ความคิดเห็นที่ 1 เขาทำกันได้ยังไง? เปลี่ยนวิธีสอบ เพิ่มวิชาสอบ เหล่านี้มันล้วนแต่ทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างเด็กปีที่แล้วกับเด็กปีนี้ นั่นน่ะสิ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 06:09:29

ความคิดเห็นที่ 2   มั่วกันเข้าไป เปลี่ยนกันเข้าไป ผมแอดมิดชัน รุ่น4 รุ่นสุดท้าย ตอนนี้ปี 1 จะขึ้นปี2 ดีที่ผมผ่านมาได้ ระบบแอดมิดชัน เขาคิดคะแนนตรงส่วนที่เป็นเกรดเฉลี่ยสะสมจากโรงเรียนงี้ครับ เกรด 4 = 100% เกรด 3 = 75% เกรด 2 = 50% เกรด 1 = 25% อย่างนี้ลดหลั่นกันไป แต่คิดดูว่า เกรด 4 = เรียนได้ 80% - 100% แล้วถ้าคนที่รู้เรื่องแค่ 80% ก็ได้20% ฟรีๆ เกรด 1 = เรียนได้ 0 - 50% ถ้าคนที่เขารู้เรื่อง 50% แ่ต่เข้าได้คะแนนแค่ 25% ปล.ผมอยู่ประมาณ เฉลี่ย 3 กว่า เลยไม่ต้องรับกรรมที่ไม่่ได้ก่อตรงนี้ ไม่รู้ไอ้กรรมการมันตรวจสอบมาไงกัน ยิ่งออกยิ่ง ค ว า ย จากคุณ : Guiman เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 09:34:14

ความคิดเห็นที่ 3 โดยส่วนตัวเห็นว่าเป็นข้อสอบที่สนุกดี แต่ว่ามันเหมาะสำหรับรุ่นนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ ผมห่างจากการเรียนระดับมัธยมไปมาก เลยไม่รู้ว่าระบบการสอนเดี๋ยวนี้เน้นที่การวิเคราะห์ขนาดไหน ส่วนเรื่องเทนนิสผมว่าเกินไป ผมก็ไม่ได้เรียนเป็นวิชาหลักนะ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 11:31:33

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับผม ต่อข้อความท้วงติงดังกล่าว ผมมีความคิดเห็นดังนี้ครับ 1.1) เห็นด้วยครับ ข้อสอบที่กำกวม ไม่ชัดเจน ผู้ออกข้อสอบควรออกมายอมรับ ปรับปรุง และ ไม่ควรเกิดขึ้นอีก 1.2) ไม่เห็นด้วยครับ อย่างที่ทราบกันดีครับว่าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นเป็นกรอบกว้างๆ แล้วให้สถานศึกษาผลิตหลักสูตรสถานศึกษาขึ้นใช้โดยอิงตามหลักสูตรแกนกลาง ดังนั้นหากจะบอกว่าให้ทุกโรงเรียนสอนกีฬาชนิดเดียวกัน นี่ก็เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะการเลือกสอนตามความพร้อมและความเหมาะสม เป็นมาตั้งแต่หลักสูตรเก่าแล้วครับ ดังนั้น ไม่เกี่ยวกับหลักสูตรครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หลักสูตรครับ ปัญหาอยู่ที่การสอน เพราะหลักสูตรไม่ได้ต้องการให้ผู้เรียน เชี่ยวชาญในกีฬาที่จัดสอน เช่น สอนฟุตบอลแล้วจบมาต้องเล่นฟุตบอลเก่ง แข่งขันได้ นี่เป็นการตีความแบบผิดๆ ของผู้สอนครับ หลักสูตรต้องการให้ผู้เรียน "อธิบายและปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิ กฏ กติกา กลวิธีต่าง ๆ ในระหว่างการเล่น" ดังนั้น ข้อสอบถามแบบนี้ได้ครับ 2) ไม่เห็นด้วยครับ Expected Value ที่ได้เป็นคะแนนที่ผู้สอบเดาสุ่มโดยไม่มีความรู้แล้วได้คะแนน โดยหลักการแล้วไม่ควรมีครับ ควรจะเป็น 0.00 คะแนน การลด Expected Value ลงได้เป็นสิ่งที่ควรทำครับ ถ้าคุณเก่งจริง ข้อสอบออกมาในรูปแบบไหน คุณก็ควรทำได้ครับ ส่วนที่ว่าจะต้องนำคะแนนสอบไปเปรียบเทียบกับเด็กรุ่นก่อนจึงไม่ยุติธรรม เรื่องนี้ต้องทำการทดสอบทางสถิติครับ และนี่เป็นการยืดหยุ่นของ ทปอ. เองครับ สทศ. ไม่เกี่ยวข้องใดๆ 3.1) เห็นด้วยครับ อย่างไรก็ตาม ในหลักการเดิมแล้ว ทปอ. จะไม่รับเด็กรุ่นก่อนเลยด้วยซ้ำครับ ตรงนี้เป็นการยืดหยุ่นให้ครับ 3.2) เห็นด้วยครับ การสอบเพียงครั้งเดียวแล้วนำผลไปใช้โดยไม่มีการสอบซ้ำ จริงๆ แล้วเกิดจาก ทปอ. ไม่ต้องการให้มีเด็กซิ่ลในระบบครับ จริงๆ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ แต่สำหรับการนำผลไปชี้ชะตาอนาคตเด็กทั้งชีวิต ส่วนนี้เป็นเรื่องของ กสพท. ครับ และขอให้เข้าใจอีกอย่างหนึ่งครับว่า สทศ. นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ข้อ 1) และ 2) ส่วนข้อ 3) นั้น เป็นอำนาจของ ทปอ. ครับ แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 53 13:34:52 จากคุณ : นายนู้น เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 13:25:20

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 4 การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้การศึกษามีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น การนำสาระการเรียนรู้ที่ไม่เคยสอบมาก่อน เช่น สาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษามาสอบอนั้น เป็นการเน้นว่า นอกจากการเรียนในวิชาหลักแล้วนั้น ผู้เรียนควรจะสนใจในการเรียนวิชาที่พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วย กลุ่มสาระการเรียนรู้ไหนที่ไม่ได้นำมาสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนั้น นักเรียนมักจะไม่สนใจเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติ นักเรียนลองถามตัวเองนะค่ะว่า ให้ความสำคัญกับการเรียนในทุกกลุ่มสาระการเรียนทุกกลุ่มหรือไม่ เมื่อนำมาออกข้อสอบนักเรียนจึงทำไม่ได้นั่นเอง จากคุณ : The Old Woman เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 17:52:48

ความคิดเห็นที่ 6 #5 ถูกต้องครับ ความสนใจเรียนในกลุ่มสาระฯ สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปและการงานอาชีพฯ น้อยกว่า กลุ่มสาระฯ ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ เป็นความจริงครับ เรียนแค่เพียงพอผ่านไปวันๆ ผมเองได้อ่านหลักสูตรแกนกลาง 2551 แล้วยังตกใจเลยครับ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่หลักสูตรต้องการนั้นสูงมากๆ เมื่อเทียบกับสภาพจริงในชั้นเรียน การที่ออกมาบอกว่าข้อสอบนั้นยากเกินไป ผมว่ามันประหลาดครับ การออกข้อสอบนั้น ไม่ใช่ว่าอยากจะออกอะไรก็ออก โดยเฉพาะข้อสอบระดับชาติ ต้องกำหนด Blueprint อย่างละเอียด แล้วออกข้อสอบที่สอดคล้องในจำนวนมากเพื่อนำไปสุ่มเลือกใช้ อีกทั้งต้องมีการตรวจสอบอีกหลายขั้นตอน กว่าจะออกมาเป็นข้อสอบได้ แปลกนะครับ สรุปว่าผู้ออกข้อสอบผิด เพราะทำไม่ได้ มันยากเกินไป ทั้งๆ ที่ข้อสอบก็ออกตามหลักสูตร ทำไมไม่โทษตัวเองบ้างล่ะครับ จากคุณ : นายนู้น เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 19:08:50

ความคิดเห็นที่ 7 ู^ หลักสูตรแกนกลาง 2551 ยังไม่ได้ใช้ในรุ่นนี้ครับ การจะใช้หลักสูตร ต้องใช้กับรร.นำร่อง แล้วตามด้วยรร.ทั่วไป ซึ่งรุ่นนี้ยังไม่ได้เรียนหลักสูตรนี้ ถามว่าความผิดใครล่ะครับ? เด็กผิดมากๆเลยครับที่ไม่ได้เรียนหลักสูตรปี2551 แต่จุดประสงค์ที่ชี้วัด เป็นของปี2551 ถ้าคนออกข้อสอบ ตอบไม่ได้ว่า ใช้อะไรออกข้อสอบ ระหว่าง หัวแม่เท้า กับ ส้นเท้า ก็สมควรจะโดนด่าแล้วล่ะครับ ด้วยความสัตย์จริง จากคุณ : ??? (int.anti) เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 19:48:58

ความคิดเห็นที่ 8 #7 หลักสูตรแกนกลาง 2551 เป็นหลักสูตรที่กำหนดกรอบให้กับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2544 ซึ่งต้องการให้สถานศึกษานำหลักสูตรแกนกลางดังกลาวไปปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาให้มีกรอบเดียวกัน สรุปง่ายๆ ก็คือ นี่ไม่ใช่หลักสูตรใหม่ครับ เป็นหลักสูตรเดิมที่กำหนดกรอบให้ชัดเจนขึ้น การนำหลักสูตรแกนกลาง 2551 มาใช้สร้าง Blueprint สามารถทำได้ครับ เอาเป็นว่าลองไปศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลาง และหลักสูตรสถานศึกษาดูครับ จากคุณ : นายนู้น เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 20:29:29

ความคิดเห็นที่ 9 #6 ถึงกระนั้นนะครับ โดยส่วนตัวผมไม่ได้มองว่าคนออกข้อสอบออกตรงตามหลักสูตรการศึกษาหรือไม่ แต่ผมมองว่าข้อสอบบางข้อไม่มีคุณภาพมากพอที่จะเป็นข้อสอบคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ทำไมจึงปล่อยให้มีการใช้ข้อสอบแบบนี้ ซึ่งมีจำนวนหลายข้อ จนกลายเป็นที่ถกกันจนถึงตอนนี้ ข้อสอบโอเน็ตที่ใช้คัดเลือกเด็กรอบนี้ มันไม่มีคุณภาพที่จะวัดศักยภาพที่แท้จริงของเด็ก มันเหมือนกับว่า เด็ก2คนที่มีศักยภาพพอ ๆ กัน แต่ได้คะแนนไม่เท่ากัน เพราะในบางข้อต้องตอบถูกถึง3 ครั้งจึงจะได้คะแนน หรือ ในกรณีของข้อสอบวิทยาศาสตร์ที่นำ ฟิสิกส์ เคมี และชีวะ สอบรวมกันเป็หนึ่งชุด ตรงนี้อยากชี้ให้เห็นชัด ๆ เลยว่า ข้อสอบมันไม่สามารถวัดผลทางการเรียนได้ชัดเจนเท่าที่ควร เด็กที่มีความสามารถทางเคมี หรือ ชีวะ แต่อ่อนฟิสิกส์ เค้าก็มีความถนัดที่จะเป็นแพทย์ (เป็นต้น) หรือในทางกลับกัน เด็กที่ไม่มีความถนัดทางชีวะ แต่มีความถนัดทางด้านฟิสิกส์ ก็มีความถนัดจะเป็นวิศวะ (เป็นต้น) แต่จากข้อสอบซึ่งรวมทั้ง 3 วิชาไว้ด้วยกัน มันไม่สามารถชี้ได้ว่า เด็กคนไหนมีความถนัดทางด้านไหน หรือ ด้อยทางด้านไหน แล้วมันก็ส่งผลต่อการเลือกคณะที่เข้าไปศึกษาต่อ คะแนนเค้าถึงแต่เค้าไม่มีความถนัด ปัญหาต่อมาคือ เรียนไม่ไหว ต้องซิ่ว หรือ เรียนผ่านได้ แต่ไม่มีคุณภาพ ผมไม่ได้บอกว่าข้อสอบไม่มีความยุติธรรม แต่ผมจะบอกว่า มันไม่สามารถวัดผลได้ตามจุดประสงค์ ประเด็นสำคัญคือ ความเหมาะสม ของข้อสอบ ซึ่งรวมถึงคุณสมบัติของแบบทดสอบ เพราะโอเน็ตก็ถือเป็นแบบทดสอบไอคิวชิ้นนึงเช่นเดียวกัน และคุณน่าจะมองตามหลักของความเป็นจริง คุณเองก็ผ่านชีวิตมัธยมปลายมา การให้ความสำคัญต่อวิชาแต่ละวิชาของเด็กย่อมไม่เท่ากัน เด็กจะให้ความสนใจกับสิ่งที่เค้าชอบ ถนัด หรือ อยากรู้ มากกว่าซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติ สิ่งนึงที่ผมอยากจะเน้นย้ำกับพวกผู้ใหญ่(ทั้งตามวัยวุฒิ และในองค์กร) คือ ยึดติดกับวัตถุประสงค์มากเกินไป จนมองข้ามความความเป็นจริง และ ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหรือป่าว ทั้ง ๆ ที่ ทุกคนต่างก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มาทั้งสิ้น แต่กลับไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เพราะอะไร เพราะว่าเค้าไม่มองตามสภาพตามปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ยึดแต่วัตถุประสงค์ซึ่งเป็นอุดมคติ ทั้งที่ปัญหามันเด่นชัด แต่ก็มองข้ามมันไป แล้วออกมาชี้แจงจุดประสงค์อะไรต่าง ๆ แต่ไม่เคยออกมาแก้ไขปัญหาเลย และถ้ามีการออกมาแก้ไข แต่ผมกลับมองว่ามันเป็นการกระตุ้นปัญหาให้มากกว่าเดิม ตั้งแต่ แอดมิชชั่น มาจนถึง แกท แพท นี่ ผมมองว่ามันมีแต่ปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น อยากให้ลองคิดตรงนี้ดูครับ แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 00:12:11 แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 00:10:05 จากคุณ : MDDps (Estelion) เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 00:08:05

ความคิดเห็นที่ 10   ทำไมไม่บอกคนที่ออกข้อสอบคือใคร จะได้รู้กันไปเลย แล้วให้ ปปช ตรวจสอบหน่อยว่าทุจริตหรือเปล่า ถ้าจะให้ดียึดทรัพย์ด้วยยิ่งดี แล้วออกเฉลยมาด้วยซิทำไมไม่เผยแพร่ ทำอะไรลับๆ ล่อๆ สมควรโดนแล้วครับ จากคุณ : ทอม เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 09:59:56 A:114.128.99.70 X: TicketID:182789

ความคิดเห็นที่ 11 #9 ประเด็นที่ 1 เห็นด้วยครับ นี่เป็นประเด็นที่ผมเห็นควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วนครับ ประเด็นที่ 2 ส่วนแรก ในแง่ประสิทธิภาพ ในทางสถิติแล้วมันน่าจะดีขึ้นครับ เพราะลดการเดาถูกลงได้ คิดว่า สทศ. น่าจะลองทดสอบทางสถิติดูครับ เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ ส่วนหลัง การจะแยกข้อสอบ รวมข้อสอบ เป็นอำนาจ ทปอ. ครับ จริงๆ แล้วในทางปฎิบัติก็สามารถแยกคะแนนออกมาเป็นส่วนๆ ได้ เพราะในข้อสอบก็แบ่งเป็นเรื่องๆ แยกกันชัดเจน ถ้าต้องการแยกก็แยกได้ครับ จริงๆ ผมมองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข้อสอบครับ ปัญหาอยู่ที่การกำหนดองค์ประกอบค่าร้อยละที่ใช้ในการคำนวณคะแนนมากกว่า สังเกตได้จากการรับตรงของมหาวิทยาลัยเองก็ยังใช้คะแนน GAT, PAT แต่เปลี่ยนสัดส่วนองค์ประกอบตามความต้องการของแต่ละคณะ เพราะกรอบที่กำหนดมามันไม่สามารถคัดกรองเด็กได้ จริงตามที่คุณว่าครับ แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ เพราะจะต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี ประเด็นที่ 3 ครับ ผมเองก็มีวิชาที่ชอบและวิชาที่เกลียดครับ และถ้าเป็นวิชาที่เกลียดแล้ว หากทำข้อสอบไม่ได้ผมก็จะยอมรับครับ ประเด็นที่ 4 จริงครับ ปัญหาทั้งหมดมันแก้ได้ครับหากต้องการจะแก้จริงๆ หากแต่คนที่มีอำนาจจะแก้ คิดจะแก้หรือเปล่า คนที่ไม่มีอำนาจอย่างเราๆ ท่านๆ ก็คงได้แต่บ่นครับ นี่มันประเทศไทยครับ... คงต้องทำใจ จากคุณ : นายนู้น เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 10:58:14

ความคิดเห็นที่ 12 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1608028 แล้วก็อยากให้ทบทวนอีกครั้งครับว่าปัญหาอยู่ที่ตัวข้อสอบจริงหรือไม่ 1. ข้อสอบแต่ละข้อควรเป็นข้อที่สามารถมีคำตอบถูกต้องเพียงคำตอบเดียว (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอบ3ครั้ง ต้องถูกทั้ง3ครั้ง ซึ่งมีวิธีตอบ = 1000 วิธี) เพื่อไม่ให้เกิดการเดาเพราะไม่มีความชัดเจน 2. ข้อสอบสามารถชี้วัดได้จริงหรือไม่ สามารถวัดคนเป็นระดับได้หรือไม่ แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 11:30:10 จากคุณ : int.anti เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 11:18:11

ความคิดเห็นที่ 13 #12 จากลิงค์ที่คุณให้มาในประเด็นเรื่องหลักสูตร ผมได้ชี้แจงไปแล้วใน #8 ครับ ข้อ 1. วิธีดังกล่าวน่าจะลดการเดาถูกได้จริงครับ รูปแบบไม่น่าจะผิด ผิดก็คือข้อสอบกำกวม มีคำตอบได้หลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องต้องแก้ไข ตามที่ผมได้ยืนยันใน #11 ประเด็นที่ 1 ข้อ 2. เรื่องนี้ต้องอาศัยการทดสอบทางสถิติครับ เอาเป็นว่าผมไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับคุณ แต่ก็ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับคุณ ถ้าคุณต้องการจะดำเนินการเพื่อเป้าหมายพัฒนาการศึกษาไทยให้ดีขึ้น ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ การที่ผมมานั่งอ่านแล้วตอบต่อข้อโต้แย้งของคุณ ผมเพียงต้องการให้คุณทราบถึงที่มาที่ไป ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คุณทำมัน ผิดทั้งหมด หรือ ถูกทั้งหมด และแน่นอนว่า สทศ. เอง ก็ไม่ได้ ผิดทั้งหมด หรือ ถูกทั้งหมด เช่นกัน ที่ผมพยายามจะชี้แจงเพราะเท่าที่ผมได้ติดตามผ่านสื่อต่างๆ สื่อไม่มีความรู้ด้านการศึกษา ไม่ทราบถึงที่มาที่ไป ดังนั้นมันเป็นการสื่อที่มองจากมุมเดียว อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณสนใจด้านการศึกษา ลองเรียนทางด้านนี้แล้วมาพัฒนาให้มันดีขึ้นสิครับ จากคุณ : นายนู้น เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 11:57:40

ความคิดเห็นที่ 14   คนที่ออกข้อสอบมันรู้ไหมว่า ระหว่างจีเนียสกับบ้าถูกกันไว้แค่เยื่อบางๆเท่านั้น ออกข้อสอบแบบนี้ได้ ไม่ใช่มีปมด้อยอย่างเดียวมันต้องเสียสติด้วย บ้าเอ๊ย จากคุณ : ลุงชวนชม เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 53 13:09:49 A:58.64.79.204 X: TicketID:156077

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องข้อสอบ เท่าที่ดูมา ก็ต้องยอมรับใน 3 ข้อข้างต้นจริงๆ มีเรื่องติติงเล็กน้อย และอยากให้เสียงๆหนึ่งทางนี้ส่งไปถึง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ในความรู้สึกส่วนตัว ข้อสอบที่มีปัญหาในปีนี้ได้แก่  สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปศึกษา  การงานอาชีพและเทคโนโลยี  สังคม โดยส่วนตัวเห็นว่าข้อสอบไม่ยาก อาจจะเกินหลักสูตร แต่ก็ไม่ถึงกับคนละเรื่อง และยังสามารถนำเอาชีวิตประจำวันมาอิงเป็นคำตอบได้ แต่ที่มีปัญหาจริงๆก็คือ "คำตอบที่กำกวม" กล่าวคือ คำตอบสามารถตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ไม่สมควรจะนำเอามาตอบในข้อตอบลักษณะ มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว ส่วนเรื่องระบบการสอบนั้น เห็นว่ามีปัญหามาตั้งแต่ เริ่มมี gpa pr แล้ว เพราะ gpa นั้นนำคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนมารวมกัน แล้วคิดเป็น pr ของแต่ละโรงเรียน ซึ่งตรงนี้ ต้องยอมรับว่า การศึกษาในประเทศไทย ไม่มีมาตราฐาน กล่าวคือ โรงเรียนประจำจังหวัด และโรงเรียนที่มีชื่อเสียง คะแนน gpa จะน้อย แต่โรงเรียนธรรมดา คะแนนจะสูง(ปล่อยเกรด) ส่งผลทำให้ gpa สูงตามไปด้วย ทั้งๆที่ โรงเรียนเหล่านี้มีมาตราฐานที่ต่ำกว่า ตรงนี้การแก้ปัญหาน่าจะเริ่มควลคุมมาตราฐานโรงเรียน ให้เท่าเทียมกัน แต่!!! เท่าที่ดูข่าว ในหลักสูตรเขียนชัดเจน "โรงเรียนตัวอย่างให้ใช้หลักสูตร 51 ตั้งแต่ ม.4 ปีนี้ และโรงเรียนทั่วไปเริ่มใช้ ปีหน้า!!!" แล้วไหนมาตราฐานโรงเรียน ทำไมถึงมีโรงเรียนตัวอย่าง และโรงเรียนทั่วไป บางโรงเรียน มีห้องพิเศษ เรียนเพื่อจะมาสอบ โดยเฉพาะ แล้วห้องอื่นๆล่ะ ? เรียนไปทำไม ขนาดในโรงเรียนเดียวกัน ยังมีมาตราฐานไม่เท่ากันเลย เดี๋ยวนี้มาเป็น GAT PAT ซึ่งระบบนี้เมืองนอกใช้มา ดี แต่ต้องเข้าใจการศึกษาในบ้านเรา สืบเนื่องมาจากข้อข้างบน แล้วระบบนี้จึงไม่เหมาะสม 100 เปอร์เซ็น ดังตัวอย่างเช่น O-NET ที่มีปัญหามา 5 ปีซ้อน กล่าวคือ ไม่ใช่ว่าการปรับปรุงระบบการศึกษานั้นไม่ดี แต่ต้องเข้าในสภาพสังคม และการศึกษาของบ้านเราด้วย การศึกษายังไม่สามารถใช้ระบบ ดังกล่าวมาประเมินได้ 100 เปอร์เซ็น ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนรูปแบบจากการท่องจำ เป็นการคิดวิเคราะห์ และการใช้เด็กเป็นศูนย์กลาง หากถามว่าดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี แต่ในบ้านเรานั้น การจะให้เด็กมัธยม ซึ่งยังขาดคุณภาพ และความคิดที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง มาวิเคราะห์ทั้งหมดนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้อสอบในข้อ นิคตั้งท้อง สภาพสังคมปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า ยังไงก็ต้องบอกเพื่อนสนิท และไปทำแท้ง ยกตัวอย่างอีกข้อละกัน การให้หัวข้อเด็กมา 1 เรื่อง แล้วให้ไปศึกษาหาความรู้มาเอง หากมีข้อสงสัยก็สามารถถามอาจารย์ได้ และอาจารย์ก็แนะแนวทางให้ ถามว่าดีไหม ก็ต้องตอบว่าดี แม้จะดูไวไปหน่อย เพราะแนวทางนี้ ส่วนใหญ่ใช้ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นบุคคลากรที่ เริ่มมีคุณภาพ กล่าวคือ การใช้ระบบนี้ในระดับมัธยมนั้น ต้องไม่ใช้ทั้งหมด แต่ใช้เพียงบางส่วน ยังมีปัญหาอีกข้อคือ พอให้หัวข้อไป แล้วให้ไปจับกลุ่มทำงานส่ง แบบนี้ กับเด็กมัธยม เด็กที่ไม่สนใจ คือ ไม่ทำงาน แต่เกาะกลุ่มเพื่อนส่งงาน เด็กพวกนี้จะไม่ได้ความรู้เลย ต่างจากระบบเก่าที่ยังพอผ่านหู แม้ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่ทั้งหมดเหมือนอย่างในปัจจุบัน พอเด็กเหล่านี้เข้าไประดับมหาวิทยาลัย(ถ้าเข้าได้) ก็จะเป็นปัญหาอีก คือเรียนไม่ได้ เรียนไม่ไหว เพราะมัธยมไม่มีความรู้เลย ไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เคยเรียนมาแล้ว แต่ตอนนั้นได้แค่ทำงานส่ง และไม่เคยสนใจงานที่ส่ง ทำเพียงแค่เขียนชื่อส่งไปเท่านั้น นี้ก็เป็นอีก 1 ปัญหา ระบบนี้ ควรนำมาใช้เพียงบางส่วน ไม่ใช่ใช้ทั้งหมด ยังมีอีกข้อคือ อาจารย์เอง ก็ไม่สอนทั้งหมด คือ ใครขยัน อยากรู้เพิ่มก็ไปเรียนพิเศษเอา ซึ่งสถานที่ก็เป็นของตัวเอง หากินกับเด็ก ขอสรุปสั้นๆ การเปลี่ยนแปลงและแก้ไขระบบการศึกษาในบ้านเรานั้น ควรเข้าใจสภาพสังคม และการศึกษาขั้นพื้นฐานเสียงก่อน การไปแก้ไขที่ปลายเหตุนั้น จะมีผลในการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ต้องเริ่มที่ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน พูดสั้นๆคือ เริ่มตั้งแต่ 0 แต่...ใครจะเป็นคนเริ่ม ผมเห็นมีปัญหามาจะ 10 ปีแล้วเรื่องนี้(ตั้งแต่ gpa) แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 53 14:24:28 จากคุณ : chanakok เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 53 14:23:08

ความคิดเห็นที่ 16 สำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทางมหาวิทยาลัยก็อยากได้เด็กเก่ง หรืออย่างน้อยก็อยากได้เด็กที่มีความสามารถเรียนจนจบได้ ไม่รีไทร์ไปซะก่อน ผู้ปกครองและเด็กที่มาสอบทุกคนก็อยากได้โอกาสในคณะ สาขา ในสถาบันที่คาดหวัง (แต่บางคนหวังแต่สถาบัน เรียนอะไรก็ได้ ขอสถาบันเป็นหลัก) ในขณะที่คนจัดการสอบ ออกข้อสอบก็อยากพิสูจน์แนวคิดของตนเอง ว่าเหนือกว่าคนรุ่นก่อน อยากท้าทาย สุดท้ายในปัจจุบันเด็กที่ได้โอกาสยังเท่าเดิม แต่เด็กที่มหาวิทยาลัยมุ่งหวังกลับลดลงไปจนในที่สุดหลายๆ มหาวิทยาลัยก็เน้นรับตรงในหลายๆ สาขาวิชา หลายๆ คณะ เพื่อให้ได้นักศึกษาที่มุ่งหวัง นักศึกษาสอบตกหรือรีไทร์แต่ละคน อาจารย์กับมหาวิทยาลัยไม่ได้ไม่รู้สึกอะไรนะครับ แต่หลายๆ กรณีก็ต้องยอมรับว่าเด็กไม่พร้อม หรือไม่เหมาะจริงๆ บางครั้งความไม่พร้อมก็มาจากตัวเด็กเอง เด็กหลายคนเข้ามหาวิทยาลัยโดยแบกความหวังของผู้ปกครอง แต่ไม่ใช่ความหวังของเด็ก เด็กประเภทนี้กระตุ้นยากครับ ยิ่งถ้าสิ่งที่เด็กมุ่งหวังมันตรงข้ามกับผู้ปกครองด้วยแล้ว TT-TT ส่วนเด็กที่ไม่เหมาะเนี่ยดูยากครับ บางครั้งกว่าเด็กจะรู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไรก็ไม่เด็กซะแล้ว สรุป.......... การสอบเข้ามหาวิทยาลัยควรจะตอบสนองความคาดหวังของเด็กกับผู้ปกครอง และมหาวิทยาลัยมากกว่าคนจัดการสอบหรือคนออกข้อสอบนะครับ จากคุณ : ดีจ้า เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 14:03:40