ความคิดเห็นที่ 1 ยินดีด้วยค่ะ งี้ก็เป็นรุ่นน้องคุณ Flowery สินะคะ จากคุณ : Guga เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 23:14:54

ความคิดเห็นที่ 2 เรียนเลยครับ อย่าได้ลังเล เรียนเอา certificate เป็นใบเบิกทาง แล้วงานก็จะไหลมาเทมา เมืองไทยนี่มันก็แปลก ชอบดูที่ certificate ฝีมือระดับคุณต้น เลยระดับปริญญาโทการแปลไปมากแล้วครับ เพียงว่าคุณไม่มี certificate รองรับ ดังนั้น ถ้าคุณจะเรียนปริญญาโทการแปล ง่ายดังพลิกฝ่ามือ เซียนๆ ทั้งหลายในห้องนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้จบปริญญาโทการแปลนะครับ แต่ฝีมือของแต่ละท่าน อะโห! แจ่มแจ๋วจริงๆ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 11:47:05

ความคิดเห็นที่ 3 อะโห นี่จะไปเรียนหรือไปสอน? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 13:09:07

ความคิดเห็นที่ 4   ขอบคุณทุกท่านครับ เรียนครับผมคุณแอ๊ด ปากเกร็ด เส้นทางเรียนโท ผมเเปลกกว่าคนอื่น ๆ เเฟนผมอยากให้เรียน เขาอยากให้ผมก้าวหน้ากว่านี้ เเต่ติดที่ไม่มีโท เลยอยากให้เรียน ผมเองก็รับปากนะเวลานั้น เเละตั้งใจจะทำตามที่ตัวเองบอก เวลานั้นเพิ่งจะคืนดีกัน เเฟนผมยังไม่เชื่อนะครับ เมื่อผมรับปากเขาวันนั้น วันนี้เขาก็ดีใจมากๆเเละภูมิใจด้วย เเต่ก้อดรู้สึกผิดเเละเป็นห่วง เพราะผมเองเรียนโท ผมก้เสียรายได้เยอะนะ + ผมทำงานหลักที่โรงเรียน+งานติวอีก เเต่ได้บอกเเฟนว่า พี่สู้ ๆๆ ขอบคุณอีกครั้ง คงได้เข้ามา discuss กันในนี้เเน่นอนครับ เเละตั้งใจจะฟิตภาษาอังกฤษให้คมกว่านี้ + ภาษาไทยให้ดีกว่าเดิมครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑ คุณ Flowery รุ่น 10 หรือครับ ผมรุ่น 11 จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 20:56:16 A:203.209.119.59 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่แน่นะครับ คุณต้น เรื่องรายได้น่ะ เวลาไปเรียนก็แสดงฝีไม้ลายมือให้เต็มที่ คุณอาจได้งานติวเพิ่มขึ้นอีก มาชดเชยรายได้ส่วนที่หายไป อาจได้มากกว่าด้วยซ้ำ เผลอๆ เมื่อคุณเรียนจบแล้ว ทางมหาวิทยาลัยเขาอาจจ้างคุณเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาโทการแปล ซึ่งรายได้น่าจะมากกว่าที่คุณสอนในโรงเรียน แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 53 10:29:58 จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 10:29:10

ความคิดเห็นที่ 6 อ้าว มีแฟนแล้วหรอ มิน่าหาไปนาน เลยคร่ำครวญแล้วมีกำลังใจไปเรียนการแปลว่างั้นเหอะ ว่าแต่ว่าใบประกาศน่ะเอาไปแลกงานได้แน่ครับ เอาให้แน่ มาให้กามลางจาย 555b3 จากคุณ : van_patumraatludwig@hotmail.co (ลุดวิก) เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 12:44:32

ความคิดเห็นที่ 7 555 วันนี้คุณลุดวิกมาพร้อมด้วยอารมณ์ขันเต็มพิกัดเลยวุ้ย จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 14:10:08

ความคิดเห็นที่ 8 ขอแสดงความยินดีกับคุณ tonmelb ค่ะ เรียนแค่วันเสาร์-อาทิตย์เอง คุณ tonmelb ก็ยังทำงานที่ร.ร.+ติวได้นี่คะ รุ่นเราและรุ่นพี่ ๆ ก็เรียนไปทำงานไปด้วยกันตั้งเยอะค่ะ เก่ง ๆ อย่างคุณ tonmelb เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้อยู่แล้วค่ะ จากคุณ : Flowery เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 19:29:18

ความคิดเห็นที่ 9 ดีใจด้วยนะคุณต้น ทั้งเรื่องแฟน และเรื่องเรียน ลอกการบ้าน คุณรุ่นพี่ Flowery โลด ฮี่ฮี่ คุณ Flowery จวนจบยังคะ จากคุณ : ta/'o-o/' เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 20:52:42

ความคิดเห็นที่ 10 ดีใจกับคุณต้นที่แฮปปี้ สมหวังแล้วเนาะ บ้านเราใบกระดาษยังสำคัญอยู่สินะ แต่มีเวลาเรียน ก็เรียนเลย เรื่องเรียนดีเสมอ:-) โชคดีทุกเรื่องนะคะ จากคุณ : lilymay เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 21:54:41

ความคิดเห็นที่ 11   ขอบคุณมากๆๆๆครับทุกท่าน สำหรับกำลังใจ เพิ่งคุยกับเเฟนเสร็จ เเฟนผมปลายปีนี้ จะได้ปริญญาโทเป็นใบที่ 2 ครับ เรื่องรายได้ ผมไม่ได้งกนะครับ โดยส่วนตัว ผมใช้ไม่ค่อยเยอะหรอกครับ ผมห่วงคนข้างหลังมากกว่า สำหรับการทำงานที่มหาวิทยาลัย สนใจอยู่เหมือนกัน มีเรื่องน่าภูมิใจนิดนึง พอมีคนทราบว่าผมจะเรียนโท เลขาอาจารย์ใหญ่ หลานอาจารย์ใหญ่ มาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม ประมาณคงไม่ลาออกไปเรียน หรือไปทำงานที่อื่น ผมบอกว่า ผมอยู่ที่นี่ ผมรักที่นี่ เเละยังไม่ได้ตอบเเทนคุณอาจารย์ใหญ่เลยที่รับผมเข้าทำงานเเละให้ผมสอน เพราะปกติเเล้วภาคภาษาอังกฤษ จะให้อาจารย์ฝรั่งสอนหมด ยกเว้นภาษาไทย+พุทธศาสนา เเต่ผมได้สอนประวัติศาสตร์ไทย+อังกฤษเป็นภาษาอังกฤษ ผมเพิ่งรู้ว่า ผมได้เงินเดือนสูงกว่าคนจบโทที่อังกฤษอีก(ผมอยู่ Australiaนานหลายปี + ทำงานมาก่อนเพื่อนครูคนนี้เกือบ 10 ปีครับ) ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ คุณFlowery ชมผมเกินไป เเต่ชอบครับ อิอิ ขอบคุณครับคุณลุดวิก พี่lilymay พี่ตา ผมอยากทำงานวิจัย เเนวประมาณว่า งานเเปลสามารถจะช่วยให้คนไทยเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจได้ง่ายขึ้น(เข้าถึงได้มากขึ้น) มันอาจจะไม่ทำเงิน เพราะถ้าจะสำเร็จเเละเห็นผล มันต้องอาศัยเเรงเพียรจากผู้เรียน+เเรงสนับสนุนจากทางบ้านเเละโรงเรียนด้วย ตราบใดที่คนไทยส่วนใหญ่ยังอยากได้อะไรเร็ว ๆ เป็น Test guru ดีกว่า สำหรับยังง่ายกว่า+ได้เงินดีด้วย บางครั้งผมก็เขวนะครับ ผมยอมรับ อายุจะ 40 เเล้ว อยากตั้งตัวสักที เเต่ไม่เคยเอาเปรียบใครนะ ไม่คิดจะขายคอร์สให้ใครด้วยครับ ผมก็หากินของผม ขอบคุณครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 23:01:41 A:203.209.119.135 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 12 ^ ^ ^ ที่คุณพูดว่า "ผมอยากทำงานวิจัย เเนวประมาณว่า งานเเปลสามารถจะช่วยให้คนไทยเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจได้ง่ายขึ้น (เข้าถึงได้มากขึ้น) มันอาจจะไม่ทำเงิน" คุณไม่มีทางทำงานวิจัยนี้ได้สำเร็จ เนื่องด้วยตรรกะอันง่ายๆ straightforward มากๆ ที่มันแสดงให้เห็นว่า คุณยังจัดลำดับไม่ถูกว่า "ไก่กับไข่ อันไหนเกิดก่อนกัน" งานแปลที่ดี ผลิตออกมาได้เพราะนักแปล ผ่านกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจภาษาคู่สองภาษาที่เขาเรียนมาแล้ว และมาเรียนรู้กระบวนการถ่ายถอดความคิดจากภาษาหนึ่งข้ามไปยังอีกภาษาหนึ่ง  การเรียนการสอนการแปลเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจมากๆ  เพราะอะไร?  ยกตัวอย่างง่ายๆ เราเคยเจอข้อความภาษาอังกฤษที่เราอ่านเข้าใจสบายๆแต่เราแปลเป็นไทยไม่ได้เพราะเราไม่รู้วิธีเขียนภาษาไทยให้มันสื่อความหมายได้ถูกต้องครบถ้วนตามภาษาอังกฤษ (ตอนนี้ก็ยังเจอแบบนี้บ่อยๆ)  ถ้าอย่างนั้นเราดันอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจมาได้ยังไงกัน ทั้งๆที่เราแปลข้อความภาษาอังกฤษที่ว่านั้นเป็นไทยก็ยังแปลไม่ได้เลย  แต่คุณกลับจะเอางานแปลไปสอนคนไทยให้เข้าใจภาษาอังกฤษ?  เราว่า มันจะยิ่งยุ่งกันใหญ่ แต่ถ้าคุณอยากทำงานวิจัยที่มีเป้าหมายในการช่วยให้คนไทยเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เข้าใจง่ายขึ้น คุณต้องไปเรียนปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ไม่ใช่ไปเรียนปริญญาโทการแปล เพราะมันไปคนละเรื่องกันเลยหละ แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 53 07:30:04 แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 53 07:26:51 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 07:17:15

ความคิดเห็นที่ 13   สวัสดีครับพี่หมอดู พูดเหมือนอาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมเลย บอกว่าเรียนทางการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง น่าจะตรงกว่า ผมบอกเรียนด้านนี้เเหละ ท้าทายกว่า เติมเต็มชีวิตเเละมิติภาษาผมดี ---------------------งานแปลที่ดี ผลิตออกมาได้เพราะนักแปล ผ่านกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจภาษาคู่สองภาษาที่เขาเรียนมาแล้ว และมาเรียนรู้กระบวนการถ่ายถอดความคิดจากภาษาหนึ่งข้ามไปยังอีกภาษาหนึ่ง ---------- เห็นด้วยที่สุดครับ ผมบอกกับอาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมว่า ผมสนใจงานเเปลมากๆๆ เเต่ไม่ใช่เรียนหลักสูตรนี้จะคิดว่า ผมจะสามารถจะเป็นนักเเปลที่ดีได้ เเละการเป็นนักเเปลที่ดี ไม่ใช่จุดมุ่งหมายในชีวิตของผม ถ้าผมไม่สามารถเป็นเบอร์ 1 หรืออยู่เเถวหน้าในวงการนี้ ซึ่งมันสายไปเเล้ว เเต่ผมสนใจเเละเห็นคุณค่าในหลักสูตร (ซึ่งตอบคำถามพี่หมดดูเเละคนอื่นรวมถึงอาจารย์ที่สัมภาษณ์เราได้ว่า หมอนี่รู้ว่าจุดอ่อน จุดเเข็งตัวเองอยู่ตรงไหน ธรรมชาติของหลักสูตรนี้เป็นอย่างไร) เหตุผลอีกประการที่ผมไม่สนใจจะเป็นนักเเปลคือ งานเเปลเหนื่อยยากมากครับ ไม่สามารถจะสร้างตัวได้ ไม่เหมือนกับการสอนติว รายจ่ายต่อเดือนผมเกือบ 7 หมื่นเเล้ว เเต่ผมอยากเรียนหลักสูตรนี้ เพราะมันท้าทายดี ฝึกความอดทนด้วย -------------นี่คือสิ่งที่ผมพูดในห้องสัมภษณ์ ซึ่งกินเวลา 40 นาที ในขณะที่คนอื่นใช้เวลา 25 นาทีครับพี่หมอดู -------------- ------------------แต่คุณกลับจะเอางานแปลไปสอนคนไทยให้เข้าใจภาษาอังกฤษ? เราว่า มันจะยิ่งยุ่งกันใหญ่---------------- ท้าทายดีครับพี่ ถึงล้มเหลว ก็สู้ไหมได้ เเต่นี่คือเเนวคิดผมนะ ผิดถูก ไม่ถึงตรรกะเดี๋ยวได้รับบทเรียนเอง ยินดีรับฟังครับทุกคน จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 09:37:12 A:203.209.119.113 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 14 >> รายจ่ายต่อเดือนผมเกือบ 7 หมื่นเเล้ว << ปัญหาจริงๆ อยู่ที่ตรงนี้หริอเปล่า ทำไมสูงขนาดนี้ มีอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า ขนาดลูกชายผม อายุเพิ่งจะ 29 ยังมีเงินเก็บเดือนละสามหมื่นห้า ตอนเรียนหนังสือ เขาซื้อหมวกใส่เล่นใบละพันกว่าบาท ตอนนี้ทำงานแล้ว รายได้ก็สูงมากด้วย แต่ซื้อเสื้อใส่ตัวละ 199 บาท ถ้าคุณ manage รายจ่ายได้ คุณก็เลือกเรียนอะไรก็ได้ที่คุณชอบ แล้วชีวีจะมีสุข จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 10:16:44

ความคิดเห็นที่ 15 ประเด็นที่คุณต้นบอกมาทำให้สงสัยอะไรแล้ว ตัวเองไม่เคยเรียนเรื่องการแปลกับเขาหรอก นึกอยากแปลก็ลองแปลไปเรื่อยๆ อาศัยพอมีต้นทุนภาษาอยู่บ้าง เรื่องเรียนแปลนี่ ถ้ามีท่านใดที่เคยเรียนผ่านมา ขอวิทยาทานหน่อยได้มั้ยว่าหลักสูตรสอนอะไรยังไงกันบ้าง ก่อนเรียนเป็นยังไง เรียนแล้วเป็นยังไง เรียนแล้วทำให้เข้าใจภาษาอังกฤษดีขึ้นหรือเปล่า จากคุณ : lilymay เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 17:10:08

ความคิดเห็นที่ 16   วันนี้กลับเร็วครับ ปกติจะกลับถึงบ้านประมาณ 9pm >> รายจ่ายต่อเดือนผมเกือบ 7 หมื่นเเล้ว << ทำไมสูงขนาดนี้ มีอะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า ตั้งเเต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป รายจ่ายผมจะอยู 64-67K ครับ ผมใช้ส่วนตัวประมาณ 5-6 พันเองครับ นอกนั้นเป็นค่าบ้าน ค่ารถ ดูเเลเเม่ ดูเเลน้า ดูเเลหลาน ดูเเลเเฟน ค่าเรียน ค่า run business เช่น ค่าเช่าห้อง ค่าสอนของทีมงาน เเต่รายได้ตั้งเเต่เดือนมิถุนายนจะอยู่ที่ 60 - 75K ครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑ พี่ lilymay ผมก็ไม่ทราบเเน่ชัด เพราะจริง ๆ เเล้ว ผมเลือกสาขานี้ 1. หลักสูตรนี้จะขัดเกลาความคิดได้วางกรอบความคิดเเละปรับหลักตรรกะได้ได้ในระดับหนึ่ง 2. ผมสนใจหลักสูตรนี้ ชอบคณะนี้มาตั้งเเต่เด็ก ชอบภาษา ตรีก็อักษรเเล้ว โทก็ต้องอักษร ไม่มีใจให้คุรุศาสตร์ 3. ได้อ่านหนังสือเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ+คิดเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ มั่นใจว่าพื้นฐานเราเเน่น+ความมุ่งมั่นสูงสุด ยังไงก็ไปรอด ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ มาถึงตรงนี้ ขอโทษพี่หมอดูเเละทุกท่าน ถ้าเขียนเเรงไป หรือดู--------เเรง----- ผมเเค่ดื้อ เเต่ไม่ใช่เเบบ โง่เเต่ขยัน ไม่เคยทำอะไร โดยไม่คิด เรื่องจะเป็นนักเเปลที่ดีได้หรือเปล่า ไม่ใช่เป้าหมายผม เป้าหมายผมคือ ผมสนใจอะไร ผมก็อยากทำ จะทำในสิ่งที่ตัวเองรักเท่านั้น อาจจะไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง เช่น ตอนเเรกจะเลือก EIL ก้เเพงมาก 3 เเสนกว่า ดังนั้นการเข้าคณะนี้ เหมือนผมเป็นคนนอกที่สนใจเเละทึ่งกับสาขานี้ -----------------ผมเชื่อว่า ความรักเเละความหลงใหลในภาษาอังกฤษ + ความอึดสุด ๆ + พื้นฐานเเละสติปํญญาผม--------ผมจะไปได้ดี ผมตั้งใจนะ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 18:19:22 A:203.209.118.187 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 17   ต้องขอบคุณคุณหนุ่มไทยไร้นามที่เปิดประเด็นนี้ ชีวิตผมเอง ทำงานหนักมากๆๆๆ เเต่ผมก็มีความสุขที่เห็นที่เรารักมีความสุข มีชีวิตที่ดี ผมไม่ค่อยมีเวลาสำหรับตัวเองเท่าไหร่หรอก เข้ามาเขียน เวลาเพียงน้อยนิด บอกตามตรง คิดอะไร ก็เขียนเลย ไม่ได้มานั่งเรียบเรียง หรือคิดจะเรียบเรียง เเต่ผมไม่เชื่อว่า เวลาผมเรียนจริง ๆ ผมจะไม่------------เรียบเรียง--------- เพราะผมก็สอบข้อเขียนทั้งทักษะภาษาไทย+อังกฤษผ่าน(ถึงเเม้ผมคิดวในใจว่า คะเเนนภาษาอังกฤษผมช่วยเยอะ) อยากให้อภัยกันเเละอย่าถือสา ที่เข้ามาในห้องนี้ก็อยากจะพักผ่อน พบปะพูดคุยกันพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในนี้ อยากรู้สึกชิล ๆครับ เพราะทุกวันนี้ ผมทำงานตัวเป็นเกลียวเลย ผมเหนื่อยครับ ผมเองยอมรับว่า ไม่อยากมานั่งพิมพ์ตอบกลับเป็นมือระวิง หรือมาอธิบายอะไร ถ้าอ่านไม่เข้าใจ ก็ผ่าน ๆ ไปก็ได้ครับ ทุกคนมีชีวิตนอกเนทกันทั้งนั้น มีภาระ มีสิ่งที่ต้องสู้ เเต่ผมจริงใจกับทุกคนในนี้เเน่นอนครับ นี่คือความจริงใจที่สุด ไม่ได้โกรธใคร เช่นอ่าน comment ของพี่หมอดู ผมก้ดีใจนะ เเละสิ่งที่พี่เขียนก็จริง เเต่เราก้ได้เเต่อ่าน เเละอยากอ่านอีกจากทุกคน ปรับปรุงได้เเค่ไหน หรือไม่ได้ ยังไง ๆ ชีวิตนอกเนทเราก็สู้อยู่เเล้ว วัน ๆ จะเอาเวลาที่ไหนไปคิดโกรธใครครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 7 มี.ค. 53 18:25:45 A:203.209.118.187 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 18 อย่าได้กังวลไปเลยครับ คุณต้น ไม่มีใครโกรธใครหรอกครับ ต่างก็มีความปรารถนาดีต่อกัน คนห้องนี้มีวุฒิภาวะแล้วทั้งนั้น ดูที่ประเด็นเป็นหลัก สำบัดสำนวนนั้น ของใครของมันอยู่แล้วครับ แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย รุ่นใหญ่ในห้องนี้ ใครเป็นใครก็ทราบกันดีอยู่แล้ว รุ่นวัยเยาว์ลงมาหน่อย ผมชอบคุณ Guga ครับ เธอมีอารมณ์ขันเหลือเฟือจริงๆ เธอทำให้ผมหัวเราะก๊ากกก มาหลายครั้งแล้ว ผมต้องขอบคุณเธอเสียด้วยซ้ำไป จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 10:06:07

ความคิดเห็นที่ 19   Do whatever you want to do. If the decision is wrong, well hell, you'll have to take the consequence. If it's right, well heaven - good for you! Who knows whether it's right or wrong? Not even you - only time will tell. Just enjoy the class. จากคุณ : d^_^b = o;] เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 11:12:38 A:180.180.99.179 X: TicketID:012689

ความคิดเห็นที่ 20 เข้ามาแสดงความยินดีกับรู่นน้องค่ะ เรายึดอาชีพนักแปลตั้งแต่เรียนจบ ตอนที่ตัดสินใจเลือกเรียนปริญญาโทการแปล เราคิดว่าถ้าจะเรียนโททั้งที เราขอเรียนอะไรที่เราชอบและนำไปใช้ได้จริงในชีวิตดีกว่าค่ะ (ก่อนหน้านั้นญาติผู้ใหญ่เคยบ่นว่าทำไมไม่เรียนบริหาร เราตอบไปว่า เราไม่ชอบคำนวณและใจเราไม่รักแนวนั้นเลย) ตอบคุณ lilymay นะคะ เนื่องจากตัวเองเรียนรุ่นบุกเบิกพอดี เลยอาจจะเลือน ๆ ไปบ้างแล้วเรื่องเนื้อหานะคะ แต่จำได้ว่า ตอนนั้นมีคอร์สสอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิชาสัมนา วิชาเกี่ยวกับทรัพยากรการแปล (จำชื่อไม่ค่อยได้แล้วค่ะ) การแปลอังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ (คนที่เรียนฝรั่งเศสจะเรียนแยกกันตอนนี้นะคะ) การตรวจแก้ต้นฉบับ การแปลเฉพาะทาง อย่างเช่น กฎหมาย เศรษฐกิจ ภาพยนตร์ วรรณกรรม เรียกว่าได้เรียนทั้งทฤษฎีการแปลในแบบต่าง ๆ และการลงมือปฏิบัติน่ะค่ะ สำหรับตัวเรา เราว่าเราได้ความรู้เยอะค่ะ ทั้งจากการได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ ท่านอื่น รวมถึงอาจารย์ ในการแปลและตรวจแก้ต้นฉบับ เราได้รู้จักเพื่อนดี ๆ ด้วยค่ะ (ไม่รวมงานเลี้ยงปีใหม่แสนอร่อยนะคะ) ส่วนตัวเราเอง เรายอมรับว่าสิ่งเดียวที่เรายึดถือเวลาแปลงานคือ พยายามถ่ายทอดเจตนารมย์ของคนเขียนให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ  เราไม่ใช่นักแปลที่เก่ง ทุกวันนี้ก็ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะค่ะ แต่ตรงนี้ล่ะค่ะ คือ เสน่ห์ของงานแปล คือ มีเรื่องใหม่ ๆ ให้ค้นหาอยุ่เรื่อย จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 17:11:07

ความคิดเห็นที่ 21 ยินดีกับคุณต้นทั้งเรื่องแฟนและเรื่องเรียนครับ ลุยๆ ไปเถอะยังมีแรงอยู่นี่ ผมหมดแรงแล้ว เพราะงานแปลมันเหนื่อยอย่างที่คุณว่าจริงๆ มันด่วน ไม่เหมือนงานสอนที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่งานแปลเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัวได้นะคุณต้น อันนี้ยืนยันเพราะครอบครัวใหญ่เหมือนกัน ผมชอบงานแปลตรงที่ทำให้เราได้ความรู้ใหม่ๆ จากการค้นคว้า และจากงานที่แปล ทำให้เรามีอะไรไปคุยกับเพื่อนๆ ในวงการอื่นได้ และก็เป็นงานที่เหมาะกับผมมาก เพราะตอนวัยรุ่นผมล้มเหลว ทำงานจับฉ่ายในสารพัดวงการ ความล้มเหลวในอดีตมันมาเติมเต็มงานแปลพอดีแบบเหลือเชื่อ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 17:03:34

ความคิดเห็นที่ 22   สวัสดีเเละขอบคุณทุก ๆคนมากๆๆครับ ช่วงนี้ผมกลับบ้านเร็ว งด evening classes ครับ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมต้องตรวจข้อสอบนักเรียน+คิดเกรดเด็ก พูดถึงความมั่นใจ ผมเต็ม 100 หรือบางครั้งเกิน 100 ครับ จะเลือกทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองรัก+สิ่งที่ตัวเองสามารถไปยืนอยู่เเถวหน้าได้ เพียงเเต่ ผมยังเป็นคน sensitive อยู่ (ดูมันไปด้วยกันไม่ได้เลยนะ) ---------จุดที่สมดุล-----------นี่ยากสุดครับ ในมุมหนึ่ง: คนมองผมเป็นคนคิดนอกกรอบ เชื่อมั่นตัวเองสูง ดื้อ ไม่ฟังใคร อีกมมุมหนึ่ง: ผมก้ care คำคนนะ เเละฟัง ส่วนจะทำตามหรือไม่นั้น ขอเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินใจเอง เเต่อยากฟังความจริง มากกว่าคำยอ ผมเป็นคนอย่างนี้จริง ๆ บางครั้งก็เลยอึดอัด เพราะการฟัง ไม่ได้หมายถึง คุณต้องทำตามคำเเนะนำ เเละการไม่ทำตาม ไม่ใช่ว่าดื้อ ผมว่า นี่คือผลิตผลที่ไม่ดีนัก สำหรับ-------การศึกษาไทย----- ที่สอนให้คนต้องตามเสมอไป สอนให้เป็น conformist @@@@@@@@@@@ เรื่องงานเเปล หนักสมองมาก ผมช่วยโรงเรียนเเปลเอกสารค่ายพักเเรม etc อยู่บ้าง ชอบนะครับ เเต่คงไม่ยึดเป็นอาชีพ ในเวลานี้ for the time being เพราะกว่าจะเก่ง กว่าจะชำนาญเท่าพวกท่านที่นี่ รายจ่ายรัดคอผมเเน่ครับ ใครมีรายจ่ายเกือบ 7 หมื่นต่อเดือน หนักเหมือนกันนะครับ เเต่สู้ตาย เพราะ-------รักลงตัวเเล้ว-------- ก็นะ ผมเองคิดอยู่เสมอนะ ว่าต้องอยู่ให้ได้ ถ้าวันใดไม่มีเขา เวลานี้ ผมเตรียมตัวร่างกายเเละจิตใจ มั่นใจเกิน 100 ว่า เดือนมิถุนายน พร้อมสู้ศึกครับ วันที่ 20 นี้ ก็จะปฐมนิเทศเเล้ว คุณ: Flowery เเละคุณปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) มีอะไรจะเเนะนำรุ่นน้องหน้าใส วัยไม่ใสคนนี้บ้างหรือเปล่าครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 18:35:43 A:203.209.119.56 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 23   สวัสดีเเละขอบคุณทุก ๆคนมากๆๆครับ ช่วงนี้ผมกลับบ้านเร็ว งด evening classes ครับ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมต้องตรวจข้อสอบนักเรียน+คิดเกรดเด็ก พูดถึงความมั่นใจ ผมเต็ม 100 หรือบางครั้งเกิน 100 ครับ จะเลือกทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองรัก+สิ่งที่ตัวเองสามารถไปยืนอยู่เเถวหน้าได้ เพียงเเต่ ผมยังเป็นคน sensitive อยู่ (ดูมันไปด้วยกันไม่ได้เลยนะ) ---------จุดที่สมดุล-----------นี่ยากสุดครับ ในมุมหนึ่ง: คนมองผมเป็นคนคิดนอกกรอบ เชื่อมั่นตัวเองสูง ดื้อ ไม่ฟังใคร อีกมมุมหนึ่ง: ผมก้ care คำคนนะ เเละฟัง ส่วนจะทำตามหรือไม่นั้น ขอเป็นคนสุดท้ายที่ตัดสินใจเอง เเต่อยากฟังความจริง มากกว่าคำยอ ผมเป็นคนอย่างนี้จริง ๆ บางครั้งก็เลยอึดอัด เพราะการฟัง ไม่ได้หมายถึง คุณต้องทำตามคำเเนะนำ เเละการไม่ทำตาม ไม่ใช่ว่าดื้อ ผมว่า นี่คือผลิตผลที่ไม่ดีนัก สำหรับ-------การศึกษาไทย----- ที่สอนให้คนต้องตามเสมอไป สอนให้เป็น conformist @@@@@@@@@@@ เรื่องงานเเปล หนักสมองมาก ผมช่วยโรงเรียนเเปลเอกสารค่ายพักเเรม etc อยู่บ้าง ชอบนะครับ เเต่คงไม่ยึดเป็นอาชีพ ในเวลานี้ for the time being เพราะกว่าจะเก่ง กว่าจะชำนาญเท่าพวกท่านที่นี่ รายจ่ายรัดคอผมเเน่ครับ ใครมีรายจ่ายเกือบ 7 หมื่นต่อเดือน หนักเหมือนกันนะครับ เเต่สู้ตาย เพราะ-------รักลงตัวเเล้ว-------- ก็นะ ผมเองคิดอยู่เสมอนะ ว่าต้องอยู่ให้ได้ ถ้าวันใดไม่มีเขา เวลานี้ ผมเตรียมตัวร่างกายเเละจิตใจ มั่นใจเกิน 100 ว่า เดือนมิถุนายน พร้อมสู้ศึกครับ วันที่ 20 นี้ ก็จะปฐมนิเทศเเล้ว คุณ: Flowery เเละคุณปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) มีอะไรจะเเนะนำรุ่นน้องหน้าใส วัยไม่ใสคนนี้บ้างหรือเปล่าครับ จากคุณ : tonmelb เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 18:36:35 A:203.209.119.56 X: TicketID:054700

ความคิดเห็นที่ 24 เรื่องทฤษฎีการแปลของเรา คุณต้นคงเอาไปใช้ที่มหาลัยจุฬาไม่ได้หรอก เพราะเราเคยพูด concepts ให้แฟนเราซึ่งจบปริญญาโทการแปลจุฬาฟัง แล้วเธอก็ตีหน้าเบ้ๆ ที่แรกเธอนึกว่าเราพูดเล่น เธอทำท่าจะหัวเราะ แต่พอฟังๆไป แล้วรู้ว่าเรา serious เธอก็เลยหัวเราะไม่ออก และเราก็เคยพูดเรื่องนี้ให้คุณ Flowery ฟัง (ตอนเธอขอคำปรึกษาเรื่องการเขียนงานวิจัย)  แล้วเธอก็บอกว่า “concepts ของเรา มันเอาไปเขียนเป็น thesis หรืองานวิจัยส่งอาจารย์ที่มหาลัยไม่ได้” นั่นก็คือ “ทฤษฎีการแปลของเราสร้างขึ้นมาจาก logical reasoning กับวิชา parapsychology (ส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานกันระหว่าง esoteric arts หลายๆสายพันธ์เข้าด้วยกัน)” ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราอ่านเรื่อง The Law of Attraction จากหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne เราส่งกระแสจิตไปที่ปลายนิ้วมือของเรา ขณะที่ใช้ google มันทำให้เราค้นเจอหมด ไม่ว่าจะเป็นตำราดีๆในการเรียนภาษาอังกฤษ เทคนิคการฝึกวรยุทธ์เพื่อสุขภาพ เพื่อเปลี่ยน cells ร่างกายและสมอง ให้คิดไวกว่าเดิม แปลไวกว่าเดิม เรียนรู้อะไรใหม่ๆได้ไวกว่าเดิมจนยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งความจำดี และคิดอะไรวิตถารแผลงๆได้มากยิ่งๆขึ้น คิดเก่งกว่าตอนเด็กๆหลายเท่า ทำให้เราเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตเราได้ คือแทนที่จะมานั่งบ่นๆๆๆๆๆๆ ว่าเราฝึกแปลมาแทบตายห่ะ แต่กลับทำเงินจากการแปลไม่ได้ เพราะเรารับแต่งานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ แล้วไม่มีเส้นสาย แล้วก็ไม่ยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานแปลดีๆมา  ซึ่งก็มีแต่จะดึงดูดให้คนเข้ามารุมด่าเรา และลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา   เรากลับฝึกสมาธิ ไม่ใช่เพื่อเรียนการแปลโดยตรง แต่มันทำให้เรียนการแปลได้แบบเป็น "ผลพลอยได้"  และเพ่งกระแสจิต ให้งานแปลดีๆเข้ามาหาเรา แล้วก็ดูเหมือนว่าเรากำลังจะประสบความสำเร็จ ฉากเหตุการณ์ทั้งหมด เป็นตาม The Law of Attraction หมดเลย เราจะเล่าให้ฟังเป็นฉากๆไป ตอนอยู่กับแฟนเก่าเรา หลักการแฟนเก่าเราคือ “เงินเราเป็นเงินเธอ เงินเธอเป็นเงินเธอ เราคุยกับผู้หญิงอื่นในฐานะเพื่อนเธอกล่าวหาว่าเรานอกใจเธอและชวนทะเลาะ แต่เวลาเธอคุยกับผู้ชายอื่นหรือนั่งรถไปกับเขาสองต่อสองตอนดึกๆหรือเบิกเงินมาให้เขายืมทีละหลายๆแสนบาทเธอกับเขาแค่เป็นเพื่อนสนิทกัน...ฮ่าๆๆ...” เธอดูถูกเราว่าอายุมากแล้วยังพยายามแย้มฝาโลงศพขึ้นมาแปลแข่งกับเด็กๆ และเธอคิดไปเองว่า จะมีผู้หญิงอื่นมาแย่งเธอไปทั้งๆที่เราไม่เคยไปจีบผู้หญิงอื่น เราได้แต่แปลงานก๋วยเตี๋ยวเรือจนเครียดทะเลาะกับชาวบ้านเรื่อยไป   เธอระแวงว่า คุณ “ก” ที่คุยกับเราบ่อยๆเรื่อง esoteric arts จะรักกันแล้วเป็นแฟนกัน และจะทำให้เราเลิกกับเธอ  และแล้วมันก็เป็นความจริงๆ เพราะคุณ “ก” ทำให้เราเลิกกับแฟนเก่าเราจริงๆ (มันเกิดจากพลังจิตในเชิงลบของแฟนเก่าเรายังไงล่ะ) โดยการส่งหนังสือชื่อ "As A Man Thinketh by James Allen มาให้เรา" เราได้หนังสือเล่มนี้มาตอนขาขวาเราเกือบพิการไปแล้ว แต่จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ เราเชื่อว่า “ปาฏิหารย์ แท้จริงแล้วมันคือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ไม่รู้ต่างหาก” "There are no miracles; what you see are only unknown laws." เราฝึกพลังการ think positive จนเดินกำลังภายในรักษาขาขวาเราได้สำเร็จ และช่วงนั้นเป็นเวลาที่พี่ nickycharles พูดเรื่องเรามี knowhow แต่ไม่มี knowwho เลยไม่ค่อยก้าวหน้าเรื่องอาชีพแปล ส่งผลให้โดนโจมตีอย่างหนักจากนักแปลหลายๆคนที่เข้าใจผิด  เราใช้ “การไม่เคลื่อนไหวตัวสยบการเคลื่อนไหวตัว”   เราอยู่เฉยๆและอัญเชิญ Shakti ให้เข้ามาประทับอยู่ที่ Muladhara chakra (ซึ่งเป็นศูนย์รวมพลังอยู่ตรงโคนกระดูกสันหลังของเรา) ภาษาจีนเรียกจุดนี้ว่า Hui Yin... แล้วอยู่ดีๆก็มีคนใช้ชื่อ Babatov เข้ามาด่ากับคนที่กำลังโจมตีเรากับพี่ nickcharles แบบประมาณว่ามีคนประมาณ 10 คนรุม Babatov คนเดียว แต่ทุกคนหนี Babatov ไปหมดเพราะ Babatov ปากจัดมากๆ!!!???... เราไม่รู้ว่านีเป็นพลัง Shakti หรือเปล่า?...vibration มันมีพลังสั่นสะเทือนแรงมากๆ จนทำให้กระดูกสันหลังเราทุกปล้องส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆๆๆ เหมือนในนิยายกำลังภายในเลยหละ จนกระดูกสันหลังเรากลับเข้าแนวธรรมชาติ จนเรารักษาขาขวาเราได้สำเร็จรอดพ้นจากความพิการไปได้อย่างหวุดหวิด (แม่เราเป็นโรคเดียวกับเรา คือ spinal misalignment แต่กระดูกสันหลังเอียงกันคนละข้าง จนแม่เราขาซ้ายพิการไป)    ส่วนแต่เราทำศึกครั้งนี้โดยไม่ต้องเสียน้ำลายเลยแม้แต่สักหยดเดียว แค่นั่งสมาธิ แล้วส่ง sex hormones ไปทั่วร่างเพื่อให้ร่างกายและหน้าตาเราสวยยิ่งๆขึ้น ดูเด็กยิ่งๆขึ้น  (ตอนนั้นเราจินตนาการว่าเราคือ Shakti) ปล่อยให้พลังจักรวาลเรียก Babatov ให้เข้ามาทำศึกแทนเรา เราได้แต่เปิดกระทู้อ่านข้อความที่คน 10 กว่าคนตบตีกับ Babatov แล้วก็ยิ้มๆอยู้ด้วยความสุขใจ...และอารมณ์ดีมากๆ ไม่โกรธคนที่เข้ามาโจมตีเรากับพี่ nickycharles เลยหละ .... มหัสจรรย์จริงๆ...การควบคุมอารมณ์ แล้วโปรยรอยยิ้มไปพร้อมกับความสุขนี่้แหละ !!!???...วิธิีการนี้นักพรตเต๋าต้องใช้เยอะ เวลาฝึกสมาธิ เพราะถ้าเพ่งกระแสจิตแรงๆ หน้าจะบึ้ง ก็เลยต้องส่ง the inner smile ไปชะโลมอวัยวะภายใน ส่งมันไปพร้อมๆกับ happiness   จากนั้นเราค้นพบ หนังสือ The Secret เราสนใจมันมากเป็นพิเศษ เนื่องจาก Rhonda Byrne ใช้ concepts ของ As A Man Thinketh เขียน The Secret แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 20:15:41 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 17:22:39 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 16:57:56 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 16:44:29

ความคิดเห็นที่ 25 อีกฉากหนึ่งของ The Law of Attraction ที่มันเป็นจริงขึ้นมา นั่นก็คือ "เราหยุด think negative หยุดคิดเรื่องเราไม่มี knowwho จึงไม่ได้งานแปลดีๆ แต่ think positive โดยการส่ง sex hormones ไปทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง  และเพ่งว่าเรามีพลังดีๆ ย่อมดึงดูดอะไรดีๆเข้ามา" เราเกือบจะไปสมัครเรียนต่อทางด้านภาษาในมหาลัย แต่อยู่ดีๆ "เราพบกระแสอะไรแปลกๆดีๆ มันไหลเวียนในร่างเรา ที่ดึงดูดงานดีๆให้เข้ามาหาเรา ทำให้เรามีเงินมากขึ้น ดึงดูดพลังดีๆให้ตัวเราสุขภาพดี ทำให้แปลเร็วและแม่นยำกว่าเดิม โดยไม่เหนื่อยเลยหละ  และเรียนรู้ทักษะทางด้านภาษารวดเร็วกว่าเดิม" โดยการใช้ “พลังเร้นลับทั้งหมด”  ไม่ได้ใช้ “การเรียนรู้แบบในมหาลัยเลย” อีกฉากเหตุการณ์หนึ่ง ที่แสดงว่า The Law of Attraction เป็นจริง นั่นก็คือ "Like attracts like."   นั่นก็คือ “คนขี้เหนียวจะดึงดูดคนขี้เหนียวเหมือนๆกัน ให้มาเป็นแฟนกัน” คือเมื่อ 2-3 วันนี้ แฟนเก่าเราหลังไมค์มาบอกว่าเธอกลุ้มใจอยากตาย เพราะผู้ชายคนใหม่ของเธอ ซึ่งมีเมียมีลูกแล้ว หาเงินได้มากมายเป็นฟ่อนๆ แต่เอาเงินไปให้ลูกเมียตัวเองหมด ไม่เคยให้เงินเธอเลยสักบาทเดียว แถมยังเข้ามานอนในคอนโดเธอ เอารถเธอไปขับฟรีๆ ไม่ยอมเติมน้ำมันให้ แล้วก็มาไถเงินเธอเอาไปใช้บ่อยๆ  เธอเปลี่ยนกุญแจคอนโด แต่ผู้ชายก็มายืนเฝ้ารอ เธอไม่สามารถขับไล่ผู้ชายคนนี้ให้ไปให้พ้นจากชีวิตเธอได้ง่ายๆ นั่นก็เพราะว่าผู้ชายคนนี้แอบเปิดเก๊ะเธอ แล้วเห็นสมุดบัญชีเงินฝากเธอมีเงินเป็นจำนวนมหาศาล   "มหัสจรรย์จริงๆ The Law of Attraction…!!!" ...Like attracts like. สิ่งที่เหมือนๆกันมันดึงดูดกันเอง...กฎอันนี้ มันจริงยิ่งกว่าจริงเสียอีก...น่าตกใจมากๆเลยหละ... มันเป็นอะไรที่ ironical เอามากๆเลยหละ ผู้ชายคนใหม่ของเธอไม่ยอมทิ้งเธอ เพราะว่าเขาเห็นว่าเธอมีเงินมากมาย แต่เราตัดสินใจเลิกกับเธอเพราะเราเห็นเธอมีเงินมากมาย คือเรายอมทน mental cruelty ของเธอ (ที่เธอพูดจา sarcastic ลบหลู่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเราทุกวัน)  ก็เพราะหลงคิดว่าเธอหาเงินไม่ได้ แล้วจะลำบาก เราจิตใจเมตตาคิดว่าบางทีจะช่วยเธอหาเงินได้ แต่เมื่อมาค้นพบว่าแท้จริงแล้วเธอมีเงินมากมาย เธอหลอกลวงเรา เราจึงเลิกกับเธอ แล้วไม่กลับไปอีก เมื่อเรียนรู้เรื่องพลังเร้นลับ เหล่านี้  ...เราจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเรียนต่อทางด้านภาษาในมหาลัยเพื่อเอาวุฒิการศึกษามาเป็นใบเบิกทางอีกต่อไป  แต่กลับทุ่มเทไปให้กับการศึกษา esoteric arts เพราะว่า จากแนวทางที่เราศึกษาแบบลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆนี้ มันกลายเป็นว่า "อยู่ดีๆเราก็สุขภาพดีขึ้น งานการดีขึ้น เงินทองดีขึ้น (ไม่ต้องมาบ่นๆๆๆๆ ในห้องนี้ว่าเราไม่มี knowwho ให้เสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเราอีก) และกลายเป็นว่า เราใช้วิธีแบบ paranormal มาเรียนศาสตร์และศิลป์แห่งการแปล ให้คิดคำแปลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยการ ผสมผสาน logical reasoning, intuition (ออกแนว esp กับ การสื่อสารกับวิญญาณฝรั่งที่เขียนภาษาอังกฤษเก่งๆ)  กับ the force (พลังจักรวาล) สลับไปสลับ มา   นี่เป็นการเรียนการแปลของเราที่เราคิดว่า มันท้าทายดี เพราะว่า ถ้าเราประสบความสำเร็จ มันก็คงมหัสจรรย์มากๆ (แต่ดูท่าทางเราจะประสบความสำเร็จ) แต่ถ้าเราประสบความล้มเหลว เราจะกลายเป็นคนแก่ที่ไม่มีเงินเหลือเก็บ และก็จะไม่มีวุฒิการศึกษาสูงๆมากนัก จนไม่มีใครว่าจ้างเรา ทำให้เราต้องไปค่อยๆคลานไปนอนตายอยู่ในสุสานหนูอนาถา  แต่นี่คือความเสี่ยงที่เรายอมรับ  เพราะว่า “มันท้าทายดี” สรุปแล้วนะ "ทฤษฎีการแปลของเรา โดยรวม มันก็แค่ฝึก biological transmutation คือการฝึกเล่นแร่แปรธาตุเพื่อที่จะเปลี่่ยน cells ในร่างกายและสมองเรา ให้สุขภาพดีขึ้น ความคิดความอ่านไวขึ้น เรียนรู้ด้านภาษาไวขึ้น แปลได้รวดเร็ว แม่นยำ และสวยงามกว่าเดิมอีกหลายๆเท่า โดยที่ร่างกายและจิตใจไม่เหนื่อยล้าได้ง่ายๆ ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งแข็งแรงมากยิ่งๆขึ้น มีพลังมากยิ่งๆขึ้น เหมือนในนิยายกำลังภายใน..." เรื่องที่เราคิดอยู่ตอนนี้ก็คือ "เราเชื่อว่าทฤษฎีการแปลของเรา (ที่ไม่มีสอนในมหาลัยไหนเลย) จะต้อง work for sure โดยเราจะยอมเอาชีวิตและความสำเร็จทางด้านการเงินของเราเป็นเดิมพัน..." แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 20:12:25 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 16:49:54 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 16:44:44

ความคิดเห็นที่ 26 ยินดีกับคุณต้นด้วยค่ะ :) มีกำลังใจดี คิมว่าจบสบายๆ แน่เลยค่ะ จะคอยชมภาพรับปริญญานะคะ จากคุณ : Kimberly (Ms. Kim) เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 18:09:04