับ hui yin ในศาสนาฮินดู ก็มีเขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤตด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงเริ่มคิดว่าศาสตร์สำคัญๆในแต่ละศาสนานั้น มันเป็นเรื่องการฝึกวิชา alchemy เพื่อเปลี่ยนเคมีในร่างกาย จนเปลี่ยน cells ในร่างกายและสมองให้กลายเป็นเซียน (เต๋า) หรือ saint (คริสต์) นั่นเอง และเราก็เชื่อว่าพระุพุทธเจ้าก็สอนการฝึกสมาธิและลมปราณแนวพลังจักรวาลเป็นหลัก หากแต่คำสอนดั้งเดิมในภาษาอินเดียอาจออกมาแนว Dao De Jing หรือ Mahanirvana Tantra ที่เป็นปริศนาทำให้เข้าใจยากมากๆ จนกระทั่งคนไทยตีความคำสอนพระพุัทธเจ้้าจากภาษาอินเดียไปอีกทางหนึ่ง เลยกลายเป็นศาสนาพุทธแบบไทยๆนิกายหนึ่งคือเถรวาทซึ่งเป็นพระเทศ พระสวดมนต์ พระทำพิธีกรรมมากกว่าพระฝึกสมาธิและลมปราณเพื่อฝึกพลังจักรวาล ฝึก alchemy เพื่อเดินทางไปสู่ enlightenment และ nirvana หรืออย่างน้อยที่สุดก็เอาแค่ระดับพระโพธิสัตว์ (ซึ่งเที่ยบเท่าเซียนของเต๋า หรือ saint ของคริสต์) ดังนั้นเราซึ่งเกิดมาเป็นพุทธแบบเถรวาท ที่เกิดมาแล้วร่างกายไม่แข็งแรงสติปัญญาด้อย (iq ต่ำมากๆตอนเด็กๆ ป่วยทางกายและทางจิตมาโดยตลอด) จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาร่างกายและสมองด้วยการเปลี่ยนศาสนา โดยการหันไปฝักใฝ่ในศาสนาพุทธแนววัดเส้าหลินแบบเซนมากกว่าเนื่องจากมีคำสอนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยน cells ในร่่างกายและสมองเพื่อพัฒนาการวิญญาณมากกว่า ดั่งเช่น "คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นและไขกระดูก" เป็นต้น จนกระทั่งเรารักษาอาการป่วยของเราทั้งหลายได้หายขาดได้ในที่สุดอย่างน่ามหัศจรรย์...!!! เมื่อศึกษาเซน เต๋า และฮินดู (ศึกษาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับโยคะ วรยุทธ์ และศาสตร์เกี่ยวกับสมาธิและลมปราณ กับการแพทย์ทางเลือก) เราจึงมองเห็นความคล้ายคลึงกันกับศาสนาคริสต์มากๆ และเชื่อว่าความลับหลายๆอย่างที่จะช่วยให้เราเข้าใจศาสตร์เร้นลับพวกนี้ จะต้องอยู่ใน The Bible อย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 53 10:08:23 แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 53 09:58:18 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 09:47:08

ความคิดเห็นที่ 24 สรุปได้ว่า อ่าน Bible แล้วรวย!!!! โอว มาย บุดดา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ความรวยคือเป้าหมายสูงสุด เอ งั้นก็เหมือน หลวงปู่เณรคำ อะไรนั่นสิ จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 53 14:20:38

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ g9h ครับ เวลาพาดพิงถึงเรื่องศาสนา จะพูดจะจาอะไร ระวังปากหน่อยนะครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 53 18:04:59

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ fortuneteller คห.23 ครับ ถ้าสนใจเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าเคยอ่านหนังสือชื่อ The Ancient Science & Art of Pranic Healing เขียนโดย Choa Kok Sui หรือยังครับ น่าสนใจมากทีเดียว ถ้าสนใจ search ดูได้เลยครับ ผมเคยเห็นใน Internet ด้วย จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 53 18:47:01

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ คุณหนุ่ม คคห26 หนังสือที่คุณพูดถึง เราเคยเห็นในร้านหนังสือ เปิดอ่านๆดู แล้วไม่ได้ซื้อ เผอิญเรามีหนังสือแนวนี้อีกหลายเล่ม ยังอ่านไม่หมดเลย ที่เราสนใจเรื่องศาสตร์เร้นลับพวกนี้ มันเป็นเพราะว่าเราเกิดมามีร่างกายที่ไม่แข็งแรง สมองไม่ดี มี iq ต่ำกว่ามนุษย์ธรรมดา เรียนหนังสือไม่เก่งตอนเด็กๆ ทั้งร่างกายและสมองเราถอดแบบมาจากแม่เราเป๊ๆเลย คือทั้งแม่เราและตัวเราต่างก็ป่วยเป็น ocd (ย้ำคิดย้ำทำ), นอนไม่หลับ วิตกจริต...พอเราหันไปเรียนรู้เรื่องศาสนาเต๋ากับฝึก Zen Macrobiotics  เรากลายเป็น "ลูกไม้ที่หล่นไกลต้น" คือเราเริ่มไม่มีอะไรที่เหมือนกับแม่เรามากทุกวันๆ สิ่งสุดท้ายที่เราเหมือนแม่เรา แต่เราทำลายมันไปได้เกือบหมดแล้ว นั่นก็คือ "spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดแนวธรรมชาติ)" แม่เราผ่านการรักษาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันกับจิตแพทย์มาหลายสิบปีจนยิ่งรักษาก็ยิ่งเลวร้ายลง จะหายก็ไม่หาย จะตายก็ไม่ตาย แต่ทรมาณไปเรื่อยๆ อาการป่วยที่ทรุดลงแบบของแม่เรานี้ ศัพท์แพทย์เขาเรียกว่า The illness has become iatrogenic. (คือป่วยเพราะแพทย์) เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วเราป่วยเหมือนแม่เราคือ แม่เราขาซ้ายกำลังจะพิการเพราะอาการเอียงของกระดูกสันหลัง ในขณะที่ขาขวาเราก็กำลังจะพิการ เพราะอาการเอียงของกระดูกสันหลัง (เอียงกันคนละทิศจึงมีผลกระทบต่อขาคนละข้าง) อาการป่วยของเราทำให้ร่างกายเราไม่เหมาะกับการฝึกกำลังภายในระดับสูงๆ คือฝึกได้แค่งูๆปลาๆ แต่ไม่เก่งมากนัก แม่เราไปผ่าตัดใส่ลูกสะบ้าเทียม เราไปให้เลือดแม่เรา แล้วรำพึงว่า "เราหลอกตัวเองมาตลอดว่ากระดูกสันหลังเราไม่เอียง แต่คราวนี้ของจริง ต้องยอมรับมัน และขาขวาของเรากำลังจะพิการแบบขาซ้ายของแม่เรา เราจะทำอย่างไรดี...!!???" แต่เผอิญเราไปได้หนังสือ The Secret มา และเราเรียนรู้ The Law of Attraction จากหนังสือเล่มนั้น เราส่งพลังไปที่ปลายนิ้วมือของเราโดยไม่รู้ตัว จนเรา "ดึงดูด" หน้าเวปที่ชาวฮินดูเขียน chart แสดงสายลมปราณแบบที่คัมภีัร์เต๋าที่เรามีไม่แสดงไว้ เราจึงฝึกตามวิธีการของชาวฮินดู และ "ขาขวาของเราจึงหายเจ็บปวดและรอดพ้นจากความพิการไปได้อย่างน่ามหัสจรรย์" จากนั้นเวลาเรานั่งฝึกสมาธิพอเิดินลมปราณเรามีความรู้สึกว่า "กระดูกสันหลังของเรามีเสียงลั่นอย่างแรงหลายๆครั้ง และมันกำลังกลับเข้าแนวธรรมชาติของมัน" จากนั้นเราคิดวิธี irrigate colon เราได้แยบยลกว่าการดีท๊อกซ์แบบชีวจิตหลายเท่า มันทำให้เรากลายเป็นมี iq พุ่งกระฉูด และเรียนรู้อะไรต่างๆได้รวดเร็วกว่าสมัยเป็นเด็กวัยรุ่นหลายๆเท่า เนื่องจากกระบวนการฝึกของเราเปลี่ยนคุณภาพ cells สมองและร่างกายเราไปอย่างมากมาย อีกทั้งการเพ่งสมาธิตาม chakras ต่างๆ มันกระตุ้นการผลิต sex hormones ในปริมาณมากเราจึงกลายเป็นหน้าตาเด็กกว่าเดิม เมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนเรายังอายุไม่มากนัก (สมัยเพิ่งกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ) เราเคยคิดจะสอนวิธีการแห่งสุขภาพตามศาสนาเต๋าให้แม่เรา แต่พ่อเราซึ่งนับถือพุทธแบบเถรวาท (เมื่อตอนเด็กๆเราก็เคยนับถือพุทธแบบเถรวาท) บอกว่า "ห้ามสอนเพราะมัน (วิธีการของเต๋า) เป็นวิชามาร" เมื่อประมาณเดือนหนึ่งที่แล้วแม่เราปลุกเราตอนดึก แล้วพูดว่า "แม่ทนฤทธิ์ยานอนหลับที่หมอให้ ไม่ไหว แต่ถ้าไม่กินยาแม่ก็ไม่หลับเลย ลูกลองสอนแม่วิธีการที่ลูกรักษาตัวเองให้แม่สิ ไม่ต้องสนใจว่าพ่อเขาจะว่าอย่างไร" แล้วแม่พยายามอธิบายให้เราว่าแม่มีอาการป่วยอย่างไรบ้าง แต่เราพูดดักคอแม่ได้หมด แบบรู้ล่วงหน้าหมดว่าแม่ป่วยเป็นอะไรบ้าง และเราเดาได้ว่าแม่จะพูดว่าอะไรบ้างเกี่ยวกับอาการป่วยทั้งหมดของแม่ :-)งว่า เรารู้ได้อย่างไร? เราตอบแม่ว่า "ทุกอย่างที่แม่ป่วยลูกเคยป่วยมาทั้งหมด แต่ลูกไม่ได้ไปหาหมอ และก็ไม่ได้ใช้ยารักษาเลย ลูกรักษาหายหมดทุกอย่าง ด้วยการฝึกตามคำสอนของศาสนาเต๋า ที่คุณพ่อเรียกมันว่า "วิชามาร" นั่นแหละ...แท้จริงแล้ว เต๋าเป็นศาสนาแห่งวิชาการแพทย์...!!!" เราจึงพยายามถ่ายทอดวิชาของเต๋าให้แม่เรา เริ่มตั้งแต่การตั้งสมาธิที่จุด dantian ซึ่งเป็นศูยน์รวมกำลังภายใน จากนั้นจึงสอน relaxation เพื่อย้ายเลือดจากหัวไปที่ปลายเท้า เพื่อหัวที่ร้อนจะได้กลายเป็นเย็นลง และเท้าที่เย็นจะได้กลายเป็นร้อนขึ้น...แต่อนิจจา แม่เราสมองเสื่อม (เพราะกินยาที่หมอให้มาหลายสิบปี)จนถึงขั้นที่ว่า แม่ฟังเรื่องที่เราพยายามถ่ายทอดวิชาของเต๋า ด้วยคำพูดที่ง่ายๆ แต่แม่กลับฟังเราไม่รู้เรื่องเลย...อีก 2-3 วันแม่ล้มลงกระดูกตะโพกหัก ไปอยู่โรงพยาบาลเลยเดือนหนึ่งแล้ว แต่หมอก็ยังต่อกระดูกให้ไม่ติดเลย... การที่เรารอดจากขาขวาพิการได้อย่างหวุดหวิด เพราะคำสอนเรื่อง The Law of Attraction ในหนังสือ The Secret นั้น มันทำให้เราคิดถึงความเร้นลับของ The Bible ขึ้นมา (เพราะพลัง attraction ที่หนังสือ The Secret พูดถึง เป็นพลังของ The Creator)  ใครก็ตามที่เข้าใจ The Bible จะรู้วิธีใช้ The Law of Attraction ดึงดูดสิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิต (โดยการ think positive) เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตได้...อย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 53 21:05:08 แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 53 12:41:49 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 12:11:21

ความคิดเห็นที่ 29 เราสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่เรา กับการที่เรา เพื่อความอยู่รอด จะต้องฉีักแนวออกไป และทำตัวให้เป็น "ลูกไม้ัที่หล่นไกลต้น" ตอนนี้เราจึงเริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่อย่างหนัก เพราะเราอยากจะเขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ ในแนวหนังสือ The Secret เรากะจะเอาหนังสือเราไปขายในต่างแดน เราจะตั้งชื่อมันเป็นภาษาอังกฤษที่สื่อความหมายว่า "ลูกไม้บางลูกจำเป็นต้องหล่นให้ไกลๆต้น" เราไม่แปลกใจเลยที่ทำไมพ่อเราจึงเรียกพิธีกรรมของเต๋าว่า "วิชามาร" นั่นก็เพราะว่าคำสอนของพุทธแบบเถรวาทสอนให้ละกิเลศและไม่ให้มีจิตติดอยู่ในกาม แต่ในทางกลับกัน ศาสนาเต๋าใช้ sexual energy (พลังที่ใช้ทำกิจกรรมทางเพศ) หรือ generative force (พลังที่ใช้สืบพันธ์) มาฝึกกำลังภายในเพื่อรักษาโรคและคงไว้ซึ่งความอ่อนวัยตลอดกาล ทุกวันนี้เรายังหวั่นๆเลยว่ากระทรวง ict มันจะ block เวปโป๊ได้มากเกิน เนื่องจากกิจกรรมหน้าเด้งที่เราทำอยู่่ทุกวันนี้ ก็คือ download video clips โป๊ๆ มาดูให้ตัวเองเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรง แล้วก็นั่งเดินลมปราณเพื่อขับเคลื่อนพลังไปทั่วร่าง เพื่อเปลี่ยน cells สมองและร่างกายเราให้เกิดการเรียนรู้ และเผอิญมันกระตุ้นการผลิต sex hormones เป็นจำนวนมาก เราจึงกลายเป็นหน้าตาเด็กขึ้น การใช้ sexual energy เพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้นี้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า sublimation แนวคิดของนักพรตเต๋า ไม่รู้ว่าชาวคริสต์จะถือว่าเป็น blasphemy หรือเปล่า? ไม่แน่ใจ? นั่นก็คือว่า นักพรตเต๋าคิดว่า The Creator สร้างมนุษย์ด้วย sexual energy ดังนั้นมนุษย์เราจะสื่อสารกับ The Creator ได้ ก็โดยใช้ sexual energy นั่นเอง (ทำได้ตอนส่งกระแสลมปราณผ่านสายลมปราณหลายๆสาย ซึ่งเป็นเหมือน communication channels) มันเป็นไปได้เพราะ Man is a microcosm.  (มนุษย์เป็นจักรวาลจำลอง) นั่นก็หมายความว่าถ้าเราเข้าใจ Dao De Jing, Mahanirvana Tantra หรือ The Bible ซึ่งพูดถึงกลไกของจักรวาล เราก็จะเข้าใจกลไกของร่างกายและความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง judgment ของตัวเอง เพื่อกำหนดหรือเปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราโดย Be in perfect harmony with the universal force.  นั่นเอง จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 12:32:59

ความคิดเห็นที่ 30 เราเขียน คคห 27 ตอบ คคห 24 ของคุณ g9h แต่มันโดนลบไป ไม่รู้ว่ามีคำต้องห้ามอะไร จริงๆแล้วเราจะบอกว่า การตีความปรัชญาที่เกี่ยวกับศาสนา มันไม่ใช่ตีความตื้นๆแบบคุณ เราพูดถึง King Solomon กับชาวเยอรมันคนนั้น เพราะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เนื่องจากคนเราจะประสบความพินาศหรือความเจริญรุ่งเรืองนั้น ตัวที่ตัดสินคือ judgment (ดุลยพินิจ) การมี judgment ที่สูงส่ง เกิดจากความเข้าใจกลไกของจักรวาล คือเข้าใจธรรมชาตินั่นเอง และมี senses ที่จะสัมผัสกับพลังบางอย่าง (ที่มีจริง แต่พิสูจน์ยาก) ได้นั่นเอง จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 13:09:16

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าเป็นแบบนี้นะ คุณอ่าน The Bible จะเข้าใจได้ไม่ยาก ยกเว้นเรื่องเดียวที่อย่าเพิ่งไปขบคิด เพราะยากเกินพรรณา คือเรื่อง The Holy Trinity ถ้าอยากทำความเข้าใจเรื่องนี้ แนะนำให้ search คำว่า The Father Speaks to His Children อ่านประกอบด้วยครับ จะช่วยให้เข้าใจขึ้นอีกมาก เรื่องพลังปราณ คุณมาได้ไกลโขทีเดียว (ผมเทียบกับตำรานะ ตัวผมเองก็ยังไปไม่ถึง แหะ แหะ) ถ้าจะเติมให้เต็ม ต้องฝึกเรื่องเมตตาจิตต่อมนุษย์ทุกคนด้วย คุณจะมีพลังในการรักษาโรคผู้อื่นได้ด้วย และที่พิเศษพิสดารมากก็คือสามารถให้การรักษาแบบทางไกล หรือที่เรียกว่า Distance Healing ได้ด้วย ไกลแค่ไหน? ก็ขนาดข้ามทวีปแหละครับ เกือบลืมเรื่อง blasphemy นักพรตเต๋าเขามีแนวคิดอย่างไรก็เรื่องของเขา ไม่มีปัญหาครับ เพียงว่าอย่ามาแขวะกันก็แล้วกัน เวลาที่ผมพูดถึงศาสนาอื่น ผมให้เกียรติเขาเสมอ เดี๋ยวนี้เขาเลิกแบ่งแยกศาสนากันแล้วนะ โบสถ์คาทอลิกทุกโบสถ์จะมีงานฉลองประจำปีทุกปี เรียกว่า "วันฉลองวัด" โบสถ์แถวบ้านผมก็มี ในวันฉลองจะมีสัตบุรุษจากต่างวัดมาร่วมงานมากมาย ก็ต้องจัดเลี้ยงสิครับ เพราะพิธีเริ่มประมาณเก้าถึงสิบโมง บางวัดอยู่ห่างไกล เขาต้องเริ่มออกเดินทางแต่เช้า ยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา จะปล่อยให้เขาหิวอยู่ได้อย่างไรกัน ในการจัดเลี้ยงนั้น มีทั้งพุทธและมุสลิมเอาอาหารมาร่วมด้วยช่วยกัน เพราะคนเยอะ ลำพังโบสถ์อาจจัดอาหารได้ไม่ทั่วถึง เวลาที่เขามีงาน เราก็ไปช่วยเขา ทำนองเดียวกันครับ เรื่องศาสนานี่ พระธรรมคำสอนของทุกศาสนาดีหมดแหละ ปัญหาอยู่ที่ศาสนิก ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนเหล่านั้นไม่ได้เองต่างหากล่ะ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 13:30:29

ความคิดเห็นที่ 32 เพิ่งเห็น คห.30 เพราะผมพิมพ์ช้าครับ พิมพ์เสร็จโพสต์ไป อ้าว โดนปาดหน้าไปซะแล้ว คห.27 ที่โดนลบไปนั้น คงมีคำต้องห้ามแหละครับ ซึ่งคำต้องห้ามนี่ บางทีก็แปลกๆ นะ ผมก็เคยโดน อ่านแล้วอ่านอีก หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ มันมีคำต้องห้ามตรงไหนหว่า เจอกันมาถ้วนหน้าครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 13:39:03

ความคิดเห็นที่ 33 เราว่าคนเราต่างศาสนากัน ถ้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้โดยสันติ มันจะเป็นการเสวนาที่สร้างสรรค์ บ่อยครั้งที่เราอ่านคำสอนของแต่ละศาสนา แล้วเราไม่เชื่อว่าศาสดาสอนแบบนั้น แต่ที่มีถ้อยคำออกมาแบบนั้น เราเดาว่า "มันเกิดจากการแปลคัุมภีร์โบราณผิด" มีหลายประเด็นที่เราอยากถกกับผู้คน แต่พอเริ่มเอ่ยปากพูดเท่านั้นหละ "ก็โดนตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม คือโดนคนในศาสนาที่เกี่ยวข้องรุมด่าเอาอย่างรุนแรง" เรื่องขำๆก็คือว่า เมื่อก่อนเราเคยเข้าห้องศาสนา พอเราพยายามตีความคำสอนบางอย่างของบางศาสนา ในแนวที่เราคิด ปรากฏว่า "เราโดนคนทุกศาสนารุมด่ากันหมด" ทั้งๆเรื่องที่เราพูด เราไม่ได้คิดจะดูหมิ่นศาสนา แต่คำสอนบางคำสอน ถ้าปฏิบัติตามไป มันทำลายสุขภาพ (พิจารณาจากเหตุผลทางการแพทย์จีนแผนโบราณ) เราแค่ท้วงติงว่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่ "ศาสดาไม่ได้สอน แต่คำสอนนี้โผล่มาให้ปฏิบัติกัน เป็นเพราะเกิดจากการแปลภาษาโบราณผิดพลาด"...(ไม่อยากยกตัวอย่างเพราะขี้เกียจทะเลาะกับคน...) แต่ก็ไม่มีใครรับฟัง...การแลกเปลี่ยนความคิดที่ดีๆ มันก็เลยกระทำต่อไปไม่ได้ เรื่องขำๆที่เจอในห้องศาสนาก็คือว่า แทนที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดีๆ กลับกลายเป็นมีคนหลายๆคอยเฝ้าลาดตระเวนดูอยู่ทุกวันว่า "มีใครแตะต้องศาสนา้ข้าบ้างหรือเปล่า จะได้เข้าไปเล่นงานแมร่งซะ...555+++..."   แม้กระทั่งสมัยเมื่อเราป่วยทั้งทางกายและทางจิตอย่างหนัก และเราโดนสถานการณ์บีบบังคับ ให้เราต้องหันไปนับถือศาสนาเต๋า เนื่องจากคำสอนของเต๋ามีเรื่องที่เป็นวิชาการแพทย์ทางเลือก (แพทย์จีนแผนโบราณ) อยู่มากมาย  กว่าเราจะรักษาตัวเราเอาได้หายขาด เราก็ต้องโดนพ่อเราประนามว่า "ไอ้คนนอกศาสนา" พ่อโกรธมากวันที่พ่อพูดย้ำ 5 รอบวิธีการให้อาหารหมา ก่อนพ่อออกไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล พ่อติวเข้มเรื่องการให้อาหารหมาราวกับติวเราสอบเข้าปริญญาโท เราตอบพ่อเราไปว่า "ศาสนาเต๋าสอนไว้ว่า "ความกลัว" (พ่อกลัวเราให้อาหารหมาผิดพลาด แล้วย้ำ 5 รอบถือว่าเป็นความกลัว) บ่งบอกถึีงอาการป่วยของธาตุน้ำ คือไตและหรือกระเพาะปัสสาวะป่วย และหลังพ่อบวมปูดออกมา มันบ่งบอกแน่ชัดว่าไตบวม บ่งบอกว่า พ่อเป็นวิตกจริตเพราะ ธาตุน้ำอ่อนแอ นั่นก็คือไตและหรือกระเพาะปัสสาวะอ่อนแอนั่นเอง...คนป่วยแบบนี้จะชอบอ่านข่าวร้ายข่าวฆ่ากันตายปล้นกัน แล้วก็จะเก็บมาคิดเป็นวิตกจริต ... เราเบื่อมากๆเวลาพ่่อแม่อ่านข่าวร้ายแล้วเรียกเราไปติวเข้มให้วิตกกังวลไปตามข่าวร้ายที่เพิ่งอ่านมา เรามักจะตอบพ่อแม่เรา ในแนวหนังสือ The Secret ว่า "ให้มองโลกในแง่บวกสิ่งร้ายๆมันก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา และสิ่งดีๆมันก็จะเข้ามาหาเรา...ตามหลักของ The Law of Attraction นั่นก็คือ Like attracts like."   แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 53 22:14:15 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 22:11:00

ความคิดเห็นที่ 34 พ่อเราจะเน้นแต่เรื่อง "ความกลัวโดนขโมยงัดบ้าน" พ่อบังคับให้เราเฝ้าบ้านเมื่อพ่อออกนอกบ้าน จะปิดล็อกบ้านไว้แบบคนอื่นก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่เฝ้าพ่อเราก็จะไปจ้างคนมาเฝ้า... มีบทสนทนาตลกๆเรื่องเราไม่ยอมเฝ้าบ้านตอนพ่อบอกให้เราเฝ้าบ้าน พ่อบอก "ต้องเฝ้าบ้านนะม่ายงั้นขโมยมันจะงัดบ้าน" เราย้อนถามว่า "มีอะไรให้ขโมย ทีวีก็เก่าๆ ตู้เย้นก็เก่าๆ แบกไปหมดนี้่ขายได้ไม่ถึง 2,000 บาท" พ่อบอก "มีของมีค่าอย่างอื่น" เราบอก "ฝากธนาคารสิ" พ่อบอก "กลัวคนที่ธนาคารมันโกง" เราบอก "ขุดหลุมในครัวเอาตู้เซฟกันไฟฝังไว้ เอาของมีค่าใส่ตู้เซฟล็อคไว้ เอาฝาปิดรู เอาพรมปิดทับ" ขโมยเข้ามาก็นึกไม่ถึง" พ่อบอก "ไอ้ช่างที่ขุด มันจะมางัดเอง นะสิ" เราบอก "แบบนี้สงสัยต้องทำแบบจักรพรรดิ์จีน" พ่อบอก "ไงนะ?" เราบอก "พอช่างมันเจาะรูเสร็จพวกเราก็ต้องฆ่าช่างมันเสีย...555+++..." พ่อ โกรธมากๆ...555+++... เราพยายามแนะนำพ่อเราว่า ควรออกกำลังอย่างไร กินอาหารอย่างไร จึงจะรักษาอาการบวมของไตได้ แต่พ่อเรามองวิธีการของเราว่า "มันเป็นวิชามาร" พ่อแม่เราต้องการให้เราประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแบบพุทธแบบเถรวาทและแขวนพระที่คอเหมือนเมื่อสมัยเราเป็นเด็กๆและเคยเชื่อฟังพ่อแม่ แต่เราเลิกประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแบบพุทธเถรวาท แล้วหันไปฝึกสมาธิแบบ "เซน" กับ "เต๋า"  และเราเลิกแขวนพระที่คออีกด้วย นั่นก็เพราะว่าตอนเราฝึกสมาธิแบบ "เซน" (ฝึกพุทธแบบพระวัดเส้าหลิน) เราเคยตั้งสมาธิที่ศูนย์รวมกำลังภายใน แล้วแคล้วคลาดจากอันตราย (พ้นจากการโดนขว้างระเบิด) ได้อย่างน่ามหัสจรรย์ราวกับปาฏิหารย์พระเครื่อง... เราจึงเชื่อตามคำสอนของ "เซน" ว่า "พระอยู่ที่ในใจ"   แล้วตอนนี้เราไปไกลจนสุดกู่แล้ว เรารักษาอาการป่วยทั้งทางกายและทางจิตของเราได้จนครบถ้วน นั่นก็เพราะว่า "เรากลายเป็นคนนอกศาสนาไปเสียแล้ว (คือไม่นับถือศาสนาเดียวกับพ่อแม่เรา)" ดังนั้น เราจึงอยากเขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเล่าเรื่องชีวิตเราให้คนทั่วโลกฟังว่า เราหายป่วยทางกายและทางจิตได้ นั่นก็เพราะว่า เราพยายาม เป็นอะไรที่ไม่เหมือนพ่อแม่เรา โดยเราจะตั้งชื่อหนังสือเราให้มันสื่อความว่า "ลูกไม้หล่นไกลต้น" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 53 22:14:58

ความคิดเห็นที่ 35 การแปลผิดนี่มีโอกาสน้อยมากครับ ยกตัวอย่างเวลาแปล The Bible เขาใช้คณะผู้แปลนะครับ ประกอบด้วยนักเทววิทยา นักปรัชญา นักประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และนักภาษาศาสตร์ นักภาษาศาสตร์นี่หลายคนเลย เพราะบางทีแปลแล้วสงสัย ต้องย้อนกลับไปดูภาษาดั้งเดิมที่ใช้ในการบันทึกพระคัมภีร์ ซึ่งมีหลายภาษาเลย ได้แก่ภาษาฮีบรู ภาษาอาราเมอิค ภาษากรีกเดิม และภาษากรีกใหม่ ปัญหาอยู่ที่การตีความครับ เอาตัวอย่างแรกสุดเลย พระเจ้าทรงสร้างโลกในหกวัน ถ้าอ่านเฉยๆ โดยไม่คิดตามไปด้วย เป็นได้เข้าป่าและออกทะเลไปไกลแน่ครับ ระบบเวลาของโลกเริ่มในการสร้างใน "วาระ" ที่สี่ นะครับ (พระคัมภีร์โบราณใช้คำว่า วาระ ไม่ใช่ วัน) รายละเอียดดูได้ใน Genesis นะครับ มีข้อสงสัยอย่างใด ถามมาได้ครับ จะตั้งกระทู้ใหม่เลยก็ได้ จะว่าไม่เกี่ยวกับการแปล มาตั้งกระทู้ในห้องนี้มันจะถูกรึ เกี่ยวสิครับ บางคำ เช่นคำว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็น God-man คำว่า "God-man" จะแปลยังไงให้ถูกต้องตรงตามศัพท์เฉพาะทางศาสนา สมมติแปลถูกแล้ว คำถามต่อไปคือความหมายที่แท้จริงคือยังไงกันแน่? จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 13:40:55

ความคิดเห็นที่ 36 ผมสงสัย "ลูกา 6:38" ครับ ทำไมในภาษาไทย มีคำว่า "ตวงด้วยทะนานอันใด" อยู่ด้วย แต่ในภาษาอังกฤษ กับเยอรมันใช้คำตรงกันกับคำว่า "measure" เพียงแต่คำอังกฤษเป้น กริยา แต่คำเยอรมัน เป้น "นาม" ผมอ่านฮิบรู และ กรีกไม่ออก ท่านหนุ่มไทยเฉลยหน่อยครับ คงไม่ใช่แปลผิดกระมังครับ หากแต่เป้นการตีความอย่างท่านว่านั่นแหละ ขอบคุณขอรับ จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 09:47:34

ความคิดเห็นที่ 37 Luke 6:38 Lukas 6:38 ลูกา 6:38 KJV (English) Give, and it shall be given unto you; good measure, pressed down, and shaken together, and running over, shall men give into your bosom. For with the same measure that ye mete withal it shall be measured to you again. Luther (1554, German) Gebt, so wird euch gegeben. Ein voll, gedrückt, gerüttelt und überflüssig Maß wird man in euren Schoß geben; denn eben mit dem Maß, da ihr mit messet, wird man euch wieder messen. KJV (Thai) จงให้ และท่านจะได้รับด้วย และในตักของท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 16:14:44 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 16:06:29 จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 10:07:50

ความคิดเห็นที่ 38 อ้าว โทษทีครับ ทำไมแสดงตัวหนังสือนอกเหนือจากภาษาอังกฤษได้ล่ะ ว๊าว ดีๆๆๆๆ ไม่ต้องขึ้นรูป พันทิพไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ขอบคุณมาก จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 16:03:06

ความคิดเห็นที่ 39 เอา fact มาดูกันก่อน ที่คุณลุดวิกยกมานั้น ผมไม่ทราบว่าเป็นการแปลเมื่อไหร่ ลองเอามาเทียบกันดูนะครับ ที่คุณลุดวิกยกมา "จงให้ และท่านจะได้รับด้วย และในตักของท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น" พระคัมภีร์ฉบับที่ผมถืออยู่ในมือตอนนี้ เป็นฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งที่ 10 เมื่อปี 1993 แปลไว้ดังนี้ "จงให้เขาแล้วพระเจ้าจะประทานให้ท่าน ท่านจะได้รับจนเต็มสัดเต็มทะนานทั้งแน่นและพูนจนล้นออกมา เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตวงตอบแทนให้ท่านอย่างนั้น" น่าจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้กล่อมเกลาภาษาไทยในการแปลแต่ละครั้งแหละครับว่า จะเลือกใช้ถ้อยคำในภาษาไทยอย่างไรจึงจะเหมาะ แต่ไม่ว่าจะแปลอย่างไร จะเลือกใช้ถ้อยคำอย่างไร การสื่อความหมายในภาษาธรรม ต้องไม่เปลี่ยนหรือผิดเพี้ยนไป แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 22:11:18 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 21:12:50

ความคิดเห็นที่ 40 ท่านหนุ่มไทยครับ ฉบับภาษาไทยที่ผมยกมาคือฉบับ KJV ภาษาไทย แต่ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นที่ผมเรียนถามท่านขอรับ ประเด็นของผมคือ ทำไมการแปลฉบับอังกฤษกับไทยมีคำไม่ตรงตัวกัน ในที่นี้คือ ในภาษาอังกฤษ และเยอรมัน ไม่มีคำว่า "ทะนาน" อยู่ด้วยน่ะขอรับ แต่อังกฤษมีคำว่า "bosom" (อก) และเยอรมันมีคำว่า "Schoß" (ตัก) คือในภาษาอังกฤษและเยอรมัน เขาหมายถึง "มีคนยัดของใส่อก(ตัก)" หรือบ้านเราว่า "ยัดของใส่หน้า(ตัก)" นั่นเอง แต่ทำไมภาษาไทยถึงต้อง "ตวง(ทะนาน)" ถ้าเป็นการตีความ ผมเห็นว่าตีความเป็นอย่างอื่นก็ได้ หรือแปลเป็นนัยตรงๆก็ได้ เช่น "ท่านปฏิบัติต่อคนอื่นเยี่ยงไร เขาก็จักปฏิบัติตอบท่านเยี่ยงเดียวกัน" อย่างนี้จะไม่ตรงกว่าไป "ตวงทะนาน(ข้าวเปลือกข้าวสาร)" หรือไม่ประการใดขอรับ ผมถึงสงสัยไงครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 53 19:56:38 จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 19:51:29

ความคิดเห็นที่ 41 เชิญถกกันตามสบายนะคะ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย จขกท. หาทางกลับเข้ากระทู้ตัวเองไม่ถูกค่ะ จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 19:55:11

ความคิดเห็นที่ 42 ผมคิดว่าผู้แปลคงเจตนาเอาสำนวนไทยแท้ใส่เข้าไปเพื่อให้เห็นภาพน่ะครับ ทะนานข้าวนั้น มีสองแบบนะครับ คือทะนานข้าวเปลือก กับ ทะนานข้าวสาร แต่ไม่ว่าจะเป็นทะนานข้าวเปลือกหรือทะนานข้าวสาร เวลาตวงข้าวใส่ลงในทะนานแล้ว เม็ดข้าวมันจะเรียงอัดแน่นกันจนไม่มีทางที่จะใส่อะไรเพิ่มเติมเข้าไปได้อีก ลองนึกถึงคำไทยโบราณนะครับ แน่นเป็นยัดทะนาน แปลเป็นภาษาธรรม หมายความว่า ถ้าเราช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ยากไร้ อย่างเต็มความสามารถแห่งตน คือช่วยแบบเต็มทะนาน พระเจ้าจะทรงตอบแทนให้แบบเต็มทะนานเช่นเดียวกัน โดยทางไหนไม่รู้ แล้วแต่วิถีทางที่พระองค์จะทรงเห็นสมควร หันหัวเรือกลับเข้าฝั่งดีกว่า เจ้าของกระทู้เขาค้อนขวับๆ อยู่โน่นแน่ะ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:26:07

ความคิดเห็นที่ 43 แอบย่องเข้ามาเงียบๆ มาอธิบายต่ออีกหน่อยหนึ่ง คุณลุดวิกจะสังเกตข้อความในพระคัมภีร์ที่ผมยกมาใน คห.39 ที่ว่า >> ท่านจะได้รับจนเต็มสัดเต็มทะนานทั้งแน่นและพูนจนล้นออกมา << คำว่า "พูนจนล้นออกมา" นี่แหละครับ คงไม่มีมนุษย์คนไหนที่ถึงกับไปกู้หนี้ยืมสินเขามาเพื่อให้ทาน อย่างมากก็เทให้หมดกระเป๋าเลย นี่คือเต็มทะนาน เต็มกำลังความสามารถแล้ว แต่สิ่งที่พระเจ้าจะทรงประทานให้เป็นการตอบแทน จะมากกว่าที่ผู้ทำทานนั้นได้ให้ไป คือพูนล้นทะนานออกมาเลย คงเคยได้ยินคำว่า ยิ่งให้ยิ่งรวย นะครับ ก็เพราะเหตุนี้แหละ แต่ในการให้ทานนั้น ต้องไม่ใช่เพราะหวังรวยนะครับ แต่ต้องเป็นการให้ด้วยเมตตาจิตจริงๆ เท่านั้น ภาษาธรรม แปลยากแบบนี้แหละครับ ต้องคิดกลับไปกลับมาหลายตลบ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 11:17:31

ความคิดเห็นที่ 44 ตรงนี้ครับ อังกฤษ For with the same measure that ye mete withal it shall be measured to you again. และเยอรมัน denn eben mit dem Maß, da ihr mit messet, wird man euch wieder messen. ของท่านหนุ่มไทยฯ ทำไมถึงเป็น "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตวงตอบแทนให้ท่านอย่างนั้น" ถ้าไม่ใช่แปลผิด มีพระเจ้ามาจากไหนหรือขอรับ เพราะผมอ่านตามตัวหนังสือได้ว่า (ถ้าจะแปลแบบมีคำว่า "ทะนาน" ตามที่ท่านว่านะครับ) "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาจักตวงให้ท่านตอบแทนเยี่ยงนั้น" ในอังกฤษและเยอรมันไม่เห็นมี "พระเจ้า" นี่ครับ หรือว่า ในต้นฉบับฮิบรูหรือกรีกเดิมมีกระมังขอรับ แล้วหากอ้างว่า "ทุกอย่างเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว" ทำไมพระเจ้าจึงรักคนไม่เท่ากัน นี่อ้างตาม "ยอห์น" For God loves the world so much that He gave His only begotten son to the world. For those who believe in Him should not parish but have everlasting life. และ For God sends forth His son to the world not to condemn the world but the world is saved through Him. ถ้าเป็นตามนี้แล้ว "ทุกคนต้องรอด" ใช่ไหมครับ แต่นี่มีคนตาย อดอยากหิวโหยเต็มไปหมด มีรวยมีจน พระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมนะผมว่า "รัก" แต่รักไม่เท่ากัน พระเจ้าคงไม่ลำเอียงกระมังขอรับ จึงเรียนขอแสงสว่างมายังท่านด้วยความรู้แค่หางอึ่ง ควรมิควรสุดแท้แตท่านจักเห็นเป็นประการใด "ผมชอบอ่านไบเบิล เนื่องจากภาษาสวยงาม แต่เมื่ออ่านฉบับภาษาไทยทีใด รู้สึกขุ่นใจอยู่ไม่น้อย" จงไขความเพื่อเป็นวิทยาทานด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 16:19:08

ความคิดเห็นที่ 45 ประเด็นที่พี่แท่นกับคุณหนุ่มไทยไร้นามคุยกันไปนั้น คิมหมดปัญญามีส่วนร่วมจริงๆ ค่ะ ไม่รู้จะเข้าร่วมวงสนทนาด้วยได้อย่างไร อันเรื่องการแปลพระคัมภีร์นั้น คิมเองเคยศึกษาพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระคัมภีร์มาบ้าง แต่ไม่กล้าออกตัวว่าเป็นผู้รู้ จึงไม่สามารถให้ความเห็นอะไรได้มากนัก แต่ในประเด็นที่คุณลุดวิกถามมาว่า "ทำไมพระเจ้าจึงรักคนไม่เท่ากัน” คิมขออนุญาตอนุมานว่าเป็นคำถามนะคะ เพราะพี่ลุดวิกก็เป็นผู้ใหญ่ที่คิมนับถือท่านหนึ่ง คิมไม่อยากใช้คำว่ากล่าวหา หรือตำหนิเลย เพราะเชื่อว่าพี่คงไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น คีย์เวิร์ดอยู่ในพระคัมภีร์ข้อที่คุณลุดวิกยกมานั่นเองค่ะ For God loves the world so much that He gave His only begotten son to the world. For those who believe in Him should not parish but have everlasting life. และ For God sends forth His son to the world not to condemn the world but the world is saved through Him. แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:28:03 จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 18:50:49

ความคิดเห็นที่ 46 คีย์เวิร์ดสำหรับมนุษย์นั้นคือ believe นั่นหมายถึงพระเจ้านั้น ยินดีประทานความรอดให้มนุษย์ทุกคน และประทานให้ทุกคน โดยเท่าเทียมกัน  แต่สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้มนุษย์ ตั้งแต่การทรงสร้างนั้นคือ Free will หรืออิสระในการตัดสินใจค่ะ มนุษย์มีอิสระในการตัดสินใจและมีสิทธิจะใช้อิสระนั้น ในการเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระผู้สร้างก็ได้ ดังนั้น แม้พระองค์จะประทานความรอดให้กับทุกคนโดยเท่าเทียมกัน แต่มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ตามอิสระในการตัดสินใจที่ทรงมอบไว้แด่มนุษย์ตั้งแต่ในสมัยปฐมกาล และความรอดในที่นี้นั้น มิได้หมายถึงความรอดจากความเจ็บป่วย ทุกข์ยากและความตาย เราทุกคนต้องตาย พระเจ้าจะดูแลและปกป้องคนของพระองค์เมื่ออยู่ในโลกนี้ แต่เมื่อถึงเวลาเราก็จะต้องจากโลกนี้ไป แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:28:45 จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 18:59:40

ความคิดเห็นที่ 47 คิมขออนุญาตเริ่มอธิบายจากประเด็นแรกก่อนคือ ทำไมหรือ พระเจ้าจึงปกป้องคนของพระองค์เท่านั้น จริงๆ แล้ว คำว่าคนของพระองค์ก็คือคนที่ตัดสินใจ จะกลับคืนสู่ครอบครัวของพระองค์ การเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นครอบครัวกับพระเจ้าอีกครั้ง ผ่านทางการรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั้น ก็เปรียบเสมือนการแต่งงานระหว่างชายและหญิง (ใช้คำว่าเปรียบเสมือนเท่านั้นนะคะ) ในพระคัมภีร์มีหลายตอนเปรียบพระเยซูคริสต์ประดุจเจ้าบ่าว และเปรียบผู้เชื่อเป็นดั่งเจ้าสาวของพระองค์ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ดังนั้น บางทีคิมก็อดนึกภาพคริสเตียนหนวดเคราเฟิ้มหลายท่าน เดินสวมชุดเจ้าสาว ใส่ผ้าคลุมหน้ายาวๆ ไม่ได้ แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้วค่ะ (นอกเรื่องตามประสา Ms. Kim นะคะ สาระ 20% ไร้สาระ 80% แหะๆ) การแต่งงานทำให้สตรีได้รับสิทธิ์ในการใช้ชื่อสกุลของสามี ได้รับสิทธิให้เป็นพลเมืองในประเทศของสามี ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสามี และมีสิทธิในทรัพย์สินร่วมกับสามีด้วย ดังนั้น ผู้ที่เชื่อ ก็คือผู้ที่ตกลงใจกลับไปเป็นครอบครัวเดียวกับพระเจ้า คือเดินเข้าบ้านของพระเจ้าอีกครั้งน่ะค่ะ ในกรณีนี้ พระเจ้าก็สามารถดูแลปกป้องเขาได้เต็มที่ เพราะเขาอยู่ในอาณาเขตของพระองค์ เหมือนพ่อแม่อยากปกป้องลูกทุกคนแหละค่ะ แต่ลูกที่หนีออกไปนอกบ้าน ตามไปปกป้องลำบากหน่อย ดังนั้น คีย์เวิร์ดตรงนี้คือความเชื่อจริงๆ ในพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ต้องเชื่อด้วยใจและรับด้วยปาก แม้แต่ในพิธีแต่งงานของคริสเตียนนั้น ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องรับว่า I do ไม่งั้นก็เหมือนคบกันเฉยๆ เล่นๆ ไม่จริงไม่จัง วันหนึ่ง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดตายจากไป มรดกพกห่อก็ไม่ได้ หรือเลิกรากันไปจะไปฟ้องร้องเอาค่าเลี้ยงดูก็ไม่ได้อีก ข้อดีมีอยู่ตรง เลิกกันได้ง่ายนี่ละค่ะ ไม่เป็นภาระดี   อันนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเปรียบเทียบประกอบเท่านั้นนะคะ จริงๆ มีหลักศาสนศาสตร์อธิบายไว้ชัดเจนทีเดียวค่ะ แต่ Ms. Kim ไม่มีปัญญาอธิบายค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:30:50 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:07:17 จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 19:03:40

ความคิดเห็นที่ 48 ประเด็นที่สอง การปกป้อง คือในพระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนว่า เมื่อโลกนี้ตกสู่บาป อะไรๆ ในโลกก็เสื่อมทรามลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ภัยพิบัติต่างๆ สงคราม ฯลฯ มากมาย ซึ่งเมื่อมนุษย์อยู่ในโลกนี้ก็ต้องเผชิญสภาพเหล่านี้ อันเป็นสภาพธรรมชาติของโลกที่ตกสู่บาป ไม่ว่าใครก็ต้องเผชิญเช่นเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำในการดูแลคนของพระองค์ เพื่อให้สามารถเผชิญกับสภาวะโลกที่ตกสู่บาปนี้ได้ จนถึงวันที่กลับไปอยู่กับพระองค์นั้นก็คือ ทรงป้องกันไม่ให้เราเผชิญหน้ากับเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับเรา พระเจ้าทรงสัญญากับผู้เชื่อไว้หลายข้อ พระสัญญาข้อหนึ่งก็คือพระเจ้าจะทรงปกป้องเรา ไม่ให้เราต้องเผชิญกับปัญหาใดที่เราไม่สามารถรับมือได้ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญก็คือ พระเจ้าทรงเตรียมคนของพระองค์ให้แข็งแกร่ง เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับที่เราส่งบุตรหลานไปโรงเรียน เพื่อศึกษาวิชาความรู้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อไป สำหรับผู้ไม่เชื่อนั้น พระเจ้าทรงดูแลเขาตามสมควร เหมือนลูกจ้ากับลูกหลาน ลูกจ้างนั้น หากเขาทำงานดี เราเพิ่มเงินเดือนให้ สิ้นปีมีโบนัส แต่ถ้าทำงานห่วยไล่ออก   ถ้าเป็นลูกหลานหรือคนที่เรารักเป็นลูกเป็นหลาน บางที ไม่ได้ทำอะไร เรารัก เอ็นดู อยากให้ อยากช่วยเหลือ เราก็ให้ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใช่ไหมคะ? แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:32:25 จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 19:13:00

ความคิดเห็นที่ 49 ตอนคิมแปลพาราไดซ์ ลอสต์นั้น คิมได้พบแนวคิดที่น่าสนใจมาก มิลตันบอกว่าพระเจ้ามีพระประสงค์จะกลับขบวนการ กล่าวคือ อาดัมและเอวานั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นเหตุให้ความตายเข้ามาในโลก "เพราะว่าค่าจ้างแห่งความบาปคือความตาย" ส่วนพระเยซูคริสต์นั้น ทรงเชื่อฟังจนยอมแม้ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แม้พระองค์ไม่ได้มีความผิดบาปใดๆ มองในด้านหนึ่งจึงเป็นการกลับขบวนการแห่งความบาป ในส่วนนี้ พระคริสต์ต้องมาทำให้ เนื่องจาก มนุษย์ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอาดัม (คือเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง) นั้น สืบเชื้อสายแห่งความบาปที่ทำให้ต้องตาย สาเหตุที่แม้เอวาเป็นคนแรกที่ทำบาปแต่ความตายเข้ามาทางอาดัมนั้น เพราะเอวานั้น ทำบาปเพราะถูกหลอก ส่วนอาดัม รู้อยู่แล้วแต่จงใจขัดขืน เพราะเชื่อภรรยามากกว่าพระบัญชาของพระเจ้า (เห็นมั้ยว่าไม่ใช่แค่นางงามล่มเมือง แต่นางเดียวล่มได้ทั้งโลกเลย คุณผู้ชายทั้งหลายโปรดระวังไว้ให้ดีๆ ) ดังนั้น ความบาปจึงเข้ามาทางอาดัม พระคริสต์จึงต้องบังเกิดด้วยวิธีการที่ ถ้าคิมจำไม่ผิดทางคาธอลิกจะเรียกว่า “ปฏิสนธินิรมล” หรือ holy conception คือไม่ได้เกิด จากการมีความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและมารดา ถามว่าเกิดได้อย่างไร ต้องตอบว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์คนแรกของโลกรวมทั้งโลกนี้และจักรวาลด้วย ดังนั้น พระองค์ทรงรู้ชัดเจนถึงกลไลร่างกายต่างๆ ของมนุษย์ หากพระองค์จำเป็นต้อง intervene พระองค์ทรงวิธีทำได้แน่ค่ะ พระคริสต์จึงบังเกิดโดยปราศจากบาปแห่งอาดัม อีกทั้งนางมารีย์ผู้เป็นมารดาก็เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเช่นกัน เห็นได้ว่าเมื่อทูตสวรรค์มาบอกว่านางจะตั้งครรภ์ นางมารีย์ที่เป็นหญิงพรหมจารย์นั้น เมื่อได้ทราบว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า นางยินดี แม้จะตั้งครรภ์โดยยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งในสมัยนั้น ไม่มีศัพท์บัญญัติประเภท คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว สิทธิสตรี ฯลฯ หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่ได้แต่งงานนั้น มีโทษถึงตาย แต่นางก็ยินดี แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:34:47 จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 19:22:21

ความคิดเห็นที่ 50 ดังนั้น คำว่ารอดนี้ จึงไม่ได้หมายถึงการรอด มีชีวิตยืนยาวชั่วนิรันดร์ โดยปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ในโลกนี้ แต่หมายถึงเรามีที่อยู่อันแน่นอนกับพระบิดาบนสวรรค์ ไม่ต้องตกลงไปในบึงไฟนรกเพราะถูกพิพากษาโทษ ตามความบาปที่ตัวทำ ความตายในบึงไฟนรกนั้น คือความตายอันเป็นนิรันดร์ ไม่มีอุธรณ์ ฏีกา หากมีใครบอกว่าการมาเชื่อพระคริสต์ ชีวิตไม่มีทุกข์โศกโรคภัยใดๆ คนๆ นั้น โกหกค่ะ ดูชีวิตคิมก็รู้ ชีวิตคิมมีทุกข์ มีเศร้า มีผิดหวัง มีเจ็บป่วย (ตอนนี้ก็เป็นไข้หวัดใหญ่อยู่) แต่คิมเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า คือ ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า ขออนุญาตไปพักผ่อนก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาตอบเพิ่มเติมอีก เหนื่อยแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 19:36:06 จากคุณ : Ms. Kim เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 19:26:00

ความคิดเห็นที่ 51 ผมจับความในคำถามของคุณลุดวิกได้เป็นสองประเด็นครับ ประเด็นแรกคือคำว่า พระเจ้า มาจากไหนในประโยคที่ว่า เพราะเป็นคำตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเยซูคริสต์เองเลย คริสตชนเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้ (นี่คือคำแปลของคำว่า God-man) คำตรัสของพระองค์จึงเป็นคำตรัสของพระเจ้าด้วย ผมถึงได้บอกคุณ fortuneteller ใน คห.31 ว่าอย่าเพิ่งไปขบคิดเรื่อง The Holy Trinity เพราะเข้าใจยากเหลือเกิน ถ้าอยากเข้าใจมากขึ้น ให้ไป serch คำว่า The Father Speaks to His Children มาอ่านประกอบ สรุปสั้นๆ ก็คือ 1. มนุษย์ตีความพระคัมภีร์ผิดเพี้ยนไปมาก เราคือผู้ที่มีใจเมตตาอย่างแท้จริง ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่มนุษย์เข้าใจกัน รู้ไหมว่าเราติดตามผู้ชายคนหนึ่งมาถึง 74 ปี เมื่อเขาสิ้นชีวิตในโลกนี้ลง คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเขาตกนรกแน่ๆ เพราะความประพฤติอันเหลวแหลกของเขาเอง แต่ที่ไหนได้ เมื่อถึงวันสิ้นพิภพ พวกเขาจะรู้ว่าบัดนี้ ชายคนนี้อยู่กับเราในเมืองสวรรค์แล้ว คาทอลิกเชื่อว่า ก่อนที่คนจะสิ้นใจ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันไม่มีขอบเขตของพระเจ้า พระองค์จะทรงแสดงให้เขาได้เห็นถึงความดีความชั่วที่เขาได้กระทำมาทั้งชีวิตในพริบตาเดียว ให้โอกาสได้สำนึกผิดในลมหายใจสุดท้าย และตรัสถามว่า "เจ้าจะไปอยู่กับเราไหม?" ด้วยเหตุนี้ นักบุญคุณพ่อปีโอ ผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธ์ (Stigmata) ครบทั้งห้าแห่ง ถึงได้กล่าวว่า คนที่ไปนรก มีไม่มากนักหรอก ที่เขาต้องไปนรก เพราะเขาเลือกที่จะไปเองต่างหากล่ะ   2. ก็จากพระวรสารของนักบุญยอห์นที่คุณลุดวิกยกมาแหละครับ พระเจ้าทรงสร้างโลกและจักรวาล เมื่อพร้อมจะให้มนุษย์ได้อยู่อาศัย สุดท้ายจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น พระองค์ทรงรักมนุษย์มาก ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์ แต่จะมายังไงล่ะ เพราะพระเจ้าทรงเป็นจิต มนุษย์จะสัมผัสได้ยังไง จึงต้องมาในสภาพของ God-man ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อให้มนุษย์ได้สัมผัสได้ ประเด็นที่สองก็คือทำไมชีวิตของคนบางคนยากลำบากเหลือเกิน ไหนว่าพระเจ้าทรงพระยุติธรรม ไม่มีชีวิตของใครที่ไม่เคยผ่านความทุกข์ยากหรอกครับ เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายนิดเดียว If you never went through the fire, then how would you become pure? จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 20:22:15

ความคิดเห็นที่ 52 โห ผมเป็นคนพิมพ์ช้าก็เงียะ โผล่มาอีกที คุณคิมไปไกลแล้ว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 20:30:59

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่ใช่ครับ ท่านหนุ่มไทยฯ ผมถามถึงส่วนของคำแปลภาษาไทยตรงคำว่า "พระเจ้า" มาจากไหนคำในภาษาอังกฤษและเยอรมัน กลับไปอ่าน คคห ๔๔ ดีๆครับ หรือผมยกมาอีกทีให้อ่านเปรียบเทียบกัน ความคิดเห็นที่ 44 [ถูกใจ] [แจ้งลบ]   ตรงนี้ครับ อังกฤษ For with the same measure that ye mete withal it shall be measured to you again. และเยอรมัน denn eben mit dem Maß, da ihr mit messet, wird man euch wieder messen. ของ ท่านหนุ่มไทยฯ ทำไมถึงเป็น "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตวงตอบแทนให้ท่านอย่างนั้น" ของผมแปล  "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาจักตวงให้ท่านตอบแทนเยี่ยงนั้น" คำไหนในประโยคภาษาอังกฤษ แปลว่าพระเจ้าครับ ผมใคร่ทราบว่าตีความกันอย่างไร ขอบคุณครับ แต่ของน้องคิม มิบังอาจครับ ชัดเจนถ้วนทั่วดีนัก จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 23:49:54

ความคิดเห็นที่ 54 >> ของผมแปล  "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาจักตวงให้ท่านตอบแทนเยี่ยงนั้น" << คำว่า "เขา" ในที่นี้มีสองคำ สมมติคุณลุดวิกให้ตังค์คนขอทาน แล้วคุณก็เดินจากไป ขอทานคนนั้นจะตอบแทนคุณยังไงล่ะครับ ผู้ที่จะตอบแทนคุณ ไม่ว่าในทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะคุณได้ทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ คือให้มีเมตตาจิต ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คือ????? ถ้าเอาคำแปลของคุณลุดวิกมาเรียบเรียงใหม่ อาจเข้าใจง่ายขึ้น "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาจักตวงให้ท่านตอบแทนเยี่ยงนั้น" เรียบเรียงใหม่เป็น "เหตุว่า ท่านตวงให้เขาอย่างไร สิ่งนั้นจักได้รับการตวงตอบแทนให้ท่านเฉกเช่นเดียวกัน" แล้วท่านผู้ใดจะเป็นผู้ตวงตอบแทนให้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ "พระเจ้า" แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 53 08:09:23 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 07:58:11

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณครับ ต่อนะครับ พากษ์ เยอรมัน และเยอรมัน denn eben mit dem Maß, da ihr mit messet, wird man euch wieder messen. แปลตรงตัวว่า (เอาแบบมี "ตวง" ""เหตุว่า ท่านตวงให้(คนอื่น)เขาอย่างไร (คนอื่น)เขาจักตวงให้ท่านตอบแทนเยี่ยงนั้น" คำว่า "man" ใช้ในความหมายคล้าย "one" ในภาษาอังกฤษ มีความหมายถึง "คนทั่วไป" "คนอื่นเขา" ไม่มีคำว่า "พระเจ้า" นะครับ ถึงจะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าก็ตาม เพราะฉะนั้น ผมถึงได้ตีความ "ลูกา" ตรงนี้ว่า "ท่านฏิบัติต่อคนอื่นเยี่ยงไร เขาก็จักปฏิบัติตอบต่อท่านเยี่ยงเดียวกัน" (Treat others the way you would like to be treated.) ผมเข้าใจเอาเองว่า "เป็นการปฏบัติของมนุษย์ต่อมนุษย์ในฐานะมนุษย์ให้ยุติธรรมเยี่ยงเดียวกัน" ไม่ใช่พระเจ้าครับ ในข้อความนี้นะ แต่หากไปเชื่อมโยงกับพระธรรมบทอื่นๆ มันก็เทียบอ้างไปได้หมดนะครับว่า "เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เนื่องจาก พระเจ้าสร้างทุกสรรพสิ่ง" ผมมีไบเบิลทุกฉบับภาษาให้เลือกติดตั้งในเครื่อง ผมจะลองตรวจสอบดูต่อไปนะครับ ขอบคุณมากขอรับ จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 09:41:14

ความคิดเห็นที่ 56 ด้วยความยินดีครับ ถ้าคุณลุดวิกมุ่งประเด็นเรื่องการแปล แนะนำให้ดูตรงนี้ครับ มัทธิว : 19-24 เราขอกล่าวอีกว่า "อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าเศรษฐีจะเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์" อูฐกับรูเข็มมันเกี่ยวกันยังไงหว่า? ในพระคัมภีร์ฉบับของคาทอลิกมีเชิงอรรถอธิบายไว้ครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 10:04:07

ความคิดเห็นที่ 57 KJV: (English) And again I say unto you, It is easier for a camel to go through the eye of a needle, than for a rich man to enter into the kingdom of God. Luther 1545 (German) Und weiter sage ich euch: Es ist leichter, daß ein Kamel durch ein Nadelöhr gehe, denn daß ein Reicher ins Reich Gottes komme. Thai KJV: (Thai) เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า" นี่เข้าใจได้ง่ายครับ เพราะแปลตรงกัน ขอบคุณครับ จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 10:36:08

ความคิดเห็นที่ 58 มันไม่ใช่ยังงั้น คุณลุดวิก ที่ผมยกตรงนี้มา ก็เพราะเป็นการแปลผิดแบบหนังคนละม้วน และมันผิดมาแต่โบราณแล้ว ไม่ใช่แค่ฉบับ KJV หรอก ฉบับภาษาไทยซึ่งแปลมาจากฉบับ KJV ก็เลยผิดตาม ผิดยังไง? ผิดตรงคำว่า อูฐ นี่แหละครับ ในภาษาฮีบรู พยัญชนะที่แปลว่าอูฐ ก็เป็นคำเดียวกับที่แปลว่า เชือก ผิดก็แต่สระไม่เหมือนกัน ในต้นฉบับภาษายิว มิได้เขียนสระ ผู้ที่แปลเป็นภาษาละตินได้สมมติสระในคำว่าอูฐใส่เข้าไป จึงใช้คำว่าอูฐกันเรื่อยมา ความจริงแล้วน่าจะแปลว่า เชือก เพื่อเปรียบเทียบกับ ด้าย รู้ว่าผิดแล้วทำไมไม่แก้? คนเป็นพันล้านคนทั่วโลกรับทราบข้อความนี้ไปแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ง่ายๆ พระคัมภีร์ฉบับของคาทอลิกจึงทำเชิงอรรถอธิบายไว้ ส่วนฉบับของคริสเตียนจะมีเชิงอรรถแบบนี้หรือไม่ ผมไม่ทราบครับ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ความหมายในทางธรรม ยังคงไม่เปลี่ยน ประโยคสั้นๆ ที่ยกมานี้ ยังมีอีกคำที่น่าสนใจคือคำว่า เศรษฐี ถ้าจะหมายถึงความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทองที่ตนมีแต่เพียงอย่างเดียว นักบุญหลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส จะเป็นนักบุญได้รึ รายละเอียดเรื่องความเป็นเศรษฐี ดูได้จาก ลูกา 16 : 19-31 ครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 14:46:03

ความคิดเห็นที่ 59 เราจะพูดเรื่องการแปลผิดให้ฟัง ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับที่ลุดวิกกับหนุ่มไทยไร้นามถกกัน แต่มันเสี่ยงมากๆเพราะเราอาจจะโดนคนหลายๆศาสนารุมเล่นงานเอา แต่เราว่าถ้าพวกเขาไม่โกรธแค้นขนาดจ้างวานคนมาฆ่าเรานะ แต่มาถกกันแบบมีเหตุผล มันน่าจะสร้างภราดรภาพในหลายๆศาสนาได้ และเรียนรู้เรื่องเร้นลับต่างๆในชีวิตได้ เช่น 1. พุทธแบบเถรวาทบอกว่า พระไตรปิฎกหรือพระธรรมวินัยห้ามพระแสดงปาฏิหารย์ ลองมาดูกรณี Zhang Sanfeng เจ้าสำนัก Wudang (แต้จิ๋วอ่านว่า "บู๊ตึง") กัน ตำนานบอกว่า เขาเดินกลางหิมะ ไม่ทิ้งรอยเืท้าไว้ และเสื้อผ้าก็ไม่เปียก พระพุทธเจ้าเดินธรรมดาๆ โจรก็ตามทำร้ายไม่ทัน สิ่งเหล่านี้เรียกว่า unknown laws ไม่ใช่ปาฎิหารย์...!!! ดังคำพูดที่ว่า There are no miracles; what you see are only unknown laws. 2. พระเครื่องไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เพราะพิธีพุทธาภิเษก แต่ศักดิ์สิทธิ์เพราะ "พลังจิตของมนุษย์" ในแนวที่ว่า the faith that can move the mountain เหมือนคำสอนของคริสต์ต่างหากล่ะ นั่นก็คือมนุษย์มีศรัทธาอันแรงกล้าว่าเพราะเครื่องขลัง เขาก็เลยแคล้วคลาดจริงๆ ในขณะที่คนแขวนพระเ้ครื่องกลัวพระเครื่องเสื่อมเพราะไปลอดใต้ราวผ้าหรือไปอยู่ใต้กางเกงในสตรี เลยมีกฎว่า คนแวขนพราะเครื่องต้องไม่เอาหัวลอดชุดชั้นในสตรีิ  แต่ถ้าเราตีความว่าความขลังของพระเครื่อง ไม่ใช่ผลของพิธีพุทธาภิเษก แต่เป็น the faith that can move the mountain ถ้าเป็นจริง นั่นก็หมายความว่า "ทหารอเมริกันที่ไปรบ เอากางเกงในเมียตัวเองมาครอบไว้บนหัว มันทำให้คิดถึงเมีย แล้วมี "ความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะรบให้ชนะแล้วกลับไปเห็นหน้า้เมีย"  แล้วแคล้วคลาดรอดตาย รบชนะกลับบ้านไปหาเมีย ได้จริงๆ มันก็มี" ถ้าตรรกะของเราถูกต้อง แล้วจะอธิบายได้อย่างไรว่า คนนับาถือพุทธแบบเถรวาทคิดว่ากางเกงในผู้หญิงทำให้ซวย (ทั้งๆที่พระพุทธเจ้้าไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้เลย) แต่ทหารอเมริกันที่ไปรบในสงครามกลับทำให้กางเกงในผู้หญิงกลายเป็็นเครื่องรางที่ทำให้แคล้วคลาดได้... มันยังไงกันหว่า???!!! นั่นก็หมายความว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องรางของขลังทั้งหมด แท้จริงแล้วมันเป็นพลังจิตของมนุษย์ เหมือนๆ The Law of Attraction ในหนังสือเรื่อง The Secret ของ Rhonda Byrne. แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 23:44:44 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 53 08:59:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 16:24:50

ความคิดเห็นที่ 60 ตอนเราเริ่มฝึกสมาธิแบบ Zen (แบบพระวัดเส้าหลิน ซึ่งไม่เหมือนกับการไปทำพิธีกรรมทางศาสนาแบบเถรวาทแบบที่พ่อแม่สอนเรา) ใหม่ๆ เราอ่านคำสอนของ guru ชาวญี่ปุ่น เขาบอกว่า "การตั้งสมาธิที่จุด dantian (ภาษาจีน) หรือ tanden (ภาษาญึ่ปุ่น)ซึ่งอยู่ ณ ตำแหน่งประมาณ 1.3 นิ้วใต้สะดือ ทำให้สื่อสารกับพลังจักรวาลได้ และทำให้แคล้วคลาดได้" เราลองทำตาม แล้วแคล้วคลาด  4 ครั้ง อย่างน่ามหัศจรย์...!!! 1. เดินๆใน Chinatown ใน London จะเข้าบ่อนการพนัน แต่เอาเท้าแตะหัวกระได แล้วไม่อยากลงไป เดินวนรอบตึกกลับมามีคนเอาลูกระเบิดขว้างลงไป คนตายบานเลยะหละ... 2. ตอนเป็น manager of bookmaker (ใน London)พักเที่ยง ออกไปซื้ออาหารเจ กลับมาเห็นลูกน้องโดนโจรปล้นแล้วจับมัดมือมันเท้าไว้  เกิดเหตุการณ์แบบนี้ 2 ครั้งตอนเรากินเจและตั้งสมาธิตรงจุด dantian 3. ลาออกจากงาน manager of bookmaker ตอนเย็นๆ manager คนใหม่มารับกุญแจสำนักงานจากเรา วันรุ่งขึ้่นเรานอนสบายใจเฉิืบอยู่กับบ้าน ตอนเย็นๆ โผล่ไปที่ำทำงานเดิม ไปเยื่ยมลูกน้องเดิม ลูกน้องเดิมเราเล่าให้ฟังว่า manager คนใหม่ ขณะกำลังจะไขกุญแจเข้าร้านตอนเช้า โดนโจรปล้น จับมัดมือมัดเท้าไว้ แล้วโจรไขเอาเงินจากตู้ safe ไปหมด เราแคล้วคลาดจาก 4 รายการนี่้ได้อย่างน่ามหัสจรรย์โดยการเพ่งสมาธิไปที่จุด dantian เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้แขวนพระเครื่อง....!!! แต่กระนั้น หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้วเราก็ยังแขวนพระเครื่องบนคอเรา เพราะโดนพ่อเรายัดเยียดมาว่าจะทำให้เราแคล้วคลาด แต่อยู่มาวันหนึ่งเรา่อ่านข่าวว่า "แคล้ว ธนิกุล" เจ้าพ่อนครบาล โดนคนมีสีเอาอาวุธสงครามถลุ่มยิงกระหน่ำตายจมกองเลือด ในปากแคล้วยังคงอมพระสมเด็จวัดระฆังราคาองค์หลายล้านบาทอยู่เลย...!!! พอเราอ่านข่าวนี้เจอ เราจึีงเอาพระเครื่องที่แขวนบนคอเราไปคืนพ่อเรา แล้วเราบอกว่า "พระอยู่ในใจ (อยู่ที่จุด dantian) เรา" ผลปรากฎว่า "เรากับพ่อเราทะเลาะกันเรื่องความเชื่อทางศาสนาอย่างรุนแรง"   ยังมีต่อ แต่ไม่รู้ว่าจะกล้าเขียนหรือเปล่า เพราะขี่้เกียจทำศึกน้ำลายกับคนหลายๆศาสนาพร้อมๆกัน คือจริงๆแล้วเราไม่ได้โจมตีศาสนาไหน เพียงแต่เราแค่อยากจะพูดว่า คำสอนบางอย่างมันปรากฎหขึ้นมา เพราะตีความภาษาโบราณผิดหรือเปล่า? ถ้าใครถกกับเราโดยไม่โกรธ จะได้เรียนรู้อะไรดีๆหลายๆอย่าง... แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 18:21:37 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 16:42:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 16:37:21

ความคิดเห็นที่ 61 คราวนี้มา sensitive issue กัน เต๋าสอนเรื่องการเดินลมปราณว่าเวลานั่งสมาธิ พอน้ำลายมันสะสมกันมากๆเข้าผู้ฝึกกลินมันลงไปที่จุด dantian เพื่อผสานกับพลังน้ำกาม (ของขาย) หรือน้ำในช่องคลอดเมื่อถึงจุดสุดยอด (ของสตรี)  เพื่อสร้าง elixir of life และมันพิิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ด้วยว่า น้ำลายกับน้ำกามมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากสมัยก่อนที่จะมีการคิดค้นวิทยาการ DNA ขึ้นมาได้ ตำรวจทำคดิข่มขืนจับผู้ต้องสงสัยมาได้ สมมุติว่า 10 ราย และกองพิสูจน์หลักฐานเห็นคราบอสุจิที่เสื้อผ้าผู้หญิง เขาไม่จำเป็นต้องไปรีดน้ำอสุจิจากผู้ต้องสงสัย แต่แค่เอา "น้ำลาย" มา ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า เจ้าของน้ำลายหยดไหนเป็นเจ้าของน้ำอสุจิบนเสื้อผ้าผู้หญิงที่โดนข่มขืน (นี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างน้ำลายกับน้ำการที่ำพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่านักพรตเต๋ารู้ความลับเรื่องนี้มาตั้งหลายพันปีแล้ว...!!!) และหากเป็นจริงทีว่า Dao De Jing สอนวิธีผสาน jing (น้ำกามชายหรือน้ำในช่องคลอดสตรีเมื่อถึงจุดสุดยอด), qi (พลังลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) เพื่อสร้าง elixir of life ที่จะเอาไปสร้าง immortal fetus ได้ (ตามคัมภีร์เต๋า ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตั้งครรภ์ได้โดยไม่ต้องมี sex กับใคร แต่โดยการฝึก alchemy) ตัว immortal fetus จtพัฒนาไปเรื่อยๆ และจะออกจากร่างได้ทางจุดกลางกระหม่อม (จุด bai hui) แล้วกลายไปเป็นเซียนได้ (เซียนในศาสนาเต๋าเทียบเท่า saint ในศาสนาคริสต์ และ พระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธ) ถ้าใครอ่าน Dao De Jing ให้เข้าใจว่า ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียน Dao De Jing เพื่อสอนวิชา alchemy ให้มนุษย์ธรรมดาเกลายเป็นเซีียนได้ แต่เขียนหลอกให้บัณฑิตตีความผิดเป็นจริยธรรมหรือรัุฐศาสตร์ไปหมด....!!! และถ้าใครอ่าน Dao De Jing เข้าใจ เขาก็จะรู้ได้ว่า virgin birth ในศาสนาคริสต์เป็นไปได้อย่างแน่นอน ซึ่งปรากฏการณ์นี้ถือว่าเป็น unknown law ไม่ใช่ miracle   คราวนี้เข้าเรื่อง sensitive issue แล้วนะ ในเมื่อถ้าสืบสาวกันดีๆแล้วพบกว่า Dao De Jing กับ The Bible มีอะไรที่คล้ายๆกัน และ ศาสนามุสลิมก็มีคำสอนคล้ายๆกัน (ตั้งแต่้ดั้งเดิม) คือเราเคยเห็นชาวมุสลิมแปะข้อความไว้ในห้องศาสนาว่า sexual energy ของชายมาจากไต 2 ข้าง และ sexual energy ของสตรี มาจากบริเวณแถวๆหน้าอก ซึ่งมันเหมือนๆกับคำสอนของเต๋า เพราะพลังลมปราณที่ออกแนวผู้ชายมากหน่อยมันคือสายลมปราณเส้นกลางด้านหลัง (Du Mai)  ที่ออกแนวผู้หญิงมากหน่อยมันคือสายลมปรานเส้นกลางด้านหน้า (Ren Mei)   มันแสดงว่า คัมภีร์โบราณของชาวมุสลิมก็มีวิชา alchemy เหมือนของเต๋า แต่ แต่อะไรล่ะ? แต่ทำไมในช่วง Ramadan ชาวมุสลิมจึงห้ามกลืนน้ำลายในขณะอดอาหารตอนกลางวัน แล้วต้อง "บ้วนน้ำลายทิ้งไป" ล่ะ การบ้วนน้ำลายทิ้งไปตลอดวันข (พิจารณาตามคัมภีร์เต่า) มีผลเหมือนกับ "รีดน้ำอสุิจิทิ้งไป เรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยู่ในทะเลทรายโดนความร้อนเข้าจะสูญเสียน้ำเกินไป (dehydration) มันผิดธรรมชาติ) แบบนี้นะ ก็ไม่มีทางที่จะฝึก alchemy ได้เลย...!!!" เราไม่เชื่อว่าศาสดาในศาสนาอิสลามจะสอนแบบนี้ เราว่า มันมาจาก "การแปลคัมภีร์โบราณผิด" หรือมีคนไปเขียนคำสอนใหม่ ใช่หรือเปล่า? เราแค่สงสัย ไม่ได้ดูหมิ่นศาสนา ลองไปบริกรรมดูดีๆ ถ้าถกกันดีๆ อย่าโกรธกัน จะได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับปรัชญาทางด้านศาสนาที่จะช่วยให้คนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้ ลองคิดดูว่าในประเทศมุสลิมช่วง Ramadan ตอนคนอดอาหารในช่วงกลางวันที่แดดร้อนเปรี้ยงๆ ถ้าทุกคนในประเทศต้อง "ถอ สระ อุ ยอ (ต้องพิมพ์เงี้ยเพราะโดนกรองคำ)"น้ำลายออกมาทุกๆ 1-2 นาที มันจะมีที่ไหนน่าเดินบ้างล่ะ?.... อันนี้พูดจากใจจริงว่า "เราไม่ได้ดูหมิ่นศาสนา เพียงแต่เราไม่เชื่อว่าศาสดาจะสอนอะไรที่ผิดธรรมชาติ ผิดวิสัยมนุษย์เช่นนั้น"... ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับเรา ก็กรุณาอย่าโกรธเรา แต่ให้ลองพิจารณาดูให้ดีๆ ตามหลักเหตุผล...ก่อนที่คุณจะ:-)น้ำลายทิ้งไปทุกๆ 1-2 นาที ในระหว่างอากาศที่ร้อนระอุ เพราะมันจะทำให้คุณคอแห้งผาก และน่าจะลงเอยเกิดอาการ "ฟ้าเหลือง" เพราะน้ำลาย มีค่าสูสีกับน้ำอสุจิ (ตามคัมภีร์เต๋า) ให้สังเกตดูว่า น้ำลายนก ก็มีพลัง คนจีนรู้ความลับอันนี้ ถึงไปเบียดเบียนนก โดยเอารังมันมาทำซุปรังนกบำรุงกำลัง ซึ่งรังนกมันก็มีจากน้ำลายอันทรงพลัง ซึ่งเป็นพลังชีวิต (เป็นพลังที่ใช้สืบพันธ์) ของนกนั่นเอง...กล่าวกันว่า นกเมื่อโดนมนุษย์ขโมยรังมันไป มันพยายามเค้นเอาน้ำลายมาทำรังอีก บางทีหมดพลังชีวิตถึงกับกระอักเลือดนอนตายอยู่ตรงนั้นก็มี ดังนั้น "ระวังอย่าบ้้วนน้ำลายทิ้งไปว้นละหลายๆครั้ง เพราะมันจะเป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่ง หรืออย่างน้อยๆก็จะทำให้อ่อนเพลียแบบสุดๆ (อ่ือนเพลียเหมือนผู้ชายที่เพิ่งหลั่งน้ำอสุจิออกมาเป็นจำนวนมากๆในการร่วมเพศ) เลยหละ"     แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 23:35:11 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 19:03:35 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 18:53:45 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 18:32:17 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 17:14:41

ความคิดเห็นที่ 62 อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ fasting เราเชื่อว่าพระเยซูขึุ้นไปจำศีลบนภูเขาแล้วอดอาหารได้ 40 วันจริงๆ พระองค์ท่านทรงมีพลังมากขนาดนั้นอย่างแน่นอน เนื่องจากขนาดนักวรยุทธจีนระดับฝึกใกล้เซียนก็ทำได้ แต่ผู้สอนศาสนาคริสต์ไม่อยากให้คริตศาสนิกชน "คิดเรื่องนี้แล้วงง" ก็เลยแก้คำสอนเลี่ยงๆไปว่า fasting นี่ไม่ใช่หมายความว่า อดหมดทุักอย่าง แต่แค่ละเว้นอาหารบางอย่างเท่านั้น เช่นเนื้อสัตว์ฯลฯ แล้วเราก็เชื่อว่าการอดอาหารนานเกินกว่าหนึ่งเดือนยาวขนาดระยะเวลาของ Ramadan นั้น ในอดีต ศาสดาของศาสนาอิสลามซึ่งมีกำลังภายใน และพลังจิตสูงส่ง ย่อมทำได้แบบพระเยซูอย่างแน่นอน หาก แต่แทนที่ชาวมุสลิมจะแก้ข้อความแบบชาวคริสต์เป็น "อดแค่อาหารบางอย่าง" แต่ดันไปแก้เป็น "ห้ามกินกลางวัน แต่ให้กินตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้ว" ทีนี้มันเลยยุ่งสิ...ซึ่งถ้าพิจารณาจากคัมภีร์ของเต๋า (ที่คัมภีร์อิสลามดั้งเดิมน่าจะคล้ายกันหรือมาจากต้นตอเดียวกันด้วยซ้ำไป) นับว่า "เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างรุนแรง" เนื่องจาก การกินอาหารเมื่อตะวันตกดินแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินดึกๆ อาหารจะย่อยไม่หมด และจะส่งผลกระทบต่อ "ตับ" ซึ่งต้องทำหน้าที่กรองของเสียอย่างหนัก ถ้าตัุบมันไม่ได้นอนตอนตีหนึ่งถึงตีสามเพราะมัวแต่ไปกรองของเสียอยู่ (ซึ่งตับเป็นธาตุไม้ ที่มี qi หรือลมปราณแรงมากช่วง 2 ชม ที่ว่านี้) และทฤษฎีธาตุทั้ง 5 ของเต๋า ระบุไว้ว่า อาการป่วยของธาตุไม้หรือตับ จะทำให้ "โมโหร้าย" ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากๆ ที่ชาวมุสลิมผู้ก่อการร้ายมีแนวโน้มที่จะกระทำการที่รุนแรงมากๆในช่วง Ramadan เนื่องจากว่า "กินอาหารกลางคืน จึงมีสารพิษตกค้าง ตับล้างออกไปไม่ทัน จนทำให้ธาตุไม้ป่วย ส่งผลให้โมโหร้ายมากๆ" สรุป ถ้าสมมุติฐานของเราเป็นจริงที่ว่า คัมภีร์ศาสนาอิสลาม กับศาสนาเต๋า และ The Bible ของศาสนาคริสต์ ก็มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันแล้วไซร้ คำสอนที่ว่าใน "ช่วง Ramadan ห้ามกินอาหารกลางวัน แต่ต้องกินกลางคืน ย่อมไ่ม่ใช่ึคำสอนศาสดาในศาสนาิอิสลามอย่างแน่นอน" น่าจะมาจาก 1. การแปลคัมภีร์โบราณภาษาอาหรับผิดพลาด 2. มีคนไปเปลี่ยนคำสอนในคัมภีร์โบราณเพื่อประโยชน์บางอย่าง และกลายเป็นโทษไป มันเหมือนๆกับเราไม่เชื่อว่า พระไตรปิฏกพูดว่า พระพุทธเจ้าห้ามพระฝึกโยคะหรือฝึกมวยหรือออกกำลัง (เรื่องนี้เราเคยทะเลาะกับคนในห้องศาสนามาแล้ว) พระสงฆ์ก็ยังเป็นมนุษย์ ศาสดาที่ไหนกันจะห้ามมนุษยฺ์ออกกำลัง (เพราะการออกกำลังเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย) มันไร้เหตุผลสิ้นดีเลยหละ...!!! "มันฝืนธรรมชาติ" ฝ่ายตรงกันข้ามเราอ้างว่าพระสงฆ์ออกกำลังได้โดยการเดินจงกรม แต่เราว่า การเดินจงกรมไม่ดีเท่าการฝึกมวยเส้าหลิน ประการหลังทำให้เข้าถึงพระธรรมมากกว่า เพราะการฝึุกวรยุทธ์ก็คือการฝึกพลังลมปราณที่ทำให้เข้าใจกลไกการทำงานของร่ายกายและจิตใจ และเข้าใจกลไกของจักรวาล เพราะว่า Man is a microcosm.   การเข้าใจพลัง (กลไกของ) จักรวาล ทำให้เข้าใจร่างกายและจิตใจมนุษย์ และทำให้เข้าใจธรรมชาติ ซึ่งเป็นธรรมะที่แท้จริงนั่นเิอง แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 53 08:56:14 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 17:51:09 แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 17:40:11 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 17:34:24

ความคิดเห็นที่ 63 ไม่ต้องกลัวว่าจะทะเลาะกันเรื่องศาสนาในห้องนี้หรอกครับ แต่ละคนมีวุฒิภาวะแล้วทั้งนั้น มาคุยกันในห้องนี้สิดี เพราะมีประเด็นเรื่องภาษาอันสลับซับซ้อน ซับซ้อนขนาดไหน? ก็ขนาดว่า อ้างอิง The Bible นะ บางเรื่องมี "ข้อจำกัดในภาษาของมนุษย์" แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 53 20:33:20 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 20:01:13

ความคิดเห็นที่ 64 "ข้อจำกัดในภาษาของมนุษย์" อืมแสดงว่า "ไม่มีข้อจำกัดในภาษาของพระเจ้า" ใช่ไหมครับ หมายความว่าแล้วแต่จะตีความอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือขอรับ ผมว่าแปลกอยู่นะขอรับท่านหนุ่มฯ ถ้าภาษาของพระเจ้าไม่มีข้อจำกัด แสดงว่า มีความหมายไม่ชัดเจน คุมเครือ หรือเปล่าครับ เพราะตีความครอบจักรวาลเลย เรียนถามด้วยจริงใจ นึกถึงหมอคนหนึ่งจบมา รักษาได้ทุกโรค (เป็นไปได้ยาก) จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 12:50:29

ความคิดเห็นที่ 65 ไม่ใช่ตีความหมายได้หลายทางครับ คุณลุดวิก ยกตัวอย่างคำว่า The Holy Trinity ภาษาไทยคือ พระตรีเอกานุภาพ หรือ พระตรีเอกภาพ The Father คือ God - The Creator หรือองค์พระผู้สร้าง The Son คือ พระเยซูคริสต์ ซึ่งก็คือองค์เดียวกับ The Father นั่นแหละ ทรงเสด็จมาเยี่ยมประชากรของพระองค์ และทรงไถ่บาปให้มวลมนุษย์ที่ทรงรัก เพราะมนุษย์ได้ทำผิดมากมาย The Holy Spirit ภาษาไทยคือ พระจิตเจ้า พระจิตเจ้าคือผู้ใด? ก็องค์เดียวกันอีก องค์เดียวกันกับ The Father and The Son ซึ่งพระองค์ยังทรงอยู่กับมวลมนุษย์ทุกคนในโลกจนทุกวันนี้ ตรงนี้ตรงกับข้อความในพระคัมภีร์ที่ว่า มัทธิว 28:20  จงสั่งสอนให้เขาถือตามทุกอย่างที่เราสั่งสอนท่าน อย่ากลัว เราอยู่กับพวกท่านเสมอไปจนสิ้นพิภพ ทีนี้ ในภาษามนุษย์จะแยกยังไงล่ะ ก็ต้องแยกเป็นสามคำ เพื่อให้เห็นถึงสามสถานะในแต่ละช่วงเวลา ทั้งๆ ที่เป็นองค์เดียวกันแท้ๆ นี่แหละครับ ข้อจำกัดในภาษามนุษย์ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 15:17:05

ความคิดเห็นที่ 66 คุณลุดวิกหายจ้อยไปเลย น่าจะส่งเสียงสักหน่อยนะครับว่าเข้าใจหรือยัง กระทู้นี้ก็ใกล้จะตกไปแล้ว จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 12:10:57

ความคิดเห็นที่ 67 งานเยอะขอรับ ติดตามอยู่ มีอะไรแปะไว้ได้เลยครับ ประเด็นที่ท่านหนุ่มฯ ว่ามา ผมก็เข้าใจแล้วครับ แต่ยัง "ตีตะปูไม่โดนหัวตะปู" ครับ เขียนไว้ได้เลยขอรับ ผมจะเข้ามาอ่าน ขอบคุณอย่างยิ่งขอรับ จากคุณ : ลุดวิก เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 10:52:56

ความคิดเห็นที่ 68 เอ หรือว่าทีแรกผมเข้าใจคำภามของคุณลุดวิกใน คห. 64 ผิดไป คำว่า "ไม่มีข้อจำกัดในภาษาของพระเจ้า" ความหมายว่าอย่างนี้ครับ ยกมาเป็นตัวอย่าง ลองอ่านดูก่อนนะครับ การประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 2:1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกสาวกจึงมาร่วมใจกันอยู่ในที่แห่งเดียวกัน 2:2 ในทันใดนั้น มีเสียงดังมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วบ้านที่เขานั่งอยู่นั้น 2:3 มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขา และกระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน 2:4 เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงตั้งต้นพูดภาษาต่างๆตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด 2:5 มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้า ซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้ามาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 2:6 เมื่อมีเสียงอย่างนั้น เขาจึงพากันมาและสับสนเพราะต่างคนต่างได้ยินเขาพูดภาษาของตนเอง 2:7 คนทั้งปวงจึงประหลาดและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า "ดูเถิด คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ 2:8 เหตุไฉนเราทุกคนได้ยินเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา 2:9 เช่นชาวปารเธียและมีเดีย ชาวเอลามและคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย ในแคว้นปอนทัสและเอเชีย 2:10 ในแคว้นฟรีเจีย แคว้นปัมฟีเลียและประเทศอียิปต์ ในแคว้นเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน และคนมาจากกรุงโรม ทั้งพวกยิวกับคนเข้าจารีตยิว 2:11 ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงมหกิจของพระเจ้าตามภาษาของเราเอง" 2:12 เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า "นี่อะไรกัน" 2:13 แต่บางคนเยาะเย้ยว่า "คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่" ข้อความข้างต้น ผมก๊อปมาจากพระคัมภีร์ฉบับของคริสเตียน ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำแปลเป็นภาษาไทย บางคำใช้ไม่เหมือนกัน เช่น The Holy Spirit คริสเตียนเขาใช้คำแปลในภาษาไทยว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คาทอลิกใช้คำว่า พระจิตเจ้า หรือ พระจิต เฉยๆก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอ่านจากฉบับไหน ความหมายเหมือนกัน ส่วนเรื่องการตีความนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เล่าให้ฟังอย่างนี้ก็แล้วกัน ย้อนอดีตไปเมื่อ 60 ปีขึ้นไป บาดหลวงของคาทอลิกบางโบสถ์ ถึงกับออกเป็นกุศโลบายว่าการอ่านพระคัมภีร์เองนั้นเป็นบาป ห้ามอ่านเอง เพราะเหตุใด? ก็เพราะท่านกลัวว่าแต่ละคนจะตีความกันไปคนละอย่างสองอย่างน่ะสิครับ แล้วก็ตีความผิด เพราะการคีความในพระคัมภีร์นั้นไม่ใช่ของง่าย ต้องรู้ทั้งทางด้านเทววิทยา ประวัติศาสตร์ และขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวยิวในสมัยนั้นด้วย ผมถึงว่าการที่จะเข้าใจข้อความในพระคัมภีร์นั้น อ่าน The Bible อย่างเดียวไม่พอหรอก จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 53 08:09:09