ความคิดเห็นที่ 1 "...พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖  ทรงโปรดเกล้าฯให้ย้ายเมืองดุสิตธานีมาตั้งบริเวณสวนหลังหมู่พระที่นั่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๒ ไร่ครึ่ง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆในธานีมีขนาดสูง ๒-๓ ฟุต ประกอบด้วย บ้านเรือนเอกชนพระราชวัง ศาสนสถาน และอนุสาวรีย์ สถานที่ราชการโรงทหาร ร้านค้า โรงพยาบาล ตลาด โรงแรม ธนาคาร สถานประกอบธุรกิจต่าง ๆ ทั้งมีถนนหนทางร่มรื่น แม่น้ำคูคลอง มีทั้งสวนสาธารณะ ชุ่มชื่นด้วยน้ำพุ และน้ำตก อีกทั้งกองดับเพลิง และ บริษัทไฟฟ้า ในเมืองดุสิตธานีมีงานรื่นเริงและงานพิธีเป็นประจำ อีกทั้งการแข่งเรือในแม่น้ำเกือบทุกคืน เวลาที่นี่กำหนดมาตรา ๑ ต่อ ๑๒ คือหนึ่งเดือนเท่ากับ ๑ ปีสากล..." ที่มา http://www.phyathaipalace.org/main/index.php/2009-02-17-07-00-54 จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:14:52

ความคิดเห็นที่ 2 มาดูสิ่งปลูกสร้างสำคัญๆกันบ้าง พระราชวังพระวัชรินทร์ราชนิเวศน์ ริมลำน้ำดุสิต          กลุ่มอาคารที่มีความสำคัญอันดับ ๑ ก็คือพระราชวังที่มีชื่อว่า พระราชวัชรินทร์ราชนิเวศน์ นั่นเอง ส่วนใหญ่จำลองมาจากพระบรมมหาราชวังที่กรุงเทพฯ ในภาพนี้จะเห็นพระราชวัง มองจากทิศพายัพ เห็นกำแพงพระราชวังพระทวาร ป้อมและพระที่นั่งต่าง ๆ มีกลุ่มพระมหาปราสาทเห็นในระยะไกล ส่วนพระที่นั่งองค์ใกล้ คือพระที่นั่งสุทไธสูรย์ปราสาท ภาพนี้ถ่ายจากถนนราชดำเนิน เห็นลำน้ำดุสิต ถนนริมกำแพงพระราชวัง คือถนนหน้าพระลาน และที่เลี้ยวไปทางขวาคือถนนเขื่อนเพชร ป้อมใหญ่ที่เห็นคือป้อมคงเขื่อนเพชร พระทวารทั้งสองที่แลเห็นคือ ประตูกุเวรรังสรรค์และประตูเวสสะวัณรังสฤษฏ์ ที่มา http://www.krama6.su.ac.th/tour/tour04.htm แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 10:24:38 จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:17:08

ความคิดเห็นที่ 3 มีคลองกั้นด้วยระหว่างอะเภอดุสิตและอำเภอปากน้ำ จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:19:42

ความคิดเห็นที่ 4 พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท     พระที่นั่งองค์ใหญ่ที่คล้ายพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังนี้คือ พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท ขอให้ท่านผู้มีเกียรติสังเกตความประณีตของสถาปัตยกรรมด้วย พระที่นั่งองค์ข้างซ้ายมือ คือพระที่นั่งบรมราชพิมาน คล้ายกับว่าจะแทนพระที่นั่งพิมานรัถยาในพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งองค์เล็กบนกำแพงแก้วทางซ้ายมือ คือพระที่นั่งอาภรณ์พิรายุธสร้างตามแบบพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ ที่ข้างพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนั้นเอง ส่วนอาคารเล็กทางขวามือนั้น คือ ศาลท้าวหิรันยพนาสูร ที่มา http://www.krama6.su.ac.th/tour/tour06.htm จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:21:19

ความคิดเห็นที่ 5 พระตำหนักเฟด์รายานี          ทางด้านบูรพา มีอาคารทรงอินเดีย มีนามว่าพระตำหนักเฟด์รายานีมีน้ำพุเป็นแถวอยู่เบื้อง หน้า คล้ายกับว่าจะล้อทาชมาฮาลที่เมืองอัครา “พระตำหนักแบบแขกดูแปลกดี ชื่อเฟด์รายานีดีนักหนา หน้าตำหนักมีพุพุ่งธารา เป็นเทือกแถวแววตาแสนน่าชม” ที่มา http://www.krama6.su.ac.th/tour/tour14.htm .................................... มีน้ำพุด้วย!! จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:22:54

ความคิดเห็นที่ 6 หอนาฬิกา ในอำเภอดุสิต          ภาพหอนาฬิกา ตั้งอยู่ที่ริมลำน้ำดุสิต ตรงสุดเขตวัดธรรมาธิปไตย ด้าน ถนน ๒๒ กรกฎาคม ไม่ห่างศาลมณฑล หอนาฬิกาแบบนี้ที่กรุงเทพฯ หามีไม่ ที่มา http://www.krama6.su.ac.th/tour/tour20.htm จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:24:07

ความคิดเห็นที่ 7 บ้านคหบดี ในอำเภอเขาหลวง          เข้าใจว่าบ้านนี้คือ “บ้านมาลากุล” ของเจ้าพระยาธรรมธิกรณาธิบดี อยู่ที่ถนน พายวาสตร์          การวางผังถนนในอำเภอเขาหลวงนี้น่าสนใจมาก ถนนสายใหญ่ ๕ สาย คล้ายกับนิ้วมือ ๕ นิ้ว ถ้าท่านวางมือซ้ายของท่านคว่ำลง หันหน้าไปทางทิศใต้ หัวแม่มือก็คือถนนวารุณาสตร์ นิ้วชี้คือ ถนนอาคเณยาสตร์นิ้วกลางคือถนนพายวาสตร์ นิ้วนางคือถนนพรหมาสตร์ และนิ้วก้อยคือถนนเอนทราสตร์ ซึ่งพุ่งตรงเข้าไปในเขตตำบลบางไทร ทางด้านใต้สุดมีถนนชื่อเข้าชุดเดียวกัน คือ ถนนมายาสตร์ ท่านทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นเยาวชน ท่านอาจค้นคว้าดูว่าชื่อเหล่านี้มาจากอะไร ที่ไหน “จึงชักพายวาสตร์ขึ้นพาดสาย พระเนตรหมายเขม้นเข่นฆ่า ฯลฯ          ในอำเภอนี้ยังมีถนนสายอื่นอีก ท่านทั้งหลายก็คงจะทราบแล้วว่าพระนารายณ์สี่กร ทรงถือ คฑา จักร สังข์ ธรณี เราก็มีถนน ธนูศักดิ์ จักรขลัง, สังข์สง่า, คฑาศรี และธรณีสวัสดิ์ เรียงลำดับกันมาจากใต้ไปหาเหนือ เช่นเดียวกับ 1st Street, 2nd Street, 3rd Street ฯลฯ ในนคร New York ที่มา http://www.krama6.su.ac.th/tour/tour33.htm จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:26:23

ความคิดเห็นที่ 8 อันนี้บ้านบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ค่ะ เก็บไว้ที่พระราชวังพญาไท จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:30:00

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ จากคุณ : จ้องจนปวด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:30:04

ความคิดเห็นที่ 10 คห 8 และ 10 ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=418265 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 12:20:11 จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:30:54

ความคิดเห็นที่ 11 บางส่วนเก็บไว้ที่ หอวชิราวุธานุสรณ์               ดุสิตธานี  เป็นเมืองจำลองเล็กๆ สร้างขึ้นแห่งแรกในพระราชวังดุสิต  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  มีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ครึ่ง  มีลักษณะเกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม  ทางด้านใต้ติดพระที่นั่งอุดร  ทางด้านเหนือติดอ่างหยกเฉพาะบ้านทั้งหมดมีจำนวนประมาณสามร้อยกว่าหลัง  ถ้านับตัวอาคารด้วยก็ประมาณ ๑,๐๐๐ หลัง  ประกอบด้วยปราสาทราชวัง  วัด  สถานที่ราชการ  โรงทหาร  โรงเรียน  โรงพยาบาล  ตลาด  ร้านค้า  ธนาคาร  โรงละคร  โรงภาพยนต์  สโมสรบริษัท  สำนักงาน  ที่ขาดไปคือมหาวิทยาลัย  ปั๊มน้ำมัน  และสถานโบว์ลิ่ง  เท่านั้น  อาคารเหล่านี้มีขนาดย่อส่วนเท่ากับ  หนึ่งในยี่สิบส่วนของของจริง  คือมีขนาดโตกว่าศาลพระภูมิเพียงเล็กน้อย  สร้างขึ้นด้วยฝีมือประณีต  ทาสีและฉลุสลักลวดลายอย่างวิจิตร  มีไฟฟ้าติดสว่างทุกบ้าน  มีถนนเชื่อมเหมือนของจริง  ปลูกต้นไม้เล็กๆ ร่มรื่นทั้งสองข้างทาง                ผู้ที่ปลูกบ้านอยู่ในดุสิตธานี  เรียกว่า  ทวยนาครของดุสิตธานี  เป็นบรรดามหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิด  ซึ่งมีทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์  ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าเป็นอย่างสูง  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ชื่อว่า  ท่านราม ณ กรุงเทพ  มีอาชีพเป็นทนายความ               การปลูกบ้านในดุสิตธานีนั้น ผู้ปลูกจะต้องยื่นเรื่องราวขอซื้อที่ดินสำหรับแต่ละหลังซึ่งมีขนาดประมาณ ๑ ตารางเมตร  เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงจะดำเนินการได้  และเนื่องจากบ้านแต่ละหลังมีราคาแพง  จึงมีห้องแถวให้เช่าสำหรับผู้ไม่มีเงินสร้าง  ซึ่งเจ้าของบ้านทุกคนจะต้องคอยดูแลบ้านของตนให้สะอาดเรียบร้อย    มีการบริการด้านสาธารณูปโภค    มีพนักงานชาวที่คอยดูแลตรวจตรา เจ้าของบ้านจะต้องเสียค่าน้ำ  ค่าไฟ  ชึ่งผู้เก็บเงินเป็นเสมียนของท่านราม  เงินที่เก็บได้จะนำมาใช้ในการบำรุงดุสิตธานี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสะพาน ถนนหนทาง เงินที่เหลือส่งไปบำรุงราชนาวี และสร้างเรือรบพระร่วง                ดุสิตธานีมีพรรคการเมืองสองพรรค  คือ  พรรคแพรแถบสีน้ำเงินและพรรคแพรแถบสีแดง  การเลือกตั้งดำเนินการตาม  ธรรมนูญลักษณะการปกครองคณะนคราภิบาล(ดุสิตธานี) พระพุทธศักราช ๒๔๖๑  ซึ่งมี ๕๑ มาตรา  และมีการแก้ไขเพิ่มเติม ๒ ครั้ง  วิธีการสำคัญที่ทรงกระทำคือ  การปูพื้นฐานทางการเมืองให้แก่ประชาชน  โดยผ่านกระบวนการของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล  ซึ่งเป็นการบริหารแบบประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนในท้องถิ่นนั้น  จึงทรงรื้อฟื้นการทดลอง  ปกครองในรูปแบบเทศบาลหรือที่ทรงเรียกว่า นครภิบาล  โดยทรงจัดตั้งเมืองจำลอง ดุสิตธานี ณ บริเวณรอบๆ พระที่นั่งอุดรในพระราชวังดุสิต  สมมติให้ดุสิตธานีมีฐานะเป็นมณฑลหนึ่งในราชอาณาจักรสยามชื่อว่า มณฑลดุสิต  มีหม่อมเจ้าปราณีเนาวบุตร์  ทรงดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล  ทำหน้าที่ว่าราชการมณฑล  ซึ่งอาจเทียบได้กับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน     เป็นหัวหน้าดำเนินการปกครองโดยทั่วไป      และเลือกเชษฐบุรุษสำหรับทุกๆ อำเภอ  มีการเลือกตั้งและเสียภาษีอากรทุกเดือน  เพราะทรงกำหนดให้นับเวลา ๑ เดือนในดุสิตธานีเท่ากับ ๑ ปี  จัดการทำนุบำรุงด้านสุขาภิบาลและการป้องกันโรคภัย  จัดการเก็บภาษีที่ดิน  สนับสนุนให้มีการออกหนังสือพิมพ์      สนับสนุนการตั้งพรรคการเมือง  จัดตั้งธนาคาร  เรียกว่า ดุสิตธนาคาร ขึ้น จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:36:39

ความคิดเห็นที่ 12 หนังสือพิมพ์ที่ออกในดุสิตธานีมีอยู่ ๓ ฉบับคือ  ดุสิตสมัย  เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน  ดุสิตสักขี  เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นดุสิตรีคอร์ดเดอร์) และดุสิตสมิต  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจัดทำเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ออกทุกวันเสาร์                เรื่องของเมืองดุสิตธานี  เป็นพระราชเจตนาของพระองค์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะสร้างประชาธิปไตยไว้เป็นบันทัดฐานของชาติ และทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะพระราชทาน    รัฐธรรมนูญให้ในโอกาสต่อมา ดุสิตธานีและสลายตัวไป  เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘                อาคารจำลองดุสิตธานี         ปัจจุบันหลังที่อยู่งานพระบรมราชะประทรรศนีย์  ห้อง ๑๑    ชั้น ๓ หอวชิราวุธานุสรณ์   มี ๒ หลังดังนี้                พระที่นั่งลักษมีวิลาส(พระที่นั่งแขก)  ตั้งตามพระนาม  พระนางเธอลักษมีลาวัณ  เป็นพระที่นั่งในพระวัชรินทราชนิเวศน์  ตำบลดุสิต  ในบริเวณพระราชวังดุสิต                วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม   มีลักษณะเป็นทรงไทย     เริ่มสร้างปลายสมัยรัชกาลที่ ๔   เป็นวัดฝ่ายธรรมยุติ      ในพระพุทธอาสน์ของพระประธานได้บรรจุพระบรมอัฐิส่วนหนึ่งของรัชกาลที่ ๔ ไว้ด้วย  ปูชนียวัตถุที่สำคัญได้แก่  พระพุทธสิงห์ปฏิมากร  พระพุทธสิหิงค์จำลอง  พระพุทธชินสีห์จำลอง  พระพุทธนิรันตรายและรูปปั้นสมเด็จพระสังฆราช(สา)  นอกจากนั้นยังมีจิตรกรรมฝาผนังของพระพุทธพระวิหารหลวง  เป็นภาพเขียนด้วยสีฝุ่นที่มีความงดงามเป็นเลิศ  จำลองจากวัดราชประดิษฐ์ฯ  ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนราชินี  แขวงบรมมหาราชวัง  เขตพระนคร                ส่วนอาคารจำลองอื่นๆ         มีให้ชมที่ชั้น ๔    ของหอวชิราวุธานุสรณ์          ที่งานพระบรมราชะประทรรศนีย์  หรือ  นิทรรศการหุ่นใยแก้วของรัชกาลที่๖  ซึ่งเป็นนิทรรศการประกอบด้วยหุ่นใยแก้วจำนวน ๑๒ ห้อง พร้อมคำบรรยายสรุปพระราชกรณียกิจ ที่สำคัญด้วยสไลด์มัลติวิชั่น  เปิดให้เข้าชมในวันเวลาราชการ วันละ ๖ รอบ ช่วงเช้าเวลา ๙.๓๐ น., ๑๐.๓๐ น. และ ๑๑.๓๐ น.  ช่วงบ่าย  เวลา  ๑๓.๓๐ น., ๑๔.๓๐ น. และ ๑๕.๓๐ น.  ใช้เวลาเข้าชมรอบละประมาณ ๔๐ นาที  ซื้อตั๋วได้ที่ชั้น ๒ ของอาคาร   ค่าตั๋วสำหรับนักเรียน  นักศึกษา เด็กราคา ๑๐ บาท    ผู้ใหญ่ ๒๐ บาท ที่มา http://www.nlt.go.th/vajiravudh/hp1-5.html ......................................... แผนที่ค่ะ สำหรับท่านที่อยากไปชมเมืองจำลองแห่งนี้ จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:38:13

ความคิดเห็นที่ 13 ธรรมนูญการปกครองเมืองดุสิตธานี               เมืองดุสิตธานี ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๑ นั้น         มีประชาชนของเมืองที่เรียกว่า ทวยนาคร คือผู้มีบ้านเรือนจดทะเบียนอยู่ในเขตต่างๆของเมือง         มี รัฐบาลที่เรียกว่า คณะนคราภิบาล         มีหัวหน้ารัฐบาล เรียกว่า นคราภิบาล และที่สำคัญได้ทรงประสาท “ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาล “เป็นสัญลักษณ์ของเมือง        ซึ่งทรงมีพระราชปรารภ เมื่อทรงประสาทธรรมนูญฯ นี้ตอนหนึ่งว่า        “ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาลนี้ เป็นกำหนดอำนาจอันพระราชทานด่ชาวดุสิตธานี ให้มีเสียงแลโอกาสแสดงความเห็นในวิธีจัดการปกครองตนเองในกิจการบางอย่าง” และในตอนท้ายพระราชปรารภว่า         “บัดนี้การตั้งพระราชธานี นับว่าจวนสำเร็จแล้ว ตามพระราชประสงค์สพรั่งพร้อมด้วยเคหะสถานและที่ทำการประกอบอาชีพต่างๆ สมควรจะมีธรรมนูญจัดการนคราภิบาลขึ้นไว้ เพื่อความไพศาลแห่งนคร จึงมีพระราชปกาสิตประสาทธรรมนูญจัดเป็นบทมาตราต่างๆ...”         ธรรมนูญการปกครองฯนี้ แรกทีเดียวมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ หมวด ๕๑ มาตรา         ขอยกเพียงหมวดและมาตราที่สำคัญคือ หมวดที่ ๑         มาตรา ๑ ให้เรียกบทบัญญัตินี้ว่า ธรรมนูญลักษณปกครองคณะนคราภิบาล ดุสิตธา พระพุทธศักราช ๒๔๖๑         มาตรา ๒ ธรรมนูญนี้ให้ใช้ทั่วไปใน จังหวัดดุสิตธานี ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป         มาตรา ๓ บรรดากำหนดกฎข้อบังคับแต่ก่อนบทใดขัดต่อข้อความในธรรมนูญนี้ให้ยกเลิกเสีย ใช้ธรรมนูญนี้แทนสืบไป ...ฯลฯ...ฯลฯ... หมวดที่ ๒         มาตรา ๖ คำว่า ‘นคราภิบาล’ นั้น ท่านให้เข้าใจว่า ผู้ซึ่งราษฎรในจังหวัดดุสิตธานี ผู้มีสิทธิตามธรรมนูญนี้ จะเลือกได้ ได้พร้อมใจกันเลือกตั้งขึ้น เป็นผู้ปกครอง ชั่วปีหนึ่งๆโดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุมัติ ...ฯลฯ...ฯลฯ... หมวดที่ ๓         มาตรา ๘ ผู้ที่เป็นนคราภิบาลนั้น ท่านกำหนดอายุให้เป็นได้ชั่วปีเดียว เมื่อถึงกำหนดจะสิ้นปี ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ทุกปี         มาตรา ๙ ผู้ที่เป็นนคราภิบาลมาปี ๑ แล้วจะรับเลือกให้เป็นนคราภิบาลอีก ๑ ปีติดๆกันไม่ได้ หมวดที่ ๔ ว่าด้วยอำนาจแลหน้าที่ของนคราภิบาล         มาตรา ๒๑ เมื่อผู้ใดได้เป็นนคราภิบาลแล้ว ผู้นั้นมีอำนาจตามตามพระธรรมนูญนี้ทันที ในการที่จะเลือกตั้งคณะนคราภิบาล คือเจ้าหน้าที่ต่างๆ เช่นเจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานโยธา นายแพทย์สุขาภิบาล ผู้รักษาความสะดวกของมหาชน (Inspector of Nuisances) เป็นต้น         คือแรกเริ่มให้นคราภิบาล (หรือหัวหน้ารัฐบาล) ซึ่งราษฎร (ทวยนาคร) เลือกตั้งโดยตรง มีอำนาจเลือกคณะนคราภิบาล (เทียบกับรัฐมนตรี นั่นเอง) ได้เอง         ทว่าต่อมาอีกเดือนเดียว ก็โปรดเกล้าฯให้มีพระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขธรรมนูญลักษณะการปกครองฯฉบับเดิม เพิ่มเติมแก้ไขขึ้นอีก ๔ หมวด ๒๒ มาตรา กำหนดให้มี เชษฐบุรุษ เป็นผู้แทนของทวยนาครในอำเภอนั้นๆ (คือเปรียบได้กับผู้แทนราษฎรในปัจจุบันนั่นเอง)         พระราชกำหนดเพิ่มเติมนี้ มีหมวดว่าด้วยตำแหน่ง และวิธีการเลือกไว้ในธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯ หมวดที่ ๒ ตามมาตราดังนี้ หมวดที่ ๒         มาตรา ๕ เชษฐบุรุษนั้นให้ทวยนาครที่เป็นเจ้าบ้านสมมติและเลือกคหบดีนายบ้านผู้มีอายุเป็นที่นับถือ ในเขตอำเภอที่ตนตั้งบ้านเรือนอยู่นั้นอำเภอละคน เพื่อเป็นผู้แทนทวยนาครในอำเภอนั้น เข้าไปนั่งในสภากรรมการนคราภิบาล นอกจากนี้ยังกำหนดไว้ในมาตรา ๑๙ หมวดที่ ๓ ธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฯนี้อีกว่า ผู้ที่จะรับสมมติเป็นนคราภิบาล (หัวหน้ารัฐบาล) ต้องเป็นเชษฐบุรุษอยู่แล้วด้วย คือยกเลิกจากการที่ให้ทวยนาคร หรือประชาชนเลือกนคราภิบาลโดยตรง เป็นให้เลือกเชษฐบุรุษก่อน แล้วให้เชษฐบุรุษเลือกนคราภิบาล นคราภิบาลตั้งคณะนคราภิบาล โดยมีบรรดาเชษฐบุรุษ ผู้แทนราษฎร?) นั่งอยู่ในสภากรรมการนคราภิบาล จะเห็นได้ว่า “ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลดุสิตธานี” ว่าไปแล้วก็คงจะเป็นต้นเค้าของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ที่คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองช่วยกันร่างขึ้น แล้วขอพรราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง         ‘เวียงวัง’ ตอนนี้ เล่าเรื่อง ‘ธรรมนูญลักษณะปกครองฯ’ ของเมืองดุสิตธานี ซึ่งออกจะเป็นเรื่องค่อนข้างหนัก จึงเล่าแต่เพียงสั้นๆ เพราะอาจหาเรื่องราวโดยละเอียดอ่านได้ไม่ยากนัก ขอบรรยายด้วยภาพหลายๆภาพ อันเกี่ยวกับ ‘ธรรมนูญฯ’ เมืองดุสิตธานี และ ‘รัฐธรรมนูญ’ ของประเทศไทย ในเวลาอีก ๑๔ ปีต่อมา ที่มา ธรรมนูญการปกครองเมืองดุสิตธานี โดย  จุลลดา ภักดีภูมินทร์ ฉบับที่ 2707 ปีที่  52 ประจำวัน  อังคาร ที่  5 กันยายน  2549 http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=4978&stissueid=2707&stcolcatid=2&stauthorid=13 จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:40:35

ความคิดเห็นที่ 14 จบแล้วคร่าาาาาา ไม่รู้มีใครคิดเหมือนเราตอนเด็กๆบ้างรึเปล่านะ 55555555555 แล้วสรุปทำไมสุดท้ายดุสิตธานีถึงทำไม่สำเร็จหล่ะคะ เท่าที่อ่านเขาบอกว่าพอสิ้นรัชกาลที่ 6 เมืองก็ไม่ได้รับการทำนุบำรุงต่อ แล้วการทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย ในเมืองดุสิตธานี ได้ผลลัพภ์จริงๆเป็นอย่างไรคะ จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 10:46:36

ความคิดเห็นที่ 15 การย่อส่วนของเมืองดุสิตธานี นี้ถือเป็นเมืองตุ๊กตาแห่งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เมื่อสิ้นรัชกาล เมืองก็ไม่ได้รับการบูรณะต่อ ทำให้เมืองจำลองเมนดูรอนดัม ที่เมืองเนเธอร์แลนด์ประกาศว่า เป็นเมืองตุ๊กตาที่มีมาก่อนใครทั้งสิ้น มาต่อกันที่การจำลองเมืองดุสิตธานี มีการจำลองย่อส่วนลงทั้งมิติแห่งสิ่งก่อสร้างและมิติแห่งกาลเวลา คือ มิติแห่งสถานที่ และสิ่งก่อสร้างจะย่อส่วนให้เล็กลง ๑ ใน ๒๐ ส่วนของจริง มิติแห่งกาลเวลา คือ ย่อเวลาให้เหลือ ๑ ใน ๑๒ ของปี (๑ ปีของดุสิตธานี = ๑ เดือน) พื้นที่ของเมืองมีขนาดประมาณ ๒ ไร่ ครึ่ง มีการสร้างคูน้ำ ประตูน้ำ แม่น้ำ ฝายน้ำ เขื่อน ปรับปรุงสวน บ้านเรือน อนุสาวรีย์ และการประกวดกันอีกด้วย ภาพนี้ถ่ายจากเครื่องบิน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ มุมสูงพระราชวังพญาไท และเห็นเมืองดุสิตธานี ตั้งอยู่หลังสวนโรมัน ด้านขวาบน จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 11:05:34

ความคิดเห็นที่ 16 นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ยังทรงโปรดเกล้าให้ออกหนังสือพิมพ์ ตามที่กล่าวมาข้างต้น จึงจะขอให้ชมใบเสร็จรับเงิน การรับหนังสือพิมพ์ดุสิตสมัย ประจำเดือน กรกฎาคม ๒๔๖๒ จำนวน ๕ บาท พร้อมติดแสตมป์ที่พิมพ์เฉพาะเมืองดุสิตธานี สีฟ้าอ่อนด้วย จากคุณ : หนุ่มรัตนะ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 11:10:45

ความคิดเห็นที่ 17 ผมก็เข้าใจมาตลอดว่าคือหมู่บ้านจำลองจริงๆ มีคนอยู่จริงๆ แบบนี้ ผมว่าการศึกษาไทยมีปัญหาพอควรแฮะ จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 11:35:10

ความคิดเห็นที่ 18 เวรกรรม เราก็นึกว่าเป็นหมู่บ้านจริงๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อนำร่องระบอบประชาธิปไตยซะอีก สรุปว่าปัญญาเรามีปัญหา หรือระบบการศึกษาไทยมีปัญหาหว่า แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 11:42:29 จากคุณ : Guga เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 11:41:45

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่สำเร็จ ไม่ได้ดำเนินต่อเพราะมาเจอคณะราชย์ปฏิวัติก่อนรึป่าว ทุกอย่างจึงชะงักงันไป จากคุณ : อาซิ่ม เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 11:54:11

ความคิดเห็นที่ 20 ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่ได้ไปเที่ยววังพญาไท เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคต บ้านเหล่านี้ก็กลับคืนสู่ผู้เป็นเจ้าของ เวลาผ่านไปลูกหลานบางคนก็นำไปถวายวัด ซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้หลายชิ้น แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 11:22:16 จากคุณ : VET53 เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 12:36:03

ความคิดเห็นที่ 21 ในสี่แผ่นดิน เล่ม 2 หน้า 524  (พิมพ์ครั้งที่ 14) ก็บอกว่าเป็น เมืองดุสิตธานี เป็น บ้านตุ๊กตาครับ ตอนที่คุณพลอยพูดกับคุณเปรม เรื่องลูก ๆ ไปเรียนเมืองนอก คุณเปรมพูด "....อย่างเรื่องเมืองดุสิตธานีที่วังพญาไทนั้น คนที่ไม่รู้ก็พูดกันเองง่าย  ๆ ว่า  ในหลวงท่านเล่น บ้านตุ๊กตาเหมือนเด็ก ๆ                   แต่พวกเราที่อยู่ใกล้ชิดรู้ดี  ว่าท่านมีพระประสงค์จะสอนให้คนรู้ถึงเรื่องการปกครองที่เขาทำกันที่เมืองนอก" จากคุณ : วังเหนือ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:24:04

ความคิดเห็นที่ 22 ดุสิตธานีดั้งเดิม อยู่ที่พระราชวังดุสิต ส่วนดุสิตธานีที่อยู่พระราชวังพญาไทนั้นเป็นแห่งที่สอง ดังที่เห็นจากใน #15 ที่คุณหนุ่มรัตนะกรุณานำภาพถ่ายทางอากาศมาให้ดู ผมมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง "ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตย ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" เรียบเรียงโดย จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ตามมติของคณะกรรมการสัมมนาเรื่องดุสิตธานี จัดพิมพ์โดย หอสมุดแห่งชาติ เนื่องในงานพระบรมราชานุสรณ์ 10-12 พฤศจิกายน 2513 มีภาพของดุสิตธานีเดิมอยู่หลายภาพ แม้จะมีอยู่ในเว็บไซท์ที่อ้างอิงแต่ขนาดเล็กเพราะข้อจำกัดของเว็บไซท์ ผมก็เลยขออนุญาตแจม เอาภาพในหนังสือเล่มนั้นมาให้ดูเพื่อท่านทีสนใจในประวัติศาสตร์ จะได้เห็นชัดเจนขึ้น ภาพแรกเป็นแผนที่ของดุสิตธานี เขียนโดยพระยาอนุชิตชาญชัย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:28:17

ความคิดเห็นที่ 23 ภาพที่ 2 เป็นภาพของพระตำหนักอุดมวนาภรณ์ คำอธิบายประกอบภาพมีอยู่แล้ว ผมคงบรรยายไม่ถูกเพราะไม่เคยเห็น แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 53 13:33:09 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:32:05

ความคิดเห็นที่ 24 บ้านผูกใจ ของ ท่านราม ณ กรุงเทพ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:34:53

ความคิดเห็นที่ 25 บึงพระราม จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:36:35

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพนี้เป็นโรงแรมเมโตรโปล ผมสแกนคำบรรยายมาได้ไม่หมด ตรงที่ขาดหายไปนั้นอ่านว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ ท่านราม ณ กรุงเทพ ใช้เป็นสถานที่เลือกตั้ง" จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:41:47

ความคิดเห็นที่ 27 ทิวทัศน์ดุสิตธานี จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:51:40

ความคิดเห็นที่ 28 บ้านคหบดี จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 13:54:24

ความคิดเห็นที่ 29 บ้านคหบดีอีกหลังหนึ่ง ผมสแกนมาและย่อภาพลงมาพอให้เอามาโพสท์ได้ แต่ไม่ได้ย่อภาพให้เล็กกว่านี้ด้วยเหตุผลว่าต้องการคงรายละเอียดของภาพให้เหลือมากที่สุดสำหรับท่านที่ต้องการดูให้ชัดเจน ไม่ใช่เห็นแต่ภาพเล็กๆอย่างที่ย่อลงเว็บไซท์ ขออภัยสำหรับท่านบางท่านที่อาจต้อง scroll ดูภาพ ยังมีอีกหลายภาพแต่ว่ายังไม่มีเวลาดำเนินกรรมวิธีครับ เอาไว้เย็นๆจะแวะมาโพสท์ใหม่ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 14:01:36

ความคิดเห็นที่ 30 โอ้โฮ! ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Guga เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 14:31:29

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากครับ ตอนอ่านสี่แผ่นดิน ผมไม่คิดว่าเป็นบ้านตุ๊กตาจริงๆ จากคุณ : ว่างจัง เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 15:44:49

ความคิดเห็นที่ 32 รือนหลังน้อยในความเห็นที่ ๘ นั้น  ชื่อบ้าน "มหิธร"  เป็นบ้านของเจ้าพระยามหิธร (ลออ  ไกรฤกษ์) อดีตอธิบดีศาลฎีกา  ต่อย้ายโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปเป็นราชเลขาธิการซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าเสนาบดี  ต่อมาเรือนนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา  มาลากุล ธิดาคนหนึ่งของท่าน  และเมื่อหม่อมหลวงปิ่นและท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา  สิ้นบุญไปแล้ว  เนื่องจากท่านทั้งสองไม่มีผู้สืบสกุล  ผมจึงได้ขอเรือนหลังนี้จากทายาทของท่านผู้หญิง คือ คุณหญิงชฎา  วัฒนศิริธรรมไปไว้ที่พระราชวังพญาไท  ส่วนอาคารอื่นๆ ที่จัดแสดงไว้ที่หอวชิราวุธานุสรณ์นั้น  เดิมเป็นซากอาคารเก่าของจริงจากดุสิตธานี  ที่หม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล ท่านตามไปเก็บซากมาจากที่ต่างๆ  แล้วมอบให้ฝ่ายช่างสิบหมู่  กองหัตถศิลป์  กรมศิลปากร บูรณะขึ้นมาใหม่ให้คงรูปเดิม  เมื่อหม่อมหลวงปิ่นถึงอสัญกรรมนั้นการจัดพระบรมราชะประทรรศนีย์ (พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ่ง) รัชกาลที่ ๖ เพิ่งแล้วเสร็จ  ยังไม่มีสถานที่จัดแสดงดุสิตธานีที่ซ่อมเสร็จ  ดร.โกวิท  วรพิพัฒน์ และคุณหญิงสุชาดา  ถิระวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้รับงานต่อจากหม่อมหลวงปิ่นจึงได้มบหมายให้ผมรับผิดชอบจัดพื้นที่หอวชิราวุธานุสรณ์ชั้นที่ ๔ เป็นสถานที่จัดแสดงดุสิตธานี  และด้วยความรักและความสนใจของคุณพงษ์ศิริ  บางสุขเสริม นายช่างจากฝ่ายช่างสิบหมู่  ได้ช่วยเนรมิตภูมิทัศน์จำลองขึ้นมาแล้วนำดุสิตธานีที่บูรณะเสร็จแล้วมาจัดแสดงดังที่เห็นในภาพนั่นแหละครับ   สำหรับท่านที่สนใจเรื่องดุสิตธานีมีหนังสือ ดุสิตธานีเมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำหน่ายที่หอวชิราวุธานุสรณ์  เป็นหนังสือรวบรวมคำอภิปรายของข้าราชบริพารที่เคยเป็นทวยนาคาร (พลเมือง) ของดุสิตธานีพร้อมภาพถ่ายกว่า ๕๐ ภาพ ราคาเล่มละ ๑๐๐ บาท  หนังสือจวนหมดแล้วนะครับ  แต่ถ้าอยากทราบถึงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในรัชกาลที่ ๖ ในภาพกว้างซึ่งรวมถึงพระราชดำริในการจัดทดลองประชาธิปไตยที่ดุสิตธานี  ก็ขอแนะนำหนังสือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้ากรุงสยาม  ของวรชาติ มีชูบท  มีจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไปทั้งซีเอ็ด  นายอินทร์  เล่มละ ๒๓๐ บาท  เล่มนี้ได้ข่าวว่า กำลังจะพิมพ์ครั้งที่ ๒ แล้วครับ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 16:44:04

ความคิดเห็นที่ 33 สุดยอดกระทู้ แต่กิ๊ฟหมดอะ -นึกถึงเกม SimCity แฮะ (^_^) แนวคิดพระองค์ท่านล้ำมากเลย -งานก็ปราณีตมากเลย ถ้าปัจจุบันจะสร้างเลียนแบบขึ้นมาจะราคาเท่าไหร่นะ? -นึกว่าเป็นหมู่บ้านที่มีคนจริงๆอยู่เหมือนกัน เพราะหนังสือเรียนเรากล่าวแค่ว่า "ทรงสร้างเมืองดุสิตธานีขึ้นเพื่อทดลองระบบประชาธิปไตย"...จบแค่นี้จริงๆ จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 17:52:33

ความคิดเห็นที่ 34 เช่นกัน เราคิดว่า เป็นเมืองจำลอง ที่มีคนจริงๆ อยู่ และใช้ทดลองระบบประชาธิปไตยจากคนจริงๆ ไม่รู้ว่าหนังสือเรียนของนักเรียนสมัยนี้เค้าจะขยายความให้เด็กเข้าใจมากกว่ายุคเราหรือเปล่านะ จากคุณ : วันนี้อากาศดีนะคะ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 18:11:44

ความคิดเห็นที่ 35 สวยมากเลยค่ะ จากคุณ : Natthanuch1 เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 18:29:35

ความคิดเห็นที่ 36 กระทู้นี้ดีจังเลย สมัยเรียน เราเข้าใจว่าเป็นเมืองตุ๊กตา ก็เคยงงๆ ตอนที่ครูบอกว่ามีการซื้อขายที่ดิน ...ยังเคยสงสัยเลยว่า "ซื้อที่เพื่อบ้านตุ๊กตาเนี่ยนะ??" แหะๆ จากคุณ : แพนด้ามหาภัย เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 18:48:22

ความคิดเห็นที่ 37 นึกว่าเมืองจำลองจริงๆด้วยคนครับ ^ ^ ว่าแต่ใหญ่มากกว่าที่จินตนาการไว้มากเลยครับ จากคุณ : หัวหอมบานฉ่ำ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 19:17:55

ความคิดเห็นที่ 38 นั่นประไร ตัวจริงเสียงจริงเจ้าของหนังสือมาแล้ว ใครอยากได้ตามท่านอาจารย์ ว.มี ไปเลยนะครับ เหลือน้อยเต็มทีแล้ว หนังสือดีมาก ขอประชาสัมพันธ์  ตอนนั้นผมฉกมาได้เล่มหนึ่งดีใจมากๆ เพราะนอกเหนือจากเรื่องและภาพของดุสิตธานีแล้ว เล่มที่ผมได้ไปเป็นการรวมเล่มเอาบทพระราชนิพนธ์ที่สมเด็จพระมหาธีรราชทรงแปลและแต่งร้อยกรองขยายความจากคติพจน์ภาษาต่างๆมากมาย อาทิบท "มโนมอบพระผู้  เสวยสวรรค์" อันลือชื่อ แล้วก็ยังมีภาพวาดลายเส้นฝีพระหัตถ์อีกหลายภาพ คุ้มเกินคุ้ม ว่าแต่อีกเล่มนี่ต้องไปเดินเก็บให้ได้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 20:40:09

ความคิดเห็นที่ 39 เดิมทีผมก็คิดว่าเป็นเขตเมืองจำลอง ขนาดเท่าของจริงที่มีคนอาศัยเป็นการชั่วคราวเสียอีก ที่แท้คือเมืองตุ๊กตาจริงๆเสียด้วยครับ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 21:06:10

ความคิดเห็นที่ 40 แล้วเมืองตุ๊กตาจะช่วยให้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยได้ยังไงเหรอคะ? อันนี้ไม่ได้กวนนะ แต่ไม่รู้จริงๆ แต่ถ้าคิดแค่เป็นศิลปะ ก็ถือว่าทำได้สวยปราณีตมากๆ ถ้ายังเหลือถึงปัจจุบันคงทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เลย จากคุณ : bunnygirl เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 22:00:21

ความคิดเห็นที่ 41 บ้านตุ๊กตาน่ะไม่มีอะไรหรอกนอกจากความสวยงามเพลิดเพลิน แต่หมู่บ้านตุ๊กตา เมืองตุ๊กตา ถนนตุ๊กตา ศาลารัฐบาล การจัดตั้งเทศบาล การจัดตั้งระบบการปกครอง ระบบสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การเลือกตั้งผู้บริหาร สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตุ๊กตาแต่เป็นของจริงที่ท่านเห็นว่าสยามควรจะมีแต่เนื่องจากเป็นของใหม่ก็ต้องค่อยๆนำมาแนะนำและทดลองให้คนรู้จักและเห็นว่าใช้การได้จริง และอันที่จริงก็เหมือนกับของใหม่อื่นๆที่รับเข้ามาใช้ ก็ต้องมีการทำสิ่งที่เรียกว่า pilot project หรือ feasibility study จะได้ดัดแปลงแก้ไขได้ให้เหมาะสมที่สุดก่อนนำไปใช้จริงหรือที่สมัยนี้เรียก implementation ดุสิตธานี คือ โครงการ pilot project ของพระองค์ท่าน ทันสมัยเปี๊ยบเลย น่าเสียดายว่าโครงการอยู่แค่ขั้นตอนโครงการนำร่อง ยังไปไม่ถึงขั้นใช้การจริง ไม่อย่างนั้นเมืองไทยอาจมีโฉมหน้าอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ ใครจะรู้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าเสียดายว่าไม่ได้มีการอนุรักษ์ดุสิตธานีไว้ให้ดีกว่านี้ แบบว่าผมก็ชอบเล่นบ้านตุ๊กตา ก็ตอนเด็กไม่ได้มีโอกาสเล่นบ้านตุ๊กตานี่นา เพื่อนมันชวนไปเล่นหนังสติ๊กยิงนกยิงหนูตลอดจนชกต่อยเสียก่อน ก็เลยสนอกสนใจเรื่องดุสิตธานีนี่ไง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 22:34:28

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ จากคุณ : หัวใจถวายวัด เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 22:51:06

ความคิดเห็นที่ 43 สมัยก่อนผมก็คิดเหมือนกันครับว่าเป็นเมืองที่มีคนอยู่จริงๆ   แต่ตอนหลังได้อ่านบทความดูก็เพิ่งรู้ว่าเป็นเมืองจำลอง จากคุณ : ปืนแก๊ป เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 22:51:36

ความคิดเห็นที่ 44 ในแบบเรียนเขียนว่าเป็นเมืองจำลอง ไม่คิดว่าจะจำลองจริงๆขนาดนี้นะนี่ O_o'' ไม่เข้าใจว่าบ้านตุ๊กตาจะทดลองประชาธิปไตยได้ยังไงอ่ะคะ?? งงค่ะงง หรือเรายังจินตาการไม่กว้างไกลพอ จากคุณ : ไม้ไต่คู้ เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 53 23:35:22

ความคิดเห็นที่ 45 แสดงว่าเราพูดไม่ชัดเจน เอ้า งั้นอธิบายเพิ่มเติม บ้านตุ๊กตาแต่เจ้าของไม่ใช่ตุ๊กตา ก็คือคนที่เป็นข้าราชบริพาร เมื่อชักชวนคนเหล่านั้นสร้างบ้านตุ๊กตาในเมืองตุ๊กตาแล้ว ท่านก็มอบหมายหน้าที่ในการบริหารเมืองตามแบบฉบับฝรั่งซึ่งท่านเห็นว่าควรนำมาใช้ในเมืองไทยให้กับคนเหล่านั้นเป็นผู้ปฎิบัติ วิธีการและหน้าที่ในการบริหารเมืองตุ๊กตานั้นก็คือรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นคือเทศบาล มีการเลือกตั้ง ท่านก็ให้ข้าราชบริพารนั่นแหละทดลองทำดูว่าจะเข้าใจไหม ทำได้ไหม มีอุปสรรคข้อขัดข้องอย่างไร เพราะในสมัยนั้นไม่มีใครในเมืองไทยรู้จักการเลือกตั้งเอาบุคคลเข้ามาบริหารงานสาธารณะ มันของใหม่ในสมัยนั้นน่ะคุณ ก็ต้องลอง ลองแล้วแก้แล้วถ้าใช้ได้ก็จะได้เอามาใช้ทั่วประเทศ ถ้าท่านทำได้ตามโครงการ เมืองไทยอาจจะหน้าตาไม่เหมือนอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ ดุสิตธานีจึงไม่ใช่แค่การสร้างเมืองตุ๊กตาไว้ดูเล่นเพลิดเพลินเท่านั้น แต่หลังฉากเป็นโครงการนำร่องทดลองนำระบบการปกครองและการบริหารงานแบบใหม่มาใช้ในเมืองไทย เพียงแต่ท่านไม่ได้ขึ้นป้ายว่า นี่ประชาธิปไตยนะจ๊ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 00:22:19

ความคิดเห็นที่ 46 รู้ตั้งแต่เด็กๆแล้วอะค่ะว่าเป็นหมู่บ้านตุ๊กตา เพื่อจำลองระบอบประชาธิปไตย แต่รู้จากการ์ตูนในหนังสือสกุลไทยนะคะ เค้าเขียนซะเข้าใจได้ง่ายเลย ว่าแล้วก็คิดถึงจัง จากคุณ : patsypacky เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 00:24:27

ความคิดเห็นที่ 47 คาวมรู้ใหม่ครับ จากคุณ : เด็กนาโสก เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 02:40:18

ความคิดเห็นที่ 48 ขออนุญาตมาขยายความเพิ่มเติมครับ แนวพระราชดำริเรื่องการสอนประชาธิปไตยนี้มีมาตั้งแต่ทรงประกาศสงครามโลกครั้งที่ ๑ แล้วครับ  ทรงทราบว่ามาแต้ตอนประกาศสงครามแล้วว่าเยอรมันจะต้องแพและสยามจะเป็นฝ่ายมีชัย  เมื่อสยามมีชัยแล้วเราจะถือโอกาสยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต  ในการเตรียมการเพื่อแก้ไขสัญญานี้เราจะต้องแสดงให้ฝรั่งเห็นว่า ประเทศสยามก็มีการเตรียมการที่จะเป็นประชาธิปไตยจึงเหมือนกัน  พอครบ ๑ ปี นับแต่ประกาศสงครามจึงโปรดให้จับจองที่ดินที่ริมอ่างหยกรอบพระที่นั่งอุดร  ในพระราชวังดุสิตเป็นที่ตั้งดุสิตธานี  (ภาพถ่ายดุสิตธานีที่เห็นกันอยู่นั้น ม.จ.หัชชากร  วรวรรณ ทรงฉายไว้ คือ ดุสิตธานีที่พระราชวังดุสิต) พอสมเด็จพระพันปีหลวงสวรรคตจึงโปรดให้ย้ายดุสิตธานีไปตั้งพระราชวังพญาไทและมีการขยายพื้นที่ออกไปมากกว่าเมื่อครั้งอยู่ที่พระราชวังดุสิต  พร้อมกันนั้นก็ได้โปรดให้สร้างพระราชวังพญาไทขึ้น  ถ้าท่านผู้อ่นได้ไปเยี่ยมชมพระราชวังพญาไทจะเห็นได้ว่า พระราชวังนี้มีลีกษณะแตกต่างจากพระราชฐานที่ประทับทั้งปวง  เพราะรูปแบบการผังห้องต่างๆ นั้นเตรียมมาเป็นโรงแรมตั้งแต่ตน  ฉะนั้น การที่ทรงย้ายดุสิตธานีมาไว้ที่พระราชวังพญาไทจึงทรงมุ่งหวังเพื่อขายการท่องเที่ยว  เพราะในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ มีพระราชดำริจะจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ (The Kingdom of Siam Exhibition) หรืองานแสดงสินค้านานาชาติครั้งแรกของภาคพื้นตะวันออกไกล  จึงได้พระราชทานพระราชวังพญาไทให้กรมรถไฟหลวงซึ่งมีประสบการณ์จากการบริหารโรงแรมรถไฟหัวหิน  ให้จัดพระราชวังพญาไทเป็นโฮเต็ลพญาไทเพื่อรองรับนักธุรกิจและนักทัศนาจรที่จะหลั่งไหลเข้ามาซื้อหาวัตถุดิบและท่องเที่ยว ย้อนมาดูเรื่งการสอนประชาธิปไตย  หลักสำคัญของระบอบประชาธิปไตยคือ สิทธิและหน้าที่  ในการที่จะสอนเรื่องที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมเช่นนี้เป็นเรื่องยาก  จึงทรงคิดสร้างดุสิตธานีขึ้นมา  เพื่อสอนข้าราชการมหาดไทยและข้าราชบริพารให้รู้จักเรื่องหน้าที่  โดยสอนให้รู้จักหน้าที่การเสียภาษี  การดูแลรักษาบริเวณบ้าน  และหน้าที่ในการไปลงคะแนนเลือกตั้งซึ่งมีทั้งการเลือกแบบมืดคือการลงคะแนนลับ  และแบบสว่างหรือแบบเปิดเผย  ดุสิตธานีจึงเป็นทั้งของเล่นและอุปกรณ์การเรียนตมหลัก Play to Learn ซึ่งผู้เรียนรู้ซึมซับโดยไม่รู้ตัว   ในการเลือกตั้งของดุสิตธานีครั้งแรก  ท่านราม  ณ กรุงเทพ (ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖) ทรงอำนวยการเอง  แต่ครั้งต่อมาโปรดให้เชิญพระยาราชเสนา (สหัส  สิงหเสนี) เจ้ากรมพลำภัง (ปัจจุบันคือ กรมการปกครอง) มาอำนวยการเลือกตั้งต่อมาอีกหลายคราว  ส่วนรายได้ค่าภาษี  ค่าปรับ ค่าเช่าบ้านของพระคลังข้างที่ ค่าสมาชิกหนังสือดุสิตสมิต ฯลฯ  โปรดให้ส่งไปสมทบซื้อเรือหลวงพระร่วง  สภากาชาดไทย  และการกุศลสาธารณะอื่นๆ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย   ทั้งหมดนี้คือลงทุนครั้งเดียวแต่ได้ประโยชน์หลายอย่าง  เป็นวิธีปกติที่ล้นเกล้าฯ ทรงพระราชดำริและทรงนำไปปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรมาตลอดรัชกาล จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 08:12:43

ความคิดเห็นที่ 49 เพิ่งทราบเลยนะคะ ที่แรกนึกว่าเป็นบ้านตุ๊กตา ที่ต้องการจำลองให้คนที่สนใจเข้ามาดู โดยไม่ต้องใช้เวลามากเท่านั้น ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ จากคุณ : sawkitty เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 12:09:50

ความคิดเห็นที่ 50 โครงการนี้มีอุปสรรคอะไรหรือเปล่าครับ จึงไม่มีการสานต่อ จากคุณ : Antares Kung เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 12:11:58

ความคิดเห็นที่ 51 ผมว่าพระองค์ำไม่ได้ต้องการทรงสอนอย่างเดียวนะครับ แต่พระองค์ต้องการทดลองต่างหาก ลักษณะแบบนี้เป็น การทดลองทาง Social Science โดยการสร้างเงื่อนไข สมมติให้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่จำลองลงมา ผมว่า การทดลองนี้มีปัญหาใหญ่ๆ อยู่ คือ 1. ในสมัยนั้นไม่มีใครเข้าใจว่าเป็นการทดลอง แต่ทุกคน รู้สึกเหมือนว่าพระองค์กำลังเล่นตุ๊กตาอยู่มากกว่า 2. ฐานะของพระองค์ที่อยู่สูงมากจนเกินไป ทำให้การทด- ลองครั้งนี้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ก็นำเอาประโยชน์จากการ ทดลองนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แก้ไขกฎหมายให้ดีมาก ขึ้นไปอีก กฎหมายสมัยของพระองค์ที่ยังตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน คือ - ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพที่ 1 และ 2 จากคุณ : กระบี่เก้าเดียวดาย เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 16:24:44

ความคิดเห็นที่ 52 ผมก็นึกว่าเป็นเมืองเล็กๆนะ ไม่นึกว่าเป็นแบบนี้ จากคุณ : Ninjax เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 21:07:39

ความคิดเห็นที่ 53 ในแง่ของศิลปะนี่สุดยอด แล้วก็ทำให้เข้าใจพระราชดำริของพระองค์ด้วยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่อธิบาย จากคุณ : Metaphysics เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 21:22:29

ความคิดเห็นที่ 54 ดุสิตธานี - นิธิ เอียวศรีวงศ์ วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1249 (ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อตอนที่ผมสอบเข้าจุฬาฯ และสอบออกจากจุฬาฯ ผมเจอข้อสอบประวัติศาสตร์ไทยเดียวกันอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีมีส่วนอย่างไรในการวางรากฐานประชาธ ิปไตยให้แก่ประเทศไทย ผมคิดว่าผมทำได้ดีทั้งตอนขาเข้าและขาออก เพราะผมชอบอ่านประวัติศาสตร์ จึงได้เห็นแนวคิดอย่างนี้แพร่หลายในหนังสือประวัติศาสตร์มานานแล้ว ทั้งความคิดนี้ยังถูกตอกย้ำระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ฉะนั้น จึงน่าจะยิ่งทำได้ดีขึ้นไปอีกตอนขาออก ไม่ใช่เพียงเพราะผมคุ้นเคยกับแนวคิดอย่างนี้เท่านั้นที่ทำให้ผมทำข้อสอบได ้ดี แต่เพราะอีตอนนั้นผมก็เชื่ออย่างนี้จริงๆ เสียด้วย จึงสามารถเขียนคำตอบได้อย่างเมามัน แม้เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เชื่ออย่างนี้อีกแล้ว แต่ในช่วงหนึ่งของชีวิตได้เคยผ่านกระแสเชี่ยวกรากของแนวคิดอย่างนี้มาในอด ีต จึงทำให้เข้าใจนักการเมืองในปัจจุบัน ที่สถาปนาพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไว้ที่หน้ารัฐสภา และพากันไปถวายสักการะในวันที่ 24 มิถุนายน ทุกปี โดยแทบจะไม่มีใครนำพวงมาลาไปวางที่อนุสาวรีย์ ท่านปรีดี พนมยงค์ ที่ธรรมศาสตร์เลย ก็นักการเมืองไม่ได้มีอาชีพทางประวัติศาสตร์เหมือนผม เขาจึงไม่จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์มากไปกว่าที่ได้เคยเรียนมา อีกทั้งการเชื่อมต่อระหว่างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับระบอบที่มาหลังจาก นั้น ยังทำให้วิถีการเมืองของแต่ละคนราบรื่นดี และในความเป็นจริงก็มีอะไรที่เชื่อมต่อกันมากระหว่างสองระบอบนี้จริงๆ เสียด้วย เพียงแต่ไม่อาจเรียกสิ่งนั้นว่าประชาธิปไตยได้เท่านั้น หนึ่งในสิ่งที่เป็น "ประจักษ์พยาน" ขอบการวางรากฐานประชาธิปไตยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็คือดุสิตธานี (ที่ไม่เกี่ยวกับโรงแรม) ผมอยากพูดถึงดุสิตธานีเพราะมันสะท้อนอะไรที่ผมกล่าวข้างต้นนั้นได้ชัดเจนด ีที่สุด ยิ่งกว่านี้ดุสิตธานียังเป็นกรณีของการ "ลากเข้าความ" ที่หน้าตาเฉยที่สุด ของบรรดาประจักษ์พยานทั้งหลายซึ่งใช้สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสร้างดุสิตธานี ไม่มีใครพูดหรือคิดว่าดุสิตธานีเป็นบทเรียนประชาธิปไตย ตรงกันข้าม ส่วนใหญ่ของข้าราชการสำนักคิดว่า "ในหลวง" ท่านโปรดเล่นเมืองตุ๊กตา แม้จะเรียกว่า "เล่น" แต่ดูจะวิจิตรพิสดารกว่าการเล่นของคนทั่วไป นับตั้งแต่ "เมืองตุ๊กตา" นั้น ไม่ได้ทำอย่างหยาบๆ แต่ย่อส่วนตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางอย่างประณีต ยิ่งกว่านั้นยังเปิดรับสมัครราษฎรของเมืองในหมู่ข้าราชบริพาร พร้อมทั้งจัดการปกครองอย่างเทศบาลนครของยุโรป ซึ่งทำให้มีการเลือกตั้งคนที่จะเข้าไปทำหน้าที่ "นคราภิบาล" รวมทั้งมีการประชุมของผู้แทนเพื่อออกกฎระเบียบสำหรับใช้ในเมืองตุ๊กตานี้ด ้วย ไม่ว่าเมืองนี้จะชื่ออะไร และจำลองนครยุโรปมาได้ใกล้เคียงอย่างไรก็ตาม แต่มันเป็นเมืองตุ๊กตาอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันไม่ "จริง" ไม่ใช่ไม่ "จริง" เพราะเข้าไปอาศัยหลับนอนในนั้นไม่ได้ หรือเข้าไปทำมาหากินเลี้ยงชีพในนั้นไม่ได้เท่านั้น แต่ไม่ "จริง" ที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในเมืองนั้นไม่ได้ตัดขาดออกไปจากความสัมพันธ์เชิ งอำนาจในสังคมไทยภายนอกดุสิตธานี แน่นอนว่า ไม่มีใครลืมหรอกว่าเอดิเตอร์ของดุสิตสมิตนั้นไม่ใช่ราษฎรสามัญ แต่คือพระเจ้าอยู่หัวในสังคมข้างนอกซึ่งชีวิตจริงของทุกคนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครลืมว่านคราภิบาลคือเจ้าพระยายมราช รวมทั้งไม่ได้ลืมความสัมพันธ์ที่เป็นจริงระหว่างเจ้าพระยายมราชกับพระเจ้า อยู่หัวในสังคมนอกดุสิตธานี ทุกคนในดุสิตธานีล้วนสำนึกได้ดีว่าของจริงของแต่ละคนคืออะไร และด้วยเหตุดังนั้นความสัมพันธ์ในดุสิตธานีจึงเป็นแค่ของหลอก ฉะนั้น ราษฎรของดุสิตธานีทุกคนจึงรู้ดีว่า "ฟรี เปรส" (Free Press) ของดุสิตธานีนั้นใครฟรี และแต่ละคนพึงฟรีได้แค่ไหน เช่นเดียวกับการอภิปรายในสภานคราภิบาล ความเห็นของราษฎรในเรื่องภาษี หรือประสิทธิภาพของการทำงานของคณะผู้ปกครอง ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ "การปกครองตนเอง" เป็นไปได้มากกว่า "ตุ๊กตา" ย่อมมีไม่ได้ในดุสิตธานี อันที่จริง อาจไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรกันให้มากความเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของเมือง ตุ๊กตากับประชาธิปไตย ถ้าเราสำนึกว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งทรงสร้างดุสิตธานีขึ้นนี้ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความที่พยายามชี้ให้เห็นอย่างตรงๆ เลยว่า เมืองไทยนั้นไม่อาจใช้ระบบรัฐสภาได้ นอกจากเจ้าจะใช้เงินเข้าสู่สภาแล้ว ในสภานั้นเองก็จะตีกันวุ่นหรืออภิปรายเลอะเทอะจนไม่ได้สาระอะไร เก็บการบริหารรัฐกิจไว้กับ "มืออาชีพ" ดีกว่า ถ้าจะมีพระราชประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดกับเมืองตุ๊กตานี้มากกว่าเรื่องทรง พระสำราญ ก็เป็นการฝึกการบริหาร หรือความพยายามที่จะปฏิรูประบบราชการของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั่นคือการฝึกให้ข้าราชการ โดยเฉพาะที่เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิด สามารถประสานงานกันเพื่อภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ความร่วมมือกันเพื่อการประสานงาน (Coordination) เป็นจุดอ่อนของระบบราชการสมัยใหม่ไทยนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าฯ ได้ทรงสถาปนาขึ้นมาแต่แรกแล้ว ความแตกร้าวชิงดีชิงเด่นกันอย่างหนักในหมู่เสนาบดีซึ่งมีหลักฐานอ้างถึงไว ้หลายแห่ง เป็นเพียงปลายยอดของปัญหาเท่านั้น เพราะที่จริงแล้ว แม้ในหมู่ข้าราชการระดับล่างลงมา ก็พากันยึด "สังกัด" มูลนายของตนอย่างเหนียวแน่น และมุ่งจะขยายอำนาจและผลประโยชน์ของกรมหรือกระทรวงที่ตนสังกัดมากกว่ามุ่ง ไปที่ภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นพระบรมราโชบาย ในปลายรัชกาลที่ 5 ถึงขนาดที่ข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมร่วมกับเสนาบดีลาออกประท้วงพระเจ้าอ ยู่หัวกันเลย ผมไม่แน่ใจว่า ดุสิตธานีต้องการฝึกการบริหารแบบใหม่อย่างนี้จริงหรือไม่ เพียงแต่ว่าถ้าจะพยายามมองหาจุดประสงค์อื่นให้ได้แล้ว อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่การปฏิรูประบบราชการเท่านั้น และการปฏิรูประบบราชการไม่ได้เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับการวางรากฐานประชาธิปไตย คนที่อยู่ภายใต้ผู้ว่าซีอีโอในปัจจุบันก็คงเข้าใจดี แนวคิดเรื่องดุสิตธานีคือการสอนประชาธิปไตยแก่คนไทยนั้น เพิ่งมาโฆษณากันหลัง 24 มิถุนายน 2475 เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับยุทธวิธีของฝ่ายสถาบันพระมหากษัตริย์ในการตอบโต้กับการเถลิงอำนาจของคณะราษฎร (และคณะอะไรอื่นๆ ซึ่งตามมา) นั่นก็คือการเสนอให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นฝ่ายสนับสนุนและปกป้องประชาธิปไตย ยิ่งกว่ากลุ่มอะไรอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคณะราษฎร, คณะรัฐประหาร, คณะทหาร, หรือ คณะปฏิวัติ ฯลฯ ซึ่งผลัดกันเข้ามาถืออำนาจทางการเมืองของไทย พระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติของ ร.7 ที่ทรงประกาศว่ายินดีจะสละพระราชอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ให้แก่คณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาเอาไปถือเป็นส่วนตัว ทำให้คณะราษฎรกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์กลับเป็นฝ่ายประชาธิปไตยไป จากนั้นเป็นต้นมา ระบบการเมืองไทยก็กลายเป็นเผด็จการในรูปต่างๆ ตลอดมาเป็นส่วนใหญ่ จึงยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยที่ "แรง" ไม่น้อยไปกว่าพานรัฐธรรมนูญ คนที่จะเข้ามาเป็นราษฎรของดุสิตธานีได้นั้น ไม่ใช่คนไทยธรรมดา นอกจากข้าราชบริพารแล้วก็มีคหบดีบางคนที่ได้เข้าไปอยู่ด้วย แต่ดุสิตธานีไม่มีสามัญชนคนธรรมดา ใน ร.6 สามัญชนคนธรรมดาไม่ใช่คนที่ไร้หน้าตาเสียทีเดียว ถ้าเรากลับไปดูฎีการาษฎรที่ถวายความเห็นหรือร้องเรียนแก่ราชสำนัก หรือกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ของสมัยนั้น จะเห็นได้ว่าสามัญชนคนธรรมดานั้นมีความเคลื่อนไหวในสังคมการเมืองของไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่คนเหล่านี้ไม่มีที่ของตนในดุสิตธานีเพราะดุสิตธานีไม่ใช่แบบจำลองของสังคมไทย ถ้าจะมีเวทีของการต่อรองเกิดขึ้นในดุสิตธานี เวทีนั้นก็เป็นเพียงเวทีของคนใหญ่คนโตผู้มีอำนาจในระดับต่างๆ เท่านั้น อันที่จริงการเกี้ยเซี้ยกันระหว่างคนมีอำนาจนั้นเป็นปรกติธรรมดาของโครงสร้างอำนาจทั้งหลาย เพื่อไม่ให้เกิดความตึงเครียดในโครงสร้างนั้นจนตั้งอยู่ต่อไปไม่ได้ ประชาธิปไตยไทยหลัง 2475 สืบมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือเวทีเกี้ยเซี้ยระหว่างใครก็ตามที่ทะลุขึ้นมาอยู่ ในวงของอำนาจได้ ไม่ได้รวมประชาชนส่วนใหญ่เอาไว้ ฉะนั้น จึงน่าจะเรียกว่าประชาธิปไตยไทยว่าประชาธิปไตยแบบดุสิตธานี พูดอย่างนี้แล้ว ผมกลับต้องเปลี่ยนความคิดไป เพราะจริงนั่นแหละดุสิตธานีวางรากฐานประชาธิปไตยนี่หว่า จากคุณ : ativan เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 22:15:27

ความคิดเห็นที่ 55 เพิ่งรู้เหมือนกัน เมืองจำลองสุดยอดอะ  แนวคิดนี้น่าจะเอาไปให้เด็กประถมเล่นนะ เป็นการปูพื้นประชาธิปไตย แต่เยาว์วัย และดูน่าสนุกด้วย จากคุณ : นภาอากาศ (นภาอากาศ) เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53 23:52:58

ความคิดเห็นที่ 56 มาแปะรูปเพิ่มครับ ให้เห็นว่าล้นเกล้าฯทรงทดลองระบบการปกครองอย่างใหม่ นี่เป็นศาลาว่าการ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:06:25

ความคิดเห็นที่ 57 มันมาทีเดียวสองรูป เลยลบรูปนี้ทิ้งครับ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 01:12:29 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:07:54

ความคิดเห็นที่ 58 ตรงนี้เป็นที่พบปะของทวยนาคร จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:13:37

ความคิดเห็นที่ 59 บ้านของเทศาฯ ก็คือผู้ว่าฯนั่นเอง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:15:08

ความคิดเห็นที่ 60 พระที่นั่งตุ๊กตายังสง่างามเพียงนี้ ถ้าสร้างจริงคงน่าดูมาก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:16:53

ความคิดเห็นที่ 61 พระที่นั่งสถานชโลธร จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:19:15

ความคิดเห็นที่ 62 พระที่นั่งองค์นี้แบบแขก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:20:42

ความคิดเห็นที่ 63 และนี่คือภาพของดุสิตธานีแห่งที่สองที่พระราชวังพญาไท รูปเดียวกับ #15 แต่ว่าขยายขึ้นอีกหน่อย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:22:23

ความคิดเห็นที่ 64 การรักษาเรื่องและภาพของเก่าอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ ขออนุญาตออกนามเพื่อเป็นเกียรติและกราบคารวะท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ได้ลงทุนลงแรงอย่างยิ่งยวดในการจัดการสัมมนาเรื่องดุสิตธานีนี้ยืดเยื้อถึง 8 เดือน เริ่มตั้งแต่ 16 ก.พ.2513 จนบรรลุวัตถุประสงค์ในการรวบรวมเรื่องราวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้อนุชนเช่นเราได้รับทราบและศึกษา ท่านประธานการสัมมนาคือ ม.ล.ปิ่น มาลากุล โดยมีผู้ร่วมคณะคือ ขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตรสมุห จมื่นอมรดรุณารักษ์ นางแม้นมาส ชวลิต ผอ.กองหอสมุดแห่งชาติ น.ส.นวลผจง เศวตเวช อาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร น.ส.สุภาพันธ์ สุนทรมณี จนท.หอสมุดแห่งชาติ ทำหน้าที่เลขานุการคณะสัมมนา ทั้งนี้ได้เชิญวิทยากรอีก 7 ท่านคือ พลตรี หม่อมทวีวงศ์ถวัลยศักดิ์ พระยาสุนทรพิพิธ พระยานเรนทรราชา พระยาบำรุงราชบริพาร พระมหามนตรีศรีองครักษสมุห นายลิขิตสารสนอง พันเอก ประสิทธิสุข พึ่งบุญ ณ อยุธยา ภาพถ่ายงามๆของดุสิตธานีนั้น ผู้ถ่ายคือ ร้านถ่ายรูป ห้องฉายาบรรทมสินธุ์ ตั้งอยู่ที่ถนนอโยธยารังสรรค์ของดุสิตธานี โดยเจ้าของคือนาย หรู ผิวงาม (นามแฝงของ ม.จ.หัชชากร วรวรรณ) ปรากฎว่าตอนที่สัมมนาเรื่องนี้ ไปได้ภาพเหล่านี้มาจากสมุดภาพถ่ายซึ่งสามัคคีสมาคมแห่งกรุงลอนดอนมอบให้หอสมุดแห่งชาติ นับว่าโชคดีมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นเด็กๆอย่างเราคงไม่มีโอกาสได้เห็น รายงานการสัมมนานั้นบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในหนังสือที่ท่านอาจารย์ ว. มี. ได้เอ่ยถึงไว้ใน คคห.32 และยังพอมีจำหน่ายอยู่ที่หอวชิราวุธานุสรณ์ ขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นหนังสือดี หนังสือเก่า และหายาก ขอบคุณ จขกท คุณ patendex ที่เปิดประเด็นให้ผมได้มีโอกาสมาแจมครับ ขอบคุณเพื่อนๆที่กรุณาติดตาม ที่จริงมีรูปอีกมาก แต่ผมเห็นว่าจะรกเกินไปก็เลยเลือกมาแต่รูปที่เห็นว่าสำคัญ ใครอยากเห็นละเอียดก็ไปสอยหนังสือข้างตนมาอ่านเสีย หาไม่ได้อีกแล้ว จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 01:44:34

ความคิดเห็นที่ 65 อ่านความเห็นของ อ.นิธิ ที่คุณ ativan หยิบยกมาให้ได้อ่านกันในความเห็นที่ ๕๔ แล้ว  ขอคัดค้านในประการแรก คือ เจ้าพระยายมราชไม่เคยเป็นนคราภิบาลของดุสิตธานีเลนนะครับ  ผู้ที่เคยเป็นนคราภิบาลของดุสิตธานี มีอาทิ  พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.เฟื้อ พึ่ง  บุญ)  พระยาอุดมราชภักดี (โถ  สุจริตกุล)  สองท่านนี้เป็นนคราภิบาลในช่วงเริ่มต้น  ถัดมานคราภิบาลล้วนเป็นเด็กๆ  คนสุดท้ายคือ นายลิขิตสารสนอง (ชัพน์  บุนนาค)  ซึ่งเป็นทั้งลูกเสือไทยคนแรกและนคราภิบาลคนสุดท้ายของดุสิตธานี  เมื่อนายลิขิตสารสนองได้รับเลือกเป็นนคราภิบาลนั้นอายุ้พียงยี่สิบเศษ  มีตำแหน่งเป็นมหาดเล็กยศชั้นหุ้มแพรพิเศษ เทียบชั้นพันตรีเท่านั้น สำหรับเจ้าพระยายมราชนั้น ถ้าได้อ่านวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของดร.สนธิ  เชานันทน์ จะเห็นว่า เจ้าพระยายมราชคือ ผู้ที่กราบบังคมทูลว่าเมืองไทยยังไม่พร้อมที่จะมี Municipality หรือการปกครองแบบเทศสบาล  จนถึงรัชกาลที่ ๗ จึงไม่อาจต้านกระแสนี้ได้  ต้องเริ่มจัดให้มีเทศสบาลขึ้น ประเด็นต่อมา ที่ อ.นิธิ อ้างว่า ดุสิตธานียังอยู่ใต้ร่มพระบารมีล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖  ถ้าทรงหวงอำนาจจริงดังเช่น อ.นิธิว่าแล้ว  เพราะเหตุไรจึงเสด็จฯ ดุสิตธานีในฐานะพระเจ้าแผ่นดินเพียง ๒ ครั้งๆ แรกตราวเสด็จเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตราชธานี  ซึ่งได้พระราชทานพระราชกระแสไว้ชัดว่า วิธีการใดๆ ในธานีเล็กๆ นี้ก็หวังว่าต่อไปจะได้จัดขึ้นในประเทศสยาม  กับอีกครั้งเมื่อเสด็จไปวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารอาสาในดุสิตธานี  นอกจากนั้นทรงเป็นนายราม  ณ กรุงเทพ พลเมืองคนหนึ่งของดุสิตธานี  และพระรามราชมุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมาธิปไตย การที่ อ.นิธิวิพากษ์เรื่องนี้ไปเชิงลบ  ผมไม่แปลกใจเลยเพราะ เอกสารหลักฐานที่กล่าวถึงรัชกาลที่ ๖ นั้นมีกจะเป็นแนวรบเสมอ  แต่เมื่อตรวจสอบกันจรงๆ แล้ว  ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้นเพื่อหวังทำลายพระเกียรติยศทั้งสิ้น  ไม่ว่าเรื่องการโบยทหารในกรณี ร.ศ. ๑๓๐ ที่ว่ากันว่า ล้นเกล้าฯ เป็นผู้สั่งโบย  แต่เมื่อตรวจสอบหลักฐานทางราชการแล้วไม่มีการพูดถึงเรื่องโบยเลย  หรือเรื่องทรงขัดแย้งกับกรมหลวงชุมพรก็กลายเป็นคนละเรื่องกันเลยกับที่ร่ำลือกันมา  แต่ทั้งเรื่องกบฆ ร.ศ. ๑๓๐ และเรื่องกรมหลวงชุมพรกลับผูกโยงเข้ากับเรื่อง คดรพญาระกาได้อย่างแนบแน่น จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 08:45:23

ความคิดเห็นที่ 66 ผมก็เพิ่งทราบว่าเป็นเมืองจิ๊วมาเมื่อไม่กี่ปีอะครับ แต่วันนี้เพิ่งจะได้เห็นภาพแบบเต็มๆวันนี้อะครับ สวยงามมากจริงๆ เสียดายที่ไม่ได้อยู่ถึงปัจจุบัน ไม่งั้นผมว่าสวยกว่าเมืองจำลองแถวพัทยาอีกอะ เมื่อก่อนก็ทราบเหมือนกับทุกท่านว่าเป็นเมืองที่จำลองชีวิตคน ไม่คิดว่าว่าจะสร้างเป็นเมืองจิ๊วขึ้นมา จากคุณ : xiaoxin เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:18:17

ความคิดเห็นที่ 67 ดูรูปที่คุณ แอ๊ด ปากเกร็ด เอามาลงแล้วรู้สึดว่าเมืองดุสิตธานีนี่มีคุณค่าด้านงานศิลปะมากๆเลยนะคะ เสียดายที่ปัจจุบันไม่ได้คงอยู่แล้วจริงๆ >< จากคุณ : patendex เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 11:45:46

ความคิดเห็นที่ 68 ม่านหม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ล้นเกล้าฯ ทรงใช้นักโทษคดีกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ที่ถูกจำขังในคุกเป็นผู้สร้างอาคารหลังเล็กๆ นี้บางส่วน  และบรรดานักโทษนั้นก็ได้สรรเสริญพระเกียรติคุณว่า ทรงเข้าใจถึงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยถ่องแท้ นี่แน่ยิ่งกว่าอื่นใด คือ เมืองจำลองดุสิตธานีนี้มีมาก่อน เมืองจำลองที่เนเธอร์แลนด์  แล้วเราไปดูแบบที่เนเธอร์แลนด์มาสร้างที่พัทยา จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 16:52:55

ความคิดเห็นที่ 69 ถ้าสมัยนั้นมี simcity พระองค์ท่านคงไม่ต้องมาเสียเวลานั่งประดิษฐ์เมืองเพื่อเรียนรู้และสอนเรื่องประชาธิปไตยให้พวกรุ่นหลัง(หรือรุ่นนั้น)ที่คิดว่าหัวใหม่สุดๆ ไม่ยอมฟังใคร ดูหมิ่นหรอกค่ะ เราว่านี่ก็เหมือนกับการสร้างเกม จำลองการบริหาร ไม่ใช่เอามาแต่ทฤษฎี วาดภาพในอากาศ ดูภาพจากคนอื่นที่เขาทำได้แล้วคิดว่าตัวเองทำได้ โดยไม่ดูว่าจริงๆแล้วศักยภาพของคนบ้านเรานั้นทำได้แค่ไหนกัน พระองค์ท่านมองการณ์ไกลมากค่ะ จากคุณ : citrus_tree เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 10:12:04

ความคิดเห็นที่ 70 แฟนๆของดุสิตธานีช่วยกันคลิกโหวตกระทู้นี้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำอีกทีได้ไหมครับ จะได้มีน้องๆแวะมาดูกันอีกเยอะๆ เสียดายถ้าจะปล่อยไปเฉยๆให้คนได้ดูน้อย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 11:09:36

ความคิดเห็นที่ 71 แบบจำลองของจริงมีให้ชมอยู่ที่พระราชวังพญาไทค่ะ สามารถเข้าชมได้วันเสาร์ (ตอนนั้นไปเปิดวันเสาร์วันเดียว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เปิดวันอาทิตย์ด้วยรึเปล่านะคะ) ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ ^^ จากคุณ : teddydoll เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 13:58:50

ความคิดเห็นที่ 72 ตอนนี้พระราชวังพญาไทเปิดให้เข้าชมทั้งวันเสาร์และอาทิคย์แล้วครับ  แต่ช่วงนี้ดูเหมือนจะงดทั้งเสาร์และอาทิตย์  คงต้องให้เลิกวุ่นวายกันก่อนแล้วคงเปิดให้ชมได้ตามปกติ  มีทยากรนำชมด้วยนะครับ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 18:50:46

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : withidak เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 14:37:07

ความคิดเห็นที่ 74 สุดยอด เข้าใจผิดมาตลอด โหวตใหัเลย ถามครับ ใครบ้างที่รู้ว่ามันเป็นเมืองตุ๊กตาตั้งแต่ตอนเรียนครับ จากคุณ : C2minus เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 22:06:20

ความคิดเห็นที่ 75 ขออนุญาตไปเล่าให้เพื่อนในห้องฟังนะครับ .. จากคุณ : Healing Staff เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 22:34:31

ความคิดเห็นที่ 76 ผมก็นึกว่า ดุสิตธานี คือเขตดุสิตในปัจจุบันซะอีก - -* จากคุณ : Buzz and Busy เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 09:23:00

ความคิดเห็นที่ 77 อ่านแล้ว เห็นความแตกต่างของความสามารถในการบริหารเลยครับ โปรกับมือสมัครเล่นต่างกันอย่างไรก็ตรงนี้ ขณะที่ ร.6 จะนำความรู้จากต่างประเทศมาใช้ ก็จะมาทดลองก่อนเพื่อดูว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ ปรับเปลี่ยนอย่างไรได้ รู้แล้วค่อยนำมาใช้ แบบนี้น่าจะเกิดประโยชน์ แต่นักการเมืองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เวลาจะเอาอะไรมาใช้ก็ไปลอกเขามา แล้วโยนให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยทำ โดยไม่ได้ดูว่าเหมาะไหม ใช้ได้ไหม ไม่ปรับไม่เปลี่ยน มันก็เลยเละเทะแบบนี้ พูดแล้วก็เซ็ง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 16:27:25

ความคิดเห็นที่ 78 ตอนผมเรียน ผมก็เข้าใจว่ามันคือเมืองตุ๊กตานะ ทำไมหลายๆคนในนี้ เข้าใจว่าเป็นหมู่บ้านจำลองที่ให้คนอยู่ล่ะครับ หรือว่าหนังสือเรียนที่พวกคุณเรียนเค้าไม่ขยายความอ่ะ? ป.ล.ไม่เห็นมีที่นา หรืออะไรที่สามัญพอๆกับที่นาเลย ทำไมล่ะครับ ใครมีรูปถ่ายบ้านคนสามัญชน หรือที่นา เรือกสวนบ้างไหมครับ กรุณาโพสต์หน่อยนะครับ :D จากคุณ : กลับมาแล้วคนดี เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 11:21:23

ความคิดเห็นที่ 79 เข้าใจผิดมาตลอดเหมือนกันค่ะ งงๆ อยากไปชมของจริงๆๆ จากคุณ : ploypipy เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 15:21:26

ความคิดเห็นที่ 80 ดุสิตธานีนี้มุ่งสอนการปกครองในระบบเทศบาล ฉะนั้นในดุสิตธานีจึงไม่มีเรือกสวนไร่นา  คงมีแต่บ้านเรือนในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไป  สำหรับบ้านราษฎรนั้นก็พอมีตั้งแต่บ้านใหญๆ ไปจนถึงเรือนแถวพระคลังข้างที่ที่ให้ผู้มีรายได้น่อยเช่า  โดยรายได้จากค่าเช่านั้นส่งไปบำรุงการกุศลสาธารณะทั้งสิ้น ภาพถ่ายนี้เป็นภาพเรือนหลังคาจากประเภทบ้านเล็กเรือนน้อยในดุสิตธานี  ส่วนอาคารขนาดใหญ่ด้านหลังนั้นเป็นมุมหนึ่งของพระที่นั่งอุดรภาคครับ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 17:51:18

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 53 20:25:07

ความคิดเห็นที่ 82 - เพิ่งจะทราบเหมือนกัน เข้าใจผิดมานาน ขอบคุณครับ - คิดโดยถ้วนถี่แล้ว ไม่เห็นประโยชน์ครับ จึงพอเข้าใจว่าทำไมแบบเรียนถึงไม่ค่อยกล่าวถึง จากคุณ : pinhead เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 01:22:05

ความคิดเห็นที่ 83 เพิ่งรู้เหมือนกันนะนี่ ขอลคุณค่ะ จากคุณ : kibosi เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 09:06:37

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : คนบ้าบิต เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 53 16:19:09

ความคิดเห็นที่ 85 สุดยอดเลยครับ ผมเข้าใจผิดมาตั้งนาน นึกว่า ดุสิตธานี คือเมืองจริงๆ ที่ท่านคิดจะ กำหนดสร้างเป็นอณาเขตใหม่ เพื่อทดลองระบบประชาธิปไตย แต่ว่า เกิดเหตุยึดอำนาจเลยไม่ได้ทำ ซะอีกครับ โห พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ท่านเก่งมากๆ ครับ และทรงพระปรีชาชาญมากจริงๆ สมกับเป็นพระมหากษัตริย์ นึกถึงนักการเมืองบ้านเราแล้ว.... ไม่รู้จะพูดอะไรดี จากคุณ : โกโก้หวานกับน้ำตาลก้อนเดียว เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 53 20:55:53