ความคิดเห็นที่ 1 ที่ผมสงสัย อยู่ข้างล่างนี่ครับ ในเมื่อการผลิตสิ่งทอยังไม่สามารถแพร่หลายขนาดนั้น แล้วการผลิตสิ่งที่ต้องใช้ทักษะสูงมากกว่าอย่างการผลิตทองนี่ มาจากไหนกันแน่ ? จากคุณ : มารกระบี่ (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 05:22:42

ความคิดเห็นที่ 2 มีการหลอมทองแล้ว แต่ทำไมการผลิตเสื้อผ้าถึงได้ไม่ค่อยพบเจอ หรือวัตถุดิบมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ? จากคุณ : มารกระบี่ (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 05:24:09

ความคิดเห็นที่ 3 ีอันนี้ เครื่องประดับครับ จากคุณ : มารกระบี่ (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 05:25:16

ความคิดเห็นที่ 4 สร้อยคอ อีกอันครับ มันน่าแปลกที่ การผลิตสิ่งทอไม่พัฒนามาก แต่อย่างอื่นเช่น ผังเมือง, การผลิตโลหะ, ฯลฯ กลับมีพัฒนาการที่สูงมาก แสดงว่า มีการติดต่อกับโลกภายนอกอยู่ด้วยครับ จากคุณ : มารกระบี่ (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 05:30:34

ความคิดเห็นที่ 5 วันนี้ถามเรื่องประวัติศาสตร์กฎหมายไทยอาจตอบได้เป็นคุ้งแม่น้ำแคว 555   แต่ถามเรื่องเปอร์เซียต้องคุ้ยตำราอีกห้อง .. จริงๆแล้ว การผลิตทองมีมาก่อนหน้านั้นค่ะ ถ้าจะว่ากัน ฮารัปปาเป็นกลุ่มคนที่น่าจะรับวิทยาการมาจากชาว Sumerส่วนหนึ่ง (ก็เป็นได้)  เรื่องวิทยาการของ ซูเมอร์ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร แล้วศิลปะการทำทองคำ หรือทอผ้าก็มีมานานแล้วค่ะ  ละแวกฮินดูกูช จะว่าไม่มีอารยธรรมก็ไม่ใช่  มีผู้คนอาศัยเกาะกลุ่มกันมานาน และมีอารยธรรมวิทยาการสูงส่งทั้งนั้น   เลยเอางานทองเก่าๆมาให้ดู  ลองทายสิคะว่า  อายุสักเท่าไหร่   2600 BC ค่ะ  หมวกเจ้าชายSumor อาจจะสวมเวลาออกรบ ว้ว่างๆจะมาช่วยตอบอีกค่ะ ประเด็นแบบนี้ชอบๆๆ ....ตอนนี้ขอตัวไปปั่นงานหลวงก่อนนะคะ จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 05:43:32

ความคิดเห็นที่ 6 หมวกทองออกศึก? ไม่ต้องไปออกก็มีสิทธิคอหักตายเองก่อนมั้งนั้น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 09:55:06

ความคิดเห็นที่ 7 ขอตามมานั่งอ่านด้วยคนนะครับ แต่งานยุ่งมากๆ อาจจะไม่ได้ตอบหรือแสดงความคิดเห็น จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 11:52:42

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องเจองานปั้นเปลือยเยอะมากนี้ อาจจะเป็นเพราะค่านิยมของพวกเขาที่ชอบปั้นรูปเปลือยหรือเปล่า เหมือนอย่างคนกรีกไง ซึ่งปรกติก็มีเสื้อผ้าใส่ แต่กลับชอบปั้นรูปเปลือยเป็นจำนวนมากก จากคุณ : bmjas เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 12:30:32

ความคิดเห็นที่ 9 เสื้อผ้าผมว่าขาดแคลนมากอย่างน้อยก็จนกระทั่งสมัยพุทธกาลนั่นแหละครับ ลองเปิดอ่านพระไตรปิฎกดูโดยเฉพาะวินัยปิฎก จะเห็นได้ถึงความสำคัญของผ้าครับ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 13:12:28

ความคิดเห็นที่ 10 เสื้อผ้านี่ผมสันนิษฐานว่าเป็นเพราะความร้อน-ภูมิศาสตร์ที่คล้ายๆไทยนะครับ         ดังจะเห็นว่าขนาดไทยในรัชกาลที่5    ไพร่ส่วนใหญ่ก็นุ่งผ้าแบบผ้าเตี่ยวผืนเดียว    เสื้อไม่ค่อยใส่    รองเท้าก็ไม่ค่อยมี ซึ่งดูจากเทพเจ้าฮินดูแล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่เสื้อด้วย    ซึ่งก็น่าจะเป็นลักษณะของคนแถบนี้มาแต่เดิม จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 17:18:31

ความคิดเห็นที่ 11 เอ   สมัยฮารัปปา-โมเฮนโจดาโรนี่น่าจะราวๆ4500-5000ปี    มีการหลอมโลหะแล้วเหรอครับ     เท่าที่จำได้ฮิตไทต์ซึ่งเป็นอารยันสายหนึ่งเป็นผู้คิดค้นนี่นา จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 19:51:58

ความคิดเห็นที่ 12 (เชื่อกันว่า) ฮิตไทต์ ค้นพบวิธีหลอมเหล็กครับ ส่วนทองแดง และสำริด (น่าจะรวมทั้งทองคำ) มีมาก่อนฮิตไทต์ถลุงเหล็กได้นานพอควรเชียวครับ ป.ล. ไม่ได้ลงรายละเอียดข้อมูลเพราะช่วงนี้ไม่ว่างจริง ๆ ครับ ต้องขออภัย จากคุณ : เจ้าคุณแม่ทัพ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 20:06:28

ความคิดเห็นที่ 13 ตามมาอ่านค่ะ.. จากคุณ : Pooklook ~ all my heart เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:15:39

ความคิดเห็นที่ 14 ตามมาอ่านเหมือนกันคับ จากคุณ : กริชครับผม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:31:18

ความคิดเห็นที่ 15 เอ   ว่าแต่ใครพอจะทราบบ้างครับ     ว่าอารยันสายอินเดียนี่อยู่ไปถึงเนปาล ภูฐาน ธิเบตด้วยรึเปล่าน่ะครับ      เพราะเท่าที่ทราบ    อารยันส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคกลางไปจนถึงทางเหนือของอินเดีย       ทางใต้ส่วนใหญ่จะเป็นดราวิเดียน จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 21:49:59

ความคิดเห็นที่ 16 รออ่านอยู่นะคะ จากคุณ : thezircon (thezircon) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 11:27:14

ความคิดเห็นที่ 17 ไหนๆมีคนมารออ่าน    หาเรื่องเกี่ยวกับอารยันมาเล่าก็แล้วกัน มหาภารตะนั้นถึงแม้ว่าพระเอกของเรื่องคือพระกฤษณะ   ซึ่งเป็นวิษณุอวตาร      แต่เหล่ากษัตริย์ปาณฑพทั้ง5นั้น     ล้วนแล้วแต่มีกำเนิดมาจากเทพทั้งนั้น   คือ 1 พระยุธิษเฐียร (ยุธิษ์ฐีร)   กำเนิดจากพระยม 2 พระภีมเสน   กำเนิดจากพระพายุ 3 พระอรชุน  กำเนิดจากพระอินทร์ 4 พระนกูล  กำเนิดจากพระนาสัตยอัศวิน  (มูลแห่งนาม  พระยาราชนกูล   ซึ่งภายหลังมาเชียนผิดเป็น ราชนิกูล บ้าง ราชนุกูล บ้าง 5 พระสหเทพ  กำเนิดจากพระทัสรอัศวิน  (มูลแห่งนามพระยาศรีสหเทพ) พระนกูลกับพระสหเทพนั้นเป็นลูกแฝด    พ่อก็เป็นเทวดาแฝด จากนี่จะเห็นได้ว่าเทพทั้ง5องค์นั้น  เกี่ยวข้องกับตะวันทั้งหมด พระอินทร์เป็น1ในพี่น้องพระอาทิตย์ พระยมเป็นโอรสของพระสูรยะ  ซึ่งเป็น1ในพี่น้องพระอาทิตย์ พระพายุตามปุราณะว่าเป็นโอรสพระกสปะกับนางอทิติ    จึงนับว่าเป็นอาทิตย์องค์หนึ่งเหมือนกัน พระอัศวินวิษณุปุราณะว่าเป็นโอรสพระอาทิตย์-สุรยะ ในส่วนนี้สันนิษฐานว่า     1 เทพทั้ง5เป็นเทพดั้งเดิมของอารยัน     เพราะเกี่ยวข้องกับตะวันทั้งสิ้น 2 วิษณุอวตารได้แต่งเติมเข้ามาในภายหลัง    หลังจากพระวิษณุเริ่มเป็นที่นับถือ 3 ฝ่ายปาณฑพ-อารยันอินเดีย   เมื่อรบชนะ   ก็ได้โอกาสเอาเทพมาผนวกเข้ากับผู้นำของตน จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 19:02:25

ความคิดเห็นที่ 18 เท่าที่ดูจากประติมากรรมดินเผานั้น ผมว่ามันได้แสดงถึงร่องรอยของการใช้เครื่องแต่งกายอย่างแพร่หลายแล้วนะครับ เพราะมันได้แสดงว่าเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ใช้แพร่หลายในชนพื้นเมือง แต่เสื้อผ้าไม่ได้นิยมห่มคลุมร่างกายแบบชาวอารยัน หากแต่ใช้เพียงปกปิดร่างกายเพียงบางส่วนเท่านั้น ประติมากรรมบางรูปได้แสดงถึงการใช้ผ้าโพกศีรษะ ที่อาจแสดงค่านิยมการให้ความสำคัญของศีรษะมากว่าการปกปิดของสงวนด้วยเสื้อผ้าก็เป็นได้ ส่วนเรื่องงานโลหกรรมนั้น ก็ได้มีใช้แพร่หลายทั่วไปของชนพื้นเมืองในรูปของขวานที่ทำจากทองแดง และภาชะที่ทำจากทองแดงที่สันนิษฐานว่าใช้เฉพาะในชนชั้นสูง ซึ่งน่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย จากคุณ : LALITASANA เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 22:33:29

ความคิดเห็นที่ 19 เครื่องมือเครื่องใช้ชาวฮารัปปา จากคุณ : LALITASANA เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 53 22:42:16

ความคิดเห็นที่ 20 แต่ทำไมการผลิตเสื้อผ้าถึงได้ไม่ค่อยพบเจอ หรือวัตถุดิบมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ? ^ ^ Rep2 ความเห็นส่วนตัวนะครับ  เคยคุยกับนักวิจัยที่ uk ตอนไปเยี่ยม British museum เรื่องเสื้อผ้านี่เหมือนกัน ว่าทำไมของที่โชว์ๆอยู่มีแต่พวกโลหะ หรือวัตถุประดิษฐ์ แต่ของง่ายๆอย่างเสื้อผ้ากับไม่ค่อยมี เจ้าหน้าที่ (ส่วนใหญ่เป็นอจ. ด้านปวศ ที่มาทำงานกึ่งๆการกุศลด้วย) พี่แกอธิบายคร่าวๆว่า - เสื้อผ้านั้นน่าจะมีใส่เป็นปกติพอสมวครแล้วในยุคนั้น - สาเหตที่พบเสื้อผ้าน้อยมาก คงเป็นเพราะ วัตถุดิบต่างๆที่ใช้ทำนั้นมี ความคงทนน้อยมาก (ขนสัตว์ เนื้อผ้าต่างๆ) และการฝังศพในสมัยก่อน มัก ไม่ได้มีการบรรจุโลง หรือพื้นที่ปิดมิดชิดทำให้วัตถุเหล่านี้เสื่อมสลายอย่าง รวดเร็วมากตามธรรมชาติ จนไม่รอดมาให้นักวิจัยศักษา พี่แกอธิบายแบบนี้ครับ  เพราะตอนแรกผมถามเนื่องจากอยากรู้ว่าคนแถว นั้นสมัยก่อนแต่งตัวยังไง แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 53 01:02:27 แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 53 00:53:23 จากคุณ : Kross_ISC เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 00:52:39

ความคิดเห็นที่ 21 มีเหตุผลครับ    เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของอินเดียก็คล้ายๆไทย   คือร้อนชื้น     ซึ่งเป็นอากาศที่เหมาะแก่การเน่าเปื่อยย่อยสลายมาก     เอาแค่ศพในไทยไม่ใส่โลง  ฝังทิ้งไว้ซัก100ปี      ขุดขึ้นมาก็เหลือแต่กระดูกไม่เหลือเสื้อผ้าแล้ว        อีกทั้งยิ่งอากาศร้อนชื้น   ดราวิเดียนก็คงไม่ใส่เสื้อผ้ามากชิ้นด้วย   ยิ่งไม่เหลือมาถึงปัจจุบัน   ดังนั้นก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ไม่พบเจอเสื้อผ้าในอารยธรรมของดราวิเดียน เดี๋ยวจะลองทำสรุปเกี่ยวกับมหาภารตะที่ถกกันมาหลายกระทู้    ว่าน่าที่จะเป็นมายังไง   เทียบกับความเป็นจริง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 02:38:09

ความคิดเห็นที่ 22 เหตุผลเรื่อง "วัตถุดิืบ" พอจะเข้าใจนะครับ ... แต่อย่างว่าแระครับ จากตุ๊กตาดินเผาทั้งหมด แสดงให้เห็นค่อนข้างชัดว่า ปกติผู้ชายจะไม่ใส่เสื้อผ้ากัน...เลย ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นสมัยนิยมหรือเปล่า ถ้าติ๊ต่าง ว่า สังคมฮารัปปาเป็นสังคมบูชาเพศแม่ รูปแบบของสังคม จะนับถือผู้หญิงเป็นชนชั้นที่เหนือกว่าผู้ชาย ดังนั้น ผลผลิตที่มีจำนวนน้อย ย่อมต้องแบ่งสันแก่ชนชั้นสูงกว่าก่อน แล้วค่อยๆ ลำดับมาให้ชนชั้นที่ต่ำกว่า หรือ "ไม่แบ่งให้เลย" ซึ่งผมมีความเห็นว่า มันไม่น่าจะสมัยนิยมถึงขนาดที่ต้องไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย นอกจากกรณีเดียว คือ ... "มันมีน้อยเกินไป" กรณีนี้ค่อนข้างต่างกับสังคมไทยสมัยโบราณ เนื่องจากเสื้อผ้าไม่ค่อยมีความจำเป็น เพียงไว้ปกปิดร่างกายไว้เท่านั้น แต่ก็สังเกตว่า ทุกชนชั้นมักจะมีเสื้อผ้าปกปิดร่างกาย ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพัฒนาสิ่งทออะไรให้มากนัก เพียงให้พอกับความต้องการของตลาดอันน้อยนิดก็สามารถใช้ได้แล้ว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมปัจจุบันสาวๆ ถึงนิยมใส่สั้นๆ กันเยอะ หรือเพราะ มันมีกำลังการผลิตต่ำกันแน่เนอะ จากคุณ : มารกระบี่ (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 07:22:40

ความคิดเห็นที่ 23 มหาภารตะ--ข้อสันนิษฐานที่ถกกันมา 1  ใครรบกับใคร สันนิษฐานและมีความเป็นไปได้สูง    ว่าเป็นการรบระหว่างอารยันด้วยกันเอง     ระหว่างอารยัน2เผ่า   คืออารยันที่จะอพยพไปอิหร่าน   กับอารยันที่จะอพยพไปอินเดีย        โดยอารยันอินเดียก็คือฝ่าย ปาณฑพ    อารยันอิหร่านก็คือฝ่ายเการพ 2  เกิดที่ไหน   ตามมหาภารตะว่าการรบเกิดที่ทุ่งกุรุเกษตร        จากจุดนี้   และความเกี่ยวพันของตัวละครทั้งสองฝ่าย       คาดว่าน่าจะเป็นสงครามที่เกิดขึ้นในแถบเอเชียกลาง     ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของอารยันก่อนที่จะอพยพแยกย้ายกันไป     อีกทั้งอารยันมีลักษณเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์     ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสมัยนั้นอารยันก็อาศัยในภูมิประเทศแบบทุ่งหญ้า        อีกทั้งจากความสัมพันธ์ของตัวละครในมหาภารตะ    ถึงแม้จะเป็น2ฝ่าย   แต่ทั้งฝ่ายปาณฑพและเการพนั้นเป็นญาติที่สนิทกันทีเดียว     การรบกันจึงน่าจะเป็นสมัยที่อารยันอินเดียและอารยันอิหร่านยังใกล้ชิดกันอยู่ที่เอเชียกลาง 3  ใครชนะ ตามมหาภารตะว่าฝ่ายปาณฑพรบชนะฝ่ายเการพ     ซึ่งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ชี้ให้เห็นว่า    อารยันอิหร่านได้เริ่มอพยพออกจากเอเชียกลางก่อนอารยันอินเดีย     ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะฝ่ายอารยันอิหร่านรบแพ้    จึงต้องอพยพหนีอารยันอินเดียออกมา 4  เกิดเมื่อไหร่ ตามมหาภารตะว่าสงครามสิ้นสุดลงพร้อมๆกับเป็นการเริ่มต้นของกลียุค     ซึ่งตามความนิยมข้างไสยศาสตร์ว่ากลียุคได้เริ่มตั้งแต่ 2559 ปีก่อนพุทธศักราช    เมื่อเอา 2559 มารวมกับพุทธศักราชอีก 2553   ก็จะได้เวลา 5113ปี           ซึ่งจุดนี้ก็จะค่อนข้างไปตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์    ว่าอารยันอิหร่านอพยพออกจากเอเชียกลางมาสู่ดินแดนเปอร์เซียราวๆ5000กว่าปีมาแล้ว มีใครเห็นว่ามีจุดที่ควรจะเสริม-แก้ไขรึเปล่าครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 53 19:56:46

ความคิดเห็นที่ 24 รอคนมาต่อความยาวนะขอรับ (- -*) จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 12:36:33

ความคิดเห็นที่ 25 แหม    ยังหามุขมาว่าต่อไม่ได้เลย      ใครช่วยหาประเด็นมาว่าหน่อยสิครับ     แล้วผมจะได้เสริมตามข้อมูลที่มี+วิเคราะห์ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 19:23:30

ความคิดเห็นที่ 26 มานึกๆได้     ว่าพิธีกรรมในมหาภารตะและรามายณะ   มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับม้าอยู่บ่อยๆ   เช่น พิธีปล่อยม้าอุปการ   พิธีอัศวเมธ   ในกรณีนี้ผมสันนิษฐานว่าเป็นพิธีของอารยันแท้ๆ       เพราะอารยันเดิมเป็นชนเผ่าที่เร่ร่อนเลี้ยงสัตว์      ดังนั้นสัตว์ที่น่าจะใกล้ชิดกับอารยันก็ควรจะเป็น วัว และ ม้า     ซึ่งวัวก็กลายเป็นพาหนะของพระศิวะไปในภายหลัง      ส่วนม้าก็ถูกนำมาประกอบเป็นพิธีของกษัตริย์มากมาย จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 23:22:56

ความคิดเห็นที่ 27 บังเอิญไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับอารยันและดราวิเดียนอีกเรื่อง   ยกมาให้อ่านละกันครับ +++ ถ้าหากจะแลดูแต่เผินๆ   ก็น่าจะคิดว่าเป็นเรื่องของพุทธศาสน์แท้เพราะเป็นเรื่องแสดงความไม่เห็นด้วยในการบูชายัญด้วยมนุษย์หรือด้วยสัตว์ที่ทำประโยชน์แก่มนุษย์นั้น      มีมาแต่ในโบราณสมัยก่อนพุทธกาลแล้ว    มีพยานอยู่คือในพระเวทมีข้อความอยู่หลายแห่งซึ่งติเตียนชนซึ่งอริยกะเรียกว่าทัสยุ   คือเป็นคนดำซึ่งอยู่ในพื้นเมืองมัธยมประเทศแต่เมื่อก่อนพวดอริยกะได้อพยพเข้ามา    ติเตียนกันว่าพวกทัสยุเป็นผู้ที่มีความเชื่อถือลัทธิผิดและประพฤติกิจลามกต่างๆ     มีฆ่ามนุษย์และโคบูชายัญเป็นต้น ฯ     เรื่องนี้ยกมากล่าวพอเป็นพยานให้เห็นว่า      เรื่องชาดกก็ดี   อวตารต่างๆก็ดี     ย่อมเป็นนิทานที่มีอยู่ในพื้นเมืองแล้วแต่โบราณกาล      แต่หากคณาจารย์ชั้นหลังเก็บเอามาใช้เพื่อประโยชน์ในการสั่งสอนลัทธิของตน    และยกเอาคนสำคัญในเรื่องนั้นๆ   เป็นโพธิสัตว์หรืออวตาร    เพื่อปลูกความเลื่อมใสให้ยิ่งขึ้นเท่านั้น  ฯ +++ ยาวชะมัด    พิมพ์เมื่อยเลย จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 53 23:33:01