|
ความคิดเห็นที่ 8 |
งงกับเรื่องราวที่ว่า
"อาจารย์ให้แปลนิยาย แล้วบอกว่าจะจ่ายเงินให้"
นั่นก็เพราะว่า
"ถ้าเราสอนให้คุณแปล เราไม่มีทางจ่ายเงินให้คุณหรอก"
เรายังงงว่า
"อาจารย์คุณสอนยังไง?"
วิธีสอนการแปลที่เราคิดขึ้นมาได้นะ แปลกที่สุด นั่นก็คือ เราตั้งสมมุติฐานว่า
"คนที่จะแปลได้นั้นต้องเป็น bilingual"
และเราก็สอนเพียงแค่
"แนะแนวว่า ผู้เรียนจะปฏิบ้ติตนอย่างไรจึงจะเป็น bilingual ได้"
แค่นี้ก็จบกัน ไม่สอนอะไรอีก เรื่องการแปลที่เหลือ คุณไปคิดเอาเอง เรื่องพวกนี้นะ เป็น hot issue ที่เราเึคยมี debate กับแฟนเราซี่งจบอักษรศาสตร์จุฬา ปริญญาโทการแปลจุฬา ที่เคยเอาตำราการแปลมาให้เราอ่าน เราขว้างทิ้งไปเลย แล้วบอกว่า
"การสอนการแปลที่ดีที่สุดก็คือสอนให้ผู้เรียนใช้ logical reasoning (induction, deduction และ abduction) เพื่อสร้างทฤษฎีการแปลขึ้นมาได้เอง ที่เหมาะกับตัวเขาเอง ไม่ใช่ไปนั่งอ่านทฤษฎีการแปลที่ใครเขียนขึ้นมา"
debate แบบนี้ทำให้แทบจะตีกันตายแน่ะ...นั่นก็เพราะว่าเราเรียนการแปลด้วยวิธีการที่ unconventional มากๆ แต่ตอนจบเรากับแฟนเราก็ยังคงช่วยกันทำงานแปลมาตลอด โดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละคนอุดรอยรั่วจุดอ่อนของแต่ละคน แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันน่ะ
เราเดาว่าอาจารย์คุณคงสัญญาคุณว่า ให้คุณแปลมา แล้ว อาจารย์คุณจะ edit(ตรวจแก้) คำแปลคุณ แล้วทุ่นแรงอาจารย์คุณ อาจารย์คุณก็จะจ่ายเงินให้คุณ (เป็นบางส่วน) ตกลงอย่างนี้อาจารย์คุณก็เอาชื่อตัวเองไปขายให้สำนักพิมพ์ แล้วอาจารย์ไม่ได้แปลเองน่ะสิ หลอกกินเงินสำนักพิมพ์ฟรีๆ แล้วยังไม่ต้องเตรียมการสอนอีก เพราะศิษย์มัวแต่แปลหนังสือให้อาจารย์...555+++...
แต่ขอโทษทีนะ
"วิธีนี้ มันไม่ได้ผลหรอก มีแต่จะตายทั้งกลม ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์" จะบอกให้ว่าเพราะอะไร?
เมื่ือปีัที่แล้ว เรารับทำงานเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้สำนักพิมพ์ระดับบิ๊กๆแห่งหนึ่ง เจอหนังสือ 2 เล่มที่แปลโดบอาจารย์ที่สอนการแปลในมหาลัย ให้ศิษย์แปลมา หนังสือแต่ละเล่ม มีการฉีกออกมาให้คน 4 คนแปล แบบว่าแปลออกมา 4 สำนวน มีแปลผิด แปลตก แปลเกิน แปลเพี้ยน เพียบเลบ...!!!
การสอนการแปลแบบ อยู่ดีๆให้แปลออกมา แล้วมาแก้กันเละน่ะ มันไม่ได้ผลหรอก ก่อนให้ลงมือแปล มันต้องสอนให้ผู้เรียนเตรียมตัวอย่างถูกต้องด้วย เช่นสอนให้ จับเอา source text และ target text มารื้อโครงสร้างเพื่อเขียนมันใหม่ด้วย sentence structure types ที่พลิกแพลงในหลายๆรูปแบบได้ แต่ให้คงไว้ซึ่งความหมายเดิม สอนให้ผู้เรียนค้นข้อมูลเพื่อการแปลงานชิ้นปัจจุบันและค้นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ให้กลายเป็น bilingual ได้ด้วยตนเองต่อไปได้ในอนาคติ ส่วนไอ้เีรื่องจะมาแปลแล้วแก้กันน่ะ มันก็ต้องมีหลักการด้วยว่าจะแปลยังไง แล้วแก้ยังไงเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่อยู่ดีๆอาจารย์ไปเอาหนังสือจากสำนักพิมพ์มาให้ศิษย์แปล ทั้งๆที่ศิษย์ยังอ่านภาษาอังกฤษง่ายๆแทบจะไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็แปลมั่วแก้มั่วมา (เผลอๆอาจารย์ไม่ได้แก้ด้วย แต่รับทรัพย์ฟรีๆจากสำนักพิมพ์โดยไม่ต้องออกแรง)
ถามว่า จขกท ไปเรียนการแปลกับอาจารย์ท่านนี้หรือเปล่า ที่อาจารย์เอาหนังสือแต่ละเล่มมาฉีกให้ศิษย์ 4 คนช่วยกันแปล แบบยำใหญ่หนังสือมา?
เราเล่าให้ซือเจ๊ซึ่งคร่ำหวอดในวงการแปล บอกว่า
"เจอแบบนี้นะ อาจารย์ก็เป็นนักแปลที่มีชื่อเสียง แล้วอาจารย์แปลเองแต่เป็นอัลไซเมอร์หรือโรคชราภาพ เลยแปลมา แล้วเพี้ยน หรืออาจารย์เอาให้ศิษย์อ่อนหัดแปล แล้วอาจารย์ไม่ได้ตรวจ แต่ดันส่งมาให้บรรณาธิการต้นฉบับที่น่าสงสารอย่างเรา แก้กันอุตลุด มันยังไงกันแน่หว่า"
ซือเจ๊เราผู้รู้กิติศัพท์นักแปลคนดังซึ่งเป็นอาจารย์สอนการแปลด้วย ตอบว่า
"โหถ้าแปลออกมาแบบนี้นะ อาจารย์ต้องให้ศิษย์แปล (โดยที่อาจารย์ไม่ได้ตรวจเลย) และศิษย์ก็เป็นอัลไซเม่อร์อีกด้วย อย่างแน่นอน....555+++..."
แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 53 09:19:23
แก้ไขเมื่อ 07 ก.พ. 53 15:03:08
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.พ. 53 14:56:09
|
|
|
|
|