ความคิดเห็นที่ 1   เอ๋าพี่....ก็เด็กมันตอบว่า ทำแท้ง...เพราะว่าถ้าตอบว่า ลาคลอดก่อนแล้วมาเรียนใหม่...ชีวิตจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ...มีแต่พ่อแม่รู้เรือ่งเข้าก็จับแต่งงานกัน... ก็ตอบทำแท้งไปเลย ปัญหาจะได้จบ ๆ ....เพราะว่าผู้หญิงเนอะ เขาก็ตอบแบบนี้แหล่ะ...ชีวิตจริงก็ทำแบบนี้ซะส่วนใหญ่ (ย้ำว่าส่วนใหญ่) ส่วนน้องผู้ชายก็ไม่รู้จะตอบยังไงเนอะ เพราะว่าเอาเข้าจริงพอทำผู้หญิงท้องขึ้นมาก็ตั้งท่าให้เอาออกอย่างเดียว เนี่ยะ....มันเลยทำให้เด็กตอบว่าทำแท้ง....เราก็คิดได้เท่านี้น่ะ ถ้าว่ากันตามความจริงในสังคมนะ...แต่ว่าถ้าจะตอบให้ดูดีมีตรรกะ (ซึ่งความจริงพอเกิดเรื่องนี้จริง ๆ แล้วทำเหมือนที่ตอบได้ไหมก็ไม่ได้อยู่ดี) ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง สรุป...คำถามแบบนี้ไม่ควรจะให้มาตอบแบบนี้ มันปลายปิดเกินไป แต่ว่าควรเปลี่ยนเป็นแบบเขียนบรรยายมากกว่า....เห้อออ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:03:39

ความคิดเห็นที่ 2   เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้นะ แต่สงสารเด็กที่ตั้งความหวังไว้สูงส่ง เห็นคะแนนทุกคะแนนมีค่าไปหมด การศึกษามันก็แบบนี้แหละครับ  ไม่ทดลองแล้วเอามาเล่นเลย  ใครๆก็เลยรับกันไม่ได้ เหตุผลของ ดร อุทุมพรก็ ถูก  เหตผลของเด็กถูก แล้วใครผิด...... แก๊สโซฮออล์  เอ้ย ไม่ใช่  ..........บีห้า...............  ผิด อย่าผวนนะ .................... จากคุณ : จอบบ้อน เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:10:43

ความคิดเห็นที่ 3   สรุปปัญหาโอเน็ต คือเด็กก้าวร้าว หรือ ข้อสอบมีปัญหา เห้อออ ยังงี้แหละปัญหามันถึงไม่จบ จากคุณ : กระดาษห่อของขวัญ เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:11:45

ความคิดเห็นที่ 4   ผิดตรงที่  สิ่งที่เรียนมา มันไม่ได้ใช้ในชีวิตจริงเลยน่ะสิครับ ปากก็บอกว่าจะให้คิดวิเคราะห์ แต่สุดท้ายก็ให้ท่องจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตั้งท้อง ถ้าวิเคราะห์จริงๆ แล้วอยากได้คะแนน ก็ต้องตอบข้อลาคลอดแหล่ะ แต่ในชีวิตจริงมี ปัจจัยอื่นอีกเยอะครับ ข้อเทนนิสก็เหมือนกัน ตีวอลเล่  มันวิเคราะห์ตรงไหน   ข้อคบเพื่อนอีก คนเรามันชอบไม่เหมือนกัน เขาก็มีเหตุผลหลายแบบ ข้อผ้าปูโต๊ะอีก  ถ้าให้ปัจจัยเพิ่มเติมว่า "แม่ชอบสีประจำวันเกิดที่สุด" โอเค แบบนี้ชัดเจน ปากก็บอกไม่อยากให้ท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง ปากบอกว่าไม่อยากให้เดามั่ว   สุดท้าย   ก็เป็นกันทั้งสองอย่าง   แล้วก็ไร้สาระกว่าเดิมเสียด้วย และน่าเสียใจที่ ผู้ใหญ่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด และควรปรับปรุงตัวเอง   ได้แต่โทษโรงเรียนที่ไม่ยอมสอนตามหลักสูตร โทษ สพฐ ที่ออกหลักสูตรมาแบบนี้  ฯลฯ  แถจนสีข้างถลอกหมด นี่แหล่ะ ความล้มเหลวของการศึกษาไทยตั้งแต่สมัย 40 ปีที่แล้ว ผลเพิ่งออกมาตอนนี้เอง จากคุณ : next80 เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:13:58

ความคิดเห็นที่ 5   ตัวอย่าง จากคุณ : รักและปลื้ม เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:20:02

ความคิดเห็นที่ 6   .......... จากคุณ : รักและปลื้ม เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:20:22

ความคิดเห็นที่ 7   ข้อข้างบนตอบอะไรกันดีคะ มาดูข้อต่อไป จากคุณ : รักและปลื้ม เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:21:20

ความคิดเห็นที่ 8   ............. จากคุณ : รักและปลื้ม เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 01:21:43

ความคิดเห็นที่ 9   อยากถามหน่อยอ่ะคับ ส่วนตัวสอบโอเน็ตเมื่อไม่นาน คืออยากถามว่า น้องๆได้คิดรึเปล่าว่า เราทำไม่ได้ เค้า(คนอื่น)ก็อาจจะทำไม่ได้ เพราะข้อสอบก็เป็นชุดเดียวกัน แล้วการเข้ามหา'ลัยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้เกณฑ์แต่ใช้เทียบลำดับคะแนน(แน่นอนว่า มีเกณฑ์แต่เกณฑ์มันก็ไม่ได้ยากน่าเกลียดนะ) แล้วก็ต้องขอโทษด้วยเพราะโอเน็ตปีนี้ผมไม่ได้ติดตาม แต่ก็สงสัยว่าเป็นข้อสอบแค่ชุดเดียวหรอ หมวด สุขฯ/การงานนี่แค่นี้หรอ ? เพราะส่วนตัวมองว่าคำถามทุกอย่างมีในการเรียนการสอนหมดเลยอ่ะคับ มันเป็นแนวคิดนะ เหมือนวิชาจริยธรรมหรือพระพุทธฯอ่ะ หรือวิชาพละก็ตาม ผมมองว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นนะคับ ที่ต้องตอบได้ มันเป็นเหมือนการปลูกฝังด้วยส่วนนึงอ่ะคับ น้องที่บอกว่า อยากเรียนหมอ ต้องมารู้เรื่องพวกนี้ด้วยหรอ ในความคิดผมก็ ต้องรู้อ่ะคับ มันเป็นเรื่องที่คนทุกคนควรรู้อ่าา -*- ถึงอยู่หมวดสุขฯไง ส่วนตัวคิดว่าดีนะ ที่ออกข้อสอบแนวนี้ เพราะจริงๆน่าจะเป็นเรื่องง่ายมากกว่า ไม่ต้องอ่านก็รู้อ่า (บางคนไม่รู้ก็ขอโทษด้วย) แล้วก็เข้าใจด้วย เพราะอย่างนึงที่ข้อสอบแนวนี้ช่วยเตือนสติคนทำได้ก็คือ การที่เราเข้าไปเรียนหนังสือ แต่ไม่ได้เรียนเรื่องชีวิต ก็เท่ากับว่าการเรียนประสบความสำเร็จอ่ะ ขอบคุณเฟสบุ๊คพี่วูดดี้นะคับ ต้องขอรบกวนด้วยโพสต์ยาวเลย ติดตามรายการพี่มานานนนนมากแระ ไม่มีโอกาสมาเจอในเฟสบุ๊คเลย 555+ ขอให้มีเรื่องดีๆอย่างงี้ต่อไปอีกนะคับ (แต่ผมชอบแนวสัมภาษณ์ดารามากกว่านะ 55555+) ปล.พี่ไม่ได้ซักผ้าเอง ไม่ได้ชอบเล่นกีฬานะคับ และที่สำคัญไม่ได้หาเรื่องหรือจุดประเด็นการทะเลาะ เพราะงั้นอย่ามองว่าพี่หาเรื่องเลยนะ 55 TwT จากคุณ : อาคัตสึกิ (แก้วเปรมปรีดิ์) เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 02:05:33

ความคิดเห็นที่ 10   ถึงคนที่บอกเรื่องทำแท้ง ถามจริงเวลาเห็นคนแก่ข้ามถนนไปช่วยเค้าไหม น้อยคนครับที่จะไปช่วย แต่ถามว่าถ้าข้อสอบถามว่า ถ้าเจอคนแก่จะข้ามถนนคุณจะทำอย่างไร จะไม่ตอบว่าไปช่วยหรอ ??? เค้าถามถึงลักษณะของสิ่งที่สังคมควรเป็น อย่างงี้ ถ้าเกิดประเทศไทยเสื่อมถึงขนาดฆ่ากันรายวัน คุณก็ตอบคำถามได้ดิว่า ฆ่าคนไม่ผิด จากคุณ : อาคัตสึกิ (แก้วเปรมปรีดิ์) เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 02:16:54

ความคิดเห็นที่ 11   อยากให้ทุกคนลองไปทำดูครับ แล้วคุณก็จะเข้าใจ ปัญหาของน้องๆปีนี้อยู่ที่ว่า ตัวหลักสูตรที่เอาสอบ มันจะให้นักเรียนท่องครอบจักรวาล ตอบให้ถูกใจคนออกข้อสอบ นะครับ (ผมพูดถึง การงาน สุขศึกษา ศิลปะ) ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้ในความเป็นจริงได้ มันจริงนะครับ ที่เราทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้ แต่อยากให้มองว่า ข้อสอบประเภทนี้ มันดีจริงแล้วหรือ ที่จะเอามาให้เด็กสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย? ผมสอบ admission รุ่นแรกสุด ที่มีร้อยแปดปัญหา เลยเข้าใจอารมณ์น้องๆทุกคนมาก จากคุณ : Alohomola เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 02:21:35

ความคิดเห็นที่ 12   ผมเข้าใจความรู้สึกของ จขกท. นะครับ แต่ลองเปลี่ยนออกมามองในมุมอีกมุมนะครับ ม.6 ปีนี้ ไม่ใช่ว่าพึ่งจะปรับเปลี่ยน ระบบ เฉพาะ แค่ ONET เป็นครั้งแรกนะครับ แต่เราได้รับการเปลี่ยนแปลง พอ ๆ กับสมัยปี 2549 ที่เปลี่ยนจาก ENTRANCE มาเป็น ADMISSION เรา ต้องสอบ GAT/PAT ซึ่้งสอบมา 4 ครั้ง มาตรฐานข้อสอบ ยังไม่เหมือนเดิมสักครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราได้รับผลกระทบจากเจตนาที่ดี(แต่วิธีการอาจจะพลาด) ของผู้ใหญ่ตลอดเวลา หลาย ๆ คน อาจจะคิดว่า แค่สอบเข้ามหาลัยเอง ตอนเรียนมหาลัย ตอนทำงาน ชีวิตจริงยังโหดร้ายกว่านี้เยอะ อยากรู้เหมือนกันนะครับ ว่าสมัยที่คนที่พูดอย่างนี้ เข้ามหาลัย มันมีปัญหาแบบนี้หรือเปล่า คุณอย่ามองว่าสมัยคุณ มันไม่เกิดปัญหา แล้วปัจจุบัน มันจะไม่มีปัญหาเหมือนกับคุณสิครับ เด็ก ๆ ไม่ใช่ว่าจะ ไม่มีเหตุผลนะครับ เราพร้อมจะรับฟัง ถ้ามีเหตุผลที่ดีพอ ที่จะทำให้เรารับได้ คำถามที่มันก้องอยู่ในหัวมีอีกมากมายนะครับ ที่อยากได้รับเหตุผลที่มากพอ ทำไม ... ต้องเปลี่ยน ต้องปรับที่รุ่นเราเป็นรุ่นแรก เป็นหนูทดลองตลอดเวลา ? ทำไม ... มาตรฐานข้อสอบไม่เหมือนกัน GAT/PAT สอบมา 4 ครั้ง ยังไม่หยุดเปลี่ยนรูปแบบข้อสอบ ทำไม ... ไม่รับฟังความเห็นของเราบ้าง ทำไม ... มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ถึงรับตรงด้วยตัวเองมากขึ้น ถ้าไม่ใช่้เพราะระบบ ข้อสอบห่วย ๆ ของคุณ (รู้มั้ยครับว่า ปีนี้ มหาลัยทุกแห่งเปิดรับตรงมากขึ้นเป็นเท่าตัว ทุกคนสอบเอง คัดเอง ทุก ๆ มหาลัยคิดว่าเค้าคัดเองได้มีประสิทธิภาพกว่า "หน่วยงานระดับชาติ" แต่ รู้มั้ยว่า เด็ก ๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายสมัครสอบเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แต่อยากเข้าวิศวะ ก็ต้องสมัครไป 5-6 มหาลัย ราคามีตั้งแต่ 200-1200 ต่อมหาลัย ถ้าบ้านมีปัญญาจ่าย ก็จ่ายไป แต่ถ้าไม่มีล่ะ) ทำไม ... ตั้งแต่เปลี่ยนเป็น ADMISSION เด็กเข้ามหาลัย แล้วเรียนไม่รอด ถูกไทร์ มากขึ้น ทำไม ... ถึงไม่ยอมรับล่ะ ว่าที่มันผิดน่ะ คือตัวคุณเอง ไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่ครูเลย .... ฯลฯ และคงมีอีกหลายคำถามนะครับที่ควรจะได้รับคำตอบ สมัยที่ ยังเป็นระบบ ENTRANCE คุณต้องถามคำถามเหล่านี้มั้ยครับ ? ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ คุณยังคิดว่ามันเป็นปัญหาเล็ก ๆ อีกมั้ยครับ เรียนมหาลัย หรือใน ชีวิตจริงมันอาจจะมีปัญหามากกว่านี้ก็จริงนะครับ แต่มัน เป็นปัญหาตามวัย ตามวุฒิภาวะ ที่ทุก ๆ คนต้องเผชิญ ปัญหามันไม่ใช่ แค่ที่ ONET หรอกครับ ที่ทำให้เด็กออกมาเรียกร้องมากมายขนาดนี้ มันอยู่ที่ความงี่เง่าของผู้ใหญ่ ที่ไม่ยอมเข้าใจเด็กมากกว่า ! ------------------------------------------------------- เพิ่มเติมนะครับ พอดีพึ่งนึกออก หลายคนพูดถึงเรื่อง เด็กจริงจังกับคะแนน / กวดวิชา มากเกินไป ผมในฐานนะ เด็ก ม.6 ผมพูดเรื่องนีั้ไม่ใช่เพราะผมต้องการคะแนนเพิ่มนะครับ เพราะ ถ้าผมได้เพิ่ม ทุกคนทั้งประเทศก็ได้เพิ่ม มันก็ไม่ต่างกันอยู่ดี และที่สำคัญ ตอนนี้ผมก็สอบตรงติดไปแล้วด้วย ไม่ได้มีผลได้ผลเสียอยู่แล้ว และก็เชื่อว่า เด็ก ม.6 อีกหลายคน ก็พูดด้วยการไม่ได้หวังผลคะแนน เพราะอย่างที่บอก ปีนี้สอบตรง รับจำนวนมากขึ้นกว่าเท่าตัว แต่ที่เราพูดและวิจารณ์รวมถึงเรียกร้องเนี่ย เพราะเราอยากให้มีการปรับปรุง "วิธีการ" และ "หลักการ" มากกว่าครับ อยากให้มองว่้าเป็นการ "ติเพื่อก่อ" ก่อให้เกิดการแก้ไขในปีต่อ ๆ ไป แก้ไขให้การคัดเลือก มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนตัวผม เข้าใจ และ ชอบ ในหลักการที่อยากให้คนที่รู้ลึกรู้จริง ถึงจะได้คะแนน ไม่ใช่คนที่เดาสุ่ม แต่เึีึครื่องมือที่ใช้วัดก็น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าตอนนี้สิครับ ออกแบบ เครื่องมือที่จะคัดคนให้ได้มากกว่านี้ แล้วถ้าตอนนั้น ยังมีคนด่าคุณอยู่ ผมจะออกไปรับแทนเลยครับ ส่วนเรื่องการกวดวิชา ทำไมมันถึงเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าเรามองกวดวิชาเหมือน "ที่พึ่ง" ในเมื่อเราต้องสอบ ตั้งแต่ยังไม่ทันจบ ม.5 แต่เนื้อหาน่ะออกถึง ม.6 เราจะพึ่งใครได้ครับ ครูที่โรงเรียนงั้นเหรอ ? ที่สำคัญ ครูที่กวดวิชาบางคนนะครับ มีจรรยาบรรณความเป็นครูมากกว่าครูที่โรงเรียนบางคนด้วยซ้ำ ส่วนตัวผมมองว่า เราควรเอาคนที่เก่งมาเป็นครูสิครับ แต่ ตอนนี้ คนที่เก่งสักกี่คน ที่จะยอมมาเป็นครู เรื่องเหล่านี้ เป็นปัญหาระดับประเทศ ที่ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังแล้วนะครับ ! จากคุณ : Couldn't เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 02:22:28

ความคิดเห็นที่ 13   อาจารย์อุทุมพร ท่านบอกว่าในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีอะไรขาว หรือ ดำ คืออาจจะมีหลายข้อถูก ถ้างั้น  กับข้อที่ถามเรื่องผ้าปูโต๊ะ วันแม่  ดอกไม้ ผลไม้ ถามว่าทำไมต้องสีฟ้า  ในเมื่อโลกแห่งความเป็นจริง  วันแม่โอเคดอกมะลิ ผลไม้ ก้อมะละกอ นี่เข้าใจ แต่ทำไมต้องผ้าปูโต๊ะสีฟ้า ไม่จำเป็นเลยจริง ๆ เพราะถ้าแม่เกิดวันศุกร์หรือเหตุใด ๆ ก้อแล้วแต่ก้อไม่จำเป็นที่จะต้องชอบสีฟ้า  (ตามโลกแห่งความเป็นจริงที่ท่านอ้าง และมีหลายข้อถูกแต่ทำไมสีฟ้าถึงถูกที่สุด)   หรือ อย่างเช่น ข้อ เลือกเพื่อน ทำไมตอบคุณวู๊ดดี้ไม่ได้ที่คุณวู๊ดดี้ถามว่า เลือกแบบเอาใจเค้าฯ แล้วถ้าเค้าเสแสร้งหล่ะ  ทำไมทีเลือกแบบยิ้มแย้ม พูดเพราะ ยังแกล้งทำได้  ทำไมเอาใจเค้าฯ มันจะแกล้งไม่ได้   ไม่ใช่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของอาจารย์นะครับ  แต่คุณต้องอธิบายให้คนโต้แย้งคุณไม่ได้ เช่น 1+1 = 2 คือไม่สามารถดิ้นได้  ในเมื่อคุณตอบคำถามคุณวู๊ดดี้ไม่ได้ แล้วจะมายืนยันได้ไงว่าคำตอบของคุณถูกต้องที่สุด อีกเรื่องคือ พูดได้ง่ายมาก มีแค่ 16 ข้อ จาก 500 กว่าข้อเองไม่ใช่เหรอ  อาจจะใช่ครับ เพราะผมไม่ใช่นักเรียน  ไม่ทราบ แต่คิดว่าแค่ 16 ข้อนี้ถ้าคุณเป็นผู้สอบก้อคงอยากจะได้คะแนนนี้มา เพราะเค้าก้อวัดผลต่างกันไม่กี่คะแนนไม่ใช่เหรอครับ   อย่างที่บอก ถ้าบอกว่าเป็นการวัดโรงเรียนไปในตัว  แล้วถ้าครูไม่ได้สอนเด็กตอบไม่ถูก  เด็กผิดหรือ ? เจตนาดี วัตถุประสงค์ดี ไม่เถียงครับ เห็นด้วยทุกประการ  แต่คุณต้องอธิบายคำตอบได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่อึ้ง ตอบคำถามไม่ได้  งั้นอาจจะคงต้องรบกวนกลับไปวิเคราะห์กระบวนการออกข้อสอบลักษณะนี้ก่อนที่จะมาให้เด็กวิเคราะห์น่าจะดีกว่านะครับ  เพราะคนถามยังอึ้งคำถามตัวเองแล้ว เด็กจะไม่อึ้งกับคำถามคุณได้ยังไง ด้วยความเคารพ จากคุณ : smartplay เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 06:03:22

ความคิดเห็นที่ 14   http://www.dek-d.com/content/admissions/19330/Clip-%E0%B8%AD.%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A-O-NET.php จากคุณ : smartplay เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 06:18:39

ความคิดเห็นที่ 15   อะไรก็เหอะ ไม่น่าโยนความผิดให้ดรงเรียนอ่ะครับ่าสอนไม่ดี กล้าๆรับผิดชอบหน่อย ออกผิดพลาด ก็ยอมรับเหอะ ให้ฟรีไป เด็กจาได้ไม่โวย เรื่องเงียบแน่นอน หุหุุ แต่อาจโดนด่าว่าช่ยได้ จากคุณ : sun_cemter (sun_center) เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 06:54:29

ความคิดเห็นที่ 16   เรียนเจ้าของกระทู้ หนูเป็นเด็ก ม.6 นะคะ จากการที่ได้ไปสอบมา รุ่นนี้แย่สุดตั้งแต่ GAT PAT แล้วคะ อาจารย์อุทุมพรท่านเคยมาแนะแนวที่โรงเรียน แล้วมีอาจารย์ที่โรงเรียนถามท่านผ่านไมค์เลยว่า หากเด็กบางคนไม่มีเงินจ่ายค่าแกทแพทจะทำอย่างไร ในเมื่อสอบได้ 3ครั้ง อย่างน้อยจะได้เงินต่อเด็ก 1คนเป็น 600 บาท แต่เงิน600บาทนั้นสำหรับบางคนมีค่ามากมาย ท่านอาจารย์อุทุมพรกลับตอบว่า "แล้วใครใช้ให้ลงทุกครั้งละ!!!!" เพราะเรื่องเงินเด็กบางคนจึงลงเพียงแค่บางครั้ง แล้วผลที่ออกมามันคืออะไร ข้อสอบแต่ละครั้งมีความยากง่ายไม่เท่ากัน แล้วเด็กบางคนที่ไม่ได้ลงสอบรอบง่ายๆไปหละคะ ..มาตรฐานวัดจากไหน .. ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อตามมหาวิทยาลัยเปิดรับตรง บางมหาวิทยาลัยต้องการมาตรฐานของการคัดเลือก จึงกำหนดครั้งที่ต้องการใช้ เช่นการสอบตรงคณะ..ใช้GATPAT ครั้งที่3 เท่านั้น !!!!!!! แล้วเด็กที่ไม่ได้ลงไว้หละคะ หมดสิทธิ์ !! มันยุติธรรมแล้วหรอ เรื่องแกทแพทผ่านไป ..นักเรียนก็ทำได้เพียงอย่างเดียวคือบ่น แล้วก็ปล่อยไปตามความเมตตาของทางผู้ใหญ่ .. จนมาถึงเรื่องโอเนต โอเนตสอบได้ครั้งเดียวในชีวิตคะ !!!!!! แล้วรุ่นอื่น ปีอื่น ทำไมไม่มีปัญหา เพราะ มันเป็นข้อสอบที่วัดพื้นฐานจริงๆ แล้วปีนี้หละมันคืออะไร ! เปิดข้อสอบมาวิชาแรกสังคม แบ่งเป็น 2พาท พาทละ50% เริ่มทำพาทแรกคะ 1 คำตอบ พอทำได้คะ ข้อไหนไม่ได้ก็มั่ว เป็นธรรมดาของข้อสอบทั้วไปอยู่แล้ว พาทสองคะ มากกว่า 1คำตอบเท่านั้น ทำไปสักสามข้อแล้วอยากร้องไห้ ยอมรับคะอ่านไปเปะๆทำได้แน่ แต่หนูอยากเป็นเภสัชคะ ท่องฟิสิกเคมีชีวะ ลำพังก็จะแย่อยู่แล้ว ให้มาท่องสังคมแบบเปะๆๆๆๆๆ บางข้อหนูรู้คะ รู้แค่คำตอบเดียว แต่โจทย์มันมีมากกว่า 1คำตอบ แล้วหนูรู้บ้างแล้วข้อนั้นหนูต้องได้ 0 ซึ่งมีค่าเท่ากับคนไม่รู้เลยหรอ ! เป็น จขกท. พี่จะคิดยังไง พาทหลังผ่านไป ทำให้หนูรู้ว่า คนที่หัวปานกลางจะอยู่ในสังคม จะเรียนมหาวิทยาลัย จะเรียนคณะที่ชอบ ไม่ได้เลยหรอ ! วิชาต่อมา คณิตศาสตร์ ไม่มีปัญหาอะไร อังกฤษ ก็แทบจะไม่มีปัญหา ก็มีเสียแต่ error ที่คนไม่รู้จะได้ 0 ในจุดนี้ และสามวิชาสุดท้ายที่ถกเถียงกัน **** ตอนนี้หนูคิดว่า การที่หนูนั่งอ่านหนังสือแทบตายไปนิไม่ได้ช่วยให้หนูติดคณะที่หวังเลย แต่การที่ไปทำบุญทำทาน ไปเสริมดวง ไปเล่นไสยศาสตร์ จะเป็นการดีซะกว่าอีก เพราะ admission 53 นี้คนที่ติดคณะดีๆต้องดวงดีหรือเป็นไอสไตล์กลับชาติมาเกิดเท่านั้น !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! จากคุณ : admission53 เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 09:02:05 A:222.123.158.58 X: TicketID:256656

ความคิดเห็นที่ 17   ทำข้อสอบไม่ได้  ก็อ้างว่า อาจารย์ออกข้อสอบมั่ว พวกโจรถูกศาลตัดสินลงโทษ  ก็อ้างว่า ศาลไม่ยุติธรรม จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 09:36:51

ความคิดเห็นที่ 18   ขอตอบในมุมมองที่กว้างกว่าเด็กนะ (เพราะเลยวัยไปพอควร) คณะทำงานที่ออกข้อสอบทำพลาดหลายเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ 1. อ้างอิงผิดหลักสูตร - ถึงคุณอุทุมพรจะบอกว่าคล้ายกัน แต่สิ่งที่เธอพูดเองในรายการก็บอกให้รู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ข้อสอบเรื่องเทนนิส หลักสูตรที่น้องๆเรียน ระบุว่ากีฬาสากล โรงเรียนจึงมีอิสระในการสอนอะไรก็ได้ แต่หลักสูตรที่นำมาใช้ในการออกข้อสอบกลับระบุว่าเป็นเทนนิส หากคนออกข้อสอบตระหนักตั้งแต่แรกว่า แต่ละโรงเรียนสามารถสอนกีฬาอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน คนออกข้อสอบสามารถเลือกถามในสิ่งที่เป็นกลางๆ หรือเลือกที่จะออกในเนื้อหาส่วนที่เป็นแกนที่ทุกโรงเรียนต้องเรียนเหมือนกัน ไม่ใช่ อยากออกอะไรก็ออก ดังที่คุณอุทุมพรพูดในรายการ ดังนั้น ขอสงสัยไว้ก่อนเลยว่า การสอบคราวนี้จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์แรกของการจัดสอบ คือการวัดมาตรฐานการเรียนการสอน 2. ระดับความยากของข้อสอบและอำนาจจำแนก - ไม่ว่าคุณจะคิดคะแนนแบบไหน ข้อสอบที่ดีต้องมีความยากที่เหมาะสม และสามารถแยกเด็กเก่ง เด็กปานกลาง และเด็กอ่อนออกจากกันได้ การสอบโอเนตเป็นการวัดความรู้พื้นฐาน ไม่ใช่ข้อสอบคัดเลือก คุณอุทุมพรควรจะชี้แจงได้ว่า ข้อสอบที่ใช้ในครั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ มีระดับความยากง่ายและอำนาจจำแนกต่างกันอย่างไร อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะใช้วัดความรู้พื้นฐานแค่ไหน ข้อนี้ไม่ใช่แค่สำหรับโรงเรียน อย่าลืมว่าเด็กต้องใช้คะแนนชุดนี้ไปสมัครเข้ามหาวิทยาลัยร่วมกับพี่ๆที่สอบในปีก่อนๆด้วย ถ้าข้อสอบมีความยากง่ายไม่เท่ากันหรือจำแนกเด็กไม่ได้ จะมีคนได้เปรียบเสียเปรียบแน่นอน สทศ ควรจะหาทางเยียวยาปัญหานี้ให้กับเด็ก 3. ข้อสอบที่มีคำตอบได้หลายข้อ สามารถตอบได้หลายแบบ ควรจะให้เด็กได้มีโอกาสอธิบายความคิดของตัวเอง อย่าบอกว่าทำไม่ได้ เพราะประเทศที่คุณไปเอาระบบเขามาก็ใช้วิธีนี้ (ตัวอย่างหาได้ในห้องหว้ากอ) และที่บอกว่ามีปัญหาอยู่ 16 ข้อ ใจจริงอยากจะถามว่า มีเกณฑ์อะไรที่ใช้ในการตัดสินว่าข้อสอบมีปัญหา เพราะถ้าคุณไม่มีเกณฑ์ ก้ไม่มีใครบอกได้ว่า พรุ่งนี้ มะรืนนี้ จะมีข้อที่ 17 18 19 หรือแม้แต่ ข้อที่ 500 โผล่ออกมาหรือเปล่า ปล ถ้าดิฉันเป็น จนท ในกระทรวงศึกษา ดิฉันจะไม่รับผลการประเมินจาก สทศ จนกว่าจะได้รับคำตอบว่า ข้อสอบในชุดนี้ - ออกเกินหลักสูตรไปกี่ข้อ - มีกี่ข้อที่ไม่ได้อิงหลักสูตรที่เป็นแกน แต่ไปเลือกเอาวิชาเลือกที่แต่ละโรงเรียนมีสิทธิในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นของตัวเอง - ระดับความยากง่ายของข้อสอบ และอำนาจจำแนก ทั้งของปีนี้และปีก่อนๆ - มีข้อสอบกี่ข้อที่มีปัญหา และไม่สามารถวัดผลได้ ปล สอง คนที่อยู่ในวงการศึกษาจริงๆ คงมีคำถามมากกว่านี้ ปล สาม ถ้าไม่มีคำตอบจาก สทศ ก็คงไม่มีใครแปลกใจ หากว่า การศึกษาในบ้านเรามันจะพัฒนาไปไม่ถึงไหน ขนาดวัดผลยังวัดผิดหลักสูตร garbage in garbage out เรื่องธรรมดา จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 09:46:24

ความคิดเห็นที่ 19   อยากจะพูดถึงตัวข้อสอบที่น้องๆ ได้แสดงความคิดเห็นว่า ออกมาได้อย่างไรข้อสอบแบบนี้ เพราะมันไม่สมควรออกบ้าง , ออกไม่ตรงตามที่เรียนมาบ้าง ,   ยกตัวย่างเช่น #5 เข้าใจว่าที่เอามาโพสต์ให้ดูเพราะว่าไม่เห็นด้วยในการออกสอบข้อนี้ใช่ไหม สำหรับคำตอบของผมคือ ผัดไทยกุ้งสด , ใบตองสด , ดอกกุหลาบ , สีชมพู คำตอบดังกล่าวไม่ใช่คำตอบที่เฉลยแล้วว่าถูกนะครับ แต่เป็นคำตอบทีผมสามารถวิเคราะห์ได้จากบริบทของโจทย์ที่ให้มา อย่าเข้าใจผิดสิครับ ว่าโจทย์ให้เดาใจชาวต่างชาติว่าชอบกินอะไร หรือชอบหรือไม่ชอบสีไหน หรือชอบหรือไม่ชอบดอกไม้ชนิดใด ถ้าคุณคิดแบบนั้น แน่นอนว่าร้อยคนร้อยคำตอบแน่นอน ผมเข้าใจว่าโจทย์ต้องการให้วิเคราะห์เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบแบบ สังคมส่วนใหญ่ หรือสากลนิยม หรือแนวทางสังคม หรือ สามัญสำนึก ไม่ใช่เอาคำตอบหรือความรู้สึกของตัวเอง , ไม่ใช่เอาคำตอบของบ้านตัวเอง ไม่ใช่คำตอบข้างบ้านตัวเอง มาตอบ  ....เข้าใจไหมครับ - อาหารไทยที่เป็นที่นิยมมากที่สุด = ถ้าไม่ต้มยำกุ้ง ก็ต้องเป็นผัดไทย ใช่ไหม  ...ผมได้ยินน้องบ้างคนอ้างว่า อ้าวววแล้วฝรั่งบ้างคนไม่ชอบผัดไทยล่ะ??? งงกับตรรกะการคิดแบบนี้จริงๆครับ - วัสดุบรรจุอาหาร = หลังจากที่เราวิเคราะห์ได้แล้วว่าเป็นผัดไทย เราก็มาวิเคราะห์ต่อเนื่องไปว่า แล้วอะไรล่ะที่สามารถใช้บรรจุผัดไทยได้ และสามารถแสดงความเป็นไทย และเป็นที่นิยมใช้กัน (ในไทย)   ...ต้องเป็นใบตองสดใช่ไหมครับ - ชนิดของดอกไม้ = โจทย์บอกว่าเป็นวันครบรอบแต่งงาน แล้วดอกไม้อะไรที่โลกสากลเค้าสื่อถึงความรักกันล่ะครับ  ...ดอกกุหลาบใช่ไหม - สีผ้าปูโต๊ะ = สีอะไรที่ให้บรรยากาศของความรัก  ... สีชมพูหรือเปล่าครับ โจทย์ในหมวดสุขศึกษา/พละ มันไม่ได้มีคำตอบแบบ 1+1 = 2 แน่นอนอยู่แล้วครับ แต่เราต้องวิเคราะห์ครับ มันไม่มีอยู่ในแบบเรียนของน้องๆหนูๆหรอกว่า อ้างอิงคำตอบได้จากบทเรียนไหน หน้าที่เท่าไหร อย่าลืมว่าการเรียนรู้ ไม่ได้อยู่ในเฉพาะห้องเรียน หรือแบบเรียนเท่านั้นนะครับ คุณสามารถเรียนรู้ได้เท่าไปทุกหนแห่ง และโจทย์ที่น้องๆกล่าวอ้างว่ามีปัญหานั้น ผมมั่นใจว่าไม่เกินความสามารถของเด็กไทยที่จะวิเคราะห์คำตอบออกมาได้ครับ ปล. ยกตัวอย่างอีกข้อนะครับ ข้อที่โจทย์บอกว่า น้องนก นพวรรณ(นักเทนนิส) จะรู้สึกเครียดกังวลกับเหตุการณ์ใดมากสุด   ....น้องๆในรายการวู๊ดดี้เมื่อคืนโวยวายว่า "แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร เราไม่ใช่น้องนกหนิ"   โจทย์ไม่ใช่ให้คุณเดาใจน้องนกนะ  ต่อให้เป็นน้องหมู หมา กา ไก่ อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นนักเทนนิส หรือนักกีฬาประเภทอื่นๆ  "ส่วนใหญ่" เค้าก็เป็นกังวลหรือเครียดกับความสำคัญของแมทช์นั้นๆ     ....ไม่ใช่จะบอกว่า "แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร เราไม่ใช่น้องนกหนิ"   ด้วยความเคารพนะครับเด็กไทยทั้งหลาย คุณกำลังหลงประเด็นโจทย์ หรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 53 12:43:10 จากคุณ : Speed_king เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 11:50:14

ความคิดเห็นที่ 20   ข้างบน จ๋า คิดว่า หลักสากลที่คุณว่า มีสักกี่คนถือ ผัดไทย บาง จังหวัดยังใส่หมู เค้ายังคิดว่าเป็นสากล ในจังหวัดนั้นเลย บาง คนไม่รู้ด้วย ซ้ำว่า หลายที่ ไม่ใส่ บางที่ ดอกไม้ แห่งความรัก ก็ไม่ใช่กุหลาบ บางที่ดอกไม้ วันแม่เป็นดอกคาเนชั่น ด้วย ซ้ำ เรา ว่า คุณก็อีโก้ สูงเหมือนกันนะ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 53 12:49:07 จากคุณ : คุณชายแรง เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 12:48:49

ความคิดเห็นที่ 21   อยากจะบอกว่า ดอกสุพรรณิการ์ ดอกกุหลาบมอญ หน้าตามันเป็นเยี่ยงไรฤา ???? เห็นตัวเลือก เล่นเอา หัวใจวายไป3 วินาทีเชียว จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 14:21:46

ความคิดเห็นที่ 22   #20 ครับ ผมงงว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับผัดไทย ใส่หมูหรือไม่ใส่หมูอ่ะครับ  T_T ที่ผมยกตัวอย่างอ่ะ อ้างอิงจากโจทย์ตาม #5 และตัวเลือกคำตอบจาก #6 นะครับ อย่างเช่นข้อนี้ โทย์ต้องการจะถามแค่ อาหารไทย (ตามตัวเลือกด้านล่าง) ข้อไหน เป็นที่นิยม หรือเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากสุด  ถ้าคุณวิเคราะห์แล้วว่าจากตัวเลือกทั้งหมด มันน่าจะเป็น ผัดไทยกุ้งสด ก็ตอบได้เลยหนิครับ ตัวเลือกก็มีอยู่แค่นั้นเอง ถ้าตัวเลือกเค้าให้เลือกว่าเป็นผัดไทยกุ้งสด ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ ผัดไทยปลาหมึก ผัดไทยทะเล ผัดไทยหมู ก็ว่าไปอย่าง (ได้อ่านจากโจทย์ครบหรือยังครับ) ส่วนเรื่องดอกไม้แห่งความรัก (จากโจทย์นะ) คุณใช่คำว่า "บางที่" อีกแล้ว ผมบอกแล้วไงครับว่า โจทย์เค้าถามในภาพรวม ส่วนรวม ส่วนใหญ่ มากกว่าที่จะใช่คำว่า บางที่ บางคน บางส่วน นะครับ ลองถามคนสัก 100 คนดูว่า ถ้าให้คุณนึกถึงดอกไม้ที่สื่อถึงความรัก พวกเราจะนึกถึง ดอกไม้ชนิดไหนครับ แล้วที่บอกว่า "บางที่" ดอกไม้วันแม่เป็นดอกคาเนชั่น ด้วยซ้ำ มันอยู่ในโจทย์ข้ออื่น ไม่ได้อยู่ในโจทย์ข้อนี้ ใช่ไหมครับ งั้นเนื่องจากผมยังไม่เห็นโจทย์ แต่ค่อนข้างจะมั่นใจว่าในบริบทของโจทย์ข้อนั่นต้องมีบอกไว้ว่า เค้ากำลังพูดถึง "แม่" ที่เป็นคนไทย ดังนั้นสำหรับคนไทยแล้ว ดอกไม้ประจำวันแม่ คือ ดอกอะไรคงไม่ต้องบอก เพราะรู้กันทั่วไปอยู่แล้ว ไม่มีหรอกครับที่ว่า ดอกไม้ประจำวันแม่ของภาคเหนือคือ ดอกคาร์เนชั่น  ภาคใต้คือดอกดาวเรือง ฯลฯ ปล. อีโก้สูง ในความหมายของคุณคืออะไร ถ้าหมายถึงการไม่รับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของคนอื่น คงต้องขอปฎิเสธว่า ผมไม่ใช่คนที่อีโก้สูง ครับ เพราะผมยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกคน รวมทั้งคุณด้วยครับ จากคุณ : Speed_king เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 16:00:21

ความคิดเห็นที่ 23   ข้อนั้นตอนแรกจะตอบผัดไทย แต่โจทย์บอกว่าอาหารเช้าเลยเปลี่ยนอ่ะ เพราะคิดว่าผัดไทยยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นอาหารเช้าไปได้เลย สีผ้าปูโต๊ะคิดเหมือนคุณ Speed_king คือบรรยากาศความรักแต่ตอบสีแดงไป เพราะความรักน่าจะเป็นสีแดง (เหมือนข้อสอบวิชาศิลปะข้อแรกที่ดั้งเดิมเฉลยว่าความรักสีแดง) สุดท้ายก็ผิดเรียบ เฉลยผัดไทยกับสีชมพู T^T จากคุณ : จอมโจรปล้นอมยิ้ม เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 19:16:23

ความคิดเห็นที่ 24   ขอบคุณคุณ Speed_king มากๆ ครับ ที่ช่วยมาตอบคำถาม ผมเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เห็นน้องๆ เข้ามาตอบเยอะทีเดียว อย่างที่ผมบอกไว้ว่า ข้อสอบทุกปีมีปัญหา ผมลืมข้อสอบภาษาอังกฤษปีที่ผมสอบอีกข้อ เป็นการ์ตูน ซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นกลางคืน หรือตอนเย็น เห็นไหมครับ ข้อสอบกำกวมมีทุกปี ทุกที่ ข้อสอบความยากง่ายไม่เท่ากัน น้องสอบ TOEFL หรือ IELTS สองครั้ง ความยากง่าย ความถนัดต่างกัน ก็ทำให้ทำได้คะแนนไม่เท่ากันแล้วครับ เช่น น้องตั้งใจจะไปเรียนวิศวะ หรือการเงิน แต่ตอนสอบต้องอ่านบทความทางการแพทย์ น้องจะไปโวยวายกับใครล่ะครับ เรียนสูงขึ้น อาจจะเหมือนสอบได้บ่อยขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่ามากนะครับ สูงจนไม่อยากจะสอบครั้งที่สอง หรือครั้งที่สามเลย น้องหลายคนที่บอกว่าเป็นทั้งชีวิตของน้อง พี่เห็นใจครับ แต่อยากให้มองไกลกว่านั้นอีกหน่อย น้องเคยได้ยินเด็กซิ่วไหม แล้วน้องแน่ใจเหรอว่าที่น้องเข้าไปเรียนแล้วจะชอบแน่นอน พี่เห็นเพื่อนพี่จำนวนมาก ที่อยากเรียนวิศวะ สุดท้ายก็ซิ่วไปเรียนบัญชี พี่เคยเห็นกระทั่งคนเรียนหมอ ซิ่วไปเรียนนิเทศน์ด้วยซ้ำ คนที่เรียนจบ ผ่านจุดนั้นมาทุกคน และไม่ได้มองว่าการสอบไม่ติดเป็น The end of the world ความตั้งใจเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่อยากให้มองอะไรไกลๆ ด้วยนะครับ ตั้งใจไปเถอะครับ พี่เอาใจช่วยคนตั้งใจทุกคน พี่ไม่ใช่คนเก่ง พี่เห็นโจทย์ข้างบนยังงงๆ เลย ก็คิดเหมือนกันว่าข้อนี้ พี่ก็ทำไม่ได้(ว่ะ) แต่พอคุณ Speed_king ไกด์มา พี่ก็โอเคนะ เป็นตรรกะที่รับได้ และสมเหตุสมผล จริงๆ ครั้งแรกที่พี่ได้ยินว่ามีการสอบสุขศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยด้วย พี่ก็ไม่เห็นด้วยเท่าไร และก็ยังไม่เห็นด้วย ถ้าข้อสอบออกแบบข้อวิธีตีลูกเทนนิส แต่ถ้าออกให้เชื่อมโยง พี่ก็โอเคนะครับ ส่วนเรื่องข้อน้องนกเครียดเนี่ย เห็นด้วยกับคุณ Speed_king เหมือนกัน นี่คือสาเหตุว่าทำไมข้อสอบถึงออกชื่อสมมติเป็นส่วนใหญ่ น้องอย่าคิดว่าผู้ใหญ่เขามองข้ามปัญหาของน้อง หรือไม่รู้ปัญหา เขารู้ครับ เขาผ่านมาก่อนทั้งนั้น แต่เรื่องเขาจะแก้ไปในแนวทางไหน น้องต้องช่วยครับ ไม่ใช่โวยวายอย่างเดียว ผู้ใหญ่ใจกว้างหลายคนฟังคำแนะนำทั้งนั้น น้องยังโชคดีนะครับ เขาไม่มีข้อสอบกลาง เหมือนบางประเทศ แบบนั้นไม่ใช่แค่น้องเขามหาวิทยาลัยได้รึเปล่า เขาไม่ให้น้องจบ ม. 6 เลยนะครับ ปัญหาการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญครับ แต่อยากให้น้องๆ ที่โวยวาย เข้าใจอีกนิดว่าน้องโชคดีแค่ไหน มีอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสพูด มีหลายคนที่ไม่มีโอกาสสอบ มีอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสกวดวิชา ติเพื่อก่อได้ครับ แต่วิธีการแสดงออกของน้อง และคำพูดบางอย่าง รวมไปถึงตรรกะที่น้องใช้กับข้อสอบบางข้อ พี่ไม่เห็นด้วย รับฟังตรรกะของคนอื่นด้วย แค่น้องมองว่าทำแท้งได้ พี่ว่าน้องก็ผิดแล้ว ชีวิตคนนะครับฃ นี่แค่ข้อสอบ น้องไปทำผู้หญิงท้องจริงขึ้นมา น้องจะทำแบบนั้นจริงเหรอ ถ้าทำจริง พี่ว่าน้องไปพิจารณาตัวเองอีกทีดีกว่า สุดท้าย ถ้ามีน้องคนไหนผ่านกลับเข้ามาอ่านอีก พี่ขอให้โชคดีแล้วกัน การศึกษามีหลายทางครับ ถึงพี่จะเอ็นท์ติด พี่ก็ไม่ได้เข้าเรียนที่ยื่นคะแนนไปเหมือนกัน (เสียใจจนถึงทุกวันนี้ ว่าไปกันที่คนอื่นทำไม) ขอให้เข้าคณะที่อยากเรียนให้ได้นะครับ จากคุณ : Bejung Krab เขียนเมื่อ : 8 มี.ค. 53 23:28:31

ความคิดเห็นที่ 25   ดูแล้วคับ       1.อาจารย์ อุทุมพร แถอย่างชัดเจน เห็นได้จากตอนที่บอกถึงการคบเพื่อน   แกไปไม่เป็นชัดชัดเลย (ฮามาก ที่ถูกไล่จนพูดไม่ออก)       2.สายตา และลักษณะบอกได้ชัดเจนว่าอีโก้สูงมาก พูดแต่่เรื่องมาตรฐาน  โรงเรียน แล้วทุกวันนี้ อะไรคือมาตรฐานบ้าง แล้วจะมาคาดหวังกับโรงเรียนได้  อย่างไร  บุคลากรในโรงเรียนก็แตกต่างกันมาก พูดแบบมองโลกแคบมาก        3.ประโยคที่บอกว่า วิชาและคะแนนเหล่านี้ไม่ใช่ทั้งหมดสักหน่อย  แล้วมันคือคะแนนไหม???  เกือบได้กับเกือบตก เอาอะไร??  แล้วคะแนน  มันเฉือนกันมากมาย หรอออออออ.....(แล้วเวลาที่ คุณเรียน ด๊อก เนี้ย  คุณไม่มุ่งมั่น ตั้งใจ หรอ  ขาดไปสัก 1 คะแนนก็แทบบ้าแล้ว          4.โยนความผิดให้หน่วยงานอื่น.....เวรกรรม ประเทศไทยจริงๆคับ   ***ผมทำงานในส่วนสรรหา ในบริษัทมาก่อนเห็นชีวิต มากมายที่ต้องการ   โอกาสดีดี  แม้ตัวเค้าจะไม่รู้สึกว่าเค้าดีพอก็ตาม  แต่ทำแบบนี้ใจแคบมาก   ผมเห็นบางคนพูดถึงว่า  มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตบ้าง  หรือ แค่ก้าวแรกบ้าง   "ถ้าก้าวแรกไม่ดี ก้าวต่อไปจะมีกำลังใจเดินไหม"  เด็กเค้าตั้งใจอย่างไรควร   ได้อย่างนั้น   อย่าเอาประสบการณ์ที่พวกคุณเจอกัน มาตัดสินน้องๆสิครับ            เด็กตั้งใจก็เล่นกันแบบนี้  เวลาเด็กแว้น  เด็กติดยาก็ด่า  แล้วผู้ใหญ่   ห่วยๆล่ะ  จะจัดการยังไง???  ทั้งๆที่ความเสียหายมันมากมายนัก   ปล.ผมไม่คิดว่าเด็กทำเกินไป  เพราะเด็กเค้าตั้งใจทำดี  ส่วนผู้ใหญ่ไม่เคย   แบบนี้ไม่เคยตั้งใจฟัง จากคุณ : studiowork เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 01:07:09

ความคิดเห็นที่ 26   เห็นด้วยกับ คห 25 ครับ แล้วก็เลิกอ้างว่า แนวคิดดีเถอะครับ ถึงแนวคิด แต่เอามาใช้ผิดที่ ผิดเวลา หรือใช้ไม่ถูกต้อง นั่นก็ผิดแล้วครับ สิ่งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสามรถของคนที่เป็น leader แล้วก้เลิกเถียงหรือหาเหตุผลแบบ คนอ่อนโลกเถอะครับว่าคุณอุทุมพร แกไม่ได้เป้นคนออกข้อสอบ แกเป็นผู้นำครับ ต้องรับผิดชอบทุกอย่างอยู่แล้ว จากคุณ : xxy เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 01:39:25 A:124.120.239.208 X: TicketID:253492

ความคิดเห็นที่ 27   ผมแบบว่า....แอบตามตอบไปทุกกระทู้เลย 555555 ขอตอบกระทู้นี้อีกซักอัน อยากให้มองว่า ข้อสอบที่ดี ไม่ใช่แค่ออกมาแล้วเด็กทำได้ หรือเดาได้นะครับ แต่มันต้องเป็นข้อสอบที่สมเหตุสมผล ได้วัดสิ่งที่ต้องการจะวัด และสอดคล้องกับความเป็นจริง ผมมองว่า เมื่อข้อสอบระดับชาติมีความบกพร่อง ก็เป็นเรื่องถูกแล้วที่จะเราจะต้องออกมาพูด ถามว่าจะมาโวยวายเพื่ออะไร ก็ต้องโวยวายเพื่อให้คนเห็นปัญหา และเข้ามาแก้ไขไงครับ พูดถึง จขกท. ก่อน เพราะคิดว่าเป็นรุ่นเดียวกับผม ผมจำได้ว่า ข้อสอบรดน้ำต้นไม้ คนก็ออกมาโวยวายเยอะเหมือนกันนะ ไม่ใช่ไม่มีคนโวย เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีโอกาสได้ออกสื่อเท่านั้นเอง เพราะว่าข้อสอบมันแค่ไม่กี่ข้อ หรือแม้กระทั่งข้อสอบ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี 66/2523 ก็ยังมีคนมาบ่น ว่าออกมาได้ยังไง ตอนนั้นยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ อะไรประมาณนี้ รุ่นเรา ๆ ก็เป็นกันครับ อย่าไปว่าน้องเค้าเลย จำได้ว่า ช่วงนั้นมีเด็กออกทีวีทุกปี เรื่อง GPA - PR จะเอากี่เปอร์เซ็นต์ คือพอเราผ่านมาแล้ว ก็พูดได้ว่าจะโวยวายทำไม แต่ตอนนั้น รุ่นเราเองก็ใช่ย่อยนะ โวยกันจนได้คะแนนสอบเลขฟรีมาแล้ว จากข้อเมทริกซ์อ่ะ คือหลายอย่าง คุณบอกว่ามันเป็น common sense แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อ่ะ แต่ละคนก็มีทฤษฎีไม่เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ถึงให้แต่ละโรงเรียนสอน เผลอ ๆ ก็สอนไม่เหมือนกันหรอก ขอยกตัวอย่างเรื่อง ท้องแล้วจะปรึกษาใครดี ซึ่งเท่าที่ผมได้ยินกระแสมา มีคนตอบว่าปรึกษาครู เพราะบอกว่า ปรึกษาพ่อแม่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ ปรึกษาครู ครูจะได้แนะนำว่าควรบอกพ่อแม่อย่างไร แต่ผมกลับคิดว่า ก็ต้องปรึกษาพ่อแม่สิ ครูยังไงก็เป็นคนนอก เรื่องแบบนี้ควรจะเก็บเป็นเรื่องในครอบครัว บอกครูไป เกิดครูเอาไปพูดไปเม้าต่อ เป็นเรื่องยาวกันไปอีก ของแบบนี้ ความในอย่านำออก ความนอกอย่านำเข้า ถูกรึเปล่า ถามว่าทุกคนก็มีเหตุมีผลกันทั้งนั้น แล้วคุณเอา common sense ของใครมาตัดสินล่ะ หรืออย่าง ข้อที่พูดถึงจัดอาหารไทย กับผ้าปูโต๊ะ และดอกไม้ โอเค โจทย์บอกว่าจัดอาหารไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักก็จริง แต่โจทย์ก็บอกเหมือนกันว่าเป็นอาหารเช้า ถ้าตาม common sense ผมก็มองว่า ผัดไทยมันไม่ใช่อาหารที่เหมาะจะเอามาเป็นอาหารเช้า แล้วถามว่า อะไรเป็นตัวบอกว่าเราต้องใส่ใจกับข้อกำหนดเรื่องเป็นที่นิยม มากกว่าข้อกำหนดเรื่องอาหารเช้า แล้วอะไรบอกว่า วันครบรอบแต่งงานควรปูโต๊ะด้วยสีชมพูด ถึงจะดีกว่าสีแดงครับ คือ common sense ที่คุณคิดว่ามันพื้นฐานสุด ๆ มันอาจจะไม่ใช่แบบเดียวกันสำหรับทุกคนก็ได้ หรืออย่างอีกข้อนึง พูดถึงความเครียดในข้อใดมีผลต่อการแข่งขันมากที่สุด ที่ตอบความสำคัญ แต่ผมกลับมองว่า การตัดสินที่ไม่เป็นธรรม น่าจะมีผลมากที่สุด เพราะมันเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เหมือนคุณทำข้อสอบเอนทรานส์ คุณเครียดก็จริง แต่คุณก็เตรียมตัวมาดีใช่หรือไม่ เพราะรู้ว่ามันสำคัญ ดังนั้น ความเครียดดังกล่าว ถึงจะเครียดมาก แต่มันอาจจะไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำข้อสอบมากนัก แต่ถ้าคุณมาทำข้อสอบ ถึงจะเป็นข้อสอบย่อยธรรมดา แต่เกิดพบว่าอาจารย์ออกบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ความเครียดที่เกิดขึ้น มันน่าจะมีผลต่อการทำข้อสอบมากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งเฉพาะหน้า เราซ้อมมาดีแล้ว แต่ดันมาเจอกรรมการเฮงซวย ความเครียดแบบนี้ น่าจะ "มีผลกระทบ" มากที่สุด มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดหมายไว้ และมันเป็นสิ่งที่มีสาเหตุมาจากผู้อื่น บางคนอาจจะสติแตกไปเลยก็ได้ ถามว่าผมคิดแบบนี้ ก็ไม่ใช่กรณีเฉพาะนะ แล้วจะมาบอกว่าผมผิดก็คงไม่ใช่ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่คนเครียดจนล้มเหลว มันก็เพราะสิ่งที่เจอโดยไม่ได้คาดหมายไว้ก่อนนี่แหละ เห็นไหมครับว่า common sense ของคุณ พอผมเอามาวิเคราะห์อยากละเอียด ๆ มันอาจจะมีเหตุมีผลต่างไปก็ได้ ที่สำคัญคือ คุณจะมาบอกว่า ผมคิดมากไป ดังนั้นผมจึงไม่ควรได้คะแนน ก็คงไม่ถูก ที่กล่าวมานี่เป็นแค่ตัวอย่างของข้อสอบที่บางครั้งอาจจะทำแล้วคำตอบไม่ตรงกับคนเฉลยนะครับ แต่ข้อสอบอีกหลายข้อ คิดยังไงก็คงคิดได้แบบที่เฉลย เช่น แม่เกิดวันศุกร์ต้องเลือกผ้าปูโต๊ะสีฟ้า ข้อสอบพวกนี้ เด็กทำได้ไม่มีปัญหาก็จริง แต่อย่างที่ผมบอก ข้อสอบที่ดีมันไม่ใช่แค่เด็กทำได้ มันต้องสมเหตุสมผลด้วย คุณลองถามตัวเองบ้างหรือยังว่าคำถามหลาย ๆ ข้อนั้นสมเหตุสมผลแล้วรึเปล่า ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ควรใช้ตรรกะว่า เกิดวันศุกร์ สีประจำวันศุกร์คือสีฟ้า เลยต้องเลือกผ้าปูโต๊ะสีฟ้าเหรอ ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ควรจะวัดความรู้เด็ก ว่าเด็กรู้หรือเปล่าว่าสีประจำวันศุกร์คือสีฟ้าเหรอ คือเข้าใจว่าบางครั้งการเรียกร้องของเด็กก็สื่ออกมาได้ไม่ค่อยดี และบางครั้งก็หลงประเด็นไปบ้าง แต่อยากให้มองอย่างเป็นกลางว่า คำถามหลายข้อมันก็ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้จริง ๆ ผมเองก็เข้าใจนะ ว่าเจตนาคนออกข้อสอบเป็นไปในทางที่ดี แต่บางทีคุณก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ว่าผลลัพธ์มันออกมาในแบบที่คุณตั้งใจไว้หรือไม่ พูดเรื่องนี้ยาวทุกที 5555 เดี๋ยวผมจะตามไปตอบข้อ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อีกเนี่ย อิอิ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 53 15:03:23 จากคุณ : HeteroscedasticitY เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 15:01:53

ความคิดเห็นที่ 28   ผมว่าข้อสอบปีนี้วัดไอคิวเด็กเลยแหละ จากที่ดูคำถามที่มีปัญหาทั้งหลาย การทำข้อสอบคืออย่าคิดลึกเกิน ต้องมองกว้าง ๆ ภาพรวม ๆ ยากเหมือนกัน คนที่ทำได้เต็มต้องอัจฉริยะไอคิว 180 เลยแหละ จากคุณ : Boyki เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 19:43:50

ความคิดเห็นที่ 29   เราว่าถ้าเรามองในมุมของเด็ก ซึ่งถูกปลูกฝังมาให้ท่องจำ และเน้นการเรียนพิเศษที่มีคนป้อนข้อมูลให้ จึงทำให้เด็กบางคนขาดความรู้รอบตัว ข้อสอบแบบนี้ก็ตอบยากจริงๆ นะคะ ซึ่งจะโทษเด็กก็ไม่ได้ เพราะเด็กถูกสอนแบบนี้มาตลอดระยะเวลา 18 ปี แต่เข้าใจคนออกข้อสอบนะ เพราะจริงๆ แล้วก็ถือเป็นข้อสอบที่โอเค (ซึ่งตอนเราสอบเมื่อหลายปีมาแล้วมันก็มีข้อสอบแบบนี้เหมือนกัน) สรุปว่าข้อสอบ 16 ข้อนี้อยู่ผิดที่ ผิดเวลา และยังไม่เหมาะกับการสอบในปีนี้ แต่จะว่าไปถ้าไม่มีคนออกข้อสอบแบบนี้ซักที ออกแต่แบบเดิมๆ ไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็อาจจะไม่พัฒนาอะไรใหม่ๆ เลยก็ได้นะ จากคุณ : ชาเย็นไม่ใส่น้ำแข็ง เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 20:42:05

ความคิดเห็นที่ 30   สมมติิตัดคะแนนผ่านหรือไม่ผ่านที่ 50 คะแนน 49 เท่ากับ เกือบได้ 50 เท่ากับ เกือบตก แค่ 1 คะแนน ก็เปลี่ยนแปลงผลที่ออกมาได้ นับประสาอะไรกับ "ตั้ง" 16 ข้อ ( แต่เราไม่แน่ใจนะคะว่ากี่คะแนน ) จากคุณ : ใต้เงาจันทร์ทรา เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 22:57:54

ความคิดเห็นที่ 31   ก็เห็นใจน้องๆนะคะ ถ้าอยากให้เด็กคิดวิเคราะห์จรีิงๆ การตอบคำตอบควรจะเป็นการเขียนอธิบายไปเลย ว่าแต่ใครจะมานั่งอ่านไหว แต่วันนั้น เด็กๆก็อารมณ์ล้วนๆ ประชดประชันสุดๆเหมือนกัน เราดูแล้วรู้สึกอย่างเดียวเลย คือ ข้อสอบไม่ได้ออกตามที่หนูเรียนมาใช่ไหมจ๊ะ?? เรื่องบางเรื่อง ความรู้รอบตัวก็ทำให้ผ่านไปได้นะ แต่รอข้อสอบออกก่อนดีกว่า ขอทำบ้าง จะได้เข้าใจเด็กๆ สมัยที่entระบบเก่า ก็มีปัญหานู่นนี่อยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน โทษกันไปมา เราเคยได้อ่านข้อความของคุณโทรุ คุมอง เขาบอกว่า "ความผิดไม่ได้อยู่ที่เด็ก"...แล้วอยู่ที่ใครอ่ะ??? จากคุณ : seafaring (seafaring) เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 23:04:57

ความคิดเห็นที่ 32   เป็นไปได้หรือที่เด็กอายุ 17-18 ปี........จะวิเคราะห์ได้ดีเท่าป้า       เด็กจบ ม. ปลาย  จะวิเคราะห์เหตุการณ์ บ้านเมือง หรือเรื่องราวในสังคม   ประสบการณ์ชีวิต  ความรู้รอบตัว  หรือการคบเพื่อน ได้เท่ากับป้า ๆ ลุง ๆ หรือ คนรุ่นพ่อ แม่  อายุ40 ปลาย ๆ - 50 ที่ผ่านโลก  ผ่านการทำงาน ผ่านคนตอแร๋  ผ่านกลโกง หรือผ่านชีวิตหลังจบปริญญามากว่า  30 ปี และจำเป็นหรือที่เด็ก  ต้องคิดเหมือนผู้ใหญ่ เราว่าบางอย่าง   อาจใช้ได้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว........แต่ปัจจุบัน...ไม่ใช่ ไม่ผิดนะถ้าเด็ก ๆ จะคิดต่างจากป้า  ๆ ลุง ๆ น้า ๆ อา ๆ จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 23:57:17

ความคิดเห็นที่ 33   อยากรู้ว่าใครเป็นคนออกข้อสอบอะ เห็นแต่ ศ.ดร.อุทุมพร ออกมารับหน้าคนเดียวอ่า จากคุณ : วาหนิติ์นิกร เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 00:37:19

ความคิดเห็นที่ 34   จากวันนั้นที่ได้ดูรายการพี่วู้ดดี้ สิ่งแรกที่คิดคือ... นี่หรือคือคำอธิบายจากคนเป็นหัวหน้าสทศ. ?????? ตอนที่เดินออกมาจากห้องสอบโอเน็ต ตอนนั้นมันเสียความรู้สึกสุดๆ จากที่รู้สึกว่าข้อสอบมันไม่ควรจะมีปัญหาเหมือน GAT PAT (เพราะตอนนั้นแค่ GAT PAT ก็เซ็งสุดขีดแล้ว)มันกลับมีปัญหา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทำได้หรือทำไม่ได้ ถ้าข้อสอบออกมาสมเหตุสมผลพอ ออกมาตามหลักสูตรที่ได้เรียน แต่ทำไม่ได้ เราจะยอมก้มหัวรับความผิดนั้นโดยดีเพราะนั่นมันคือความผิดของเรา แต่ในความเป็นจริงที่เด็กหลายๆคนซึ่งรวมเราด้วยขัดข้องใจก็คือ ข้อสอบมันสมเหตุสมผลจริงหรือ ? ข้อสอบนี้ออกตามหลักสูตรจริงหรือ ? วันนั้นที่ดูรายการพี่วู้ดดี้ก็หวังจะได้คำอธิบายดีๆจาก อ.อุฯ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด บางข้อ อ. เองยังอึกอัก ไม่อยากให้ใช้คำว่า 'เราทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน' เลย(จำไม่ได้ว่า ค.ห. ไหน อ่านผ่านๆ) เพราะนั่นไม่ได้แปลว่า เด็กส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาทำข้อสอบวัดความรู้ขั้นพื้นฐาน(O-NET)หรือ เราว่าถ้ามองจากมุมมองของผู้ใหญ่น่าจะดีใจมากกว่าที่เด็กส่วนใหญ่สามารถทำข้อสอบขั้นพื้นฐาน*ที่สมเหตุสมผลและตรงตามหลักสูตรที่ได้เรียน(จริงๆ)มา* มากกว่าจะมองว่าเด็กคนอื่นก็ทำข้อสอบไม่ได้เหมือนลูกเรา หลานเรานั่นแหละ เพราะการที่เด็กส่วนใหญ่สามารถทำข้อสอบ(ที่สมเหตุสมผลและไม่ได้ง่ายจนเว่อร์หรือกำกวมจนไม่รู้เรื่อง)ได้ก็แปลว่าการศึกษาไทยก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่เหรอ ???? วันนั้น อ.อุฯ ใช้คำว่าข้อสอบมันผิดพลาด -แค่- 16 ข้อใน 500 กว่าข้อ (ใจความประมาณนี้) ไม่น่าจะมีปัญหา ??? แล้วทำไมตอนออกข้อสอบ ตอนตรวจทาน ไม่ทำให้มันไร้ปัญหา ไร้ความคลุมเคลือไป 100 % เลยล่ะคะ ???? เราคนนึงนะที่ดีใจมากๆเลยแหละที่เพื่อนๆม.6หลายๆคนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมในจุดนี้ นั่นหมายถึงเราสำเร็จผลในแง่ของความเป็นประชาธิปไตยไปส่วนนึงแล้ว เข้าใจว่าผู้ใหญ่หลายๆคนอาจมากว่าการกระทำหรือคำพูดบางจุดของเด็กมีความก้าวร้าว เรายอมรับว่าอาจจะมีบางส่วนที่รุนแรงไปในแง่ที่พูดกับผู้อาวุโสกว่า บางส่วนที่เบี่ยงประเด็น แต่หลักใหญ่ใจความจริงๆแล้วมันก็ตรงประเด็นและมีเหตุผลจริงๆไม่ใช่หรือ ? ราคาข้าวตกต่ำ ชาวนายังออกมาประท้วงกระทรวงเกษตร รัฐบาลมีปัญหา เสื้อเหลือง เสื้อแดงยังตั้งเวทีกันทั่วเมือง ข้อสอบโอเน็ตมีปัญหา เยาวชนของชาติจะออกมาประท้วงและชี้แจงให้แก่สทศ.รับรู้ เราว่ามันสร้างสรรค์ที่สุดแล้วนะ ลองตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กอย่างพวกเรากำลังสื่อ ลองไถ่ถามความเห็นของเราดูบ้าง ลองให้เรามีส่วนร่วมในการกำหนดระบบการศึกษา ลองถามเราสักครั้งว่าจริงๆแล้วเรา*ส่วนใหญ่*ต้องการอะไร ระบบการศึกษาไทยคงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าการคิดเองเออเองของคนที่จบการศึกษามานานหลายสิบปีนะคะ หากมีคำพูดตรงไหนฟังดูกระด้าง(เพราะกำลังง่วงสุดขีด !) มีตรงไหนไม่สมเหตุสมผล(เพราะพยายามเค้นข้อความเท่าที่สมองเบลอๆตอนนี้จะสื่อได้) ต้องขออภัยไว้ตรงนี้ด้วยค่ะ จากคุณ : เด็กโอเน็ตรุ่นผ้าปูโต๊ะ (น้ำพลอย) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 00:41:35

ความคิดเห็นที่ 35   เคยเห็นคะแนนแค่หนึ่งคะแนน ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องพลาดคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันไหม ไม่แปลกที่เด็กจะร้องเรียน (และหลายคนร้องไห้) กับ16 ข้อที่มันงี่เง่า (ขอเรียกอย่างนี้) คุณเองก็เหมือนกันนะ ถ้าคุณไม่ได้ไปมีส่วนรับรู้ หรือ เข้าใจปัญหา เอาแต่นั่งวงนอก แล้วมองวงใน แล้วคุณก็พูดได้สิ แต่ถ้าคุณไม่เคยเรียน และเขาเอามาถามคุณ ในข้อสอบที่กำลังตัดสินชีวิตคุณ และข้อสอบนั้นคุณสอบได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต คุณยังจะพูดอย่างนี้หรือเปล่าคะ จากคุณ : คนภูธรGO ONนครบาล เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 00:50:41

ความคิดเห็นที่ 36   ดราม่าไปแล้ววว  เราจะบอกว่าแอบเข้าใจเจ้าของกระทู้ตรงที่ข้อสอบแบบนี้ถ้าเราทำไม่ได้ คนอื่นก็ทำไม่ได้เหมือนเราแหละค่ะ ตอนแรกที่เราฟังข้อสอบเราเข้าใจว่าเป็นแบบนี้ทั้งวิชาเลย เราเลยตกใจ  แต่พอมีคนบอกว่า มันออกประมาณ 10 กว่าข้อ เราว่าก็ยังพอรับได้นะ  เอาให้เราได้ออกมาเม้าท์กันสนุกสนาน ปล. น้องๆ โรงเรียนเก่าเรา เค้ากลับเห็นเป็นเรื่องตลกน่ะค่ะ ไม่เห็นมีใครจะเครียดมากมาย เพราะทุกคนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน (อาจจะเป็นแค่เด็กโรงเรียนเรามั้งคะ ) แล้วน้องๆ ก็ดราม่ามากอ่ะค่ะ ในรายการคุณวูดดี้ เหมือนเอาแค่สะใจฉันเป็นพอ เห็นแล้วเรานึกถึง เสื้อแดง เสื้อเหลืองเลยค่ะ -"- อารมณ์รุนแรงง่ะ แต่บางคนมีเหตุผลดีก็ดีมากค่ะ  แล้วก็ถึงน้อง คห.35 พี่รู้นะคะว่ามันสำคัญมากกับเด็กๆ  แต่ว่าพี่ขอยืมคำพูดของใครไม่รู้แต่เห็นเค้าพูดกันบ่อยๆ มาหน่อยนะคะ "แอดมิชชั่นไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต " นะคะ พี่เข้าใจว่ามันสำคัญมากกก แต่อนาคตในการทำงาน น้องอาจจะเจออะไรที่มันงี่เง่ากว่านี้ หลายพันเท่านะคะ  อย่าบอกว่าไม่มีใครเข้าใจน้องเลย  พี่จะบอกว่าพี่ก็ว่าข้อสอบมันงี่เง่าเหมือนที่น้องคิดแหละค่ะ คนส่วนมากก็คิดเช่นกัน อย่าด่าหนูน้า ... หนูแค่มาแสงความคิดเห็นค่า   ฟิ้วววว (รีบหายตัว...) จากคุณ : evil_strom เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 01:10:19

ความคิดเห็นที่ 37   Some examples are just too freakin' stupid to be included in this kind of exam. Something has to be done! จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 01:18:15

ความคิดเห็นที่ 38   ที่แกบอกว่าต้องโทษโรงเรียนที่ไม่สอนตามหลักสูตร มันเป็นอะไรที่สุโค่ยมากๆ จากคุณ : ใส่พริกเม็ดเดียว เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 01:23:31

ความคิดเห็นที่ 39   เรามองว่าข้อสอบหลายข้อ 'แปลก' ผัดไทยไม่เถียงค่ะว่าเป็นที่นิยม แต่คำว่าอาหารเช้า ทำให้เด็กเขว ออกข้อสอบแบบนี้มา ให้เด็กเขียนเองเลยดีกว่า เช่นซักผ้าด้วยมือทำอย่างไร คิดอย่างไรเกี่ยวกับหัวข้อดังต่อไปนี้ ส่วนใครจะตรวจ อยากประเมินความคิดเด็ก ก็ต้องหาผู้รับผิดชอบตรวจข้อสอบค่ะ ข้อที่ถามว่าทำไมนิดจึงมีเพื่อนชายมาชอบเยอะ  ตอบว่า'นิดสวย' เกี่ยวกับสุขศึกษาตรงไหนมิทราบ อาจารย์โบ้ยให้กระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้ที่กำหนดหลักสูตร ถามหน่อยเถอะ เรื่องระดับชาติแบบนี้ เวลาจะจัดหลักสูตร เวลาจะออกข้อสอบ ไม่เคย co กันเลยเรอะ สีความรัก ถ้าเด็กๆไม่ออกมาพูดเรื่องข้อสอบ จะให้คะแนนเด็กไหมคะ แถมมีการหมายเหตุไว้ด้วยว่า 'ยกประโยชน์ให้'  ก่อนออกข้อสอบคิดก่อนหรือเปล่า ข้อสอบเชื่อมโยงสามคำตอบในหนึ่งข้อ ทำไมไม่ให้โอกาสเด็กที่พอรู้บ้างคะ เห็นอาจารย์เคยอ้างอิงว่าต่างประเทศก็มีการทำข้อสอบแบบนี้ เคยดูข้อสอบลูกชาย ถ้าหนึ่งข้อมีสองคำตอบ เด็กตอบถูกแค่คำตอบเดียว ได้ครึ่งคะแนนค่ะ ตอนที่ดูเด็กๆ แย้งเรื่องคำตอบ ดิฉันชอบมากค่ะ ให้เด็กได้มีสิทธิ์ที่จะออกความเห็นบ้าง ไม่ใช่อะไรๆ ก็ ผู้ใหญ่ถูกเสมอ ห้ามเถียงห้ามพูด แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 53 01:39:52 จากคุณ : Hollander เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 01:35:41

ความคิดเห็นที่ 40   เอิ่ม ... ขอบอก พี่ น้า อา ป้า ลุง และอื่น ๆ ทั้งหลายค่ะว่า - ตัวข้อสอบ พร้อมเฉลย ( เฉลยไม่แน่ใจว่าทั้งหมดหรือยัง ) ออกมาแล้วค่ะ รบกวนทุกท่านกรุณาไปอ่านมันให้ครบเสียทุกวิชาก่อนนะคะ ทำเสมือนว่าท่านเป็นน้อง ๆ ที่สอบปีนี้ และ ช่วยกรุณานึกย้อนไปในจำนวนปี ที่อายุท่าน ๆ เท่ากับน้อง ๆ ว่า ข้อสอบจำพวกนี้ ท่านรู้คำตอบหรือไม่ และ หากท่านตอบว่า รู้ หรือไม่รู้ ก็แล้วแต่ ไม่เกี่ยวอะไร ( พูดทำไม อิอิ ) ท่านช่วยบอกทีนะคะ ว่ามีกี่ท่่านที่ได้ใช้ประโยชน์จากข้อสอบ ( ที่ไ่ม่ได้มีในหลักสูตร และไม่แม้แต่จำเป็นต้องศึกษา สำหรับบางสายอาชีพ ) ได้นำมาใช้กับชีวิตของท่าน ๆ มากน้อยแค่ไหน และ ช่วยบอกด้วยค่ะว่า ถ้าท่านต้องถูกตัดสิทธิ์การเข้าศึกษามหาวิทยาลัย ในคณะที่ท่านต้องการ ด้วยคำถามที่ว่า ต้องใช้ผ้าปูโต๊ะสีอะไร ? คุณนก นพวรรณ เครียดเรื่องอะไร ? ท่านจะรู้สึกเช่นใดคะ !? และอยากจะบอกบาง คห. ว่าที่น้อง ๆ ทำเนี่ย มันไ่ม่เชื่อเพื่อคนอื่นหรอกหรือคะ ? มันเพื่อตัวน้องคนนั้นคนเดียวหรือคะ ? ถ้าวันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วเมื่อไหร่คะ ? ------------------------------------------------- ถึงบาง คห. ค่ะ คุณได้ดูคำตอบที่คุณ นก นพวรรณ ตอบเองหรือยังคะ ? ไปหาดูนะคะ เราไม่ได้จะสื่อว่า เฉลยผิด แต่เราจะสื่อว่า " มันเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด " ค่ะ ในความเป็นจริงคนเราจะตอบอะไรได้ ใช่เพียงแค่โจทย์บรรทัดเดียว และการศึกษาไม่ใช่หรือคะ ที่จะช่วยให้คนคิด ทำ ตัดสินใจอะไร ๆ ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น นี่เรียกว่าดีแล้วหรือคะ ? อยากจะบอกคุณ Speed_King ค่ะ ว่า ประเด็นไ่ม่ได้อยู่ที่ทำได้หรือไม่ได้ แต่ประเด็นคือ คำถามแบบนี้ สมควรเป็นข้อสอบระดับชาติหรือคะ ? ถ้าใช่ คุณช่วยไปทำข้อสอบทุก ๆ ข้อ ทุก ๆ วิชา เช่นเดียวกับน้อง ๆ และช่วยบอกความรู้สึกหลังจากนั้นให้ฟังด้วยค่ะ ด้วยความเคารพ ^^" และสุดท้าย อยากจะบอกบาง คห. ที่ว่า การแอดมิชชั่น เอนทรานซ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต แต่ถ้าเป็นคุณ ๆ มันคุ้มหรือเปล่าล่ะคะ กับโอกาสที่ต้องเสียไป ด้วยคำถามบ้าบออะไรก็ไม่รู้ การจะมาตัดสินว่าเด็กคนนี้สมควรได้เข้าเรียนหรือไม่ ใช้อะไรตัดสินล่ะคะ ? มาโทษแต่ว่าโรงเรียนสอนไม่ดี แล้วเป็นเช่นนี้ทำไมไม่เริ่มจากการปรับมาตรฐานการศึกษาล่ะคะ แล้วแบบนี้คนที่ได้รับผลโดยตรงคือใครคะ ? น้อง ๆ ใช่หรือเปล่า เผื่อบางท่านจะไม่ได้เห็นคำถามข้อนี้ เราขอยกมาเป็นตัวอย่างนะคะ 6. ลักษณะใดที่บุคคลต้องการคบเป็นเพื่อนมากที่สุด 1. ยิ้มแย้มแจ่มใส               2. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 3. เอาใจเขามาใส่ใจเรา        4. พูดจาไพเราะ ตอบข้อไหนกันดีล่ะคะ ? และช่วยย้อนกลับไปฟังคำตอบของคุณ ดร. ด้วยนะคะ ว่าให้เหตุผลว่าอย่างไร ^^" ข้อสอบแบบนี้ ถ้าจะให้เด็กคิดตื้น ๆ ล่ะก็ คิดได้ค่ะ แต่แล้วมันพัฒนาอะไรไหมล่ะคะ ? ถ้าเช่นนั้นอีกหน่อยเด็ก ๆ คงคบแต่เพื่อนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา มันจะพูดหยาบคาย เห็นแก่ตัว ปากเสีย เอาแต่ด่า ขี้เหล้า เมายา ขี้เกียจ สกปรก ยังไง ก็ยังจะคบใ่ช่ไหมคะ ? นี่ใช่ไหม ข้อสอบระดับชาติ ? ถามตัวเองกันด้วยนะคะ ว่าไอ้ที่ออกมาด่า ๆ น้อง ๆ หรือมาชม มาอวยว่าข้อสอบดีแล้ว ๆ เนี่ย อ่านข้อสอบกันหมดหรือยังคะ ? หรือจะพูดว่า "แค่ 16 ข้อเอง" เหมือนคุณ ดร. คะ ? ปลาเน่าตัวเดียวค่ะ อิอิ ฝากไว้ให้คิดกันนิดหน่อยค่ะ ข้อสอบเต็ม ๆ ก็ไปดูได้ที่เวปเลยค่ะ ปล. เราเคยอ่านคำสอนของคน ๆ หนึ่ง ค่ะ เราควรเคารพ บุคคลที่ควรเคารพ เราจำได้ดีค่ะ ถึงวันนี้ เราก็รู้นะคะ ว่ามันหมายความว่าอะไร ถึงเราจะไม่เห็นด้วยกับน้ำเสียง หรือบางกิริยาที่ดูก้าวร้าว แต่เราก็เข้าใจในหลาย ๆ อย่าง คิดว่าคงจะมากกว่าบางคน ที่เอาแต่ว่าคนอื่นค่ะ =o= ปล2. ขออภัยถ้าไม่ถูกตาถูกใจใคร อิอิ ไม่ได้สอบปีนี้นะคะ ผ่านมาแล้วค่ะ แต่ก็เพราะผ่านด้วย O-NET มาเหมือนกัน พอจะเข้าถึงน้อง ๆ ได้มากอยู่ค่ะ จากคุณ : dookdikuncen เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 02:10:26

ความคิดเห็นที่ 41   เราคิดว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมของเราทุกคนอาจะโดนแบกความหวัง ไว้จนเครียดก็ได้นะ โดนกดดันจากทางบ้าน โรงเรียน ว่าต้องได้คะแนนดีๆ เพราะเราก็โดนเหมือนกัน แต่พอมีข่าวออกมาก็กลับเข้าใจเรามากขึ้น แต่เราก็เห็นด้วยว่าบางข้ออยู่ตรรกะการคิดมากกว่าใช้การท่องจำ แต่เมื่ออยู่ในห้องสอบมันทำให้เราคิด"ลึก"กว่าที่ควรจะเป็น เพราะว่าทุกคนต่างก็ต้องการคิดหาข้อที่ถูกที่สุดเพื่อให้ได้คะแนนในข้อนั้น บางกลับมองให้ข้อที่คำตอบง่ายโจทย์อาจจะหลอกอยู่ ถ้าใครได้ไปนั่งสอบก็คงจะเข้าใจดีเหมือนกับว่าเราก็อ่านมา แต่ทำไมกลับหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุดไม่ได้ ไม่สามารถตอบคำถามพ่อกับแม่ได้ว่า"ทำได้ สบายมาก" และในเมื่อมีการร้องเรียนถึงปัญหา ปีหน้าคงจะมีการออกข้อสอบที่รัดกุมมากขึ้นไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก หากปีหน้ายังมีแบบนี้อีก ก็ร่วมไว้อาลัยได้เลย ข้อสอบจริงออกมาแล้วค่ะ http://www.niets.or.th/ จากคุณ : ทุ่งหญ้าสวันน่าแมกก้าโอริโอ้เย เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 02:42:15

ความคิดเห็นที่ 42   ก็จริงที่ว่า การสอบไม่ติด มันไม่ใช่จุดจบ แต่ที่เรียกร้องกันอยู่ปาวๆเนี่ย  นอกจากจะเรียกร้องความเป็นธรรมแล้ว ยังอยากเรียกร้องความเอาใจใส่ จากผู้ใหญ่ที่มีต่ออนาคตของชาติด้วย เราเองทั้งๆที่สอบตรงติดแล้ว  ทำโอเนตไปก็งั้นๆแหละ เวลานั่งฟังเรื่องแบบนี้น้ำตาจะไหล ทำไมคุณถึงทำกันขนาดนี้  ทำเหมือนเด็กเป็นแค่อะไรซักอย่าง ที่คุณสามารถขีดชะตาได้   อยากทดลองระบบ  จะลงที่รุ่นนี้เลย  จะทำไม  ? ไม่ดีค่อยเปลี่ยนปีหน้าก็ได้ - -. มันเก็บกดมาตั้งแต่ตอนรุ่นเราอยู่ป.6 แล้ว ที่มีการสอบNT ยื่นเข้าม.1 แล้วก็ใช้แค่ปีเราปีเดียว .. ขอยกตัวอย่างที่ข้อสอบภาษาอังกฤษละกัน ความจริงแล้ว สำหรับเรา โอเนตก็ไมได้ถือว่ายากมาก มันก็ตามมาตรฐานแหละ มียากบ้าง ง่ายบ้างปะปนกันไป แต่ที่ขอพูดถึงนี่คือ   หากจะอิงผลคะแนนโอเนตเพื่อประเมินโรงเรียนนี่ ถามเด็กดูหรือยัง ว่าเอาความรู้ที่ไหนมาสอบ ? นี่รวมถึงGAT ที่ออกยากบรม มีไม่กี่โรงเรียนในไทยหรอก ที่สอนไปขนาดนั้น เพราะมันเกินหลักสูตร  ไม่เชื่อคุณไปดูหนังสือเรียนภาษาอังกฤษม.6  ที่กระทรวงให้ยืมเรียนได้เลย ! นอกนั้นต้องแล้วแต่วาสนาเด็กเองแล้ว  มีเงินเรียนพิเศษไหม ? อาจารย์ที่โรงเรียนบังเอิญเก่งไหม ที่อยากจะสอนเพิ่ม สอนเกินๆให้ สำหรับเรา บอกตามตรงเลย ถ้าไม่เรียนพิเศษก็รอดยาก สอบตรงนี่ก็คงไม่ติดด้วยซ้ำ เหอๆ เข้าใจว่าภาษาอังกฤษจำเป็น และเห็นถึงความจำเป็นนั้น ข้อสอบไม่ต้องลดมาตรฐานก็ได้   แต่ช่วยเพิ่มมาตรฐานของหลักสูตร ของการเรียนการสอนด้วย ..   ครูไทยที่สอนอังกฤษในโรงเรียนน่ะ เก่งนะ ความรู้มีอยู่แล้วละ อยากให้นำมาใช้กันให้ร้อยเปอเซ็นเสียที   กระทรวงก็ช่วยคุมเข้มหน่อย    วิทยฐานะน่ะ เลื่อนเอาๆ ครูบางคนเงินเดือนจะห้าหมื่นแล้ว    สอนไม่ถึงห้าพัน -*- พูดถึงการเปลี่ยนระบบ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ ว่าอยากให้มันดีขึ้่น อยากให้การศึกษาไทยเปลี่ยนแปลง แต่ช่วยละเอียดอ่อนในการเปลี่ยนมากกว่านี้จะได้ไหม คุณทำเหมือนเด็กเป็นแสนเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือคุณ  จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด จะไม่สนใจ ก็ปล่อยมันร้องปาวๆ ไป  ประท้วงไป  ทำอะไรไม่ได้ แบบนี้มันน่าน้อยใจนะ .. ผู้ใหญ่หลายคนทำเหมือนเข้าใจ .. รับฟัง แต่เปล่าเลย ..  คุณไม่เคยจริงๆ แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 53 08:48:49 จากคุณ : เจ็บแล้วจำคือคน !!! เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 08:48:11

ความคิดเห็นที่ 43   ถ้าเราทำไม่ได้ แต่มีคนอื่นทำได้ ก็ต้องยอมรับครับ แนวคิดข้อสอบลักษณะนี้ดีครับ แต่่คนออกข้อสอบอาจจะต้องคิดให้หนักมากกว่านี้ เพราะบางจุดก็เป็นช่องโหว่จริงๆ จากคุณ : jaxcu เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 09:37:50

ความคิดเห็นที่ 44   เรื่องการสอบติดหรือ ไม่ติดเนี่ย เป็นที่ถกเถียงกันมานมนานแล้วครับว่ามันไม่ได้ทำให้ตายนี่ แต่อนาคตมันก็เปลี่ยนไปครับ แค่คะแนน สองคะแนน เนี่ย มันก็ทำให้พลาดคณะ และมหาวิทยาลัยที่หวังได้ ครับ แล้วมันก็ส่งผลตอนสมัครงาน ครับ ขอบอกว่า เวลาเค้าคัดคนเข้าทำงาน ด่านแรก เค้าก็ดูชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยที่จบมาก่อนครับ ถ้าเราเปลี่ยนค่านิยมนี้ให้ได้ก่อน หรือทำให้มาตรฐานการเรียนการสอนของทุกมหาวิทยาลัย ให้เท่ากันเสียก่อน แล้วค่อยมาปรับตรงจุดนี้ไม่ดีหรือครับ ผมทำงานโรงงานอุตสาหกรรม เวลาเรารับเด็กวิศวะ มาเนี่ย มันเห็นเลยนะครับ ว่า ส่วนมากเด็กที่จบมาจากมหาวิทยาลัยที่ดังด้านวิศวะจริงๆ logic ของเด็กๆ พวกนั้น มันจะดีกว่า มหาวิทยาลัยที่เพิ่งเปิดคณะวิศวะ มากมาย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ เด็กๆ ตั้งเป้าอยากทำคะแนนสอบดีๆ เพื่อให้เข้าให้ได้ได้ยังไงหล่ะครับ ทางผู้ใหญ่อยากให้เด็กวิเคราะห์เป็น แต่ดันออกข้อสอบที่บริบทต่างๆ ไม่เอื้ออำนวยให้วิเคราะห์ออกมาในแนวทางเดียวกัน อย่างข้อ อาหารเช้าชาวต่างชาติ ในวันครบรอบแต่งงานเนี่ย ผมถามคุณตรงๆ ครับ ใคนจะบ้ากินผัดไท เป็นอาหารเช้าครับ คุณไปดู Menu Buffet ตาม รร 5 ดาว ทั้งหลายแหล่ มีไหมครับ ใครเอาผัดไท ขึ้นโต๊ะเป็นอาหารเช้า  ถ้าให้ผมวิเคราะห์เนี่ย บริบทบอกว่า อาหารไทยบางชนิดเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ซึ่งมันบอกโต้งๆ ว่าในตัวเลือก ที่มีนั้น ผัดไท(ย) กุ้งสด ดูมีภาษีที่สุดก็จริง แต่บริบทถัดมาดันบอกว่า อาหารเช้าในวันครบรอบแต่งงาน ผมถามคุณว่า ถ้าเป็นวันครบรอบแต่งงานของคุณ คุณจะเริ่มวันด้วยผัดไทไหมครับ มัน grand ตรงไหน ผมเข้าใจว่าคนออกข้อสอบคงเจตนาให้ไอ้วันครบรอบแต่งงาน ไป meaning ในส่วนของการเลือกดอกไม้กับผ้าปูโต๊ะ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ไอ้ตัวเลือกที่มี แล้วต้องตอบน่ะ มัน ไร้ซึ่งรสนิยมสิ้นดีครับผม ผ้าปูโต๊ะสีชมพู แทนความรัก คิดได้นะครับข้อสอบแบบนี้ แต่ผมเองคิดว่า วันครบรอบแต่งงาน ก็เอามาวิเคราะห์กับอาหารด้วย ซึ่งวันนี้ฝรั่งเค้าคงอยากได้เมนูบำรุงกำลัง แล้วอาหารเช้าอะไรจะเหมาะกว่าข้าวต้ม เลยเลือกข้าวต้มหอยนางรมซะ 55555 จากคุณ : Ryou-kung เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 10:49:11

ความคิดเห็นที่ 45   เราว่าการจะอ้างว่าทุกคนก็ทำไม่ได้เหมือนกันนั่นล่ะ อย่าโวยวายนั้นเป็นตรรกะที่บิดเบี้ยวค่ะ ข้อสอบที่ทุกคนทำไม่ได้ย่อมมีปัญหาในตัวข้อสอบ หรือระบบในการตั้งข้อสอบ จึงเป็นเรื่องที่ควรถกเถียงและแก้ไขให้ได้ข้อสอบที่ทุกคนเข้าใจได้มากกว่า (ไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องตอบถูกนะคะ แต่ต้องมีความเข้าใจตรงกันว่าโจทย์นั้นสื่อถึงอะไร และมีจุดประสงค์อย่างไร) เหมือนกับคุณเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ออกมารถไม่ได้คุณภาพ ผู้ใช้หาเกียร์ไม่เจอ เปลี่ยนเกียร์ไม่เป็น คุณก็ต้องปรับปรุงรถ ไม่ใช่บอกว่าทุกคนก็ได้รถแบบเดียวกันนั่นล่ะ อย่าโวย ที่หลายคนพูดว่าความรู้รอบตัวนั้นช่วยได้มันก็จริง แต่ลองคิดดูสิคะว่าเด็กต่างจังหวัดซึ่งอยู่บนดอยกับเด็กกรุงเทพฯนั้นความรู้รอบตัวจะเหมือนกันหรือเปล่า อย่างเช่นข้อผัดไทย น้องๆ ที่อยู่ในชนบทบางคนอาจไม่รู้ก็ได้ว่ามันคืออาหารยอดฮิตขนาดนั้น ในขณะที่น้องๆ ที่ไปเมืองนอกทุกปีก็อาจจะคิดว่าชาวต่างชาติเขาไม่กินอาหารแบบนั้นตอนเช้ากันหรอก ดังนั้นข้อสอบที่ดีควรจะให้โอกาสในการตอบถูกเท่าเทียมกันทุกคนค่ะ แถมอีกอย่างก็คือข้อสอบภาษาอังกฤษ โอเคค่ะ คิดแล้วตอบได้จริง แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจขนาดไหนกันแน่ เราว่าเกณฑ์การคิดคะแนนมันยากกว่า IELT หรือ TOEFL อีกนะคะ ขนาดเราซึ่งใช้ภาษาอังกฤษอยู่ทุกวันยังต้องใช้เวลาวิเคราะห์เลย แล้วน้องๆ ที่ไม่ได้เรียนโรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนฝรั่ง จะต้องใช้เวลามากกว่าขนาดไหน เราเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ค่ะ จากคุณ : ทินา (ทินา) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 11:12:00

ความคิดเห็นที่ 46   ไม่เห็นด้วยกับข้อสอบแบบนี้ แต่ก็ไม่สนับสนุนให้เด็กเก่งแต่ก้าวร้าว จากคุณ : Jemie_A เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 11:31:19

ความคิดเห็นที่ 47   หนูเข้าใจพี่นะคะ ว่าพี่ก็มีมุมมองของตัวพี่เอง แต่จากประโยคที่ว่า "จากมุมมองที่คุณคิดว่าคุณป้าแกแถ ลองนึกถึงตัวเองก่อนดีไหมครับ ข้อสอบมันมีหลายๆ ข้อที่ไม่ดี ผมฟังดูก็เข้าใจ แต่หลายข้อที่คุณอาจจะไม่มีวุฒิภาวะมากพอในการตอบ คุณก็ไม่ควรโทษผู้ใหญ่เหมือนกัน" แล้วยังไงอ่ะคะ คือพี่จะสื่อว่า ผู้ใหญ่ทำผิดเดี๋ยวเค้าก็แก้ไขได้ เด็กมาพิจารณาตัวเองก่อนดีไหม เหรอคะ? หนูก็เป็นคนนึงที่ไม่เห็นด้วยกับข้อสอบแบบนี้มากๆ ไม่ใช่ว่ากลัวจะเอ็นท์ไม่ติดหรอกนะคะ เพราะหนูสอบติดuอันดับ1-2ของประเทศไปแล้วตั้งแต่รอบสอบตรง แต่ก็ยังมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเหมือนกัน ความคิดของพี่มันก็เหมือนที่ป้าอุทุมพูดว่า "ข้อสอบมีตั้งเยอะตั้งแยะจะมาสนใจอะไรกับข้อสอบแค่20กว่าข้อนี้ แล้ววิชาอื่นน่ะไม่มีปัญหากันใช่ไหม" ให้เด็กอนุบาลฟังก็รู้ค่ะว่ามันกำลังแสดงถึงความไม่ยอมรับในความผิดของตนเอง ข้อสอบโอเน็ต เด็กสอบทั้งประเทศ จุดบกพร่องแบบนี้ปล่อยให้มีออกมาได้อย่างไร พี่ลองคิดถึงเด็กที่อ่านหนังสือมากๆสิคะ ไม่ก็ลองไปเปิดแบบเรียนม.ปลายดู ว่ามันมีแบบในข้อสอบบ้างไหม หนูไม่ได้บอกว่ามันต้องออกมาตรงที่เรียนเป๊ะ100% เพียงแต่ว่า มันไม่ควรออกนอกบทเรียนขนาดนี้! "รุ่นผม เป็นเอ็นท์รุ่นสุดท้าย มีวิชาสังคมศึกษาข้อนึงถามว่าควรรดน้ำต้นไม้ เวลากี่โมง ก็ไม่เห็นจะโวยวายขนาดนี้เลย !!!!" ข้อที่พี่ยกตัวอย่างมานี่ หนูอยากจะบอกว่า การรดน้ำต้นไม้ต้องรดกี่โมง หนูรู้มาตั้งแต่ประถมแล้วค่ะ เพราะที่รร.สอนไว้ ว่าเวลาไหนที่ควรรด ไม่เชื่อพี่ลองไปค้นหนังสือดูนะคะ :) ถ้ารุ่นพี่ออกมาโวยวายก็คงโดนด่าเละแล้วล่ะค่ะ เพราะแบบเรียนมันมีจริงๆ ไม่ใช่แบบรุ่นหนู! สุดท้ายนี้ อยากให้พี่มองกว้างๆดูบ้างว่า ถ้าพี่เป็นเด็กคนนึงที่แบกความหวังของคนรอบตัวเอาไว้ (มันอาจจะจริงที่เอ็นท์ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต แต่มันก็คือบททดสอบนึงที่เราต้องก้าวผ่านไปให้ได้อย่างดี) แล้วพี่ต้องมาเจอข้อสอบแบบนี้ พี่จะรู้สึกอย่างไรบ้างคะ เช่น ข้อสอบที่ถามเรื่องการตีเทนนิส ทั้งๆที่เกิดมารร.ไม่เคยมีครูคนไหนสอนสักครั้ง เพราะมันไม่ได้อยู่ในหลักสูตร แค่ลำพังในหลักสูตรก็สอนจะไม่ทันอยู่แล้ว ข้อสอบที่ถามเรื่องวิธีการซ่อมคอม อุปกรณ์ภายในเครื่องคอม แล้วยังมีถามเรื่องอุปกรณ์ช่างในการซ่อมเครื่องซักผ้าอีก มีให้เลือก สายไฟ น็อต ค้อนเชื่อม นู่นนี่เกือบ20อย่าง อันนี้มันเป็นความผิดพวกหนูอีกหรือเปล่า ที่รู้ไม่รอบตัว ต้องรู้ให้ครบทุกอย่าง อย่างนั้นใช่ไหมคะ ที่พวกผู้ใหญ่กำลังคิดอยู่ แล้วที่พี่วู๊ดดี้ทำแล้วได้คะแนนแค่นั้น หนูจะบอกให้นะคะว่า ไม่ใช่เพราะพี่วู๊ดดี้ไม่อ่านหรอกนะคะ (<คำแก้ตัวของป้าอุทุม) เพราะพวกเพื่อนๆหนูที่อ่านไปก็ทำไม่ได้เหมือนกัน วิศวะจุฬา ทันตะจุฬา แพทย์จุฬา แพทย์รามา ศิริราช รร.หนูก็มีติดแล้วทั้งนั้นเค้าก็ยังบ่นข้อสอบอย่างนี้กันระงม แล้วอย่างนี้พวกผู้ใหญ่จะมาพูดได้อีกเหรอคะ ว่าที่พวกหนูโวยวายมันเป็นเพราะต้องการให้ข้อสอบออกตรงตามใจตัวเอง ทำไม่ได้ก็ออกมาโวยวาย รบกวนคนที่เข้าใจผิดเข้าใจซะใหม่ตอนนี้นะคะ ว่า พวกหนูไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะคะ ที่จะมาเรียกร้องให้ข้อสอบออกตรงตามใจตัวเอง ให้ทำได้ทุกคน เพราะพวกหนูก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าข้อสอบออกง่ายเกินไป ทุกคนก็ทำได้อยู่ดี *ที่เรียกร้องทุกวันนี้ ก็แค่อยากให้ข้อสอบมันมีมาตรฐาน เหมาะสมกับการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยก็เท่านั้นเองค่ะ จากคุณ : MINNYMOCHA เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 13:00:34

ความคิดเห็นที่ 48   ขอต่ออีกนิดนะคะ หนูก็ยอมรับว่า นร.บางคนที่ไปในรายการวันนั้นก็มีพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เหมาะสมเหมือนกัน เช่น ท่าทีและคำพูดที่แสดงออกต่อผู้ใหญ่ และหนูเชื่อว่าหลังจากนั้นผู้ปกครองเค้าก็คงมีการตักเตือน ..แต่สิ่งที่หนุกำลังจะบอกว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังกระทำล่ะคะ มีกี่เรื่องบ้างที่ถูกสังคมลืมไป ไม่ได้หยิบยกมาพูดถึงในรายการพี่วู๊ดดี้ แต่พวกหนูรุ่น53จำได้ทุกอย่าง - ตอนแรกสุดที่มีการจัดประชุมที่จุฬา โดยการป้าอุทุมไป พอมีการสอบถามถึงรายละเอียดข้อสอบว่ามองได้หลายแง่มุม แทนที่ป้าจะให้คำตอบ ป้ากลับพูดกับพวกหนูว่า "ไม่ใช่เรื่องของชั้น ที่จะต้องตอบพวกเธอ" พวกหนูรู้สึกยังไงบ้าง พอนึกภาพกันออกใช่ไหมคะ - พอประกาศค่าสมัครสอบมา พวกหนูก็โวยๆๆกันอีกวิชาละ200แน่ะ บางคณะต้องใช้ตั้งหลายตัว เช่น วิศวะ ต้องสอบ gat patเลข patวิทย์ patวิศวะ แปดร้อยบาท รุ่นหนูสอบได้4ครั้ง 3200 บาท ป้าอุทุมก็ออกมาบอกว่า ไม่ต้องสอบทุกครั้งเพราะข้อสอบทุกครั้งมีมาตรฐานเหมือนกันหมด นร.ตามต่างจังหวัดบางคนที่กำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ เค้าก็เชื่อป้า ลงบางครั้งเอง ครั้งที่1ส่วนใหญ่ไม่ลง เพราะป้าบอกไม่พร้อมก็ไม่ต้องสอบ แล้วเป็นยังไงคะ ครั้งที่1มีคนได้คะแนนเต็มในpatเลข หลายคน แต่พอครั้งที่3ไม่มีเลย คะแนนเฉลี่ยทั้งประเทศครั้งที่3ตกลง เพราะออกมาเป็นอัตนัยด้วย (ป้าบอกว่าเพื่อแก้ปัญหาเด็กเดา) แล้วคนที่เค้าไม่ได้ลงครั้งที่1กับ2ล่ะคะ เค้าเสียเปรียบขนาดไหน ที่หนูสอบตรงติด หนูก็ใช้คะแนนครั้งที่2 และเพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นกัน เพราะครั้งที่3คะแนนน้อยลง เห็นไหมคะ ว่ามาตรฐานความยากมันไม่เหมือนกัน ... สิ่งเหล่านี้ไงคะ ที่พวกหนูอัดอั้นมานาน มีกระแสแปบเดียวก็หายไป สิ่งที่เหลือไว้ทุกวันนี้ มันกลายเป็นมี2กลุ่ม คือเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย พวกไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นพวกที่รู้แค่บางด้าน ถ้าติดตามเหตุการณ์ต่างๆเกี่ยวกับการศึกษาที่เกิดขึ้นตลอด1ปีนี้ จะสามารถเห็นได้เลย ว่าความผิดมันอยู่ที่ใคร แค่คำว่า "ขอโทษ" คำเดียวพวกหนูก็ไม่เคยได้ยิน มีแต่จะด่าทอ กระแนะกระแหน ว่าไม่เตรียมตัวบ้างล่ะ ชอบพาลบ้างล่ะ นี่หรือคะคือสิ่งที่ผู้ใหญ่บางกลุ่มกำลังทำอยู่กับเด็กทุกวันนี้ เด็ก..ที่กำลังจะต้องโตไปเป็นอนาคตของชาติ จากคุณ : MINNYMOCHA เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 13:10:46

ความคิดเห็นที่ 49   โอยยาวจัง(ขี้เกียจอ่าน) แต่ในฐานะที่เรา(ซึ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยมาหลายปีแล้ว) ขอเสนอความเห็นหน่อยนะคะว่าข้อสอบแบบนี้มันไม่ช่วยคัดเด็กเข้าเรียนคณะนั้นๆเลยค่ะ ยิ่งรู้สึกขำเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าเดี๋ยวนี้มีวัดวิชาสุขศึกษาในรายวิชาที่สอบด้วย เรารู้สึกว่าสิ่งที่จัดๆสอบไปมันไม่จำเป็นต่อการเรียนในคณะนั้นเลย อย่างเช่นคุณจะสอบเข้าเรียนคณะมนุษยศาสตร์ภาควิชาภาษาไทย ข้อสอบที่ว่าด้วยน้องนกเธอตบลูกวอลเล่ย์(หรือลูกตบหน้าเน็ตอะไรก็ช่าง) นั่นมันจำเป็นสำหรับคนนั้นมั้ย ที่จะเรียนสาขาที่ลงลึกด้านภาษาไทย หรือคำถามเกี่ยวกับ Andy Warhol มันเกี่ยวกับนักเรียนที่จะสอบเข้าศึกษาศาสตร์พลศึกษามั้ย มันเหมือนการเหวี่ยงแหออกข้อสอบค่ะในความรู้สึกเรา จริงอยู่ว่าหลายอย่างที่ไม่มีในหลักสูตรตัวเองก็ควรรู้ แต่นี่มันเป็นการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ในคณะที่เราต้องการจะพุ่ง เจาะจง ไปเรียนสายนั้นแล้วทำไมต้องมาไล่อ่านดะในสาระที่ไม่จำเป็นอย่างนั้นด้วยเล่า การเรียนเพื่อเอาใบปริญญาเพื่อให้เป็นการการันตีว่าตัวเรานั้นจบสาขานี้นะและน่าจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆมากกว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้เรียน มันไม่ใช่ปริญญาชีวิตเพื่อการเอาตัวรอดสักหน่อย จะให้คิดหรือวิเคราะห์มันมีวิธีเลือกร้อยแปดค่ะ สทศ. ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งด้วย เพราะยังไงอาจารย์เค้าก็ต้องไปสอบสัมภาษณ์อีกไม่ใช่เหรอคะ แล้วอีกอย่างข้อสอบแบบนี้มันเหมือนข้อสอบเดาใจคนออกไม่ใช่ข้อสอบคิดวิเคราะห์แต่อย่างใด ข้อสอบแบบนี้อ่านไปเท่าไหร่ รู้ทั้งโลกมันก็ไม่ครอบคลุมอยู่ดี ส่วนเรื่องเด็กก้าวร้าวอันนี้ไม่มีความเห็น จากคุณ : citrus_tree เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 13:36:21

ความคิดเห็นที่ 50   ขอแสดงความคิดเห็น ปัญหาเรื่องข้อสอบที่เถียงกันไม่ค่อยจบเพราะ ทุกคนลืมนึกไปว่า 1. เด็กไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น สิทธิ์ทั้งหลายของเด็กขึ้นอยู่กับความเมตตาของผู้ใหญ่(เท่านั้น) เด็กที่พอจะกล้าเถียงผู้ใหญ่ได้หน่อยก็ต้องอาศัยความก้าวร้าวเข้าช่วย 2. การยอมรับว่า "ข้อสอบผิดพลาด" เป็นเรื่องน่าอาย และทำไม่ได้เด็ดขาดหากยอมรับเท่ากับว่าองค์กรล้มเหลวทั้งหมด ที่ทำได้คือ "ต้องแถ" แถไปคนเดียว ดีกว่าพังทั้งองค์กร แล้วทุกคนจะลืมเรื่องนี้ - -" จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 14:08:15

ความคิดเห็นที่ 51   ขอแย้งคห.40 นิดนึงค่ะ ตรง.....ถ้าเช่นนั้นอีกหน่อยเด็ก ๆ คงคบแต่เพื่อนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา มันจะพูดหยาบคาย เห็นแก่ตัว ปากเสีย เอาแต่ด่า ขี้เหล้า เมายา ขี้เกียจ สกปรก ยังไง ก็ยังจะคบใ่ช่ไหมคะ ? นี่ใช่ไหม ข้อสอบระดับชาติ ? ......... ในความคิดเรา คนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา...เค้าจะไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบหรอกค่ะ  เพราะเค้าจะคอยใส่ใจคนอื่นว่าชอบไม่ชอบอะไรจะได้คอยระวังไม่ไปทำสิ่งที่คนอื่นไม่ชอบ....ไม่งั้นเค้าคงไม่ถูกเรียกว่าเป็นคนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา.... ถ้าเค้าทำแบบที่คห.40ว่าแล้วคนอื่นไม่ชอบก็ควรถูกเรียกว่า คนเห็นแก่ตัวเอง มากกว่า ...... จากคุณ : tiNgrOyArrAi เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 14:59:52

ความคิดเห็นที่ 52   จขกท ครับ ควรรดน้ำต้นไม้ เวลากี่โมง http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2009/02/J7568060/J7568060.html ควรรดน้ำต้นไม้ เวลากี่โมง มีคำตอบที่สามารถอธิบายได้ นะครับ แต่ข้อสอบของปีนี้มีหลายข้อที่อธิบายไม่ได้นะครับ แล้วจะไม่ให้เด็กๆโวยวายได้ยังไง ปล.ผมก็ทันสอบเอ็นเหมือนกันครับ จากคุณ : RufPcen เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 16:19:33

ความคิดเห็นที่ 53   เข้าไปอ่านคำชี้แจงของ สทศ แล้วงงครับ ไฟล์ pdf หน้า 16 บอกว่า "ข้อที่นักเรียนสงสัยได้แก่ ข้อ 7 – 8, ข้อ 36 – 40 และ ข้อ 41 - 45" คือมี 12 ข้อ แต่ในหน้า 27 กลับบอกว่ามีคนสงสัยข้อสอบสุขศึกษาและพลศึกษา 7 ข้อ... แล้วอีก 5 ข้อโผล่มาจากไหน แปลว่ามีนักเรียนสงสัยในคำตอบ 21 ข้อหรอครับ? แต่ผมยังไม่เห็นโจทย์เกี่ยวกับดนตรีสากลและซ่อมเครื่องซักผ้าเลยนะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีโจทย์ที่เด็กสงสัยมากกว่านี้สิ? เท่าที่ดูใน 21 ข้อนั้น มีข้อที่ผมคิดว่าควรให้คะแนนฟรีอยู่ 12 ข้อ (คือไม่มีทางเดาใจคนออกข้อสอบได้ ต้องมั่วสถานเดียว หรือต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้ถึงจะตอบถูก) แต่..... สทศ กลับปล่อยฟรีอยู่ข้อเดียว??? ถ้าสมมุติว่า 12 ข้อที่ผมคิดว่าเป็นปัญหา หักลบที่ สทศ ปล่อยฟรีไป เหลือ 11 ก็แปลว่า เด็กนักเรียนประมาณ 3 แสน 6 หมื่นคน (ซึ่งอาจน้อยกว่านั้นเพราะติดตรงกันเป็นหมื่น) ต้องใช้โชคและความเป็นแฟนพันธุ์แท้ช่วงชิงคะแนน 11 คะแนน แค่ข้อสอบธรรมดาก็มีส่วนเบี่ยงเบนจากการมั่วถูกเยอะพออยู่แล้ว ยังจะมีส่วนเบี้ยงเบนจากข้อสอบก๊องแก๊งอีก... ไม่ทราบว่า สทศ จะยกข้อสอบต่างประเทศมาให้ดูทำแมวอะไร ในเมื่อข้อสอบของเขาเป็นข้อสอบคนละประเภทกับข้อสอบที่เด็กมีปัญหากะ สทศ (เหมือนเอาข้อสอบเลขกับข้อสอบวิทย์มาให้ดู...มันเกี่ยวปะ?) เห็นประโยคนี้ในโจทย์ซักผ้าแล้วฉุนว่ะครับ "ข้อสอบข้อนี้ เนื่องจากนักเรียนไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ก็ควรมีทักษะในชีวิต รู้จักช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน" ถ้าผมกับพ่อแม่แบ่งหน้าที่กัน ผมกวาดบ้านถูกบ้าน แม่ซักผ้า พ่อล้างรถ ถ้าผมตอบไม่ได้แปลว่าผมไม่ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านสินะ Edit: ขยายความในส่วนของ 12 ข้อที่ผมคิดว่าควรปล่อยฟรีครับ แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 53 16:40:58 จากคุณ : Wohlklang156 เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 16:31:23

ความคิดเห็นที่ 54   อิชั้นมองว่า งานนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องหันหน้าเข้าหากัน รับฟังซึ่งกันและกัน หาจุดตรงกลางเพื่อแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาการศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นถือมั่นว่าฉันถูก เธอผิด และผู้ใหญ่ก็ควรจะต้องรับฟังเด็กให้มากๆด้วย อย่าถือว่าเขาเป็นผู้น้อย ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เพราะมันจะกลับไปเป็นแบบยุคเก่าๆ ประเภทใช่ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน จนกลายเป็นสังคมเส็งเคร็งแบบทุกวันนี้ แล้วป้าอุฯ นี่คิดแต่จะโยนความผิดให้คนอื่น ให้หน่วยงานอื่นอย่างเดียวเลยหรือ คือชีวิตนี่คิดจะรับแต่"ชอบ"อย่างเดียวใช่ไหม ไม่คิดจะรับ"ผิด"บ้างหรือ รู้ไหมว่านี่แหละคือความเสื่อมที่คุณแสดงออกมา ถ้าจะว่าเด็กก้าวร้าวเป็นสิ่งไม่ดี ผู้ใหญ่ที่ไม่รับผิดชอบนี่มันก็ปานกันแหละ ปล. เคืองข้อซักผ้าที่สุดอ่ะ มีในหลักสูตรจริงๆหรอคะหนูๆ พี่เองสมัยซักมือ ซักแต่ละครั้งยังไม่เหมือนกันเลย ประสาอะไรกับบ้านอื่น - -" จากคุณ : Lakesidemile เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 19:28:35

ความคิดเห็นที่ 55   ไม่ได้เข้า pantip มานานมาก พอมากดๆ ดูก็สะดุดตากับกระทู้นี้ ดูเรื่องข้อสอบนี้มาตั้งแต่ที่เด็กออกมาร้องเรียนวันแรก ลองนึกๆ ดูก็รู้สึกว่าถึงเป็นตัวเรา (เรียนจบมาหลายปีมากแล้วครับ) ก็ยังไม่แน่ว่าจะตอบถูก -_-" ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าจะเอาบรรทัดฐานที่ไหนมาบอกว่าใครผิดใครถูก มองในมุมคนออกข้อสอบก็ต้องคิดว่าเขาทำอย่างนั้นถูกต้องแล้ว มองในมุมเด็กก็ต้องโวยวายเป็นธรรมดา ผมว่าปัญหาน่าจะเกิดจากการออกข้อสอบโดยมุมมองของคนกลุ่มเดียวมากกว่าครับ หากมีคนอีกสักกลุ่มให้ลองทำข้อสอบดูก่อนจะเอามาใช้จริงอาจจะดีกว่านี้หรือเปล่า เขาจะได้รู้ว่าข้อสอบที่ออกมาเป็นยังไง เหมือนกับโรงงาน มีฝ่าย Production ก็น่าจะมี QC ด้วย จากคุณ : tawanrimnam (tawanrimnam) เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 20:16:45

ความคิดเห็นที่ 56   เด็กๆชอบพูดเหมือนตัวเอง อายุ 40-50 ผ่านระบบสอบเข้ามหาลัยเป็นร้อยๆ ทำเหมือน พวก... จบเอกการศึกษามายังไงยั่งงั้น เถียงได้ โต้แย้งได้ แต่ขอให้สุภาพหน่อย ผู้ใหญ่เขาอยู่มาอายุก็เยอะแยะแล้ว ประสบการณ์ก็มากกว่า โดนเด็กด่าว่าแถ คงจะไม่ดี แล้วพวกเรามั้งใจแล้วเหรอว่า ผู้ใหญ่แถจริงๆ หรือเราก็แถเอง??? ถ้าเขาแถ ก็ขอให้เราก็โต้แย้งอย่างสุภาพด้วยครับ ให้เกียรติกันหน่อย คนที่เขาโต้แย้งอย่างสุภาพก็มีกันนะครับ จากคุณ : Pannakon เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 20:40:43

ความคิดเห็นที่ 57   อ่านข้อสอบหลายๆ ข้อแล้วรู้สึกว่าเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับ "รสนิยม" ซึ่งรสนิยมไม่ควรจะนำมาตีความว่าผิดหรือถูก เพราะคนควรมีอิสระในความคิดและการเลือกชอบสิ่งนั้น หรือไม่ชอบสิ่งนั้น และไม่ควรมีคนใดคนหนึ่งมาตัดสินเราด้วยเรื่องแบบนี้ ยังไงเราก็คิดว่าช่างเป็นข้อสอบที่แปลกจริงๆ จากคุณ : tiara เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 20:45:31

ความคิดเห็นที่ 58   ความคิดเห็นที่ 17     ทำข้อสอบไม่ได้  ก็อ้างว่า อาจารย์ออกข้อสอบมั่ว พวกโจรถูกศาลตัดสินลงโทษ  ก็อ้างว่า ศาลไม่ยุติธรรม จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน ------------------- ^ ^ เป็นเรื่อง จริง ไม่ใช่ข้ออ้าง ไม่โดนกะตัวเอง ไม่รู้สึกดอก จากคุณ : น้าพร เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 20:59:01

ความคิดเห็นที่ 59   น่าสงสารน้องๆ นะคะ แต่ก็เห็นด้วยว่า มันเป็นข้อสอบที่ไม่ได้ยึดแต่ในหนังสืออย่างเดียว จากคุณ : urikoa เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 21:03:22

ความคิดเห็นที่ 60   คำถามมันเวิร์คนะ แต่มันจะไม่เวิร์คเลย ถ้าคำตอบต้องการคะแนน แค่เรื่อง ท้อง เรียนต่อ ทำแท้งเนี่ย เราว่า common sense ทุกคนเลือกคำตอบที่ถูกใจอาจารย์ได้ แต่.. ในชีวิตจริง มันจะมีสักกี่คนทำอย่างที่เลือกตอบ ของอย่างนี้น่าจะตอบแบบอัตนัย แล้วคนตอบต้องแน่จริง อ่านๆๆๆ แล้วให้คะแนน แต่ถ้าเด็กนักเรียนมานั่งเถียงอาจารย์ฉอดๆๆ แบบที่กระเทยชื่อนก มาเถียงอาทิตย์ก่อนๆ เราว่านี่ก็แย่ จากคุณ : ณ พิชา เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 21:37:26

ความคิดเห็นที่ 61   ผมมองว่าปัญหาของข้อสอบเหล่านี้บางข้ออยู่ที่ความไม่รัดกุมและไม่รู้จริงของคนออกข้อสอบนะครับ ยกตัวอย่างกันเลยกับข้อที่ต้องเลือกอาหารเช้าให้คู้รักชาวต่างชาติ (ต้องเป็นอาหารที่มีชื่อเสียง) คุณอาจจะมองว่ามันง่ายเพราะตัวเลือกอย่างผัดไทยก็ชัดเจนมาก แต่คุณอาจจะลืมไปว่าวัฒณธรรมและลักษณะนิสัยในการรับประทานอาหารของคนแต่ชาติไม่เหมือนกัน คนไทยเราส่วนใหญ่กินอาหารแทบจะทุกประเภทเป็นอาหารเช้าใช่ไหมครับ อาหารรสจัดๆเผ็ดๆอย่างแกงเขียวหวานไก่เราก็ทานกัน ของหนักๆอย่างข้าวเหนียวหมูปิ้งเราก็ได้อยู่ แต่ชาวต่างชาติหลายๆคนอาจจะไม่นะครับ อย่างคนอเมริกันโดยทั่วไปแล้ว (ย้ำว่าโดยทั่วไป) ตอนเช้าๆเนี่ยเขาจะทานอาหารเบาๆและรสไม่จัด อาหารอย่างผัดไทยเนี่ยเขามักจะกินเป็นมื้อเที่ยง หรือไม่ก็เย็นไปเลยนะครับ จริงๆมันก็กินได้แหละ แต่มันจะดูคล้ายๆกับการที่เราไปสั่งซุปหน่อไม้ น้ำตก ส้มตำมากินตอนเข้า ผมเคยอ่านหนังสือที่เกียวกับการแนะนำประเทศไทยสำหรับชาวอเมริกันที่จะมาเมืองไทย คนเขียนเป็นชาวอเมริกันที่อยู่เมืองไทยมานาน เขาเขียนว่าคนไทยทานอาหารรสจัดมาก แม้ว่าจะเป็นอาหารเช้า หนึ่งในอาหารที่คนเขียนแนะนำผู้อ่านคืออะไรรู้ไหมครับ มันก็คืออาหารจำพวกข้าวต้ม และโจ๊กนั่นเอง ผมมองอย่างนี้ครับ ถ้าผมจะตอบว่าผมจะเสริฟข้าวต้มด้วยเหตุผลนี้ ผมผิดไหม? ผมมีข้อมูลและเหตุผลประกอบการเลือกของผมนะครับ และผม"วิเคราะห์"ด้วย ไม่ใช่ตอบส่งเดช ข้อสอบข้อนี่ขัดแย้งในตัวเองนะครับ เพราะเงื่่อนไขของโจทย์คือต้องเป็นอาหารไทยมีชื่อและเป็นอาหารเช้า แต่ว่าเช้าๆนี่ฝรั่งทั่วๆไปตอนเขาอยู่บ้านเมืองเขาเขากินผัดไทยกันไหม? ที่สำคัญที่สุดคือคำตอบของคำถามแบบนี้มันขึ้นอยุ่กับปัจจัยหลายๆอย่างมากเกินไป สมมุติว่าคุณมีกิจการร้านอาหารและมีสถาณการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นคุณจะทำยังไง? คุณจะไม่คิดอะไรแล้วจัดผัดไทยให้เขาเลย? คุณจะไม่ดูก่อนเลยเหรอว่าเมื่อคืนเขาอาจเที่ยวกลางคืนหรือทำอะไรเหนื่อยๆจนดึก แล้วเขาอาจอยากทานอะไรเบาๆมากกว่า? ผมคิดอย่างนี้คุณๆอาจมองว่าคิดมากไปหรือปล่าว แต่ว่าการคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์ประเมินสถาณการณ์หรือไม่? มันแสดงให้เห็นว่าเราพิถีพิถันไหม? มาดูอีกข้อนึงครับ บังเอิญผมเรียนทางด้านดนตรีคลาสสิคอยู่ด้วย กับคำถามข้อที่ถามว่า ให้แต่งบทสวดมนต์พุทธในทำนองแบบแคทอลิก โดยให้ท่อนกลางเรียบง่าย และท่อนสุดท้ายยิ่งใหญ่ คำถาม : 1. จะใช้ภาษาอะไร 2. นักร้องชายควรร้องในท่อนกลางอย่างไร (ถ้าผมำไม่ผิด) 3. ใช้วงดนตรีแบบไหน ปัญหามาทันทีเลยครับกับคำว่าในทำนองแบบแคทอลิก ทำไม? คือมันไม่สมเหตุสมผลอย่างแรง ประการแรก สไตล์ของ Catholic Church music นี่มันมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากนะครับ เริ่มต้องแต่ plain chant ในยุคกลางจนเป็น vocal polyphony ในเรอเนอซองด์ ฯลฯ แล้วคุณจะเอาทำนองแบบไหน? ประการที่สอง เวลาคุณจะ set music ไปบน text เนี่ย ไม่ใช่ว่าคุณจะสักแต่จะเขียนๆไปก็ได้นะครับ คนแต่งจะต้องคำนึงถึงธรรมชาติของภาษานั้นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงหนัก เสียงเบา ไหนจะวรรคตอนของประโยคก้ต้องทำให้สอดคล้องกับวรรคตอนโครงสร้างของประโยคในเพลง อันนี้มันเป็นเรื่องซับซ้อนนิดนึงนะครับ แล้วทีนี้คุณจะเอาคำจากบทสวดมนต์ในภาษาบาลี มาใส่ในทำนองแบบแคทอลิกซึ่งดั้งเดิมแล้วเป็นทำนองที่แต่งให้เหมาะกับภาษาลาติน มันจะดีเหรอครับ? คุณจะ set music บนภาษาบาลี คุณก็ต้องเขียนทำนองให้เข้ากับจังหวะจะโคนของภาษา แล้วไหนจะเสียงสูงเสียงต่ำที่ภาษาลาตินไม่มีอีก ทำนองที่ออกมามันจะเหมือนกับของแคธอลิกเหรอครับ? ผมเข้าใจว่าคำว่า "ทำนองแบบแคธอลิก"ในที่นี้คือ"สไตล์ในแบบแคธอลิก" แต่ถ้าเป็นเช่นนี้มันหมายถึงว่าการใช้ภาษาของข้อสอบนี้มันไม่ชัดเจน และขาดความรัดกุม ถือว่าเป็นข้อสอบที่มีช่องโหว่เยอะมากครับ แล้วยิ่งนี่เป็นการสอบในระดับชาติ กับข้อสอบแบบนี้? ความตั้งใจผมยอมรับ แต่ความเป็นมืออาชีพอยุ่ที่ไหนครับ? วิจัยเก็บข้อมูลหรือยังก่อนจะทำอะไรแบบนี้? โอยขี้เกียจเขียนต่อแล้วครับ เดี๋ยวแวะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันใหม่ แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 53 21:59:55 จากคุณ : Dominus เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 53 21:48:50

ความคิดเห็นที่ 62   ถ้าโจทย์มันห่วยมันชุ่ยก็ยอมรับแล้วแก้ไขซะ เด็กแสดงออกไม่งามก็ยอมรับแลัวแก้ไขซะ ระบบมันเลวลงก็ยอมรับแล้วแก้ไขซะ บลาๆๆ ประเด็นใครประเด็นมันไม่เห็นต้องจับมารวมกัน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ผิดเพราะเอ็งก็ผิดแบบพวกกีฬาสี จากคุณ : temp เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 00:49:55 A:202.91.18.194 X: TicketID:003184

ความคิดเห็นที่ 63   เราอ่านไม่ครบทุก คห.นะคะ (เยอะเกิน ปวดตา เหอๆ) เราเป็นเด็กระบบแอดมิดชั่นรุ่นแรก (รุ่นที่คะแนนมันๆมึนๆนั่นล่ะค่ะ) ระบบเกรดที่เปลี่ยนมาเป็น 8 เกรด รุ่นเราก็เพิ่งมาได้เปลี่ยนตอนเรา ม.5 แล้ว -*- ตอนนั้นทั้งระบบเกรด ระบบเข้ามหาลัย ขอบอกว่ารวนมาก หลายๆ คห.(ที่อ่านมา) เราก็เห็นด้วยนะคะ แต่หลายๆ คห เราไม่คิดอย่างนั้นแฮะ แต่เราก็เห็นด้วยกับ จขกท.นะ บาง คห. บอกว่า ข้อสอบมันก็มีปัญหาทุกปี อันนี้ไม่เถียง เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ปัญหาปีก่อนๆ มันไม่ได้แย่หนักแบบข้อสอบปีนี้ที่เห็นกันได้ชัด (แบบ 3 วิชาเจ้าปัญหา) น้องที่ตอบว่าจะไปทำแท้ง ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมถึงตอบแบบนั้น เป็นข้อแรกด้วยซ้ำที่ควรจะตัดทิ้ง คุณทำข้อสอบสุขศึกษานะครับ ไม่ใช่กฎหมาย ข้อสอบให้หาความสัมพันธ์ จากสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งคุณก็มีความสามรถมากพอที่จะหาได้ จะโวยวายทำไม รุ่น ผม เป็นเอ็นท์รุ่นสุดท้าย มีวิชาสังคมศึกษาข้อนึงถามว่าควรรดน้ำต้นไม้ เวลากี่โมง ก็ไม่เห็นจะโวยวายขนาดนี้เลย !!!! รดน้ำต้นไม้ รุ้สึกมันจะมีสอนแฮะ ในหลักสูตรที่เราเรียน อันนี้เราเห็นด้วยนะ มันอาจจะไม่สามารถเป็นจริงๆ ได้ทั้งหมดในสังคม แต่ โดยพื้นฐานแล้วมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น (น้องๆ อย่าว่าเรานะ -*-) แต่ก็เห็นใจเด็กปีนี้จริงๆ ข้อสอบจากที่ดูๆมาจากหลายที่ มันห่วยจริงๆนะ (บางข้อ) ที่พูดๆกันมาว่า อยากให้เด็กเข้าใจชีวิตจริงในสังคม อยากให้อย่างโน้น อย่างนี้ เอาเข้าจริงๆ เวลาเด็กเข้ามหาวิทยาลัยไป มันจะมีผลทันที อันนี้เราวัดจากรุ่นน้องๆ เราที่เข้ามา พื้นฐานวิชาที่เรียนมา ม.ปลายอ่อนมาก สอบมิดเทอมกันแต่ละที (วิชาพื้นฐาน อย่างฟิสิกก์ คณิต) ตกกันระนาวอะ บางคนอาจมองว่า เด็กเข้าปี1ความตั้งใจเรียนลดลง เที่ยวซะเยอะ ไม่ค่อยเรียน เลยสอบตกกัน นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลนึง แต่ในความคิดเรา เราว่ามันเป็นที่ระบบกันการคัดเด็กเข้ามาด้วยแหละ ยิ่งปีนี้ยิ่งเห็นได้ชัด เล่นสอบกันแบบนี้ ปี1 คงน่าหนักใจน่าดู ประเทศไทยอยากเปลี่ยนระบบการศึกษาอย่างประเทศอื่นๆ เอาแบบของเขามา แต่ไม่ได้ดูเลยว่า การศึกษาไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะใช้ระบบแบบนั้น เอาเวลาที่มานั่งแก้ระบบเข้ามหาลัย ไปปรับปรุงระบบการเรียนการสอนตั้งแต่ประถมก่อนดีไหม ปล1. เห็นด้วยอย่างแรงกับ คห.18 ปล.2 เราว่าระบบเอ็นแบบเก่าดีสุดแล้วสำหรับประเทศไทย ณ ตอนนี้ ปล.3 คห. อาจดูมั่วๆ เพราะง่วงแล้ว จากคุณ : ชานมผสมโกโก้ (พายุสีเงิน) เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 01:12:37

ความคิดเห็นที่ 64   เข้ามาดูกระทู้ตัวเองอีกรอบ ตกกะใจว่ามีคนมาอ่านเยอะขนาดนี้เชียว ในฐานะเป็น จขกท มีคนมาแสดงความเห็นเยอะก็ดีครับ ผู้ใหญ่มาเห็นจะได้เห็นหลายๆ แง่มุม มาเข้าเรื่องดีกว่า ถ้าอยากโต้เถียง เรื่องนี้โต้เถียงได้ไม่จบหรอกครับ เพราะคำถามปลายเปิดเกือบทุกข้อ ไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมดภายในห้าถึงหกบรรทัด และผมก็บอกแล้วว่ามีอีกหลายข้อที่ผมเองก็ไม่เห็นด้วย เพิ่งไปเห็นข้อถามเรื่อง Post Impressionist เห็นแล้วก็ตกใจเหมือนกัน จริงๆ มีในหลักสูตรครับ แต่มันยิบย่อยมากจนไม่มีใครสนใจจะไปจำ พี่ก็เพิ่งจะรู้จักตอนเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน เรื่องเหล่านี้ พี่ก็ไม่เห็นด้วยนะครับ ย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าพี่ก็ไม่เห็นด้วย น้องบอกว่า มหาวิทยาลัยมีผลต่อการคัดเลือกคนเข้าทำงาน พี่ก็ยอมรับว่าจริง แต่ไม่ทั้งหมด บริษัทเล็กๆ (SMEs) จำนวนมากนะครับ ไม่อยากได้เด็กจากมหาวิทยาลัยดังๆ เลย เพราะอยู่ไม่ยาว บริษัทใหญ่หลายที่ก็เป็นเช่นกันนะครับ พี่เคยคุยกับผู้จัดการบริษัทใหญ่คนหนึ่ง เขาก็บอกเองว่า เขาไม่อยากรับ เพราะฉะนั้น การได้งาน ขึ้นอยู่กับโอกาสครับ แต่เรื่องความหวังของพ่อแม่ของน้อง อันนี้พี่เข้าใจครับ อย่างที่บอกครับ ว่าพยายามเถอะ แต่อย่าเอามันมากดดัน และแสดงออกแบบนั้น ส่วนข้อสอบหลายๆ ข้อ มันมีทั้งข้อที่ไม่ดีจริงๆ (พี่ก็เห็นว่ามันไม่ดี) และข้อที่พี่ว่าน้องตั้งใจมองให้ไม่ดีหรือเปล่า อย่างข้อการคบเพื่อน พี่คิดเหมือนเฉลย เอาเป็นว่าเดาถูกก็ได้ แต่เป็นข้อที่พี่เห็นว่าไม่แย่เท่ากับข้ออื่น และคำตอบของข้อนี้จะไม่มีวันจบ ถ้าน้องใช้คำว่า "ถ้า..." มากจนเกินไป คำว่า"ถ้า..." มีให้เราเข้าใจคำตอบ ไม่ใช่มีเพื่อทำให้คำตอบตัวเองถูกอย่างเดียว พี่เองก็ไม่เห็นด้วยที่เอาวิชาสุขศึกษา พลศึกษา หรือศิลปะมาออกข้อสอบ อย่างข้อคุณแอนดี้ เป็นศิลปินยุคไหน พี่ก็จำไม่ได้เหมือนกัน และพี่จึงไม่เห็นด้วยกับข้อสอบในลักษณะนี้ แต่ทั้งนี้ก็มีอีกหลายข้อที่พี่คิดว่าน้องโวยวายมากไป ซึ่งพี่รู้สึกว่า"มากเกินไป" และ "เหมือนฟังเด็กที่เป็นเด็ก" ไม่ใช่ "ฟังเด็กที่เป็นผู้ใหญ่" ในรายการวู้ดดี้ ถึงแม้จะมีน้องหลายคนที่พูดเหมือนผู้ใหญ่ แต่ข้อความเหมือนเด็กมาก (ขอโทษด้วยนะครับ พี่คิดแบบนั้นจริงๆ) คนที่พี่ฟังแล้วทำให้พี่เห็นด้วยมากที่สุด คือคนที่พูดถึงข้อสอบภาษาอังกฤษ ว่าข้อใดไม่เข้าพวก แว่บแรกพี่นึกถึง golf แต่พอน้องอธิบาย พี่ว่ามันก็มีเหตุผลทีเดียว แต่อย่างที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้นว่า แค่นี้ยังไม่เท่าไร น้องต้องยอมรับเฉลยด้วยเหมือนกัน (พี่ยังไม่ทราบเฉลยนะครับ) ไปเจอ SAT เก่าๆ แล้วน้องจะงงกว่านี้อีกหลายเท่า วัดคนเข้ามหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีเหมือนกันด้วยครับ ส่วนเรื่องค่าสอบ อันนั้นเป็นเรื่องที่พี่เห็นว่ารัฐบาลต้องเข้าไปแก้ครับ เพราะการขยายโอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เปิดติวให้เด็กทางทีวีแล้ว พี่ก็อยากให้ขยายโอกาสการสอบเหมือนกัน พี่ไม่เคยเห็นข้อสอบที่สามารถออกให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกครั้ง และพี่ว่าเป็นไปได้ยากมากด้วย ข้อสอบแบบนี้แค่วัดว่าน้องติดมหาวิทยาลัยรึเปล่า น้องโชคดีแค่ไหนครับ น้องลองไปเจอข้อสอบกลางที่เขาให้จบมํธยมสิครับ มีให้เขียนเรียงความด้วย ประมาณว่ากรรมการไม่ชอบ ก็เตรียมตัวเรียนซ้ำ แบบนี้เครียดกว่านะครับ ส่วนเรื่องสุดท้าย ข้อรดน้ำต้นไม้ ผมเอง ก็คิดว่ามีในหลักสูตรตั้งแต่ประถมครับ แต่ขอให้ไปดูตัวเลือกก่อนนะครับ จะได้รู้ว่าข้อนี้มีปัญหาเหมือนกัน และให้ดูหลักสูตรด้วยว่าสอนอย่างไร ตัวเลือกที่ให้มาไม่สามารถให้คำตอบที่เคลียร์ได้นะครับ จากคุณ : Bejung Krab เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 02:28:15

ความคิดเห็นที่ 65   ขอแสดงความเห็นสั้นๆก่อน 1. ผมโชคดีอิ๊บอ๋าย ที่เกิดในยุคสอบ ซึ่งออกสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่แท้จริง 2. เด็กรุ่นใหม่ โชคร้านบัดซะลบ! ที่ดั๊น ... เกิืดในยุคคนแก่  ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด และขอตั้งคำถามสั้นๆ ... ถ้าตอบถูก คุณจะผ่านเอนทรานซ์ฉลุย (ข้อสอบสังคมฯ) 1. เด็ก ม.6 ส่วนใหญ่ของประเทศ มีความคิดอย่างไรกับการสอบเอ็นทรานซ์แบบ แกะ & แพะ ก. ดีเยี่ยมสุดๆ สมควรใช้ตลอดกาล ข. เอาหัวแม่ตีนข้างไหนคิดเนี่ย! ค. สมควรส่งมันกลับไปนรก พร้อมกับคนคิดเรื่องนี้ 2. หลังจากสมศรี เห็นผลสอบ แกะ & แพะ เสร็จ สมศรีควรทำอย่างไร ก. ไปผับ ซดซัก 3 ดริ้งก์ ก่อนมั่วกับเพื่อนชา่ยให้มันส์กระจาย หายเครียด ข. ไปร้านของชำ ขอซื้อเชือก ก่อนหาขื่อดีๆ ที่สูงพอควร ค. นั่งเขียนชื่อป้าแก่ๆ บางคน ลงบนกระดาษ เพื่อปักกับตุ๊กตาวูดู ตามที่ได้เรียนมาจากโรงเรียน จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 07:44:21

ความคิดเห็นที่ 66   เด็กที่สอบในวันนี้ คือคนที่จะมาออกข้อสอบให้เด็กรุ่นหลังสอบในวันหน้า คนที่ออกข้อสอบในปีนี้ คือคนที่เป็นผลผลิตของการศึกษาไทยเมื่อวันวาน(หรือว่าเป็นนักเรียนนอก??) น้องๆคอยไปแก้แค้นกับเด็กรุ่นหลังๆก็แล้วกันครับ ออกข้อสอบแบบประหลาดๆไปเลย ผมไม่มีแม้แต่โอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 09:44:20

ความคิดเห็นที่ 67   ผมว่า จขกท. อย่าเอาเรื่องผลของมหาวิทยาลัยต่อการเข้าทำงานมาอ้างเลยครับ มันจะเบี่ยงประเด็นไปไกล เพราะเราพูดถึงเรื่องข้อสอบกันอยู่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการเข้าเรียน (ถึงแม้มันจะมีผลเกี่ยวเนื่องกัน แต่มันเป็นคนละประเด็น อีกอย่าง ไม่ว่าใครถ้าเลือกได้ ก็คงต้องเลือกหนทางที่ดีที่สุดให้ตัวเอง จริงไหมครับ) ในฐานะที่ผมจะต้องสอนเด็กเหล่านี้ในอนาคต ผมขอระบายอะไรสักนิดหน่อย เรื่องการสอบเข้าแบบใหม่นี้ เป็นปัญหาใหญ่ที่อาจารย์หลายๆ ท่านล้วนตำหนิและบ่นด่า ที่คณะผม (วิศวกรรมศาสตร์) ในช่วงปีหลังๆ ได้เด็กที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และคำนวณต่ำ ทำให้เด็กหลายๆ คน เรียนไม่ไหว ตามไม่ทัน จากการสอบถาม กลับได้ความว่า เด็กหลายๆ คนอาศัยคะแนนวิชาอื่นๆ มาชดเชยวิชาทางวิทยาศาตร์และคำนวณเพื่อเข้ามาเรียน ผมถามจริงๆ เถอะ หากเด็กมีความรู้ความสามารถที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนไม่พอ สมควรแล้วหรือที่จะคัดเด็กเหล่านั้นให้เข้ามาเรียนในคณะนั้นๆ (ทั้งนี้ เนื่องจากปีก่อนๆ มีการยุบรวมวิชาวิทยาศาสตร์สามวิชาเข้าเป็นวิชาเดียว และยังให้น้ำหนักเท่าๆ กับวิชาอื่น ทำให้น้ำหนักของวิชาสายวิทยาศาสตร์ลดน้อยลง ต่างจากสมัยเอนทรานซ์ซึ่งมีการนับคะแนนเฉพาะวิชาที่จำเป็นต่อการเรียนในคณะนั้นๆ ส่วนบางวิชาที่ไม่จำเป็นนักก็กำหนดให้คะแนนเพียงผ่านเกณฑ์เท่านั้น แต่ไม่คิดในคะแนนรวม) จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 12:12:04

ความคิดเห็นที่ 68   ส่วนปัญหาเรื่องข้อสอบนั้น ผมเห็นด้วยกับ #61 เป็นอย่างยิ่งครับ ถ้าข้อสอบไม่รัดกุมพอ ก็ต้องถือว่าข้อสอบไม่ดีพอจะนำมาใช้ครับ ผมโหลดข้อสอบมาดูแล้ว เห็นว่าเป็นข้อสอบที่น่าจะมีปัญหามากๆ ครับ เพราะหลายๆ ข้อ เป็นการถามรสนิยม ซึ่งคำตอบที่ได้ย่อมมีความหลากหลาย บางข้อก็เป็นการถามในเชิงการตัดสินใจ ซึ่งไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าคำตอบที่เฉลยจะถูก ข้ออื่นๆ ผิด (เพราะผมเห็นบางข้อ โจทย์ให้เงื่อนไขที่ไม่ชัดเจนพอที่จะบีบตัวเลือกให้เหลือเพียงข้อเดียว) และอีกหลายๆ คำถาม ที่เจาะลึกมากเกินไป และไม่มีความจำเป็นในการสอบ อย่าลืมว่าข้อสอบเหล่านี้เป็นข้อสอบพื้นฐานนะครับ เด็กที่สอบข้อสอบเหล่านี้ คือเด็กทั่วไปซึ่งต้องการเรียนคณะที่แตกต่างกันไป คำถามเจาะลึกเหล่านี้ ควรจะมีความสำคัญเฉพาะกับเด็กที่ต้องการเรียนในคณะที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ใช่เอามาถามทุกคนแบบนี้ ผมไม่เห็นว่าเรื่องเหล่านี้ คนนอกสายงาน นอกวงการจะจำเป็นต้องรู้ลึกขนาดนั้น ส่วนที่บางท่านว่า ข้อสอบไม่จำเป็นต้องคิดลึก ผมกลับเห็นว่า ข้อสอบที่ดี ต้องรองรับได้ทั้งคนที่คิดลึก และคนที่คิดตื้น (เนื่องด้วยข้อสอบเป็นปรนัย ซึ่งไม่สามารถวัดกระบวนการคิดวิเคราะห์ได้ ต่างจากข้อสอบแบบอัตนัย) ผมเคยมีโอกาสได้เข้าร่วมคณะออกข้อสอบวัดความรู้สำหรับผู้ขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ข้อสอบเหล่านั้น คณะกรรมการต้องตรวจตราทุกข้อ ต้องไตร่ตรองโดยละเอียด คิดทุกเงื่อนไข หาทุกข้อขัดแย้งที่อาจมีได้ แล้วจัดการแก้ไข หรือกำหนดเงื่อนไขที่รัดกุม เพื่อไม่ให้ข้อสอบมีข้อขัดแย้ง เนื่องจากในการสอบจริง ทุกข้อโต้แย้งที่มีเหตุผล ย่อมต้องยกประโยชน์ให้ ข้อสอบที่ไม่รัดกุมพอ จึงถือว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ดีพอครับ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 12:42:57

ความคิดเห็นที่ 69   ขอตอบก่อนอ่านทั้งหมดขอรับ จากที่ดูในคำถามหลายข้อที่เป็นปลายเปิด ไม่สมควรจะเป็นข้อสอบแบบปรนัย เพราะข้อสอบปรนัย ถ้าไม่มีการคำนวนที่เป็นวิธีการที่เป็นแบบแผนอย่างมีระบบเช่นเดียวกับ หมวดวิทยาศาสตร์ จะได้คำตอบที่มีความผกผันสูง (ไม่มีความแน่นอน) ซึ่งปัญหาที่นำมาถาม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม ดังนั้นจึงสมควรจะถาม-ตอบแบบสังคมศาสตร์ จากที่คลุกคลีอยู่กับวงการสังคมศาสตร์มานาน ข้อสอบชุดที่ถามนี้ ควรจะเป็นข้อสอบอัตนัย หรือเชิงบรรยายอย่างเดียว ไม่ควรนำมาเป็นข้อสอบปรนัย ที่ต้องให้เป็นข้อสอบอัตนัย เนื่องจากข้อคำตอบที่ได้มาส่วนใหญ่ มักจะเป็นความคิดเห็นของผู้ตอบ การให้คะแนนก็ควรจะดูที่วิธีคิด ตรรกะ และเหตุผลของผู้ตอบคำถามประกอบกันไป ลักษณะนี้เป็นคำุถามแบบที่หมวดสังคมศาสตร์ (ตั้งแต่ วิชากฎหมาย (ที่ผู้น้อยร่ำเรียนมา) วิชารัฐศาสตร์ วิชาสังคมศาสตร์ ฯลฯ) ในระดับชั้นอุดมศึกษาที่ประเทศไทยทำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อสอบวิชากฎหมายที่เป็นอัตนัยเพียว 100 คะแนนเต็ม (หรือ ข้อสอบก็คือเกรดนั่นเอง) ดังนั้น ปัญหาข้อนี้แก้ได้ แต่ก็ได้เพิ่มปัญหาอีกหลายประการเข้ามาแทนที่ คือ 1. จำนวนผู้ตรวจสอบคำตอบ สมควรจะมีกี่ท่าน สมควรจะมีกี่ชุด 2. ความล่าช้าของการตรวจคำตอบจะมีมากขนาดไหน อย่างไร 3. วิธีการให้คะแนนคำตอบควรเป็นแบบไหน 4. การตรวจสอบคณะกรรมการตรวจสอบคำตอบทำได้แค่ไหน อย่างไร 5. การคิดคะแนนควรจะรวมกับวิชาอื่นๆ หรือไม่เพียงใด ฯลฯ ส่วนตัว ผู้น้อยเห็นว่า การถามตอบแบบสังคมศาสตร์นั้น ควรจะถามแบบสังคมศาสตร์จริงๆ ที่ต้องดูการคิดวิเคราะห์ หลักตรรกะ วิธีคิด และวิธีเขียนบรรยายการตอบเป็นสำคัญ ซึ่งการตรวจข้อสอบแบบสังคมศาสตร์เป็นอะไร ที่มากกว่าการตรวจข้อสอบแบบที่ถูกต้องแม่นยำเป๊ะๆ ของหมวดวิทยาศาสตร์ ประเด็นปัญหา ไม่ได้อยู่ที่ตัวข้อสอบ แต่เป็นปัญหาของการวัดผลคำตอบขอรับ ปล. ไม่ได้กล่าวหาว่า หมวดวิทยาศาสตร์ ไม่ดีนะขอรับ เพียงแต่มันนำมาใช้กับกรณีของสังคมศาสตร์ไม่ได้เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 13:45:27 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 12:53:57 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 12:53:11

ความคิดเห็นที่ 70   ชี้ไปที่ #65 หวัดดีครับ คุณหมอแมวเหมียวฯ เพื่อนลูกไปสอบสัมภาษณ์แถวอนุสาวรีย์ อาจารย์ให้มารายงานตัววันที่ 9 ถามว่า ไม่ต้องรอคะแนนโอเน็ทก่อนหรือ คำตอบคือ ช่าง  m a n g  ... ผมพอเดาออกแล้วว่าใครคืออาจารย์คนที่ว่า จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 13:53:03

ความคิดเห็นที่ 71   ผู้น้อยชอบความเห็นของ คห. 27 ที่ว่า "ถามว่าทุกคนก็มีเหตุมีผลกันทั้งนั้น แล้วคุณเอา common sense ของใครมาตัดสินล่ะ" ผู้น้อยก็เห็นด้วยขอรับ ว่า การวัดผลยังมีปัญหาอยู่ไม่ใช่น้อยทีเดียว และไม่ใช่ปัญหาแค่ครั้งเดียว แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ อยู่ที่จะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเอง จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 14:01:11

ความคิดเห็นที่ 72   เด็กสมัยนี้โชคดีจะตาย มีโอกาสสอบตั้งหลายครั้ง ทั้งสอบตรง สอบพิเศษรับเข้าฯโครงการต่างๆ ทุนก็เยอะ สอบตรงพิเศษ โควต้า เยอะแยะไปหมด สมัยผม เห็นจะมีแค่เอนทรานซ์ กับโควต้านักกีฬาเท่านั้นแหละ สอบแอดมิชั่นก็สอบได้หลายครั้ง ครั้งแรกไม่พร้อมครั้งหลังแก้ตัวได้ แต่พอข้อสอบไม่ถูกใจ ก็โวยวาย แต่หารู้ไม่ถึงที่มาที่ไปและโอกาสต่างๆที่ดีกว่าสมัยก่อน เอนทรานซ์พลาด...คุณต้องรอ 1 ปีเต็ม เพื่อนผมเป็นโรคกระเพาะกำเริบตอนวันสอบเอนทรานซ์ อัดยาไปทำข้อสอบไป ผลสอบหรือ...ออกมาไม่ค่อยดังใจหวัง ต้องสอบใหม่อีกปีจึงจะได้คณะที่อยากได้ แต่ถ้าเป็นแอดมิชชั่น มันแก้ตัวได้หลายครั้ง เด็กสมัยนี้โชคดีแค่ไหน ไม่รู้ตัวกันเลยนะเนี่ย แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 14:04:16 จากคุณ : kennyG เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 14:02:10

ความคิดเห็นที่ 73   หลายความเห็นก็แถ............... กันสีข้างเลือดสาด (ก๊าก) มองให้เป็นกลางดีมั้ยครับ? ดูที่ตัวข้อสอบ ไม่ใช่เห็นเด็กก้าวร้าวก็ตั้งแง่แล้ว มีอคติเป็นที่ตั้งแล้วมันจะคุยกับรู้เรื่องมั้ย??? ส่วนตัวผ่านระบบ admission ปี 49 ที่ว่าเฮงซวยนั้น มันก็เฮงซวยที่ระบบ แต่ตัวข้อสอบเราไม่รู้สึกว่ามันเวิ่นเว้ออะไร คำตอบก็ชัดเจนดี แต่ข้อสอบที่กำลังพูดถึงในกระทู้นี้ผมว่าตัวข้อสอบไม่ดี ก็แค่นั้น ข้อสอบไม่ดี ก็ไม่ควรออก เพราะข้อสอบไม่ดีใช้วัดอะไรไม่ได้ เห็นเด็กก้าวร้าวแล้ว คุณจะไม่พอใจก็ได้ หมั่นไส้ก็ได้  แต่ความจริงที่ว่า "ข้อสอบไม่ดี" ก็ยังไม่ได้หายไปไหนนะครับ จากคุณ : Urashima เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 14:49:25

ความคิดเห็นที่ 74   หมวด 1  สทศ. ก.  ยังคงไม่แคร์ ข.  นักเรียนคิดไม่เป็น  เพราะครูไม่สอน ค.  ข้อสอบประเทศมีแบบนี้มานานแล้ว  ทำไมไทยจะริเริ่มไม่ได้ ง.  อาจารย์อุทุมพรในฐานะผู้อำนวยการ  มีบทบาทภารกิจหนังหน้าไฟต่อไป หมวด 2  นักเรียนและผู้ปกครอง a. ก่นด่าอาจารย์อุทุมพร b. ใช้ 4 letter word  ด่า สทศ  สาดเสียเทเสีย c. ผู้ปกครองส่วนหนึ่งมีความคิดส่งลูกไปติวการซักผ้า d. คุณแม่  หันมาทำผัดไทยให้ลูกชายและสามีเป็นอาหารเช้ามากขึ้น หมวด 3  มหาวิทยาลัยและโรงเรียนกวดวิชา e. รร.กวดวิชาวิเคราะห์เจาะหลักสอนคิดวิเคราะห์ f. มหาวิทยาลัยรับตรงมากขึ้น g.มหาวิทยาลัยเอกชนปรับขึ้นค่าหน่วยกิจ ข้อ 74.  จากข้อมูลเบื้องต้นในกระทู้นี้ และข้อมูลจากทั้ง 3 หมวดที่กำหนดให้ นักเรียนจงวิเคราะห์เชื่อมโยงเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากที่สุด 1. ก-c-g 2. ง-d-f 3. ข-b-g 4. ค-a-e ---------------------- แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 53 19:16:28 จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 19:13:37

ความคิดเห็นที่ 75   ตอบ คหที่72ครับ       โอเน็ตสอบได้แค่ครั้งเดียว ใน1ชีวิต ถ้าอยากสอบมากกว่า1ครั้ง  ก็คงต้องไปเกิดใหม่ครับ จากคุณ : โนริแห่งโนบุ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 20:05:43

ความคิดเห็นที่ 76   หลักการข้อแรกของการประชาสัมพันธ์ (เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร) คือ -ขอโทษ เมื่อเราเป็นฝ่ายผิด- ดูเหมือนว่าสังคมทุกวันนี้ คนเราจะเอ่ยคำขอโทษกันยากเย็นเหลือเกิน แถ.. จึงเป็นทางออกที่นิยมที่สุด ปล. ข้างหนึ่งแถ ข้างหนึ่งแรง มันเลยไม่ไปไหนซะที จากคุณ : meaw-angle เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 21:15:52

ความคิดเห็นที่ 77   หลังจากที่ได้อ่านมาหลายคห.แล้วค่ะ คือหนูก็เป็นนักเรียนที่แอดมิด ชั่นรุ่นนี้ หนูว่าจริงๆแล้วประเด็นที่พวกเราไม่อยากให้ผู้ใหญ่รับรู้ และ พัฒนาการวัดมาตราฐานการศึกษาให้ดีขึ้นมากกว่าค่ะ คำถามหลายๆคำ ถามมันไม่ใช่การวัดความรู้พื้นฐานอย่างที่ชื่อการทดสอบค่ะ หนูเข้าใจจุดประสงค์อาจารย์ท่านนะคะว่าอยากให้เด็กไทยมีความรู้รอบตัว(อย่างเรื่องคอม) แต่ว่าคำถามมันเป็นเชิงลึกมากกว่าเชิงกว้างนะคะ เพราะว่าคนเราไม่มีใครหรอกค่ะที่จะรู้ลึกไปทุกเรื่อง แม้แต่ไอสไตน์จริงมั้ยคะ ส่วนคำถามบางข้อที่หลายคห.บอกว่าใช้คอมมอนต์เซนส์ตอบ หรือว่าให้ตอบตรงกับสิ่งที่โจทย์ชี้นำให้ตอบ หนูคิดว่าเงื่อนไขและปัจจัยในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คำตอบก็จะต่าง เช่น ข้อการจัดการปัญหาของนิดนะคะ ถ้าเป็นหนูคงตอบว่าลาคลอด(แม้ว่าชีวิตจริงการลาออกไปคลอดลูก โรงเรียนไม่อนุญาต คงต้องแอบทำ) แต่ถ้าเป็นเด็กที่มีฐานะไม่ดี ก็คงจะต้องลาออกมาแล้วหางานเลี้ยงลูก ดังนั้นด้วยเวลาในห้องสอบที่จำกัดคำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาก็มักจะเป็นคำตอบที่มาจากองค์ประกอบของชีวิตที่ต่างกันแบบนี้ล่ะคะ หรืออย่างข้อปัญหาของการเที่ยวกลางคืนที่ตอบว่าข่มขืนน่ะค่ะ หนูกลับคิดว่าเป็นมอมยา แต่สิ่งที่ท่านเฉลยบอกว่ามาจากสถิติในหนังสือเรียน แล้วมันไม่ท่องจำตรงไหนเหรอคะ?? ถ้าอยากให้วิเคราะห์ให้แสดงความคิดเห็นแต่เมื่อมีคนออกมาแสดงความคิดเห็นกลายเป็นว่าก้าวร้าว จริงๆแล้วการเปลี่ยนแปลงระบบการสอบครั้งนี้มันช่วยลดกวดวิชาตรงไหน ลดความหลื่อมล้ำโอกาสทางการศึกษาตรงไหน ในเมื่อเพิ่มข้อสอบเชื่อมโยง กวดวิชานี้ก็เพิ่ม เด็กก็เรียนเพื่อเสริมความมั่นใจ หนูอยากจะบอกค่ะ ว่าการศึกษาบ้านเราควรค่อยๆเปลี่ยนแปลง บอกล่วงหน้าให้เตรียมตัว ไม่หักมุมแบบนี้ การศึกษาไม่ต่างอะไรกับระบบการปกครองนะคะ ที่ควรเปลี่ยนเมือพร้อมและค่อยๆถูกหล่อหลอมจึงประสบความสำเร็จ การไปเอาแบบอย่างการศึกษาจากเมืองนอกมาปรับเปลี่ยนเลยไม่ได้ เพราะพื้นฐาน วัฒนธรรมและอื่นๆเราต่างกัน ถ้าจะใช้ก็ต้องค่อยๆเริ่มค่ะ ที่สำคัญในสายตาผู้ใหญ่อาจมองว่าเอนท์ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายของชีวิต ถูกค่ะแต่พวกหนูแค่ผิดหวังถ้าความพยายามของพวกหนูที่อยากจะเข้าไปอยู่ในคณะที่ต้องการไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของการสอบที่ให้เวลาเตรียมตัวน้อยเหลือเกิน แน่นอนค่ะถ้าใครผ่านจุดนี้ไปการเอนท์คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ค่ะ เพราะเรื่องใหญ่ในชีวิตมันจะไปตามวัย และประสบการณ์ที่ก้าวผ่านมาได้ อย่างพนักงานการตกงานคือเรื่องใหญ่ นักธุรกิจการล้มละลายคือเรื่ิองใหญ่ และการหย่าร้างคือเรื่องใหญ่ของคู่สมรส ส่วนหนูในวัยนี้ความหวังในการเข้าเรียนเป็นเรื่องสำคัญค่ะ จากคุณ : หนึ่งในอนาคตของชาติ เขียนเมื่อ : 11 มี.ค. 53 21:57:25 A:58.11.19.129 X: TicketID:257518

ความคิดเห็นที่ 78   น้องหมอที่น่ารักได้ส่ง link นี้มาให้  เลยอยากขอมาร่วมแจมวิพากษ์เรื่องhot hit นี้ด้วยคน   หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่อง ONET บอกว่าเป็นสิ่งที่เราควรรู้ เป็น living basic   แต่.....สิ่งที่เราควรรู้ ไม่ได้มีแนวทางเดียวที่ทำได้   แต่การทำข้อสอบแบบตัวเลือก ไม่ควรจะให้ข้อโต้เถียงได้ หรือเรียกว่ามี Reasonable doubt เพราะถึงจะไม่ถูกต้อง100% ก็ไม่ได้แปลว่าผิด    แต่ข้อสอบนี้เป็นแบบ multi choices ซึ่งหมายถึงถ้าไม่เลือกข้อนั้นๆตามที่กำหนด  แปลว่าผิด    ใช่หรือไม่ ถ้าคิดจะตั้งคำถามสไตล์นี้  ควรจะทำข้อสอบแบบให้เขียนบรรยายแล้วให้คะแนนลดหลั่นกันไป น่าจะสมแก่เหตุผลมากกว่า  อย่างคำถามเรื่องอาหารในคห.5  จะบอกว่าคำถามไม่ชัดเจน มีสิ่งที่คนตอบสามารถถามกลับได้   สำหรับเราคำถามนี้ไม่ควรจะผ่านมาตรฐานข้อสอบมาได้  Measurement: Nonstandardized Assessment or Testing.   เพราะว่าอะไร??   ขอวิเคราะห์ข้อสอบจากประสบการณ์ชีวิตจริงนะ ในฐานะที่ทำงานในเรื่องการศึกษาโดยตรงที่USA  + บ้านเราทำธุรกิจร้านอาหารไทยที่ชิคาโก้มามากกว่าสิบปี   สิ่งสำคัญที่สุดในการจะทำอาหารอะไรให้ใครทาน   คำถามแรกที่ต้องถาม/รู้คือ Food Allergie   จากตัวเลือกที่ให้มา 5 ใน 9 ข้อเป็นอาหารทะเล  เพราะต่อให้อาหารดี วิเศษแค่ไหน แต่คนกินเค้าแพ้อาหารทะเลหรือมีคอสเรสเตอรอลสูง  ทำเค้าก็กินไม่ได้อยู่ดี  หรือเป็นอิสลาม ทำโจ๊กหมู/ไข่เจียวหมูสับให้ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น   คำถามที่ 2 คนต่างประเทศ - ประเทศอะไร?    เพราะในโลกนี้มี 195 ประเทศ ลบไทยออกไป  แสดงว่ามาจากอีก 194 ประเทศ!! Which one??  คุณคิดว่าคนที่จากนามิเบีย ฮอลแลนด์  จอร์แดน  แคนาดา  หรือมาเลเซียจะชอบอาหารอย่างเดียวกันมั้ย   คำถามที่ 3 คนตั้งคำถามขาดความเข้าใจเรื่องBreak fast Culture   Fact: ส่วนมากจะมีแต่คนจากประเทศใน South East Asia ที่กินอาหารเช้าแบบหนักๆ เช่น ข้าวผัด ข้าว..etc ถ้าคนที่มาจากส่วนอื่นๆของโลก อาหารเช้าส่วนมาก (>80%) จะเป็๋น Dairy Product (นม เนย ไข่) และแป้ง   ส่วนพวกอาหารที่ดังๆของไทยเช่นผัดไทย ข้าวผัด จะอยู่ในกลุ่มของ Lunch / Dinner    ถ้าคุณทำผัดไทยให้เค้ากิน  เค้าก็กินอ่ะนะ แต่แบบขำๆ เพราะมันแปลก Weird  เอามาเป็นเรื่องJoke(ลับหลังคุณ) กันได้ในอนาคต   คำถามที่ 4 ส่วนเรื่องดอกไม้  แต่จะบอกว่ากุหลาบคือดอกแห่งความรักก็น่าจะได้       ผ้าปูโต๊ะ เป็นเรื่องรสนิยม สีชมพูไม่จำเป็น อาจจะใช้สีแดงหรือแสดก็ได้  ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง "ที่สุด" ตัวเลือกในหมวดวัสดุบรรจุอาหาร ขัดแย้งกับตัวเลือกอาหาร เพราะว่าไม่มีอันใดเหมาะสมที่จะใช้บรรจุข้าวต้ม / โจ๊กได้เลย ทำให้ตัวเลือกทั้งสาม  ด้อยความสำคัญลงไป  Is it fair?? ที่เราจะไม่ได้ทำอาหารนั้นๆ เนื่องจากวัสดุบรรจุอาหารไม่เหมาะสม ถ้าเป็นคำถามสอบเข้ามหาลัยที่เมกานะ   รับรองหน่วยงานที่รับผิดชอบโดนฟ้อง   ที่นี่ถ้ามีข้อสอบหรือมีเหตุการณ์ที่ไม่ชัดเจน  มีAny Reasonable Doubt ไม่ได้มาตรฐาน  แต่อาจารย์บอกว่าต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น  นักเรียนสามารถ Challenge อาจารย์ได้ทุกคน   แต่ละฝ่ายต้องหาข้อมูล+เหตุผลที่ชัดเจนมาอธิบายให้ได้ว่าทำไม  อาจารย์อาจจะถูก หรือนักเรียนอาจจะถูกก็ได้    ไม่ใช่บอกว่าเพราะว่าชั้นเป็นอาจารย์แปลว่าชั้นถูกต้อง   เธอเป็นเด็กนักเรียนอย่ามาก้าวร้าว อย่ามาถามย้อน  ถ้าตอบแบบนี้ก็คงตกงานไปอีกนานแน่ๆ /// just from my two cents /// ขออภัย  แก้ตัวสะกดหลายรอบ แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 53 03:14:51 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 53 02:42:23 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 53 01:59:09 จากคุณ : PiGGae เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 01:54:22

ความคิดเห็นที่ 79   คือ อ่านมาหลายกระทู้แล้วน่ะค่ะ อยากจะให้ทุกคนทราบด้วยเหมือนกันว่า รุ่น 53 นี้ เสมือนเป็นหนูทดลองมาตั้งแต่ประถมแล้ว ประถมใช้ NT แต่แล้ว กลับมีโรงเรียนบางแห่งเท่านั้นที่ใช้ เพื่อนของหนูไม่มีใครใช้ NT ซักคน ถ้าไม่ยัด ก็ต้องสอบเข้า แล้วจะสอบไปทำไม พอมามัธยม ก็เจอเรื่อง แกะ แพะ คือรู้ค่ะว่าผู้ใหญ่ต้องการแก้ไขการศึกษา แต่ว่า คุณผู้ใหญ่ไม่เคยรับฟังปัญหาเด็ก และเด็กก็ไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจกัน ถ้าไม่คุยกัน คนคิดไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้คิด เมื่อเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ขอพูดถึ่งเรื่อง ข้อสอบที่ผิดพลาด เพราะคงผู้ใหญ่ จะถูกเสมอ ไม่ว่าเด็กจะแย้งอย่างไร ก็จะกลายเป็นการก้าวร้าว แต่ถ้าพวกเราไม่แย้ง ถึงความผิดเหล่านี้ แล้วรุ่นน้องของเราละค่ะ  จะต้องเป็นหนูทดลองการศึกษาไปอีกนานแค่ไหน กว่าจะได้การศึกษาที่ถูกต้อง อย่าโยนความผิดว่าเป็นของหน่วยงานใด เพราะไม่มีหน่วยงานใดผิด จะผิดก็ตรงที่ไม่ร่วมมือกันแก้ไข สทศ ก็ควรจะร่วมมือกับ กระทรวงศึกษา ไม่ใช่ต่างคนต่างแยกกันอยู่ คนหนึ่งออก อีกคนหนึ่งสอน แล้วเมื่อไหรเนื้อหามันจะตรงกันเสียที คงอีกนานนะค่ะที่จะได้เห็นความร่วมมือกันของหน่วยงานในสังคมไทย คงพูดได้แค่เพียงว่า  Wellcome to thailand จากคุณ : เด็กปี 53 (ปลาทองติ๊งต๊อง) เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 10:36:59

ความคิดเห็นที่ 80   เรามองหน้าหลานอายุ 5 ขวบ กว่าจะถึงวันเค้าเอนทรานซ์ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ประสบการณ์ชีวิตบางอย่าง เกิดคนละบ้านก็ได้ไม่เหมือนกันแล้ว ถ้าจะวัดวิชาการ ก็ให้วัดวิชาการไปอย่างเดียวเลยดีกว่าค่ะ ส่วนเรื่องการวิเคราะห์และทัศนคติ หรือการปฏิบัติเพื่อใช้ชีวิตให้เป็น มันคือการปลูกฝังจากที่บ้าน โรงเรียน และสังคม ไม่ใช่จะมาวัดด้วยข้อสอบ  เพราะอะไรน่ะหรือคะ เพราะสุดท้ายแล้ว คนตอบเค้าไม่ได้วิเคราะห์สิ่งที่ควรจะเป็นหรอกค่ะ แต่เค้าวิเคราะห์แค่ว่า คนออกข้อสอบอยากให้ตอบอะไร จะได้ได้คะแนน... เด็กคิดอย่างนั้นหรือเปล่า? คนออกข้อสอบไม่มีทางรู้เลย จะเรียกวัดผลได้อย่างไรคะ... ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ได้หรือไม่ เรียนเนตรนารีมาจนป่านนี้ ก็ผูกเงื่อนพิรอดเป็นอันเดียวน่ะค่ะ นี่เราเป็นอดีตเยาวชนผู้ล้มเหลวหรือเปล่าคะ? จากคุณ : พี่เหมาโหล เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 12:15:33

ความคิดเห็นที่ 81   ^ ^ อิอิ   ชอบคำตอบคุณค่ะ  เราผูกไม่เป็นซักเงื่อนอ่ะ  แต่ชีวิตก็ประสบความสำเร็จดี จากคุณ : แฟนนายแบบ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 16:34:35

ความคิดเห็นที่ 82   ข้อสอบนี้เกี่ยวเนื่องกับวิชาการงานอาชีพ งั้นในฐานะที่ดิฉันเป็นอาจารย์คณะด้านศิลปกรรม ใครตอบที่ ผ้าปูโต๊ะสีแดง(หรือชมพู) แล้วมีกระทงใบตองสดสีเขียวอื๋อ ใส่ผัดไทยซึ่งมีสีออกโทนร้อน แล้วยังจัดแจกันดอกกุหลาบ (ซึ่งก็น่าจะเป็นกุหลาบสีแดง เพราะดูจากบทความข้อสอบพยายามโน้มน้าวว่าสีแดงคือสีแห่งความรัก) ชั้นจะไม่ให้คะแนน เพราะ... ...ผิดทฤษฏีสีอย่างแรง ใครแม่มจัดโต๊ะอาหารด้วยสีนี้ รสนิยมอุ...ต่ำเตี้ยมาก ๆ อย่าได้ริมาเลือกเรียนคณะวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับศิลปะ หรือจิตวิทยา เป็นเด็ดขาด ไม่ให้เข้าเด็ดขาด จากคุณ : P๐m PoM GiRL เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 20:41:26

ความคิดเห็นที่ 83   ขอเสริม ความเห็นที่82 ด้วยนะครับ ว่า นอกจากจะผิดทฤษฎีสีแล้ว   ผู้ออกข้อสอบยังไม่ได้พิจารณาความสมเหตุสมผลของข้อสอบอีกด้วย เนื่องจากข้อ สีแห่งความรัก แต่แรกเฉลย สีแดง แต่ข้อ  สีผ้าปูโต๊ะสำหรับ ฮันนีมูน ซึ่งควรจะเป็นสีความรักด้วยเช่นกัน  กลับ  เฉลยสี ชมพู แสดงว่า ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างข้อสอบเกิดขึ้น แบบนี้จะเอาอะไรให้เด็กไปเชื่อมโยงได้ จากคุณ : โนริแห่งโนบุ เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 23:08:18

ความคิดเห็นที่ 84   จขกท. คะ  เรารุ่นเดียวกัน เรื่องข้อสอบโอเน็ทปีนี้  เราไม่อยากพูดถึงแล้ว  เพราะหลายๆความเห็นข้างบน ดีและตรงใจเรามาก แต่ขอพูดถึงข้อสอบปีเราหน่อยเถอะ ข้อรดน้ำต้นไม้  ใน "หลักสูตร" (มัธยม) มีให้สอนรึป่าวไม่รู้ แต่เรารู้นะคะ... จำได้ว่ามันสอนแน่ๆตอนแต่ประถม  เป็นความรู้พื้นฐาน (อยู่ในวิชา ก.พ.อ.) พอมัธยม มันจะมีวิชาหนึ่งที่ต้องปลูกต้นไม้ ต้องดูแลต้นไม้ เราเลยไม่แน่ใจว่าได้มีการสอนอีกรึป่าว  เพราะก็รู้มาตั้งแต่ประถมแล้ว ส่วนข้อ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี 66/2523 ของค.ห. 27  ตอนแรกเราแอบบ่นเหมือนกันว่า แล้วจะไปรู้ได้ยังไงวะ?  แต่พอกลับบ้านถามพ่อ  พ่ออธิบายมาหน้าตาเฉย  บอกเพิ่มให้อีกว่าเพราะประกาศฯนี้แหละ ตอนนั้น ชวลิต ยงใจยุทธ ถึงได้ฉายาว่าเป็นขงจื้อแห่งกองทัพไทย เราก็เลยยอมรับได้ว่าอิประกาศนี่มันคงดังมากจริงๆ เราผิดเองที่ไม่รู้ T^T สมควรแล้วที่ตอบผิด แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 02:19:21 จากคุณ : ธราธาร เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 53 02:13:42

ความคิดเห็นที่ 85   สิ่งหนึ่งก็คือว่า ตอนเราเริ่มเรียนตอนม.๔ก็ไม่มีใครบอกเลยว่าระบบจะเป็นยังไง แล้วก็มรู้เรื่องว่ามีการสอบGAT/PATตอยอยู่ม.๕เนี่ยนะครับ แล้วสอบโอเน็ทก็มีข้อสอบแปลกๆๆเนื้อหาที่แปลกๆๆมาให้สอบอีก เปลี่ยนรูปแแบบการตอบไม่ว่าแต่อยบ่าเอาเนื้อหาอะไรไม่รู้มาออกดิ เครียดแทนคนที่จะAdmissionจริงๆๆ ยังไงก็ขอเอาใจช่วยทุกคนนะครับ จากคุณ : สัญญากับสายน้ำ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 53 10:24:07

ความคิดเห็นที่ 86   ถ้าไม่ยอมรับว่ามีผิด มีพลาด มีปัญหา แล้วจะเดินหน้ากันได้อย่างไร ถ้ามีคนออกมาโวยออกมาร้องว่ามีปัญหา แล้วต้นเหตุเอาแต่ออกมาปกป้องตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้พิจารณาอย่างจริงจังว่า ที่โวยวายมานั้นมีเหตุมีผลหรือไม่ แล้วมันทำให้ดีขึ้นมาได้ไง จากคุณ : river (ริเวอร์) เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 53 21:14:29

ความคิดเห็นที่ 87   มายกมือว่า กำลังจะเรียนจบค่ะ   นั่งดูนั่งทำข้อสอบโอเน็ตปีนี้มาหลายวันแล้ว ยังทำไม่เสร็จเลยค่ะ ขนาดโทรกลับบ้านให้พ่อช่วยทำกันเลยทีเดียว ตอบไม่ได้เยอะมาก ถึงขั้นงงกันเลยว่า เฮ้ย เรื่องนี้ เค้ามีสอนในหลักสูตรด้วยหรอ เฮ้ย เรื่องนี้เคยออกข่าวไหมนะ อ้าวแล้วเรารู้ได้ยังไงละ อ้อ รู้เพราะอ่านนิยาย -*- ถ้างั้น อย่าอ่านมันเลย หนังสือเรียน ไปเข้าห้องสมุด ค้นนิยายล้านแปดเล่มมาอ่านให้หมดดีกว่า แล้วถ้าดูลักษณะโจทย์ เทียบกับเวลาที่ให้ทำข้อสอบแล้ว ไม่สัมพันธ์กันเลยค่ะ แต่ละวิชามี 100 ข้อ ให้เวลา 2 ชม. ตอนแรกฟังก็อืม สมเหตุสมผลนะ ตกข้อละเกือบ 2 นาทีแน่ะ แต่พอมาดูคำสั่ง คุณคะ คำถามที่มีคำตอบ 2 คำตอบเป็นอย่างน้อย ต้องอ่านตัวเลือกกข้อ เพื่อเลือกให้ครบ (ไม่รู้อีกแน่ะว่าข้อนั้นต้องตอบ 2,3 หรือ 4ข้อ) เทียบกับเวลาที่ให้แล้ว ไม่พอหรอกค่ะ ถ้าะเล่นโจทย์แบบนี้ ก็เพิ่มเวลาทำข้อสอบให้เด็กๆด้วยซีคะ ถึงจะสมเหตุสมผล ส่วนตัว คิดว่า คำถามพวกนี้ดีนะคะ "ถ้า" เป็นโจทย์สำหรับข้อสอบวิชาความถนัดเฉพาะด้าน แต่ในกรณีที่เป็นข้อสอบความรู้"พื้นฐาน" เน้นเลยนะคะ "พื้นฐาน" ต้องขอบอกว่า เป็นข้อสอบที่ไร้ซึ่งมาตรฐานจริงๆ หากต้องการทดลอง ก็บอกเด็กๆซีคะ ว่าข้อสอบชุดนี้เป็นชุดทดลองนะ ขอให้ทำเต็มที่ เพื่อวัดผล ถ้าเป็นต่างประเทษ เค้าก็เรียกว่า เป็น moc exam ละค่ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะนอกจากจะวั็ดผลการเรียนการสอนแล้ว เด็กๆยังได้รู้ด้วยว่า ณ เวลานั้น ความรู้ติดหัวอยู่เท่าไหร่ ต้องอ่านหนังสือเพิ่มอีกเ่ท่าไหร่ จึงจะไำด้คะแนนตามที่หวัง แต่ทั้งนี้ ข้อสอบชุดทดลอง และชุดจริง ต้องได้มาตรฐานเดียวกัน และมีระบบการให้คะแนนเหมือนกันด้วยนะคะ ว่าแต่ จนเรียนจะจบแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นเลยว่า หลักสูตรการเรียนการสูตรที่รัฐจัดไว้ มันคืออะไรบ้าง เอ๊ะ เราไม่รู้ เพราะเราไม่ขวนขวายหารึเปล่านะ เพิ่มเติมค่ะ มีคำถามจากการอ่านโจทย์เรื่องท้องนิดหน่อยคือ โรงเรียนในประเทศไทย ยอมรับให้นักเรียนที่มีครอบครัว หรือมีบุตร เข้าเรียนรึเปล่าคะ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 53 23:44:17 จากคุณ : ทะเลหวาน เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 53 23:25:28

ความคิดเห็นที่ 88   ผู้ใหญ่ที่ไม่มีแม้คุณวุฒิด้วยซ้ำ ทำร้ายเด็ก - -" จากคุณ : Medicine Man เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 53 11:12:54

ความคิดเห็นที่ 89   ลองทำดูแล้ว ทำวิชาดนตรีไม่ได้เลย เฮ้อ เราแก่เกินไป หรือ เด็กเดี๋ยวนี้เรียนเยอะเกินไปนะเนี่ย เราจะต้องรู้เรื่องดนตรีเยอะแยะขนาดนั้นทำไมนะ เรียนจนจะจบแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจำเป็นในชีวิตเลย อ้้อ ลืมบอกเรารุ่นเดียวกะ จขกท เลย (แต่เราเรียนคณะที่เรียน 6 ปีนะ ) ข้อรดน้ำต้นไม้จำแม่นมาก แล้วจำได้ว่า อ.ปิง เฉลยผิดด้วย ตลกดีอ่ะ ข้อสอบประเทศไทย พอเข้ามาเรียนมหาลัย แล้วจะรู้เองแหละว่าที่เราเรียนมา ตลอดประถม มัธยม มันอาจจะไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ข้อที่ถามว่า โรคใดที่มักทำให้เยื่อหุ้ทสมองอักเสบ ตอบได้มากกว่า 1 ข้อแน่ๆ ข้อที่ถามโรคหูน้ำหนวก เกิดได้จากเชื้อราและแบคทีเรีย หรือไวรัสบางตัวก็อาจทำให้เกิดได้ แต่ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องไวรัสนะ แต่ข้อสอบก็ไม่มี แบคทีเรียและเชื้อราอยู่ดี ตลกดีเนอะ แต่เด็กๆไม่รู้ เฉลยผิดก็ไม่เป็นไรมั๊ง 555 จากคุณ : vet life (vet life) เขียนเมื่อ : 14 มี.ค. 53 12:16:58