ความคิดเห็นที่ 1 เงินตราฟูนัน อาณาจักรฟูนันก่อตัวขึ้นบริเวณทางใต้ของลุ่มน้ำโขง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 และล่มสลายลง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 จากการโจมตีของพวกเจนละ อาณาจักรฟูนันได้รับอารยธรรมด้านการปกครองโดยกษัตริย์ และการนับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูจากอินเดีย เงินตราที่ใช้จะมีสัญลักษณ์ เกี่ยวกับกษัตริย์ การปกครอง และศาสนา โดยมีลักษณะเป็นเหรียญเงินด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ครึ่งดวงเปล่งรัศมี อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระศรีวัตสะ กลองบัณเฑาะว์ที่พราหมณ์ใช้ในพิธีต่างๆ และมีเครื่องหมายสวัสดิกะซึ่งหมายถึงความโชคดี จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:05:36

ความคิดเห็นที่ 2 รัฐฟูนาน เป็นรัฐโบราณที่มีอิทธิพลเหนือดินแดน แห่งลุ่มน้ำแม่โขง แม่น้ำเจ้าพระยา ก่อตั้งขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 กษัตริย์องค์แรกคือพราหมณ์โกณฑิญญะ ซึ่งมีเชื้อสายจากอินเดีย ได้มีมเหสีคือ "นางพญาขอม" ฟูนานเป็นรัฐที่รุ่งเรืองอยู่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1 – 6 ที่ตั้งของรัฐอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งประเทศกัมพูชา เวียดนามตอนใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย บางตอนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และภาคใต้ของไทย ลงมาถึงแหลมมลายู ฟูนานรวมตัวกันเป็นรัฐแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรัฐชลประทานภายในแผ่นดินที่ประชาชนดำรงชีพด้วยการเกษตร โดยใช้น้ำจากระบบชลประทานที่พัฒนาเป็นอย่างดี นอกจากนั้น ฟูนานยังมีเมืองท่าสำหรับจอดเรือและค้าขายต่างประเทศ ฟูนาน จึงมีรายได้จากการค้าขาย การเดินเรืออีกด้วย เรื่องราวของรัฐฟูนาน ทราบจากบันทึกของชาวจีนที่เดินทางมาแถบนี้ ได้เขียนเล่าถึงความมั่งคั่ง ความเป็นอยู่ในชุมชนที่มีระเบียบ มีคุณธรรม มีการปกครองระบอบกษัตริย์ มีเมืองต่าง ๆ มาขึ้นด้วยหลายเมือง มีวัฒนธรรมแท้ ๆ ของตนเอง มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศ ทั้งในทวีปเอเชียด้วยกัน และโลกตะวันตก ชาวพื้นเมืองเป็นชนชั้นสูง เป็นพวกมาลาโยโพลีนีเซียน ชนชั้นล่างเป็นพวกเนกริโตและเมลานีเซียน ฟูนานมีประวัติความเป็นมา เริ่มจากการรวมตัวกันของผู้คน เป็นชุมชนเล็กขนาดหมู่บ้าน จากหมู่บ้านพัฒนาขึ้นมาเป็นรัฐ วิธีการพัฒนาจากสังคมเผ่าเป็นสังคมรัฐมีปัจจัยและขั้นตอนหลายประการ ข้อมูลจาก wiki จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:08:35

ความคิดเห็นที่ 3 เงินตราทวารวดี อาณาจักรทวารวดีเริ่มมีความสำคัญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12 และล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ 16 สันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางการปกครองอยู่บริเวณจังหวัดนครปฐม การปกครองยังคงอยู่ในระบบกษัตริย์ ประชาชนนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน เงินตราที่พบยังคงมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ อำนาจการปกครอง ความอุดมสมบูรณ์ และศาสนา เช่น เหรียญเงินด้านหนึ่งเป็นรูปบูรณกลศ (หม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม) ซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ อีกด้านเป็นภาษาสันสกฤตโบราณ อ่านว่า "ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ" แปลว่า "บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี" เป็นต้น จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:11:11

ความคิดเห็นที่ 4 เงินตราศรีวิชัย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 การค้าทางทะเลมีความสำคัญมากขึ้น ส่งผลให้เมืองที่อยู่บน คาบสมุทรสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไชยา และนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นตลาดกลางของสินค้าจากทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และอินเดีย ทางฝั่งตะวันตก และสินค้าจากจีน ขอม ทวารวดี ทางฝั่งตะวันออก มีความสำคัญขึ้นเช่นกัน จนในที่สุดดินแดนแถบนี้จนถึงเกาะสุมาตราได้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรศรีวิชัย การปกครองได้ใช้ระบบพระมหากษัตริย์ ประชาชนนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เงินตราที่ใช้ทำด้วยเงินและทองคำ มี 2 ชนิด คือ "เงินดอกจัน" ด้านหนึ่งมีลวดลายเป็นรูปสี่แฉก อีกด้านหนึ่งมีอักษรสันสกฤตว่า "วร" แปลว่า "ประเสริฐ" เงินตราอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า "เงินนโม" ด้านหนึ่งมีร่องเล็กๆ คล้ายเมล็ดกาแฟอีกด้านหนึ่งเป็น ภาษาสันสกฤตว่า "น" ด้วยเหตุที่ประชาชนในบริเวณนี้นับถือพุทธศาสนา จึงได้ตั้งชื่อเงินตราที่มีอักษร "น" ว่า "เงินนโม" อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลงในพุทธศตวรรษที่ 18 จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:16:15

ความคิดเห็นที่ 5 เงินตราสุโขทัย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 ราชอาณาจักรสุโขทัยถือกำเนิดขึ้น ได้ติดต่อค้าขายกับราชอาณาจักรในลุ่มเจ้าพระยา คือกรุงศรีอยุธยา ตลอดจนดำเนินการค้าทางทะเลกับจีน อินเดีย ยุโรป และกลุ่มชนทางตอนเหนือของไทย เช่น ล้านช้าง ยูนนาน น่านเจ้า และไปไกลถึงเปอร์เซีย อาหรับ โดยที่ ราชอาณาจักรสุโขทัยได้ผลิตเงินตราขึ้นใช้ในระบบเศรษฐกิจ คือ เงินพดด้วง นอกจากนี้ยังใช้ "เบี้ย" เป็นเงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าราคาต่ำ          เงินพดด้วงสันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย และใช้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมเป็นเวลากว่า 600 ปี โดยทำขึ้นจากแท่งเงินทุบปลายงอเข้าหากันแล้วตอกประทับตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลลงไป ด้วยเหตุที่มีสัณฐานกลมคล้ายตัวด้วง คนไทยจึงเรียกว่าเงินพดด้วง ขณะที่ชาวต่างประเทศเรียกเงินชนิดนี้ว่า เงินลูกปืน (BULLET MONEY) เงินพดด้วงถือได้ว่าเป็นเงินที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนเงินตราตระกูลใดในโลก ในสมัยสุโขทัย เงินพดด้วงมักมีตราประทับไว้มากกว่า 2 ดวง และเป็นรูปสัตว์ชั้นสูง เช่น วัว กระต่าย หอยสังข์ และราชสีห์ เป็นต้น จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:16:57

ความคิดเห็นที่ 6 เงินตราสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยนี้ยังคงใช้เงินพดด้วงเป็นเงินตรา แต่หลวงผูกขาดในการผลิต เงินพดด้วงในสมัยนี้ คล้ายเงินพดด้วงในสมัยสุโขทัย แต่ตรงปลายขาที่งอจรดกันไม่แหลมเหมือนเงินพดด้วงสุโขทัย ตราที่ประทับส่วนใหญ่เป็นตราจักรและตราประจำรัชกาล เช่น ครุฑ ช้าง ราชวัตร พุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นต้น จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:19:47

ความคิดเห็นที่ 7 เงินตราสมัยกรุงธนบุรี ในสมัยกรุงธนบุรี ยังคงใช้เงินพดด้วงเช่นครั้งกรุงเก่า สันนิษฐานว่ามีการผลิตเงินพดด้วงขึ้นใช้เพียง 2 ชนิดคือ เงินพดด้วงตราตรีศูลและตราทวิวุธ จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:22:26

ความคิดเห็นที่ 8 เงินตราสมัยกรุงรัตนโกสินทร์          ในปี พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงธนบุรี มาอยู่ฝั่งตรงข้ามคือ กรุงเทพมหานคร และสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น เงินตราที่ใช้ในยุคต้นๆ ยังคงใช้เงินพดด้วง โดยที่ตราประทับบนเงินพดด้วงคือตราจักร ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดิน และตราประจำรัชกาล ซึ่งได้แก่ รัชกาลที่ 1 ตราบัวอุณาโลม รัชกาลที่ 2 ตราครุฑ รัชกาลที่ 3 ตราปราสาท รัชกาลที่4 ตรามงกุฏ รัชกาลที่ 5 ตราพระเกี้ยว จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 53 23:22:42

ความคิดเห็นที่ 9 ขออนุญาตเสริม เพื่อเติมเต็มให้ครับ สำหรับเงินตราสิ่งแลกเปลี่ยนในยุคแรกของมนุษย์ ก่อนที่จะให้โลหะหลอม  คือ เปลือกหอย ซึ่งพบได้ในแหล่งขุดค้นมนุษย์โบราณ และใช้ยาวมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์เลยครับ เป็นหน่วยล่างสุดของอัตราเงินของไทย เบี้ยหอย....ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแรกๆของโลก http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/12/K7358722/K7358722.html จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 07:31:14

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับเงินพดด้วงที่ใหญ่โต ที่สุดของไทยคือ พดด้วงประทับตราช่อรำเพย ผลิตเป็นที่ระลึกในโอกาสบำเพ็ญพระกุศล ถวาย “สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์” พระราชชนนีของพระองค์ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๒๓ ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษา นับวันเท่ากับพระราชชนนีสิ้นพระชนม์ ทรงมีพระชนมพรรษา ๒๘ พรรษา ถูกสร้างขึ้นจำนวนหลายราคา แต่ขนาดใหญ่สุด มีราคา ๑ ชั่ง (๘๐ บาท) จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 07:47:25

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำการค้าขายกับต่างชาติจำนวนมาก ทำให้พระองค์ทรงเล็งเห็นที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบเงินตราให้เหมือนอย่างต่างประเทศบ้าง เช่น เหรียญเงินแบนอย่างอันนัม จึงโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาพระคลัง(ดิศ) เป็นแม่กองคิดหาวิธีและรูปแบบในการทำเหรียญ ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า เงินแบน อีกทั้งไม่ประสงค์ที่จะทำบาป เนื่องจากต้องหาหอยเบี้ยมาใช้ในระบบหมุนเวียน ท้ายสุดได้ติดต่อให้นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ ผลิตเหรียญตัวอย่างมาให้เป็นตัวอย่าง คือ ชนิดแรก ด้านหน้าเป็นรูปช้าง มีเลข ๑๑๙๗ อยู่ด้านล่างช้าง ซึ่งเป็นปีจุลศักราช ด้านหลังเป็นภาษาไทย คำว่า “เมืองไท” มีรูปดาวเปล่งอยู่ด้านบน และล่างอย่างละดวง ชนิดที่สอง ด้านหน้าเป็นรูปดอกบัวมีหมายเลข ๑๑๙๗ อยู่ด้านล่างดอกบัว ด้านหลัง เป็นภาษาไทย คำว่า “เมืองไท” มีรูปดาวเปล่งอยู่ด้านบน และด้านล่างอย่างละดวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสมในการใช้รูปดอกบัว และรูปช้าง ซึ่งไปพ้องกับศาสนาและเหรียญของศรีลังกา และโปรดเกล้าฯให้ดำเนินการหารูปใหม่ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน การนี้จึงยกเลิกไป จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 07:56:08

ความคิดเห็นที่ 12 มาถึงในสมัยรัชกาลพระบาทพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงที่เริ่มต้นที่การวิวัฒนาการของระบบเงินตราไทย อย่างมากทั้งรูปแบบ หน้าตา วัสดุ เนื่องจากมีการปลอมแปลงเงินพดด้วงอย่างมาก พระองค์โปรดให้ทำการสร้างเหรียญเงิน ตอกตราพระเต้า พระจักร เพื่อนำมาใช้ในระบบเงินตรา จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:03:23

ความคิดเห็นที่ 13 ต่อมามีการสั่งซื้อเครื่องจักรผลิตเหรียญจากประเทศอังกฤษ โดยเรียกกันว่าเหรียญบรรณาการ เนื่องจากพระนางเจ้าวิกตอเรีย ได้มอบเครื่องจักรนี้เป็นเครื่องบรรณาการให้กับสยาม แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 53 08:09:17 จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:08:41

ความคิดเห็นที่ 14 กำเนิดตั๋วเงินครั้งแรก ในระบบการเงินไทย สมัยรัชกาลที่ ๔ เนื่องด้วยการค้ามีมากขึ้น จากการเปิดประเทศ พวกพ่อค้าลำบากในการพกเหรียญและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคิดทำ "หมาย" เพื่อสะดวกในการพก และนำมาขึ้นเงินในพระบรมมหาราชวังได้ แต่คนไทยไม่กล้า กลัวกระดาษ หมายมีหลายราคา เช่น ตำลึง - บาท - สลึง - เฟื้อง จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:17:02

ความคิดเห็นที่ 15 ระบบเงินตรายังวิวัฒนาการต่อไปในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อต้นรัชกาลยังคงมีการผลิดเหรียญพดด้วง ผสมกับเหรียญแบน ควบกันไป เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ ได้กำเนิดเหรียญหน้าตาอย่างใหม่ขึ้น คือ มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ประทับอยู่หน้าเหรียญ และสร้างเหรียญจำนวนหลายราคา สองบาท-บาท-สลึง-เฟื้อง โดยราคา ๑ บาท ใช้คำว่า "บาทหนึ่ง" ไม่ใช่ "หนึ่งบาท" จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:21:06

ความคิดเห็นที่ 16 พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายในระยะใกล้เคียงกับระยะการสร้างเหรียญ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:24:30

ความคิดเห็นที่ 17 สตางค์รูมาแล้วๆๆ ในช่วงรัชกาลที่ ๕ นี้เอง โฉมหน้าเหรียญกษาปณ์ ได้แหวกแนว มีการเจาะรูตรงกลาง สร้างด้วยเหรียญนิเกิลผสม อัตราค่าเงินได้พัฒนาเป็นระบบ ๑:๑๐๐ คือ ๑ บาท มีค่า ๑๐๐ สตางค์ แล้วก่อนหน้านี้ เครดิทภาพ คุณ Leeayongkul พันทิป จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:29:47

ความคิดเห็นที่ 18 ความก้าวหน้าของระบบเงินตราคือธนบัตร ก่อนหน้าที่สยามจะพิมพ์ธนบัตรใช้เอง เราต้องยืมธนบัตรจากต่างชาติมายืมใช้ก่อน โดยบาทหนึ่ง ใช้คำว่า "One Tical" จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:39:10

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อรัฐบาลสยามพร้อม ก็มีการพิมพ์ธนบัตรแบบแรกของไทย มีลักษณะ เป็นธนบัตรพิมพ์ ด้านหน้า ด้านเดียว บางครั้ง จึงเรียกว่า "ธนบัตรหน้าเดียว" นำออกใช้เมื่อ วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๕ ธนบัตรแบบ ๑ นี้ รัฐบาลไทยได้จ้าง ให้บริษัท Thomas De La Rue ซึ่งเป็นบริษัท รับจ้างพิมพ์ธนบัตร ในประเทศอังกฤษ เป็นผู้พิมพ์ให้ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:40:34

ความคิดเห็นที่ 20 พร้อมกันนี้ระบบเช็ค ก็พัฒนามาด้วยกัน เช่น การสั่งจ่ายเงินในภาพ เป็นการสั่งจ่ายเงิน ๑๔๔ ชั่งให้กับพระองค์เจ้าวรวรรณฯ ถึงพระคลังมหาสมบัติให้ดำเนินการจ่ายเงิน โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระราชทาน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:44:44

ความคิดเห็นที่ 21 จาก "กรุงสยาม" สู่ "สยามรัฐ" และ จาก "บาทหนึ่ง" สู่ "หนึ่งบาท" ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งระบบเหรียญ น้ำหนักเงิน (Silver) หนัก ๑ บาท (๑๖ กรัม) พ้องกับ ระบบเงินตรามูลค่า ๑ บาท แต่หลังจากนั้นระบบน้ำหนักเงินและระบบมูลค่าเงิน ได้แยกออกจากกัน โดยมีการนำ นิเกิล มาผสมเพื่อลดต้นทุนการผลิตเหรียญกษาปณ์ลงในรัชกาลต่อๆ มา จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:50:20

ความคิดเห็นที่ 22 มาแล้วครับ เหรียญเหลี่ยม ... เหรียญ ๙ เหลี่ยม ผลิตขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ใช้กันอยู่ไม่นาน มีการปลอมแปลงอย่างมาก จึงยกเลิกการผลิต จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 08:59:36

ความคิดเห็นที่ 23 เหรียญสอดสองโลหะ จึงมีสองสี ชนิดราคา ๑๐ บาท ผลิตใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑ ผลิตประมาณ หกหมื่นเหรียญ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 09:03:22

ความคิดเห็นที่ 24 ลืมนึกถึง อัฐกระดาษ...ผลิตใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดให้จัดทำขึ้น แต่ไม่ได้รับความนิยม เช่นเดียวกับหมาย จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 09:11:55

ความคิดเห็นที่ 25 ข้อมูลดีๆ ขอบคุรนะครับ จากคุณ : ปทุมฉัตรสหัสรังษี เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 14:57:37

ความคิดเห็นที่ 26 vote ครับ ^^ จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 16:45:15

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 19:31:38

ความคิดเห็นที่ 28 ขอเสริมคุณหนุ่มรัตนะครับ สมัยรัชกาลที่ 1 เงินพดด้วงในรัชกาลนี้ เดิมประทับตราจักร และตราตรีศูล แต่หลังจากบรมราชาภิเษกแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเงินพดด้วงประจำรัชกาลแล้วประทับตราพระแสงจักร-บัวอุณาโลม จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:47:27

ความคิดเห็นที่ 29 สมัยรัชกาลที่ 2 ตราที่ประทับบนเงินพดด้วย คือ ตราจักรและตราครุฑ สันนิษฐานว่าตราครุฑ มาจากพระนามเดิมของรัชกาลที่ 2 คือ "ฉิม" ซึ่งเป็นวิมานของพญาครุฑ จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:50:39

ความคิดเห็นที่ 30 สมัยรัชกาลที่ 3  ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ผลิตเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปี พ.ศ. 2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญๆ ประทับตราต่างๆ เช่น ดอกไม้ ครุฑเสี้ยว ใบมะตูม และเฉลว เป็นต้น          ส่วนการจัดทำเงินเหรียญขึ้นใช้ตามแบบสากลนิยมนั้น มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยโปรดเกล้าฯ สั่งจัดทำตัวอย่างเหรียญทองแดงส่งเข้ามา แต่ยังไม่โปรดเกล้าฯ ให้นำออกใช้ จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:51:47

ความคิดเห็นที่ 31 สมัยรัชกาลที่ 4  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นและได้นำเงินเหรียญของตนมาแลกกับเงินพดด้วงจากรัฐบาลไทยเพื่อนำไปซื้อสินค้าจากราษฎร แต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกและการค้าของประเทศเสียประโยชน์ พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ          ในปี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวาย เป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรียญกษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า "เหรียญเงินบรรณาการ" ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินจากบริษัท เทเลอร์ เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" ในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่มีการนำธนบัตรออกใช้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ออกประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:52:35

ความคิดเห็นที่ 32 สมัยรัชกาลที่ 5 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ พระองค์มีพระราชดำริว่า มาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณ และการจัดทำบัญชี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงใหม่ โดยใช้หน่วยเป็นบาท และสตางค์ คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบนเหรียญกษาปณ์ จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:53:26

ความคิดเห็นที่ 33 สมัยรัชกาลที่ 6 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้แต่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเหรียญกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนัก คือ 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์, และ 1 สตางค์          ในช่วงต้นรัชกาลยังคงใช้เหรียญที่ผลิตในรัชกาลที่ 5 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 จึงโปรดเกล้าฯให้ผลิตเหรียญเงินหนึ่งบาทประจำรัชกาล เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-ไอราพต จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:54:01

ความคิดเห็นที่ 34 สมัยรัชกาลที่ 7 ในรัชกาลนี้มีการผลิตเหรียญหมุนเวียนออกใช้ไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหรียญประจำรัชกาลที่นำออกใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ ตราพระบรมรูป-ช้างทรงเครื่อง จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:54:33

ความคิดเห็นที่ 35 สมัยรัชกาลที่ 8 เหรียญประจำรัชกาลที่ผลิตออกใช้หมุนเวียน เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-พระครุฑพ่าห์ ชนิดราคา 50, 25, 10 และ 5 สตางค์ มี 2 รุ่น คือ รุ่นแรกมีพระบรมรูปเมื่อครั้นเจริญพระชนมพรรษา จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:55:14

ความคิดเห็นที่ 36 สมัยรัชกาลที่ 9 เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ใช้ในรัชกาลปัจจุบัน มี 8 ชนิดราคา คือ 1 สตางค์ 5 สตางค์ 10 สตางค์ 25 สตางค์ 50 สตางค์ 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท          นอกจากนี้ยังมีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญ อันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหน่วยงานต่าง ๆ โดยผลิตทั้งเหรียญประเภทธรรมดาและเหรียญประเภทขัดเงา -------- ข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักกษาปณ์ http://www.royalthaimint.net อ้างอิงกระทู้ เงินตราโบราณของไทย น่าสะสม http://showcase7.create.in.th/index.php/th/webboard/5-/170-- แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 53 21:59:41 จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 21:58:12

ความคิดเห็นที่ 37 ตกลงคำว่า Tical นี่มีที่มาจากอะไรเหรอครับ   เคยเห็นบางที่บอกว่ามาจากคำว่า ตำลึง  แล้วทำไมถึงมาใช้แทนคำว่า BAHT จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 22:47:24

ความคิดเห็นที่ 38 เพิ่งเคยขึ้นกระทู้แนะนำครั้งแรกของชีวิต ปลื้มใจจัง จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 53 22:48:00

ความคิดเห็นที่ 39 จากหนังสือ ๑๐๐ ปีธนบัตรไทย พ.ศ.๒๔๔๕ - ๒๕๔๕ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย หน้า ๔๒๐ "บาท (Baht) เป็นหน่วยเงินตราของไทย มีค่าเก่ากับ ๑ ใน ๔ ส่วนของตำลึงตามมาตราชั่งตวงวัดของไทย คำว่า บาท นั้น ในสมัยก่อนชาวยุโรปเรียกว่า ติกอล (Tical) โดยปรากฏบนหมายที่ออกใช้ในรัชกาลที่ ๔ รวมทั้งธนบัตรและแสตมป์ที่ออกใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ คำว่า ติกอล สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า เซเกล (Shekel) ในภาษาฮิบรูซึ่งเป็นหน่วยของน้ำหนัก แต่ชาวอาหรับออกเสียงเป็น ทากัล (Thagal) และชาวยุโรปเรียกเพี้ยนอีกทอดหนึ่งเป็น ติกอล จำนวน ๑ เซเกลมีพิกัดน้ำหนักประมาณ ๑๕ กรัมเศษ ซึ่งมีน้ำหนักใกล้เคียงกับเงิน ๑ บาทของไทย ดังนั้น ชาวยุโรปจึงเรียกเงินบาทของไทยว่า ติกอล ไปด้วย ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของ รัฐบาลไทยได้ยกเลิกการใช้คำว่า ติกอล โดยเปลี่ยนมาเรียกทับศัพท์ว่า บาท (Baht) ตามคำภาษาไทย" จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:23:11

ความคิดเห็นที่ 40 ดูเพิ่มที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Thai_baht จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:25:31

ความคิดเห็นที่ 41 พอถึงรัชกาลที่ 6 กลายเป็นหนึ่งบาท จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:29:32

ความคิดเห็นที่ 42 ภาพด้านหลัง จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 08:30:22

ความคิดเห็นที่ 43 เสริมครับ  หมายอีกแบบหนึ่ง ใช้ในสมัย ร. 4 ที่เอามามีราคา 3 ตำลึง ใช้สามตำลึง      ให้แก่ ผู้เอาหมายนี้      มาให้ เกบหมาย        นี้ไว้ ทรัพย์จัก         ไม่สูญเลย ..... แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 53 13:17:17 จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 09:46:30

ความคิดเห็นที่ 44 ยังมีเงินที่ถูกพิมพ์แล้วแต่ไม่ได้ใช้คือ "กระดาษหลวง" ในช่วงปี พ.ศ. 2434 จากห้าง กีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ (en:Giesecke & Devrient) ประเทศเยอรมนี แต่ความไม่พร้อมของทางการจึง ไม่ได้ใช้ รูปที่นำมาแสดงนี้ราคา 40 บาท และ 100 บาท แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 53 01:58:04 แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 53 10:42:58 จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 10:41:57

ความคิดเห็นที่ 45 ตามมาเก็บความรู้ครับ จากคุณ : ฤ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 14:09:31

ความคิดเห็นที่ 46 จำนวน ๑ เซเกลมีพิกัดน้ำหนักประมาณ ๑๕ กรัมเศษ ซึ่งมีน้ำหนักใกล้เคียงกับเงิน ๑ บาทของไทย ^ ^ ^ 15กรัมนี่น่าจะเป็นน้ำหนักทองมากกว่ามั้งครับ   เพราะทอง1บาทหนัก15.2กรัมนี่     ผมไม่เคยได้ยินว่าน้ำหนัก1บาทใช้กับค่าเงินนะ   นอกจากทองกับพวกเครื่องยาสมุนไพร จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 16:55:20

ความคิดเห็นที่ 47 ^ เหรียญกษาปณ์ทำด้วยโละหะเงิน ในสมัยรัชกาลที่ ๔-๖ ต่างก็มีน้ำหนัก สอดคล้องตามราคาหน้าเหรียญ ครับ เช่นที่นำชมนี้ เป็นเหรียญ ๒ บาท ถ้าเอาไปชั่ง ก็ได้ ๓๐.๖ กรัม ครับ ส่วนเหรียญบาท ก็หนัก ประมาณ ๑๕ กรัมกว่าๆ ครับ จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 53 20:13:05

ความคิดเห็นที่ 48 เรียนคุณวังเหนือ น่าจะเป็นปีพ.ศ. 2434 มากกว่านะครับ จากคุณ : ethanoic เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 53 21:21:43

ความคิดเห็นที่ 49 เงินตราในสมัยก่อน ไม่ได้เป็นอย่างเงินตราในสมัยปัจจุบัน เขาอ้างอิงกันด้วยโลหะมีค่า เงิน หรือ ทอง ที่มีน้ำหนักเป็นมาตรฐานครับ ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสมัยนี้ จากคุณ : CrazyHOrse เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 53 23:59:10

ความคิดเห็นที่ 50 อะจ๊าก #44 ผิดจริง ๆ แก้เป็น พ.ศ. 2434 แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 53 01:59:07 จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 01:57:45